การปล้นธนาคารในติฟลิส ค.ศ. 1907

การปล้นธนาคารโดยบอลเชวิคใน ค.ศ. 1907

การปล้นธนาคารในติฟลิส ค.ศ. 1907 หรือที่รู้จักกันว่า การเวนคืนจัตุรัสเยเรวาน[1] คือการใช้อาวุธปล้นการขนส่งเงินของธนาคารโดยนักปฏิวัติพรรคบอลเชวิคในเมืองติฟลิส ประเทศจอร์เจีย (ปัจจุบันคือกรุงทบิลิซี เมืองหลวงของประเทศ) เหตุปล้นดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1907[a] ที่จัตุรัสเยเรวาน (ปัจจุบันคือจัตุรัสเสรีภาพ) ผู้ร่วมก่อการ (ซึ่งต่อมาหลายคนได้กลายเป็นผู้นำระดับสูงของสหภาพโซเวียต) ได้ใช้ทั้งระเบิดและปืนในการเข้าล้อมและยึดรถม้าที่กำลังขนส่งเงินระหว่างที่ทำการไปรษณีย์กับธนาคารรัฐของจักรวรรดิรัสเซีย สาขาติฟลิส ท่ามกลางจัตุรัสที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ตามเอกสารจดหมายเหตุอย่างเป็นทางการระบุว่า การปล้นดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 40 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 50 คน ผู้ก่อการหนีไปได้โดยได้เงินไปกว่า 341,000 รูเบิล (กว่า 3.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน ค.ศ. 2008)

การปล้นธนาคารในติฟลิส ค.ศ. 1907
A picture of a city square with people walking about and people riding in carriages.
จัตุรัสเยเรวาน สถานที่เกิดเหตุปล้น ถ่ายในคริสต์ทศวรรษ 1870
วันที่26 มิถุนายน ค.ศ. 1907 (1907-06-26)
เวลา10:30 นาฬิกา โดยประมาณ
ที่ตั้งจัตุรัสเยเรวาน ติฟลิส เขตผู้ว่าการติฟลิส เขตอุปราชคอเคซัส จักรวรรดิรัสเซีย
พิกัด41°41′36″N 44°48′05″E / 41.6934°N 44.8015°E / 41.6934; 44.8015
ชื่ออื่นการเวนคืนจัตุรัสเยเรวาน
จัดโดย
ผู้เข้าร่วม
  • คาโม
  • บาชัว คูเปรียชวีลี
  • ดาตีโค ชีเบรียชวิลี
  • สมาชิกของกลุ่มอื่น ๆ
ผล241,000 รูเบิล (กว่า 303,317 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน ค.ศ. 2021) ถูกปล้น
เสียชีวิต40
บาดเจ็บไม่ถึงตาย50
จำนวนถูกพิพากษาลงโทษการตัดสินลงโทษคาโมในการพิจารณาคดีทั้งสองครั้ง

ผู้วางแผน และ/หรือ ลงมือปฏิบัติการในการปล้นธนาคารครั้งนั้น ประกอบด้วยผู้นำระดับสูงหลายคนของพรรคบอลเชวิค รวมไปถึง วลาดิมีร์ เลนิน โจเซฟ สตาลิน แม็กซิม ลิทวินอฟ เลโอนิด คราซิน อเล็กซานเดอร์ บอกดานอฟ และคาโม เพื่อหาเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมในการปฏิวัติ รายงานผลที่ตามมาหลังเหตุการณ์ดังกล่าวถูกนำไปใช้ต่อต้านเลนินและสตาลิน ซึ่งคนทั้งสองพยายามเอาตัวออกห่างจากเหตุปล้นธนาคารดังกล่าว

เมื่อถึงยุคโซเวียต จัตุรัสเยเรวานได้เปลี่ยนชื่อเป็นจัตุรัสเลนิน โดยมีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่ออุทิศแก่ผู้นำการปฏิวัติ สุสานและอนุสาวรีย์อุทิศให้คาโม ผู้นำของกลุ่มปฏิบัติการปล้นธนาคารครั้งนี้ ตั้งอยู่ใกล้กับจัตุรัสในสวนพุชกินในช่วงสมัยโซเวียตยุคแรก แต่ในภายหลังได้ย้ายออกไป

เบื้องหลัง

พรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย (RSDLP) ซึ่งเป็นองค์กรดั้งเดิมก่อนกลายไปเป็นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต ได้ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1898 โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและการเมืองของรัสเซียโดยอาศัยการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพตามทฤษฎีมาร์กซิสต์ นอกเหนือจากกิจกรรมทางการเมืองแล้ว ทางพรรคและกลุ่มปฏิวัติอื่น ๆ (อย่างเช่น ผู้นิยมอนาธิปไตยและกลุ่มสังคมนิยมปฏิวัติ) ยังดำเนินปฏิบัติการทางทหาร รวมไปถึง "การเวนคืน" ซึ่งเป็นคำสวยหรูที่ใช้เรียกการปล้นรัฐบาลหรือกองทุนเอกชนโดยใช้อาวุธเพื่อหาเงินทุนสนับสนุนกิจกรรมปฏิวัติ[2][3]

นับตั้งแต่ ค.ศ. 1903 เป็นต้นมา พรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซียได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ได้แก่ บอลเชวิคและเมนเชวิค[4][5][6] หลังจากการปราบปรามการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1905 กลุ่มการเมืองบอลเชวิคและเมนเชวิคต่างก็พยายามที่จะสร้างเอกภาพภายในพรรค โดยจัดการประชุมใหญ่ร่วมและตั้งคณะกรรมการกลางร่วม[7]

ภาพถ่ายหน้าตรงของเลนิน ถ่ายเมื่อธันวาคม ค.ศ. 1895

ในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ค.ศ. 1907 พรรคได้จัดการประชุมใหญ่ครั้งที่ 5 ในกรุงลอนดอน ด้วยความหวังว่าจะแก้ปัญหาความแตกต่างระหว่างบอลเชวิคและเมนเชวิค[7][8] ในระหว่างการประชุม ได้มีการเลือกตั้งสมาชิกคณะกรรมการกลางร่วม โดยมีสมาชิกบอลเชวิคได้รับเลือกเข้ามาเป็นส่วนน้อย[7] ประเด็นหนึ่งซึ่งแบ่งแยกกลุ่มทั้งสองออกจากกัน คือ มุมมองที่แตกต่างกันในด้านกิจกรรมสงคราม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การเวนคืน"[8] กลุ่มบอลเชวิคที่พร้อมรบที่สุด นำโดย วลาดีมีร์ เลนิน สนับสนุนวิธีการปล้นต่อไป ในขณะที่เมนเชวิคสนับสนุนการรุกแบบค่อยเป็นค่อยไปและเป็นไปโดยสันติกว่าเพื่อการปฏิวัติ และต่อต้านปฏิบัติการสงคราม การประชุมครั้งที่ 5 ประณามการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือการให้ความสนับสนุนในกิจกรรมสงครามทั้งหมด รวมไปถึง "การเวนคืน" โดยมองว่าเป็น "ความยุ่งเหยิงและเสื่อมเสียคุณธรรม" และเรียกร้องให้ทหารอาสาสมัครของพรรคทั้งหมดสลายตัว[7][8] มติดังกล่าวผ่านโดยเสียงส่วนใหญ่ 65% โดยมีเพียง 6% เท่านั้นที่มีมติไม่เห็นด้วย (ในขณะที่ที่เหลือสละสิทธิ์หรือไม่ลงคะแนน) โดยที่เมนเชวิคทั้งหมดและบอลเชวิคบางส่วนให้การสนับสนุนมติดังกล่าว[7]

ถึงแม้ว่าพรรคจะห้ามจัดตั้งคณะกรรมการและการเวนคืนแยกต่างหาก ในระหว่างการประชุมครั้งที่ 5 บอลเชวิคได้เลือกคณะกรรมการปกครองเป็นของตนเอง เรียกว่า บอลเชวิคกลาง และเก็บไว้เป็นความลับจากสมาชิกที่เหลือของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตย[4][5][6][7] บอลเชวิคกลาง นำโดย "กลุ่มการเงิน" ซึ่งประกอบด้วยเลนิน เลโอนิด คราซิน และอเล็กซานเดอร์ บอกดานอฟ ในกิจกรรมอื่นของพรรค กลุ่มการเงินได้มีแผนการ "การเวนคืน" จำนวนหนึ่งเตรียมไว้แล้วในหลายส่วนของรัสเซียในระหว่างการประชุมครั้งที่ 5 และรอคอยการปล้นครั้งใหญ่ในติฟลิส ซึ่งเกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากการประชุมครั้งที่ 5 ยุติ[4][5][6][7][8][9]

การเตรียมการ

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1907 บอลเชวิคระดับสูงได้จัดการประชุมขึ้นในเบอร์ลินเพื่อตกลงขั้นตอนการปล้นหาทุนสำหรับใช้จัดซื้ออาวุธ ผู้เข้าร่วมประชุมได้แก่ เลนิน คราซิน บอกดานอฟ มาซิม ลิตวีนอฟ และโจเซฟ สตาลิน กลุ่มได้ตัดสินใจว่า สตาลิน ผู้ขณะนั้นรู้จักกันในชื่อ โคบา อันเป็นชื่อเล่นเก่า กับสหายชาวจอร์เจีย ไซมอน เตียร์-เปตรอสซีอัน หรือ คาโม ควรจัดการปล้นธนาคารในเมืองติฟลิส[5]

เมื่อตอนจัดประชุมนั้นสตาลินอายุ 29 ปี เขาอาศัยอยู่ในติฟลิสกับภรรยา เอคาเตรีนา และยาคอฟ บุตรชายที่เพิ่งเกิด[10] สตาลินมีประสบการณ์วางแผนก่อการปล้นมาก่อน ซึ่งทำให้เขามีชื่อเสียงว่าเป็นผู้จัดหาเงินคนสำคัญของคณะกรรมการกลาง[1][4] ส่วนคาโมผู้อายุน้อยกว่าสตาลินสี่ปี ก็มีกิตติศัพท์ด้านความโหดเหี้ยม ดังในช่วงหลังๆ ที่มีรายงานว่าเขาตัดหัวใจของชายคนหนึ่งออกจากอก[11] ระหว่างที่กำลังเตรียมการปล้นอยู่นี้ เขาบริหารองค์กรอาชญากรรมแห่งหนึ่งอยู่ เรียกชื่อว่า "เดอะเอาท์ฟิต"[12] สตาลินเรียกคาโมว่าเป็น "ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลอมตัว" และเลนินเรียกคาโมว่า "โจรคอเคซัส" ของเขา สตาลินกับคาโมนั้นเติบโตขึ้นมาด้วยกัน และสตาลินเป็นผู้เปลี่ยนความเชื่อของคาโมมาเป็นมาร์กซิสม์[11]

หลังจากการประชุมเมษายน สตาลินและลิตวีนอฟได้เดินทางไปยังติฟลิสเพื่อแจ้งให้คาโมทราบถึงแผนการและเตรียมการปล้น[5][13] ตามข้อมูลใน The Secret File of Joseph Stalin: A Hidden Life (แฟ้มลับของโจเซฟ สตาลิน: ชีวิตที่ถูกปิดบัง) ของโรมัน แบรกแมน ระหว่างที่สตาลินกำลังทำงานร่วมกับบอลเชวิคในการจัดกิจกรรมทางอาชญากรรม เขายังทำงานเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่โอฮรานา ตำรวจลับรัสเซีย[5] แบรกแมนอ้างว่าเมื่อกลุ่มได้เดินทางมาถึงติฟลิส สตาลินได้แจ้งข้อมูลให้แก่ผู้ติดต่อโอฮรานาของเขา เจ้าหน้าที่มุฮ์ตารอฟ เกี่ยวกับแผนการปล้นธนาคารและสตาลินได้ให้สัญญาว่าจะให้ข้อมูลแก่ออฮรานาเพิ่มเติมในภายหลัง[5]

เมื่อกลับถึงติฟลิส สตาลินได้เริ่มการวางแผนสำหรับการปล้น เขาสามารถติดต่อกับบุคคลสองคนซึ่งมีข้อมูลภายในเกี่ยวกับกิจการของธนาคารรัฐ ได้แก่ เจ้าหน้าที่รับฝากและถอนเงินธนาคารชื่อว่า จีโก คัสรัดเซ และเพื่อนเก่าสมัยเรียนของสตาลิน ชื่อว่า วอซเนเซนสกี ซึ่งทำงานที่สำนักงานแบงก์เมล์ติฟลิส[14][15] วอซเนเซนสกีกล่าวในภายหลังว่า เขายกย่องบทกวีอันแสนโรแมนติกของสตาลินมาก และตัดสินใจจะช่วยเหลือในการปล้นเนื่องจากความชื่นชมนี้เอง[14][15] เพราะว่าเขาทำงานในสำนักงานแบงก์เมล์ติฟลิส วอซเนเซนสกีจึงสามารถเข้าถึงตารางเวลาลับของรถม้าขนเงินไปยังธนาคารรัฐสาขาติฟลิส[13] วอซเนเซนสกีแจ้งให้สตาลินทราบว่ากำลังจะมีการขนส่งเงินครั้งใหญ่ด้วยรถม้าไปยังธนาคารติฟลิสในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1907[14][15]

ในการเตรียมการสำหรับการปล้น คราซินได้ช่วยผลิตระเบิดเพื่อใช้โจมตียานพาหนะ[1] แก๊งของคาโมลักลอบนำระเบิดเข้าไปในติฟลิสโดยซุกซ่อนไว้ในโซฟา[16] เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าการปล้น คาโมจุดระเบิดหนึ่งในระเบิดของคราซินโดยอุบัติเหตุระหว่างที่พยายามติดตั้งสายชนวน[17] แรงระเบิดได้ทำให้ดวงตาของคาโมได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้เขามีแผลเป็นถาวร[11][18][19] คาโมไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้เป็นเวลาหนึ่งเดือนเนื่องจากความเจ็ดปวดอย่างแรง และยังไม่หายดีเมื่อถึงเวลาลงมือปล้น[11][18][19] ในขณะที่ทางกลุ่มวางแผนสำหรับการปล้น ทางการรัสเซียก็ได้ทราบว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ได้รับการวางแผนโดยกลุ่มปฏิวัติในติฟลิส แม้ว่าจะไม่ทราบถึงรายละเอียดก็ตาม และด้วยสาเหตุดังกล่าว ทางการจึงได้ประจำฝ่ายรักษาความปลอดภัยเพิ่มในจัตุรัสหลักของเมือง[12]

วันลงมือ

ในวันลงมือปล้น 26 มิถุนายน ค.ศ. 1907 ผู้วางแผนลงมือ รวมทั้งสตาลิน ได้พบกันใกล้กับจัตุรัสเยเรวานเพื่อทำให้แผนการเสร็จสมบูรณ์ หลังจากการประชุมครั้งสุดท้าย ผู้วางแผนได้เดินทางไปยังสถานที่ที่กำหนดไว้ในขั้นตอนการเตรียมการโจมตี[20] ตำรวจได้รับการเตือนล่วงหน้าก่อนการปล้นและยืนเฝ้าอยู่ทุกหัวมุมถนนในจัตุรัสเยเรวาน[12] เพื่อรับมือกับการรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นนี้ สมาชิกแก๊งจึงได้รับมอบหมายให้คอยสอดส่องดูเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก่อนการปล้น โดยสมาชิกเหล่านี้ประจำอยู่ที่หอคอยเหนือถนนหลักและมองลงไปยังจัตุรัส[11][12]

สมาชิกแก๊งส่วนใหญ่แต่งกายคล้ายกับชาวบ้านและรอคอยอยู่ตามหัวมุมถนนพร้อมด้วยปืนพกลูกโม่และระเบิดมือ[11] ในลักษณะขัดแย้งกับการปล้นครั้งอื่น คาโมได้อำพรางเป็นนายร้อยทหารม้าและเดินทางเข้ามาในจัตุรัสด้วยรถม้าเปิดประทุน[11][21]

ผู้สมรู้ร่วมคิดได้เข้าควบคุมโรงเตี๊ยมซึ่งหันหน้าไปทางจัตุรัสในการเตรียมการปล้น พยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ เดวิด ซากิรัชวีลี ซึ่งในภายหลังได้กล่าวว่าขณะกำลังเดินอยู่ในจัตุรัสเยเรวานพร้อมกับเพื่อนชื่อ บาชัว คูเปรียชวีลี ผู้ซึ่งภายหลังได้กลายมาเป็นว่าเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มขโมยนั้นด้วย ได้เชิญเขาเข้าไปในโรงเตี๊ยมและขอให้เขาอยู่ ซากิรัชวีลีค้นพบว่ากลุ่มชายติดอาวุธกำลังหยุดไม่ให้คนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมนั้นออกไป เมื่อสเตจโคชขนเงินมาใกล้จัตุรัส กลุ่มชายติดอาวุธก็ได้ออกจากอาคารอย่างรวดเร็วพร้อมกับชักปืนพกออกมา[11]

ธนาคารรัฐของจักรวรรดิรัสเซียได้จัดการขนส่งเงินระหว่างที่ทำการไปรษณีย์และธนาคารรัฐโดยสเตจโคช[22][23] ซึ่งภายในมีเงิน มียามสองคนเฝ้าระวังพร้อมด้วยปืนไรเฟิล พนักงานเก็บเงินของธนาคารรัฐ และนักบัญชีของธนาคาร[1][16][21] สเตจโคชเปิดประทุนพร้อมด้วยยามอีกคันหนึ่งวิ่งตามหลังมา และมียามขี่ม้าขี่อยู่ข้างหน้า ด้านข้าง และตามหลังสเตจโคชอีกด้วย[16][21]

การโจมตี

สเตจโคชได้แล่นผ่านทางจัตุรัสที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนเมื่อเวลาราว 10.30 น. เมื่อสเตจโคชเข้ามาใกล้ คูเปรียชวีลีได้ให้สัญญาณแก่ผู้ปล้นให้ทำการโจมตี[1][16] เมื่อได้รับสัญญาณแล้ว ผู้ปล้นได้ดึงสลักจากระเบิดมือของตนและขว้างเข้าใส่รถม้า[16][24] แรงระเบิดที่เกิดขึ้นได้สังหารม้าและยาม ผู้ปล้นยิงชายรักษาความปลอดภัยหลายนายที่เฝ้าสเตจโคช เช่นเดียวกับที่รักษาความปลอดภัยในจัตุรัส[16]

พยานผู้เห็นเหตุการณ์ได้รายงานว่าระเบิดถูกโยนมาจากทุกทิศทาง[16][25] หนังสือพิมพ์จอร์เจีย อิซารี รายงานว่า "ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเหตุยิงกันอันน่าหวาดกลัวนั้นเป็นเสียงตูมของปืนใหญ่หรือแรงระเบิดของระเบิด ... เสียงได้ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นทุกหนแห่ง ... เกือบจะทั่วทั้งเมือง ผู้คนได้เริ่มต้นที่จะวิ่งหนี รถม้าและเกวียนได้วิ่งควบหนีไป ..."[16] แรงระเบิดรุนแรงมากเสียจนมีรายงานว่าทำให้ปล่องไฟที่อยู่ใกล้เคียงล้มลงมา และกระจกทุกบานในรัศมีหนึ่งไมล์แตกกระจาย[26][27] เอคาเทียรีนา สวานิดเซ ภรรยาของสตาลิน ซึ่งกำลังยืนอยู่บนระเบียงที่บ้านของพวกเขาใกล้กับจัตุรัสพร้อมกับครอบครัวและลูกน้อย เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงระเบิด พวกเขาก็ได้รีบเร่งวิ่งเข้าไปหลบอยู่ในบ้านด้วยความหวาดกลัว[26]

ถึงแม้ว่าแรงระเบิดจะฆ่ายามและม้าไปเป็นจำนวนมาก หนึ่งในม้าที่ถูกเทียมเข้ากับสเตจโคชได้รับบาดเจ็บแต่ยังมีชีวิตอยู่[21][26] มันได้รีบผละไปจากจุดเกิดเหตุพร้อมกับลากสเตจโคชไปด้วย[21][26] ผู้ปล้นสามคน ได้แก่ คูเปรียชวีลี, ดาติโค ชีเบรียชวิลี และคาโม ได้ไล่ตามม้าตัวดังกล่าวซึ่งลากสเตจโคชบรรทุกเงินไปด้วย[14] คูเปรียชวีลีโยนระเบิดมือเข้าใส่สเตจโคชที่กำลังหลบหนีนั้น และแรงระเบิดได้ระเบิดเอาขาของม้า ซึ่งทำให้ม้าล้มและสเตจโคชหยุดลงในที่สุด[14] แรงระเบิดยังได้ทำให้คูเปรียชวีลีลอยขึ้นไปในอากาศ และตกลงมามึนงงกับพื้น[14] ในภายหลัง คูเปรียชวีลีมีสัมปชัญญะอีกครั้งหนึ่งและเริ่มต้นย่องออกไปจากจัตุรัสก่อนที่กองกำลังความมั่นคงจะมาถึง[28] หลังจากที่สเตจโคชถูกหยุดไว้แล้ว ดาติโค ชีเปรียชวีลีได้เดินเข้าไปยังสเตจโคชเพื่อคว้าเอากระสอบเงิน ขณะที่คาโมซึ่งยิงปืนพกจากบนรถม้าเปิดประทุน ได้วิ่งอย่างเร็วเข้าไปหาสเตจโคชคันนั้น[14][21][29] เมื่อคาโมมาถึงสเตจโคช ชีเปรียชวีลีและผู้ปล้นอีกคนหนึ่งซึ่งมาถึงสเตจโคชได้ช่วยโยนเงินที่ขโมยมาเข้าไปในรถม้าของคาโม[29] เพื่อให้ทันเวลา ผู้ปล้นจึงไม่ทันเอาเงินอีกสองหมื่นรูเบิลที่ยังคงเหลืออยู่ในสเตจโคช[28] หลังจากการปล้น คนขับสเตจโคชที่รอดชีวิตได้พยายามยักยอกเงินส่วนที่เหลือนี้และถูกจับในภายหลังข้อหาลักทรัพย์[28]

การหลบหนีและเหตุการณ์สืบเนื่อง

หลังจากได้รับเงินมาแล้ว คาโมได้ขี่รถม้าออกจากจัตุรัสอย่างรวดเร็วและเผชิญหน้ากับรถม้าของตำรวจที่ขี่โดยรองผู้กำกับการ แทนที่จะหันหลังกลับไปอีกทางหนึ่ง คาโมกลับแสดงตนว่าเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังความมั่นคงและตะโกนใส่นายตำรวจว่า "เงินปลอดภัยแล้ว วิ่งไปยังจัตุรัสแล้ว"[29] รองผู้กำกับการคนดังกล่าวเชื่อฟังคำพูดนั้น และอีกเป็นเวลานานกว่าที่เขาจะพบว่าเขาถูกหลอกโดยผู้ปล้นที่กำลังหลบหนี รองผู้กำกับการผู้นี้ทำอัตวินิบาตกรรมหลังจากนั้นไม่นาน[29]

คาโมได้ขี่ไปยังที่ซ่อนของแก๊งที่ซึ่งเขาถอดเครื่องแบบออก[29] ผู้ปล้นทั้งหมดได้กระจายตัวไปอย่างรวดเร็ว และไม่มีผู้ใดถูกจับกุมจากเหตุดังกล่าวโดยทางการแม้แต่คนเดียว[21][28] หนึ่งในผู้ปล้นได้หลบหนีออกจากจัตุรัส ขโมยเครื่องแบบครูที่เขาพบใกล้เคียง จากนั้นจึงกลับเข้ามาในจัตุรัสเพื่อชื่นชมผลงานของพวกเขา[28] สิ่งที่เขาเห็นนั้นคือฉากการสังหารอันนองเลือด[30]

มีผู้ได้รับบาดเจ็บห้าสิบคนถูกทิ้งให้นอนอยู่ในจัตุรัสพร้อมกับศพคนและม้า[21][25][30] ทางการกล่าวว่ามีเพียงสามคนเท่านั้นที่เสียชีวิต แต่เอกสารในหอจดหมายเหตุออครานาเปิดเผยว่าตัวเลขที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ราวสี่สิบคน[30]

ธนาคารรัฐไม่ทราบแน่ชัดว่าเงินถูกขโมยไปเท่าใดจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ส่วนใหญ่ประมาณว่าอยู่ที่ราว 341,000 รูเบิล (ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 3.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามค่าเงินใน ค.ศ. 2008)[21][30] จากจำนวน 341,000 รูเบิลที่ถูกปล้นไปนั้น ราว 91,000 รูเบิลเท่านั้นที่เป็นธนบัตรเล็กที่ไม่สามารถตามรอยได้ แต่อีก 250,000 รูเบิล เป็นธนบัตร 500 รูเบิลขนาดใหญ่ซึ่งมีหมายเลขอนุกรมซึ่งตำรวจทราบ[21][30] ทำให้การแลกเงินเหล่านี้โดยที่ไม่ถูกตรวจจับได้ทำได้ยาก[21][30]

บทบาทของสตาลินในการปล้น

พฤติการณ์ที่แน่ชัดของสตาลินในวันปล้นยังคงไม่เป็นที่ทราบกันและยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่[14] หลังจากการปล้น มีข่าวลือว่าสตาลินเป็นผู้โยนระเบิดมือลูกแรกจากหลังคาของคฤหาสน์ที่อยู่ใกล้เคียง[16] หนึ่งข้อมูลหนึ่ง พี.เอ. ปัฟเลนโค กล่าวอ้างว่าสตาลินโจมตีรถม้าด้วยตัวเองและได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด[14] ในภายหลัง คาโมได้รายงานโดยระบุว่า สตาลินไม่มีส่วนร่วมในปฏิบัติการปล้นครั้งดังกล่าว แต่ได้มองดูจากระยะไกล[21][29] แหล่งข้อมูลอื่นระบุในรายงานของตำรวจว่า สตาลิน "เฝ้าสังเกตการนองเลือดอย่างไร้ความปรานี ขณะสูบบุหรี่ไปด้วย จากลานของคฤหาสน์หลังหนึ่ง"[29] แหล่งข้อมูลอีกแหล่งหนึ่งอ้างว่า แท้จริงแล้วสตาลินอยู่ที่สถานีรถไฟระหว่างการปล้นและมิได้อยู่ที่จัตุรัส[29] พี่สะใภ้ของสตาลินกล่าวว่า ในคืนวันปล้นนั้น สตาลินได้มาที่บ้านและกล่าวแก่ครอบครัวถึงความสำเร็จของการปล้น[30]

บทบาทของสตาลินในการปล้นได้ถูกตั้งคำถามในภายหลังในหมู่นักปฏิวัติในสมัยหลัง ที่โดดเด่นได้แก่ เลออน ทรอตสกี และบอริส นิโคลาเอฟสกี ในหนังสือ "Stalin – An Appraisal of the Man and his Influence" (สตาลิน - การประเมินค่าบุรุษและอิทธิพลของเขา) ของทร็อตสกี เขาได้วิเคราะห์จากสื่อตีพิมพ์หลายแขนงซึ่งอธิบายถึงการเวนคืนติฟลิสและกิจกรรมติดอาวุธอื่น ๆ ของบอลเชวิคในเวลานั้น และได้สรุปว่า "คนอื่น ๆ ได้ทำการสู้รบ แต่สตาลินได้ควบคุมจากระยะไกล"[2] ตามข้อมูลของนิโคลาเอฟสกี โดยทั่วไปแล้ว "บทบาทของสตาลินในกิจกรรมของกลุ่มคาโมได้กล่าวเกินความเป็นจริงตามลำดับ"[31] อย่างไรก็ตาม ในภายหลัง คุนได้ค้นพบเอกสารจดหมายเหตุทางการที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า "นับตั้งแต่ปลาย ค.ศ. 1904 หรือต้น ค.ศ. 1905 สตาลินมีส่วนร่วมในการร่างแผนการเวนคืน" และ "เป็นที่แน่นอนแล้วว่า [สตาลิน] ควบคุมจากปีกของแผนเริ่มต้นของกลุ่ม" ซึ่งปฏิบัติการปล้นในติฟลิส[31]

การตอบสนองของฝ่ายความมั่นคงและการสืบสวน

สื่อมวลชนได้รายงานการปล้นครั้งนี้อย่างกว้างขวาง: เดย์ลีมีร์เรอร์ในลอนดอนเขียนบทความภายใต้พาดหัวข่าว "Rain of Bombs: Revolutionaries Hurl Destruction among Large Crowds of People" (ห่าระเบิด: นักปฏิวัติขว้างทำลายกลางหมู่ฝูงชน) เดอะไทมส์ออฟลอนดอนเขียนบทความภายใต้พาดหัวข่าว "Tiflis Bomb Outrage" (ระเบิดทำลายติฟลิส) เลอ ตงป์สในปารีสเขียนบทความใต้พาดหัวข่าว "Catastrophe!" (มหันตภัย!) และเดอะนิวยอร์กไทมส์เขียนบทความภายใต้พาดหัวข่าว "Bomb Kills Many; $170,000 Captured" (ระเบิดคร่าคนจำนวนมาก: ฉกเงิน 170,000 ดอลลาร์)[21][25][28]

สำหรับส่วนของทางการ ได้ตอบสนองต่อการปล้นโดยการระดมกองทัพ ปิดถนน และปิดล้อมจัตุรัส โดยหวังว่าจะสามารถจับกุมผู้สมคบคิดและได้รับเงินคืน[28] ตำรวจเริ่มต้นสืบสวนอาชญากรรมดังกล่าว และหน่วยสืบสวนพิเศษที่ถูกส่งเข้ามาในพื้นที่เพื่อนำการสืบสวน[21][25][28] โชคร้ายสำหรับเจ้าหน้าที่สืบสวน คำให้การของพยานนั้นน่าสงสัยและขัดแย้งกันเอง[28] ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังไม่ทราบด้วยว่ากลุ่มใดมีส่วนรับผิดชอบต่อเหตุดังกล่าว เนื่องจากมีข่าวลือเป็นจำนวนมากว่าพรรคสังคมนิยมโปแลนด์ อาร์มีเนีย พวกอนาธิปไตย พรรคสังคมนิยม-ปฏิวัติเป็นผู้ลงมือ หรือแม้กระทั่งข่าวลือที่ว่าทางการรัสเซียจัดฉากขึ้นเองด้วย[28]

ในหนังสือ The Secret File of Joseph Stalin: A Hidden Life (แฟ้มลับของโจเซฟ สตาลิน: ชีวิตที่ถูกปิดบัง) ของโรมัน แบร็กแมน หลายวันหลังจากการปล้น เจ้าหน้าที่โอฮรานา มูฮ์ตารอฟ ได้ตั้งคำถามสตาลินเกี่ยวกับการปล้นในอพาร์ตเมนต์ลับแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ได้ทราบข่าวลือมาว่าสตาลินยืนมองอยู่โดยไม่ทำอะไรระหว่างการปล้น มูฮ์ตารอฟถามสตาลินว่าทำไมเขาจึงไม่แจ้งพวกเขาเกี่ยวกับการปล้น แต่สตาลินระบุว่าเขาได้ให้ข้อมูลต่อทางการมากพอเพื่อป้องกันการปล้นแล้ว การตั้งคำถามยกระดับขึ้นกลายเป็นการโต้เถียงอย่างเผ็ดร้อน มูฮ์ตารอฟตบหน้าสตาลินจนเจ้าหน้าที่ออครานาคนอื่นต้องเข้าห้ามไว้ หลังจากเหตุดังกล่าว มูฮ์ตารอฟถูกพักงานจากโอฮรานา และสตาลินได้รับคำสั่งให้ออกจากติฟลิสและไปยังบาคูเพื่อรอผลตัดสินใจจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับคดีดังกล่าว สตาลินออกจากบาคูพร้อมด้วยเงิน 20,000 รูเบิลจากจำนวนที่ถูกขโมยไปในเดือนกรกกฎาคม ค.ศ. 1907[21] การกล่าวอ้างที่ว่าสตาลินทำงานร่วมกับโอฮรานาเป็นหัวข้อโต้เถียงในหมู่นักประวัติศาสตร์เป็นเวลาหลายทศวรรษ[32]

การขนย้ายเงินและการจับกุมคาโม

เงินที่ได้จากการปล้นเดิมถูกเก็บรักษาไว้ที่บ้านเพื่อนของสตาลิน มีฮาและมาโร โบชอริดเซ ซึ่งอาศัยอยู่ในติฟลิส[29] เงินถูกเย็บซ่อนไว้ในฟูกเพื่อจะสามารถขนย้ายและเก็บรักษาได้ง่ายโดยไม่เป็นที่สงสัย[33] ฟูกที่เก็บซ่อนเงินไว้นั้นถูกเคลื่อนย้ายจากเซฟเฮาส์หลังหนึ่งไปยังอีกหลังหนึ่ง และในภายหลังได้เคลื่อนย้ายไปยังเก้าอี้ยาวของผู้อำนวยการ ณ สถานีอุตุนิยมวิทยาติฟลิส[21][30] สตาลินทำงานที่สถานีอุตุนิยมวิทยาดังกล่าวก่อนหน้าการปล้น และอาจเป็นเหตุผลว่าเหตุใดจึงนำเงินมาซ่อนไว้ที่นี่[21][30] แหล่งข้อมูลบางแหล่งยังได้กล่าวอ้างว่าสตาลินได้ช่วยขนย้ายเงินเข้ามาในสถานีอุตุนิยมวิทยาดังกล่าวอีกด้วย[30] ผู้อำนวยการสถานีกล่าวว่าเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเงินที่ถูกขโมยนั้นถูกเก็บไว้ใต้จมูกของเขาเช่นนี้[30]

เงินที่ถูกปล้นมาส่วนใหญ่ถูกขนย้ายโดยคาโม ผู้ซึ่งนำเงินไปให้แก่เลนินในฟินแลนด์ ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย จากนั้นคาโมได้ใช้เวลาในช่วงฤดูร้อนที่เหลืออาศัยอยู่กับเลนินที่ดาชาของเขา ในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น คาโมเดินทางออกจากฟินแลนด์ไปเพื่อซื้ออาวุธสำหรับกิจกรรมในอนาคต เขาได้เดินทางไปยังปารีส และต่อไปยังเบลเยียมเพื่อซื้ออาวุธและเครื่องกระสุน จากนั้นไปยังบัลแกเรียเพื่อซื้อตัวจุดระเบิด 200 ตัว[18]

หลังจากการซื้ออาวุธในบัลแกเรีย คาโมเดินทางไปยังเบอร์ลินและส่งจดหมายจากเลนินให้แก่แพทย์บอลเชวิคที่มีชื่อเสียง ยาคอฟ จีโตมีร์สกี โดยขอให้แพทย์ผู้นั้นให้ความช่วยเหลือในการรักษาดวงตาที่ยังได้รับบาดเจ็บของคาโม[18] เลนินหวังว่าจะช่วยชายผู้ซึ่งประสบความสำเร็จในการลงมือปล้น แต่กลับส่งตัวคาโมให้แก่สายลับสองหน้าโดยมิได้ตั้งใจ[18] จีโตมีร์สกีได้ทำงานอย่างลับ ๆ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลรัสเซียและรีบแจ้งข่าวแก่โอฮรานาเกี่ยวกับการมาถึงของคาโม[18] จากนั้น โอฮรานาได้ร้องขอให้ตำรวจกรุงเบอร์ลินเข้าจับกุมคาโม[18] และเมื่อมีการจับกุม พวกเขาได้พบหนังสือเดินทางออสเตรียปลอมและกระเป๋าเงินที่มีตัวจุดระเบิด 200 ตัว ซึ่งเขาวางแผนที่จะใช้ในการปล้นธนาคารครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง[34]

การจ่ายธนบัตรที่มีเครื่องหมาย

หลังจากทราบข่าวการถูกจับกุมของคาโมในกรุงเบอร์ลินใน ค.ศ. 1907 เลนินกลัวว่าตนอาจถูกจับกุมด้วยเช่นกันและวางแผนที่จะหลบหนีออกจากฟินแลนด์พร้อมกับภรรยา[35] เพื่อที่จะหนีออกจากฟินแลนด์โดยไม่ถูกสะกดรอยตาม เลนินเดินเป็นระยะทาง 4.8 กิโลเมตรข้ามทะเลสาบที่เป็นน้ำแข็งในเวลากลางคืนเพื่อขึ้นเรือกลไฟที่เกาะใกล้เคียง[36] ระหว่างการเดินทางข้ามน้ำแข็งนั้น เลนินและเพื่อนร่วมทางของเขาอีกสองคนหวุดหวิดที่จะจมน้ำเสียชีวิตเมื่อน้ำแข็งแตกออกใต้เท้าของพวกเขา ทำให้เลนินคิดว่า "อา ช่างเป็นวิธีตายที่โง่เสียจริง"[36] เลนินกับภรรยาสามารถหลบหนีออกจากฟินแลนด์ได้สำเร็จ และมุ่งหน้าไปยังสวิตเซอร์แลนด์[35][36]

การแลกธนบัตรจากการปล้นที่ไม่มีเครื่องหมายนั้นทำได้ง่าย แต่หมายเลขอนุกรมของธนบัตร 500 รูเบิลเป็นที่รู้กันของเจ้าหน้าที่ทางการ ทำให้การแลกธนบัตรเหล่านี้ในธนาคารรัสเซียนั้นเป็นไปไม่ได้[21] เมื่อถึงปลายปี ค.ศ. 1907 เลนินตัดสินใจที่จะแลกเปลี่ยนธนบัตร 500 รูเบิลที่เหลือในต่างประเทศ[35] ในการเตรียมการสำหรับการแลกเปลี่ยน คราซินได้ให้นักปลอมแปลงเอกสารพยายามเปลี่ยนแปลงหมายเลขอนุกรมบางตัว[37] ธนบัตรเหล่านี้จำนวน 200 ใบถูกส่งไปยังต่างประเทศโดยมาร์ติน ลืยอะดอฟ (ธนบัตรเหล่านี้ถูกเย็บเข้ากับเสื้อกล้ามโดยภรรยาของเลนินและบอกดานอฟที่สำนักงานใหญ่ของเลนินในคูออคคาลา)[7] แผนการของเลนินคือการให้บุคคลจำนวนมากแลกเปลี่ยนธนบัตร 500 รูเบิลที่ถูกขโมยนี้พร้อมกันในธนาคารหลายแห่งทั่วทวีปยุโรปในเดือนมกราคม ค.ศ. 1908[35] จีโตมีร์สกีทราบแผนการดังกล่าวและรายงานข้อมูลนี้ให้กับโอฮรานา[35] โอฮรานาติดต่อกรมตำรวจทั่วทวีปยุโรปและร้องขอให้จับกุมใครก็ตามผู้พยายามขึ้นเงินธนบัตรดังกล่าว[35]

เดือนมกราคม ค.ศ. 1908 มีหลายคนถูกจับกุมขณะพยายามแลกเปลี่ยนธนบัตร[38][39][40] หนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า ผู้หญิงคนหนึ่งผู้ซึ่งพยายามจ่ายธนบัตร 500 รูเบิลที่มีเครื่องหมายพยายามกลืนหลักฐานหลังจากที่แคชเชียร์เรียกตำรวจ แต่ตำรวจกำช่องคอของเธอไว้ก่อนที่เธอจะกลืนลงไป[40] การจับกุมครั้งสำคัญที่สุด ได้แก่ มาซิม ลิตวินอฟ ผู้ซึ่งถูกจับกุมพร้อมกับธนบัตร 500 รูเบิล จำนวน 12 ใบ ซึ่งปล้นมาขณะกำลังขึ้นรถไฟพร้อมกับอนุภรรยาที่สถานีรถไฟการ์ดูนอร์ในปารีส[41][42] ลิตวินอฟวางแผนจะไปยังลอนดอนเพื่อจ่ายธนบัตรดังกล่าว[41] รัสเซียต้องการให้ส่งลิตวินอฟเป็นผู้ร้ายข้ามแดน แต่รัฐมนตรียุติธรรมฝรั่งเศสกลับตัดสินใจเนรเทศลิตวินอฟและอนุภรรยาจากแผ่นดินฝรั่งเศสแทน[41] ความล้มเหลวที่จะส่งผู้ร้ายข้ามแดนทำให้รัฐบาลรัสเซียโกรธ[41] รัฐบาลฝรั่งเศสแถลงอย่างเป็นทางการระบุว่า คำร้องขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนของรัสเซียนั้นมาช้าเกินไป แต่หลักฐานบางชิ้นได้พิจารณาว่ารัฐบาลฝรั่งเศสปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดนเนื่องจากพวกสังคมนิยมฝรั่งเศสได้กดดันทางการเมืองเพื่อให้ปล่อยตัวลิตวินอฟ[41]

นาเดซฮดา ครุปสกายา ภรรยาของเลนิน อภิปรายถึงเหตุการณ์ดังกล่าวในบันทึกความทรงจำของเธอว่า

แบรกแมนอ้างว่าถึงแม้จะมีการจับกุมดังกล่าว เลนินยังคงพยายามแลกธนบัตร 500 รูเบิลต่อไปและทำการแลกเปลี่ยนธนบัตร 500 รูเบิลจำนวนหนึ่งกับหญิงนิรนามในมอสโกเป็นเงิน 10,000 รูเบิล[39] อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของนีโคลาเอฟสกี หลังจากการจับกุมในเดือนมกราคม ค.ศ. 1908 แล้วเลนินก็ยุติความพยายามใดๆ ที่จะแลกธนบัตรเหล่านี้อีก อย่างไรก็ตาม บอกดานอฟและคราซินยังคงพยายามต่อไปอีกหลายครั้ง[7] ตามข้อมูลของนีโคลาเอฟสกี บอกดานอฟพยายามและล้มเหลวที่จะแลกเปลี่ยนธนบัตรในอเมริกาเหนือ ขณะที่คราซินประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนหมายเลขอนุกรมและแลกเปลี่ยนธนบัตรอีกเพิ่มเติม[7] ไม่นานหลังจากนั้น เพื่อนร่วมงานของเลนินได้เผาธนบัตร 500 รูเบิลทั้งหมดที่พวกเขายังครอบครองอยู่[7][44]

การพิจารณาคดีคาโม

หลังจากที่คาโมถูกจับกุมในกรุงเบอร์ลินและกำลังรอคอยการพิจารณาคดี คาโมได้รับข้อความจากคราซินผ่านทางทนายความของเขา ออสการ์ โคฮ์น ซึ่งบอกให้คาโมแสร้งทำเป็นวิกลจริตเพื่อที่ว่าเขาจะได้รับการประกาศว่าไม่เหมาะสมที่จะรับการพิจารณาคดี[45] เพื่อแสดงออกซึ่งความวิกลจริต คาโมปฏิเสธอาหาร ฉีกทึ้งเสื้อผ้า ผม ตลอดจนพยายามอัตวินิบาตกรรมโดยการแขวนคอตนเอง เฉือนข้อมือตัวเอง และกินอุจจาระของตน[46][47][48] เพื่อที่จะตรวจสอบให้แน่ใจว่าคาโมไม่ได้แสร้งวิกลจริต แพทย์ชาวเยอรมันได้แทงเข็มหมุดเข้าใต้เล็บ แทงเข็มเล่มยาวเข้าที่หลัง และจี้ด้วยเตารีดร้อน ๆ แต่คาโมยังไม่หลุดจากการแสดงของตน[47][49] หลังจากการทดสอบดังกล่าวทั้งหมดแล้ว หัวหน้าแพทย์แห่งโรงพยาบาลจิตเวชกรุงเบอร์ลิน เขียนเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1909 ว่า "ไม่มีหลักฐานสนับสนุนความเชื่อที่ว่า [คาโม] กำลังแสร้งวิกลจริต เขามีการเจ็บป่วยทางจิตอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่สามารถที่จะปรากฏตัวต่อหน้าศาล หรือได้รับโทษตามกฎหมาย มันเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่าเขาจะสามารถฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์หรือเปล่า"[50]

ค.ศ. 1909 คาโมถูกส่งตัวข้ามแดนไปยังรัสเซียที่ซึ่งเขายังคงแสร้งวิกลจริตต่อไป[38][51] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1910 คาโมถูกพิจารณาคดีเนื่องจากบทบาทในการปล้นธนาคารติฟลิส[52] ระหว่างการพิจารณาคดี คาโมยังคงแสร้งวิกลจริตโดยไม่สนใจการสืบสวนและให้อาหารนกเลี้ยงอย่างเปิดเผยซึ่งเขาแอบนำเข้ามาด้วยโดยซ่อนไว้ในเสื้อของตน[52] การพิจารณาคดีหยุดชะงักไปขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาการวิกลจริตของคาโม[52][53] ศาลพบว่าเขามีจิตปรกติเมื่อเขาปล้นธนาคารที่ติฟลิส แต่ขณะนี้กลับมีอาการป่วยทางจิตและควรจะถูกกักกันตัวจนกว่าเขาจะหาย[54]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1911 หลังจากแสร้งวิกลจริตมากว่าสามปี คาโมหลบหนีจากแผนกจิตเวชของเรือนจำในติฟลิสโดยเลื่อยผ่านลูกกรงหน้าต่างของเขาและปีนลงมาด้วยเชือกทำเอง[38][51][55]

ภายหลัง คาโมได้บอกเล่าถึงประสบการณ์ในการแสร้งวิกลจริตมาเป็นเวลานานกว่าสามปีว่า

หลังจากหลบหนี คาโมพบกับเลนินในปารีส[44] คาโมรู้สึกกังวลใจที่ได้ยินว่า "มีการแตกแยกเกิดขึ้น" ระหว่างเลนิน บอกดานอฟ และคราซิน[44] คาโมเล่าให้เลนินฟังถึงการจับกุมตัวเขาและที่ว่าเขาแสร้งทำเป็นวิกลจริตอย่างไรขณะที่อยู่ในเรือนจำ[44] หลังจากออกจากปารีส คาโมได้พบกับคราซินและวางแผนที่จะก่อการปล้นด้วยอาวุธอีกครั้งหนึ่ง[38] คาโมถูกจับกุมก่อนหน้าที่จะเกิดการปล้นและถูกนำตัวขึ้นศาลในติฟลิสเมื่อ ค.ศ. 1913 จากความผิดซึ่งรวมไปถึงการปล้นธนาคารติฟลิส[57][38][58] ขณะนี้ระหว่างที่ถูกจองจำ คาโมมิได้แสร้งวิกลจริตแต่เขาแสร้งทำเป็นว่าลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเขาระหว่างที่เขาเคย "บ้า" มาก่อน[58] การพิจารณาคดีกินเวลาสั้นๆ และคาโมถูกพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำนวนสี่กระทง[59]

ขณะที่ดูเหมือนว่าต้องตายแน่ ๆ แต่แล้วคาโมกลับมีโชคดีเช่นกันกับบรรดานักโทษคนอื่น ๆ เขาได้รับการลดหย่อนโทษเป็นการจำคุกระยะเวลานานแทนอันเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองครบรอบสามศตวรรษของราชวงศ์โรมานอฟ[38][60] คาโมได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำหลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ใน ค.ศ. 1917[38][61]

ผลที่ตามมา

แม้ว่าผู้ก่อการรายสำคัญนอกเหนือไปจากคาโมไม่ได้ถูกนำตัวมาพิจารณาคดี ความอื้อฉาวของการปล้นได้มีผลกระทบอย่างสำคัญต่อการเมืองภายในของทั้ง RSDLP และกลุ่มบอลเชวิคเอง[62]

ในตอนแรกยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าใครอยู่เบื้องหลังการปล้นดังกล่าว แต่หลังจากการจับกุมคาโม ลิตวินอฟและคนอื่น ๆ ความเชื่อมโยงของบอลเชวิคก็ได้ปรากฏเด่นชัด[7] หลังจากที่ค้นพบว่าบอลเชวิคมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้นดังกล่าว เมนเชวิครู้สึกว่าถูกหักหลังและโกรธ เหตุการณ์ดังกล่าวบ่งบอกว่าศูนย์บอลเชวิคดำเนินการเป็นอิสระจากคณะกรรมการกลางร่วมและกระทำการอันถูกห้ามอย่างชัดเจนจากสภาพรรค[7] ผู้นำของเมนเชวิค จอร์จี เปลฮานอฟ เรียกร้องให้แยกตัวออกจากบอลเชวิค ผู้ร่วมงานของเปลฮานอฟ จูลีอุส มาร์ตอฟ เรียกศูนย์บอลเชวิคว่าเป็นอะไรสักอย่างระหว่างคณะกรรมการกลางมุ้งลับและแก๊งอาชญากร[7] คณะกรรมการติฟลิสของพรรคได้ขับสมาชิกพรรคหลายคน รวมทั้งสตาลิน จากการปล้นดังกล่าว และสมาชิกพรรคหลายคนได้สืบสวนเลนินและคนอื่น ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว[62][63] อย่างไรก็ตาม การสืบสวนภายในเหล่านี้ได้ถูกยับยั้งโดยบอลเชวิค ซึ่งทำให้ผู้สืบสวนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายใด ๆ ได้[7]

การปล้นดังกล่าวทำให้บอลเชวิคยิ่งเสื่อมความนิยมในสังคมจอร์เจียมากยิ่งขึ้นไปอีก และทิ้งให้สมาชิกบอลเชวิคในติฟลิสไร้ซึ่งผู้นำที่มีประสิทธิผล หลังจากการปล้นและการเสียชีวิตของภรรยาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1907 สตาลินเดินทางกลับไปติฟลิสน้อยครั้งมาก ส่วนผู้นำบอลเชวิคคนอื่น ๆ ในจอร์เจีย อย่างเช่น มิฮาอิล ซฮาคายา และฟิลิปป์ มาฮารัดเซ ได้ตามรอยเดียวกันและอาศัยอยู่นอกประเทศจอร์เจียเป็นส่วนใหญ่นับตั้งแต่ ค.ศ. 1907 ส่วนบุคคลสำคัญอื่น ๆ ในหมู่บอลเชวิคติฟลิส สเตฟาน ชาฮุมยันย้ายไปยังบาคู ซึ่งทำให้เมนเชวิคจอร์เจีย พรรคคู่แข่งที่นิยมสังคมประชาธิปไตย ไม่มีคู่แข่งตัวฉกาจอีกต่อไป ต่อมาเมนเชวิคได้ปกครองจอร์เจียระหว่างที่ได้รับเอกราชช่วงสั้น ๆ ตั้งแต่ ค.ศ. 1918 ถึง 1921[64]

นอกเหนือจากผลร้ายที่เกิดขึ้นภายในพรรค การปล้นยังทำให้ศูนย์บอลเชวิคไม่เป็นที่นิยมในกลุ่มสังคมประชาธิปไตยทั่วทวีปยุโรป[7] ความต้องการของเลนินที่จะอยู่ห่างจากผลกระทบของการปล้นอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของความแตกร้าวระหว่างเขากับบอกดานอฟและคราซิน[7] ผลที่ตามมาคือ สตาลินแยกตัวออกจากแก๊งของคาโมและไม่ประกาศบทบาทของตนในการปล้นอีกเลย[62][65]

หลังการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 บอลเชวิคหลายคนที่มีส่วนในการปล้นได้รับอำนาจทางการเมืองในสหภาพโซเวียตซึ่งเพิ่งจะถูกตั้งใหม่ เลนินกลายมาเป็นผู้นำคนแรกของสหภาพโซเวียต หลังจากถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1924 สตาลินได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำสหภาพโซเวียตจนกระทั่งเขาถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1953 มาซิม ลิตวินอฟได้เป็นเจ้าหน้าที่การทูตของโซเวียต และดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (1930-39) เลโอนิด คราซินแต่เดิมเคยไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหลังจากแตกแยกกับเลนินใน ค.ศ. 1909 แต่ภายหลังได้กลับเข้าร่วมกับบอลเชวิคอีกครั้งหนึ่งหลังการปฏิวัติและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีการค้าต่างประเทศ

อเล็กซานเดอร์ บอกดานอฟ และคาโมได้รับความสำคัญน้อยกว่า บอกดานอฟถูกขับออกจากพรรคใน ค.ศ. 1909 เนื่องมาจากการแสดงออกซึ่งความแตกต่างทางปรัชญา หลังจากการปฏิวัติบอลเชวิค เขากลายมาเป็นผู้นำนักลัทธิโปรเลตคุลท์ องค์การซึ่งออกแบบมาเพื่อสนับสนุนวัฒนธรรมชนชั้นกรรมาชีพใหม่ คาโม หลังจากถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำและการก่อตั้งสหภาพโซเวียต ทำงานในสำนักงานศุลกากรโซเวียต บางส่วนเป็นเพราะเขามีจิตใจไม่มั่นคงเกินกว่าจะทำงานเป็นตำรวจลับได้[38] คาโมเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนใน ค.ศ. 1922 เมื่อรถบรรทุกชนเขาขณะที่กำลังปั่นจักรยานอยู่[38] ถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานพิสูจน์ แต่บางคนตั้งทฤษฎีว่าการเสียชีวิตของคาโมไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นคำสั่งตายของสตาลิน[66][67]

จัตุรัสเยเรวาน ที่ซึ่งเกิดการปล้นขึ้น ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นจัตุรัสเลนินโดยทางการโซเวียตใน ค.ศ. 1921 และรูปปั้นเลนินขนาดใหญ่ถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติใน ค.ศ. 1956[68][69] ยิ่งไปกว่านั้น คาโม ชายผู้ซึ่งถูกพิพากษาว่ามีความผิดและถูกตัดสินประหารชีวิตจากการปล้นในจัตุรัสนั้น ร่างถูกฝังและมีการตั้งอนุสาวรีย์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาในสวนปุสกิน ใกล้กับจัตุรัสเยเรวาน[62][70] อนุสาวรีย์ของคาโมในภายหลังถูกย้ายออกไปในสมัยสตาลินและร่างของเขาถูกย้ายไปที่อื่น[67] อนุสาวรีย์เลนินถูกทลายลงในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1991 ในช่วงเดือนสุดท้ายของสหภาพโซเวียต และแทนที่ด้วยอนุสาวรีย์เสรีภาพเมื่อ ค.ศ. 2006 ชื่อของจัตุรัสถูกเปลี่ยนจากจัตุรัสเลนินเป็นจัตุรัสเสรีภาพใน ค.ศ. 1991[68][71]

เชิงอรรถ

  • a แหล่งข้อมูลบางแหล่งระบุว่าการปล้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1907[5][27] ขณะที่แหล่งข้อมูลอื่นระบุว่าการปล้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 1907[25][72] ความคลาดเคลื่อนนี้เป็นเพราะว่าบางแหล่งได้ระบุวันที่ตามปฏิทินจูเลียนแบบเก่า ในขณะที่แหล่งข้อมูลบางแหล่งได้ใช้ตามปฏิทินเกรโกเรียน รัฐบาลรัสเซียได้ใช้ปฏิทินจูเลียนจนกระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 เมื่อได้มีการเปลี่ยนไปใช้ปฏิทินเกรโกเรียน ซึ่งปีนั้นวันต่อจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 จะเป็นวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918[73] สำหรับจุดประสงค์ของบทความนี้ วันที่จะถูกระบุตามปฏิทินเกรโกเรียน

อ้างอิง

บรรณานุกรม

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง