ภาษาอังกฤษ

ภาษาในตระกูลเจอร์แมนิกตะวันตก

ภาษาอังกฤษ (อังกฤษ: English language) เป็นภาษาในกลุ่มภาษาเจอร์แมนิกตะวันตกที่ใช้ครั้งแรกในอังกฤษสมัยต้นยุคกลาง และปัจจุบันเป็นภาษาที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก[4] ประชากรส่วนใหญ่ในหลายประเทศ รวมทั้ง สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ และประเทศในแคริบเบียน พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่หนึ่ง ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ที่มีผู้พูดมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากภาษาจีนกลางและภาษาสเปน[2] มักมีผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองอย่างกว้างขวาง และภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของสหภาพยุโรป หลายประเทศเครือจักรภพแห่งชาติ และสหประชาชาติ ตลอดจนองค์การระดับโลกหลายองค์การ

ภาษาอังกฤษ
ออกเสียง/ˈɪŋɡlɪʃ/[1]
ประเทศที่มีการพูดสหราชอาณาจักร, แองโกล-อเมริกา, นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, ไอร์แลนด์ และสถานที่อื่น ๆ ในโลกที่พูดภาษาอังกฤษ
จำนวนผู้พูดภาษาแม่: 380 ล้านคน  (2566)[2]
ภาษาที่สอง: 1.077 ล้านคน (2023)[3]
ทั้งหมด: 1.457 ล้านคน
ตระกูลภาษา
อินโด-ยูโรเปียน
รูปแบบก่อนหน้า
อินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม
ระบบการเขียน
สถานภาพทางการ
ภาษาทางการ
ภาษาชนกลุ่มน้อยที่รับรองใน
รหัสภาษา
ISO 639-1en
ISO 639-2eng
ISO 639-3eng
Linguasphere52-ABA
  ประเทศหรือภูมิภาคที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่เป็นหลัก
  ประเทศหรือภูมิภาคที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการหรือพูดกันจำนวนมาก แต่มิใช่ภาษาแม่หลัก
บทความนี้มีสัญลักษณ์สัทอักษรสากล หากระบบของคุณไม่รองรับการแสดงผลที่ถูกต้อง คุณอาจเห็นปรัศนี กล่อง หรือสัญลักษณ์อย่างอื่นแทนที่อักขระยูนิโคด

ภาษาอังกฤษเจริญขึ้นในราชอาณาจักรแองโกล-แซ็กซอนอังกฤษ และบริเวณสกอตแลนด์ตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน หลังอิทธิพลอย่างกว้างขวางของบริเตนใหญ่และสหราชอาณาจักรตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผ่านจักรวรรดิอังกฤษ และรวมสหรัฐอเมริกาด้วยตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20[5][6][7][8] ภาษาอังกฤษได้แพร่หลายทั่วโลก กลายเป็นภาษาชั้นนำของวจนิพนธ์ระหว่างประเทศและเป็นภาษากลางในหลายภูมิภาค[9][10]

ในประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษกำเนิดจากการรวมภาษาถิ่นหลายภาษาที่สัมพันธ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบันเรียกรวมว่า ภาษาอังกฤษเก่า ซึ่งผู้ตั้งนิคมนำมายังฝั่งตะวันออกของบริเตนใหญ่เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 5 คำในภาษาอังกฤษจำนวนมากสร้างขึ้นบนพื้นฐานรากศัพท์ภาษาละติน เพราะภาษาละตินบางรูปแบบเป็นภาษากลางของคริสตจักรและชีวิตปัญญาชนยุโรป

[11] ภาษาอังกฤษยังได้รับอิทธิพลเพิ่มจากภาษานอร์สเก่าเพราะการบุกครองของไวกิ้งในคริสต์ศตวรรษที่ 9 และ 10

การพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มันในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ทำให้ภาษาอังกฤษยืมคำมาจากภาษานอร์มันอย่างมาก และสัญนิยมคำศัพท์และการสะกดเริ่มให้ลักษณะความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มภาษาโรมานซ์[12][13] แก่ภาษาที่ต่อมากลายเป็นภาษาอังกฤษกลาง การเลื่อนสระครั้งใหญ่ (Great Vowel Shift) ซึ่งเริ่มขึ้นทางตอนใต้ของอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการกำเนิดของภาษาอังกฤษใหม่จากภาษาอังกฤษกลาง

เนื่องจากการกลมกลืนคำจากภาษาอื่นมากมายตลอดประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษใหม่จึงมีคำศัพท์ใหญ่มาก โดยมีการสะกดที่ซับซ้อนและไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสระ ภาษาอังกฤษใหม่ไม่เพียงแต่กลมกลืนคำจากภาษาอื่นของยุโรปเท่านั้น แต่ยังรวมภาษาอื่นทั่วโลกด้วย พจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ดแสดงรายการคำไว้กว่า 250,000 คำ ซึ่งยังไม่รวมศัพท์เทคนิค วิทยาศาสตร์และสแลง[14][15]

ความสำคัญ

ภาษาอังกฤษใหม่ ที่บางครั้งมีผู้อธิบายว่าเป็นภาษากลางภาษาแรกของโลก[16][17] เป็นภาษาที่ใช้กันมากที่สุดหรือในบางกรณี เป็นภาษาระหว่างประเทศที่ต้องใช้ในการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจ การเดินเรือ[18] การบิน[19] การบันเทิง วิทยุและการทูต[20] ภาษาอังกฤษเริ่มแพร่ออกนอกหมู่เกาะอังกฤษจากการเติบโตของจักรวรรดิอังกฤษ และเมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภาษาอังกฤษก็ไปทั่วโลกอย่างแท้จริง[21] หลังการยึดอาณานิคมของอังกฤษตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 19 ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาเด่นในสหรัฐอเมริกาแคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ อิทธิพลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐอเมริกาและสถานภาพอภิมหาอำนาจตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยิ่งเร่งการแพร่ของภาษาไปทั่วโลก[17] ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเด่นของผู้ได้รับรางวัลโนเบลทางวิทยาศาสตร์แทนภาษาเยอรมันในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20[22] ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเด่นเทียบเท่าและอาจแซงหน้าภาษาฝรั่งเศสในทางการทูตตั้งแต่ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19

ความรู้ภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงานกลายเป็นสิ่งจำเป็นในหลายสาขา อาชีพและวิชาชีพ เช่น แพทยศาสตร์และวิชาการคอมพิวเตอร์ ผลคือ กว่าหนึ่งพันล้านคนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างน้อยในระดับพื้นฐาน และยังเป็นหนึ่งในหกภาษาราชการของสหประชาชาติ

ผลกระทบหนึ่งของการเติบโตของภาษาอังกฤษ คือ การลดความหลากหลายทางภาษาพื้นเมืองในหลายส่วนของโลก อิทธิพลของภาษาอังกฤษยังมีบทบาทสำคัญในการลดจำนวนภาษา[23] ในทางตรงข้าม ความหลากหลายภายในโดยธรรมชาติของภาษาอังกฤษ ร่วมกับภาษาผสม (creole) และภาษาแก้ขัด (pidgin) มีศักยะผลิตภาษาใหม่ที่แยกกันชัดเจนจากภาษาอังกฤษตามกาล[24]

ประวัติ

การกระจายทางภูมิศาสตร์

มีผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่หนึ่งราว 360 ล้านคน ปัจจุบัน ภาษาอังกฤษอาจเป็นภาษาที่มีผู้พูดเป็นภาษาแม่มากที่สุดเป็นอันดับสาม รองจากภาษาจีนกลางและภาษาสเปน[2] อย่างไรก็ดี เมื่อรวมผู้ที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่และมิใช่ภาษาแม่แล้ว ภาษาอังกฤษก็อาจเป็นภาษาที่มีผู้พูดมากที่สุดในโลก แม้อาจน้อยกว่าผู้พูดภาษาจีนรวมกัน (ขึ้นอยู่กับว่านับรวมเป็น "ภาษา" หรือนับแยกเป็น "ภาษาถิ่น")[25][26][27]

การประมาณซึ่งรวมผู้พูดเป็นภาษาที่สองนั้นแปรผันอย่างมากตั้งแต่ 470 ล้านคน ถึงกว่าหนึ่งพันล้านคน ขึ้นอยู่กับว่านิยามและวัดการรู้หนังสือหรือความชำนาญอย่างไร[28][29] เดวิด คริสทอล (David Crystal) ศาสตราจารย์ด้านภาษาศาสตร์ คำนวณว่าผู้ที่พูดมิใช่ภาษาแม่นั้นมีมากกว่าผู้พูดเป็นภาษาแม่เป็นสัดส่วน 3 ต่อ 1[30]

ประเทศที่มีประชากรผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่มากที่สุด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (226 ล้านคน)[31] สหราชอาณาจักร (61 ล้านคน)[32] แคนาดา (18.2 ล้านคน)[33] ออสเตรเลีย (15.5 ล้านคน)[34] ไนจีเรีย (3-5 ล้านคน)[35] ไอร์แลนด์ (3.8 ล้านคน)[32] แอฟริกาใต้ (3.7 ล้านคน)[36] และนิวซีแลนด์ (3.6 ล้านคน) ตามลำดับ ข้อมูลมาจากสำมะโนปี 2549[37]

หลายประเทศ อย่างฟิลิปปินส์ จาเมกาและไนจีเรียยังมีผู้พูดภาษาถิ่นต่อเนื่อง (dialect continuum) เป็นภาษาแม่อีกหลายล้านคน ซึ่งมีตั้งแต่ภาษาครีโอล (creole language) อิงภาษาอังกฤษไปจนถึงภาษาอังกฤษรุ่นที่เป็นมาตรฐานมากกว่า ประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองมากที่สุด คริสทอลอ้างว่า เมื่อรวมผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่และไม่เป็นภาษาแม่รวมกัน ปัจจุบัน ประเทศอินเดียมีประชากรที่พูดหรือเข้าใจภาษาอังกฤษมากกว่าประเทศใดในโลก[38][39]

ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาสากล

ภาษาอังกฤษมักถูกเรียกว่าเป็น "ภาษาสากล" เพราะมีการพูดอย่างกว้างขวาง และแม้จะมิใช่ภาษาราชการในประเทศส่วนใหญ่ แต่ปัจจุบัน มีการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุด ตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของการสื่อสารการบิน[40]และในทะเล[41] ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของสหประชาชาติและองค์การระหว่างประเทศอีกหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงคณะกรรมการโอลิมปิกสากล

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีการศึกษาเป็นภาษาต่างประเทศมากที่สุดในสหภาพยุโรป ถึง 89% ในเด็กวัยเรียน นำหน้าภาษาฝรั่งเศสที่ 32% ขณะที่การรับรู้ประโยชน์ของภาษาต่างประเทศในบรรดาชาวยุโรป คือ 68% สนับสนุนภาษาอังกฤษ มากกว่าภาษาฝรั่งเศสที่ 25%[42] ในบรรดาบางประเทศสหภาพยุโรปที่ไม่พูดภาษาอังกฤษ ประชากรผู้ใหญ่จำนวนมากอ้างว่าสามารถสนทนาภาษาอังกฤษได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สวีเดน 85%, เดนมาร์ก 83%, เนเธอร์แลนด์ 79%, ลักเซมเบิร์ก 66% และในฟินแลนด์ สโลวีเนีย ออสเตรเลีย เบลเยียมและเยอรมนี กว่า 50%[43] ในปี 2555 หากไม่นับผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ชาวยุโรป 38% มองว่าตนสามารถพูดภาษาอังกฤษ[44] แต่ชาวญี่ปุ่นเพียง 3% ที่มองเช่นนั้น[45]

หนังสือ นิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษพบได้ในหลายประเทศทั่วโลก และภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้มากที่สุดในแวดวงวิทยาศาสตร์ โดยดัชนีการอ้างอิงวิทยาศาสตร์รายงานเมื่อปี 2540 ว่า บทความของดัชนีฯ 95% เขียนในภาษาอังกฤษ แม้เพียงครึ่งหนึ่งจะมาจากผู้ประพันธ์ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ

วรรณกรรมภาษาอังกฤษคิดเป็น 28% ของวรรณกรรมทั้งหมดที่ตีพิมพ์ทั่วโลก และคิดเป็น 30% ของเนื้อหาเว็บในปี 2554 (จาก 50% ในปี 2543)[45]

การใช้ภาษาอังกฤษที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกนี้ได้มีผลกระทบใหญ่หลวงต่อภาษาอื่นจำนวนมาก จนนำไปสู่ภาษาเปลี่ยนหรือกระทั่งภาษาตาย[46] และการอ้างจักรวรรดินิยมทางภาษา[47] ภาษาอังกฤษเองก็เปิดรับการเปลี่ยนแปลงทางภาษามากขึ้น เพราะความหลากหลายในภูมิภาคป้อนกลับไปยังภาษาโดยรวมเช่นกัน[47]

ระบบการเขียน

พยัญชนะอังกฤษสมัยใหม่ประกอบด้วยอักษร 26 ตัว ได้แก่ a, b, c, d, e, f, g, h, i, j, k, l, m, n, o, p, q, r, s, t, u, v, w, x, y, z (รูปอักษรใหญ่เป็น A, B, C, D, E, F, G, H, I, J, K, L, M, N, O, P, Q, R, S, T, U, V, W, X, Y, Z ตามลำดับ) สัญลักษณ์อื่นซึ่งใช้ในการเขียนภาษาอังกฤษมีการผูก æ และ œ ซึ่งพบได้น้อย นอกจากนี้ ยังมีการใช้เครื่องหมายเสริมสัทอักษรบ้าง ส่วนใหญ่ในคำยืมจากภาษาต่างประเทศ (เช่น เครื่องหมายลงน้ำหนักเด่นชัดในคำว่า café และ exposé) และในการใช้เครื่องหมายไดเอเรซิส (diaeresis) บางครั้งเพื่อชี้ว่าสระสองตัวนั้นออกเสียงแยกกัน (เช่น ในคำว่า naïve และ Zoë)

ระบบการสะกด หรืออักขรวิธี ของภาษาอังกฤษนั้นมีหลายชั้น โดยมีส่วนการสะกดภาษาฝรั่งเศส ละตินและกรีกบนระบบเจอร์แมนิกพื้นเมือง นอกจากนี้ ภาษาอังกฤษยังซับซ้อนขึ้นจากการเปลี่ยนเสียงที่ไม่ไปด้วยกันกับอักขรวิธี จึงหมายความว่า การสะกดภาษาอังกฤษมิใช่ตัวชี้บอกการออกเสียงที่น่าเชื่อถือ หรือกลับกัน เมื่อเทียบกับภาษาอื่นจำนวนมาก (กล่าวโดยทั่วไป ภาษาอังกฤษมิใช่อักขรวิธีเชิงหน่วยเสียง)

แม้อักษรและเสียงอาจไม่สัมพันธ์กันเมื่อแยกกัน แต่กฎการสะกดซึ่งพิจารณาโครงสร้างพยางค์ สัทศาสตร์และการลงน้ำหนักนั้นน่าเชื่อถือไม่น้อยกว่า 75%[48] การสะกดเสียงบางอย่างสนับสนุนข้ออ้างที่ว่าภาษาอังกฤษนั้นสอดคล้องกับการออกเสียงกว่า 80%[49] อย่างไรก็ดี ภาษาอังกฤษมีความสัมพันธ์สอดคล้องระหว่างเสียงกับอักษรน้อยกว่าภาษาอื่นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น ลำดับอักษร ough สามารถออกเสียงได้ถึง 10 วิธี ผลของประวัติอักขรวิธีซับซ้อนนี้ คือ การอ่านอาจเป็นสิ่งท้าทาย[50] ผู้เรียนต้องใช้เวลานานกว่าภาษาอื่นจึงจะเป็นนักอ่านภาษาอังกฤษได้คล่องอย่างสมบูรณ์ ซึ่งรวมถึงภาษาฝรั่งเศส กรีกและสเปน[51] พบว่า เด็กที่พูดภาษาอังกฤษใช้เวลาเรียนอ่านนานกว่าเด็กในประเทศยุโรปอื่น 12 ประเทศสองปี[52]

สำหรับพยัญชนะ ความสอดคล้องระหว่างการสะกดกับการออกเสียงนั้นค่อนข้างสม่ำเสมอ อักษร b, d, f, h, j, k, l, m, n, p, r, s, t, v, w, z แทนหน่วยเสียง /b/, /d/, /f/, /h/, /dʒ/, /k/, /l/, /m/, /n/, /p/, /r/, /s/, /t/, /v/, /w/, /z/ ตามลำดับ อักษร c และ g ปกติจะแทน /k/ และ /g/ แต่ยังมีเสียง c อ่อนที่ออกเสียงเป็น /s/ และเสียง g อ่อนที่ออกเสียงเป็น /dʒ/ บางเสียงนั้นแทนด้วยทวิอักษร ได้แก่ ch แทน /tʃ/, sh แทน /ʃ/, th แทน /θ/ หรือ /ð/, ng แทน /ŋ/ (นอกจากนี้ ph ออกเสียงเป็น /f/ ในคำที่มาจากภาษากรีก) อักษรพยัญชนะซ้อน (และ ck) โดยทั่วไปออกเสียงเป็นพยัญชนะเดี่ยว และ qu และ x ออกเสียงเป็น /kw/ และ /ks/ อักษร y เมื่อใช้เป็นพยัญชนะ แทน /j/ อย่างไรก็ดี ชุดกฎนี้มีข้อยกเว้นเช่นกัน หลายคำมีพยัญชนะที่ไม่ออกเสียงหรือออกเสียงพิเศษ

ส่วนสระนั้น ความสอดคล้องระหว่างการสะกดและการออกเสียงยิ่งไม่สม่ำเสมอ ภาษาอังกฤษมีหน่วยเสียงสระมากกว่าอักษรสระ (a, e, i, o, u) มาก ซึ่งหมายความว่า การประสมอักษรมักจำเป็นต้องใช้ระบุสระประสมสองเสียงและสระยาวอื่น ๆ (เช่น oa ในคำว่า boat และ ay ในคำว่า stay) หรือการใช้ e ที่ไม่ออกเสียงหรืออุบายคล้ายกันแทน (เช่นในคำว่า note และ cake) ทว่า อุบายเหล่านี้ก็ยังไม่ใช้คงเส้นคงวา ฉะนั้น การออกเสียงสระจึงยังเป็นแหล่งความไม่สม่ำเสมอหลักในอักขรวิธีภาษาอังกฤษ

สัทวิทยา

สัทวิทยา (ระบบเสียง) ของภาษาอังกฤษแตกต่างกันตามภาษาถิ่น คำอธิบายด้านล่างใช้ได้กับชนิดมาตรฐาน ที่เรียกว่า สำเนียงอังกฤษมาตรฐาน (RP) และสำเนียงอเมริกันมาตรฐาน

พยัญชนะ

ตารางด้านล่างแสดงระบบหน่วยเสียงพยัญชนะซึ่งทำหน้าที่ในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ สัญลักษณ์ต่าง ๆ มาจากสัทอักษรสากล (IPA) และยังใช้ระบุการออกเสียงในพจนานุกรมหลายเล่ม

 โอษฐชะริมฝีปาก-
ฟัน
ฟันปุ่มเหงือกหลังปุ่มเหงือกเพดานแข็งเพดานอ่อนริมฝีปาก-
เพดานอ่อน
เส้นเสียง
นาสิกm  n  ŋ 
ระเบิดp   b  t   d  k   ɡ 
กักเสียดแทรก    tʃ   dʒ   
เสียดแทรก f   vθ   ðs   zʃ   ʒ (x)h
เปิด   r j w 
เปิดข้างลิ้น   l    

หากพยัญชนะมาเป็นคู่ (เช่น "p b") พยัญชนะตัวแรกจะไม่ก้อง ออกเสียงตัวที่สอง สัญลักษณ์ส่วนมากแสดงเสียงเดียวกับตามปกติเมื่อใช้เป็นอักษร แต่ /j/ แทนเสียงแรกของ yacht สัญลักษณ์ /ʃ/ แทนเสียง sh, /ʒ/ แทนเสียงกลางของ vision, /tʃ/ แทนเสียง ch, /dʒ/ แทนเสียง j ใน jump, /θ/ และ /ð/ แทนเสียง th ใน thing และ this ตามลำดับ, และ /ŋ/ แทนเสียง ng ใน sing เสียงเสียดแทรก เพดานอ่อน ไม่ก้อง /x/ มิใช่หน่วยเสียงปกติในภาษาอังกฤษชนิดส่วนใหญ่ แม้ผู้พูดคำภาษาสกอต/เกลิกบางคนใช้ เช่น loch หรือในคำยืมอื่น เช่น chanukah

การแปรผันในการออกเสียงพยัญชนะที่โดดเด่นบางอย่าง ได้แก่

  • ในการลงน้ำหนักไม่รัวลิ้น เช่น สำเนียงอังกฤษมาตรฐานและสำเนียงออสเตรเลีย /r/ สามารถปรากฏก่อนสระเท่านั้น (ฉะนั้นจึงไม่มีเสียง "r" ในคำอย่าง card) การออกเสียง /r/ ตามจริงนั้นแตกต่างกันตามภาษาถิ่น แต่ที่พบมากที่สุด คือ เสียงเปิด ปุ่มเหงือก [ɹ]
  • ในสำเนียงอเมริกาเหนือและสำเนียงออสเตรเลีย /t/ และ /d/ เป็นเสียงลิ้นสะบัด [ɾ] ในหลายตำแหน่งระหว่างสระ[53] ซึ่งหมายความว่า คู่คำอย่าง latter และ ladder อาจเป็นคำพ้องเสียงสำหรับผู้พูดภาษาถิ่นเหล่านี้
  • เสียง th /θ/ และ /ð/ บางครั้งออกเสียงเป็น /f/ และ /v/ ในค็อกนีย์ และเป็นเสียงระเบิด ฟัน (ซึ่งตามปกติเป็นเสียงระเบิด ปุ่มเหงือก) ในบางสำเนียงไอร์แลนด์ ในสำเนียงพื้นเมืองแอฟริกันอเมริกัน /ð/ รวมกับเสียงฟัน /d/
  • เสียง w อโฆษะ [ʍ] บางครั้งเขียนเป็น /hw/ สำหรับ wh ในคำอย่าง when และ which พบในสำเนียงสกอตแลนด์และไอร์แลนด์ และอื่น ๆ บ้าง
  • เสียงระเบิดอโฆษะ /p/, /t/ และ /k/ นั้นธนิตบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นพยางค์ที่เน้น แต่ไม่ธนิตหลัง /s/ ที่ต้นคำ เช่น spin

สระ

ระบบหน่วยเสียงและการออกเสียงสระนี้แปรผันได้มากตามภาษาถิ่น ตารางด้านล่างนี้แสดงรายการสระที่พบในสำเนียงอังกฤษมาตรฐานและสำเนียงอเมริกันมาตรฐาน (ซึ่งในที่นี้ย่อเป็น GAm) พร้อมตัวอย่างคำที่หน่วยเสียงปรากฏ สระนั้นแสดงด้วยสัญลักษณ์จากสัทอักษรสากล สัญลักษณ์ซึ่งให้แก่ RP นั้นพบใช้ค่อนข้างเป็นมาตรฐานในพจนานุกรมของอังกฤษและสิ่งพิมพ์เผยแพร่อื่น

RPGAmคำ
สระเดี่ยว
ineed
ɪɪbid
eɛbed
ææback
ɒ(ɑ)box
ɔːɔpaw
ɑːɑbra
RPGAmคำ
สระเดี่ยว (ต่อ)
ʊʊgood
ufood
ʌʌbut
ɜːɜrbird
əəcomma
(ɪ)ɨroses
RPGAmคำ
สระประสมสองเสียง
bay
əʊroad
cry
cow
ɔɪɔɪboy
ɪə(ɪr)fear
ɛə(ɛr)fair
ʊə(ʊr)lure

หมายเหตุ:

  • สำหรับคำซึ่งในสำเนียงอังกฤษมาตรฐานมี /ɒ/ ภาษาถิ่นอเมริกาเหนือส่วนใหญ่มี /ɑ/ (เช่นในตัวอย่าง box ด้านบน) หรือ /ɔ/ (เช่นใน cloth) อย่างไรก็ดี ภาษาถิ่นอเมริกาเหนือบางภาษาไม่มีสระ /ɔ/ เลย (ยกเว้นก่อน /r/)
  • ในสำเนียงอังกฤษมาตรฐานปัจจุบัน หน่วยเสียง /æ/ ใกล้เคียงกับ [a] ดังเช่นในการลงน้ำหนักอื่นส่วนใหญ่ในบริเตน เสียง [æ] ปัจจุบันพบเฉพาะในสำเนียงอังกฤษมาตรฐานอนุรักษ์[54]
  • ในสำเนียงอเมริกันมาตรฐานและการลงน้ำหนักรัวลิ้นอื่นบางแบบ การผสมสระ+/r/ มักเข้าใจว่าเป็นสระรัวลิ้น ตัวอย่างเช่น butter /ˈbʌtər/ ออกเสียงด้วยชวารัวลิ้น [ɚ] และทำนองเดียวกัน nurse มีสระรัวลิ้น [ɝ]
  • สระซึ่งเขียนตามสัญนิยมว่า /ʌ/ แท้จริงแล้วออกเสียงเป็นศูนย์กลางกว่า เป็น [ɐ] ในสำเนียงอังกฤษมาตรฐาน ในอังกฤษซีกเหนือ สระนี้แทนที่ด้วย /ʊ/ (ฉะนั้น cut จึงสัมผัสกับ put)
  • ในพยางค์ที่ไม่เน้น อาจมีหรือไม่มีข้อแตกต่างระหว่าง /ə/ (ชวา) และ /ɪ/ (/ɨ/) ก็ได้ ฉะนั้น สำหรับผู้พูดบางคนจึงออกเสียงคำว่า roses และ Rosa's ต่างกัน
  • สระประสมสองเสียง /eɪ/ และ /əʊ/ (/oʊ/) มีแนวโน้มออกเสียงเป็นสระเดี่ยว [eː] และ [oː] ในบางภาษาถิ่น ซึ่งรวมสำเนียงแคนาดา สกอตแลนด์ ไอร์แลนด์และอังกฤษเหนือ
  • ในทวีปอเมริกาเหนือบางส่วน /aɪ/ จะออกเสียงเป็น [ʌɪ] ก่อนพยัญชนะอโฆษะ ซึ่งพบเป็นพิเศษในแคนาดา เช่นเดียวกับที่ /aʊ/ ออกเสียงเป็น [ʌʊ] ก่อนพยัญชนะอโฆษะเช่นกัน
  • เสียง /ʊə/ กำลังถูกแทนที่ด้วย /ɔː/ ในหลายคำ ตัวอย่างเช่น sure มักออกเสียงคล้าย shore

การเน้น จังหวะและทำนองเสียง

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เน้นหนัก ซึ่งกล่าวกันว่าการเน้นพยางค์นั้นเป็นหน่วยเสียง คือ สามารถจำแนกความแตกต่างของคำได้ (เช่น นาม increase เน้นพยางค์แรก และกริยา increase เน้นพยางค์ที่สอง) แทบทุกคำที่มีมากกว่าหนึ่งพยางค์ จะมีพยางค์หนึ่งที่ระบุว่าเน้นมาก (primary stress) และอาจมีอีกพยางค์หนึ่งที่เน้นรองลงมา (secondary stress) เช่นในคำว่า civilization /ˌsɪvəlaɪˈzeɪʃn̩/ ซึ่งพยางค์แรกเน้นรอง และพยางค์ที่สี่เน้นมาก ส่วนพยางค์อื่นไม่เน้น

กระบวนการที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับการเน้นพยางค์ในภาษาอังกฤษ คือ การลดการออกเสียงสระ ตัวอย่างเช่น นาม contract เน้นพยางค์แรก และมีสระ /ɒ/ ใน RP ขณะที่กริยา contract ไม่เน้นพยางค์แรก และสระลดเหลือ /ə/ (ชวา) กระบวนการเดียวกันนี้ใช้กับคำที่ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์สามัญบางคำ เช่น of ซึ่งออกเสียงด้วยสระคนละตัวขึ้นอยู่กับว่าเน้นคำเหล่านี้ในประโยคหรือไม่

ภาษาอังกฤษยังมีการเน้นฉันทลักษณ์ที่หนัก คือ การเน้นบางคำในประโยคเพิ่มที่ผู้พูดต้องการดึงความสนใจ ทำนองเดียวกับที่ออกเสียงคำที่สำคัญน้อยเบา สำหรับจังหวะ ภาษาอังกฤษจัดเป็นภาษาที่มีการเน้นบางพยางค์ ซึ่งมีแนวโน้มให้เวลาพักระหว่างพยางค์ที่เน้นเท่ากัน โดยออกเสียงกลุ่มพยางค์ที่ไม่เน้นเร็วขึ้น

สำหรับทำนองเสียง มีการใช้ระดับเสียงเชิงวากยสัมพันธ์ในภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น เพื่อถ่ายทอดความประหลาดใจหรือประชดประชัน หรือเพื่อเปลี่ยนข้อความเป็นคำถาม ภาษาถิ่นส่วนใหญ่ของภาษาอังกฤษใช้ทำนองเสียงลงสำหรับข้อความบอกเล่า และทำนองเสียงสูงเพื่อแสดงความไม่แน่ใจ เช่น ในคำถาม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำถามปลายปิด) นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนทำนองเสียงตรงพยางค์ที่เน้นหนักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พยางค์ที่เน้นหนักที่สุดในประโยคหรือกลุ่มทำนองเสียง

ไวยากรณ์

ไวยากรณ์อังกฤษมีการผันคำน้อยเมื่อเทียบกับภาษาอื่นในตระกูลอินโด-ยูโรเปียนส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่น ภาษาอังกฤษใหม่ ซึ่งไม่เหมือนกับภาษาเยอรมันหรือดัตช์ใหม่ และภาษาโรมานซ์ ไม่มีเพศทางไวยากรณ์และความสอดคล้องของคุณศัพท์ เครื่องหมายการกแทบไม่ปรากฏในภาษาอังกฤษและส่วนใหญ่มีอยู่เฉพาะในสรรพนาม การวางแบบผันกริยาแข็ง (เช่น speak/spoke/spoken) กับผันกริยาอ่อน (เช่น love/loved หรือ kick/kicked) ซึ่งรับมาจากภาษาเยอรมันลดความสำคัญลงในภาษาอังกฤษใหม่ และส่วนที่เหลือของการผันคำ (เช่น เครื่องหมายพหูพจน์) กลายมาพบได้มากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ภาษาอังกฤษกลายมาเป็นเชิงวิเคราะห์มากขึ้น และได้พัฒนาลักษณะอย่างกริยาข่วยและลำดับคำเป็นทรัพยากรสำหรับสื่อความหมาย คำช่วยกริยาเป็นการผูกคำถาม สภาพปฏิเสธ กรรมวาจกและภาวะต่อเนื่อง

คำศัพท์

คำเจอร์แมนิก (Germanic, คำจากภาษาอังกฤษเก่าหรือ ในวงแคบกว่า คำที่มีกำเนิดจากภาษานอร์สโบราณโดยทั่วไป) มีแนวโน้มสั้นกว่า คำลาติเนต (Latinate, คำที่มีรากศัพท์หรือเลียนภาษาละติน) และใช้พูดในชีวิตประจำวันมากกว่า ซึ่งรวมสรรพนาม บุพบท สันธาน กริยาช่วย ฯลฯ พื้นฐานแทบทั้งหมด ซึ่งเป็นฐานของวากยสัมพันธ์และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ โดยทั่วไป ความสั้นของคำนั้นมาจากการตัดกลางคำในภาษาอังกฤษกลาง (เช่น อังกฤษเก่า hēafod → อังกฤษใหม่ head, อังกฤษเก่า sāwol → อังกฤษใหม่ soul) และจากการตัดพยางค์สุดท้ายเนื่องจากการเน้นพยางค์ (เช่น อังกฤษเก่า gamen → อังกฤษใหม่ game, อังกฤษเก่า ǣrende → อังกฤษใหม่ errand) มิใช่เพราะคำเจอร์แมนิกสั้นกว่าคำลาติเนตเป็นปกติอยู่แล้ว คำซึ่งมักพิจารณาว่าสละสลวยหรือมีการศึกษาในภาษาอังกฤษใหม่จึงมักเป็นคำลาติเนต

ในหลายกรณี ผู้ใช้ภาษาอังกฤษสามารถเลือกระหว่างไวพจน์เจอร์แมนิกและลาติเนต เช่น come หรือ arrive, sight หรือ vision, freedom หรือ liberty ในบางกรณี มีทางเลือกระหว่างคำที่มีรากศัพท์จากกลุ่มภาษาเจอร์แมนิก

ค (oversee) คำที่มีรากศัพท์จากภาษาละติน (supervise) และคำภาษาฝรั่งเศสที่มีรากศัพท์มาจากคำเดียวกันในภาษาละติน (survey) หรือกระทั่งคำเจอร์แมนิกที่มีรากศัพท์จากภาษานอร์มัน (เช่น warranty) กับภาษาฝรั่งเศสสำเนียงปารีส (guarantee) หรือแม้แต่ทางเลือกระหว่างแหล่งเจอร์แมนิกและลาทิเนทหลายแหล่งก็มี เช่น sickness (อังกฤษเก่า), ill (นอร์สโบราณ), infirmity (ฝรั่งเศส), affliction (ละติน) อย่างไรก็ดี ไวพจน์จำนวนมากนี้มิใช่ผลของอิทธิพลภาษาฝรั่งเศสและละติน เพราะภาษาอังกฤษมีคำหลากหลายอยู่แล้วก่อนยืมคำภาษาฝรั่งเศสและละตินอย่างกว้างขวาง

นอกจากนี้ในชื่อสัตว์และเนื้อสัตว์จะใช้ศัพท์แยกจากกัน ชื่อสัตว์มักมีชื่อเจอร์แมนิก และเนื้อมีชื่อที่มีรากศัพท์จากภาษาฝรั่งเศส ตัวอย่างเช่น deer และ venison, cow และ beef; swine/pig และ pork, และ sheep/lamb และ mutton ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นผลจากการพิชิตอังกฤษของนอร์มัน ซึ่งชนชั้นสูงที่พูดภาษาแองโกล-นอร์มันเป็นผู้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ผลิตโดยชนชั้นล่าง ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวแองโกล-แซ็กซอน

ภาษาอังกฤษรับศัพท์เทคนิคมาใช้กันทั่วไปโดยง่ายและมักรับคำและวลีใหม่ ๆ เข้ามา ตัวอย่างปรากฏการณ์นี้ เช่น cookie, Internet และ URL (ศัพท์เทคนิค) เช่นเดียวกับ genre, über, lingua franca และ amigo ซึ่งมาจากภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลีและสเปนตามลำดับ นอกเหนือจากนี้ สแลงมักให้ความหมายใหม่แก่คำและวลีเก่าด้วย

จำนวนคำในภาษาอังกฤษ

คำศัพท์ในภาษาอังกฤษนั้นมีมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การระบุตัวเลขขนาดแน่ชัดนั้นเป็นประเด็นการนิยามมากกว่าการคำนวณ และไม่มีแหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการที่จะนิยามคำและการสะกดภาษาอังกฤษที่ยอมรับกัน

บรรณาธิการของพจนานุกรมสากลใหม่ฉบับตีพิมพ์ครั้งที่สามของเว็บสเตอร์ ไม่ย่อ (Webster's Third New International Dictionary, Unabridged) รวมคำหลักสำคัญไว้ 475,000 คำ แต่ในคำนำ พวกเขาประมาณว่าตัวเลขที่แท้จริงจะสูงกว่านี้มาก นักภาษาศาสตร์และนักพจนานุกรมโดยทั่วไปไม่ถือการเปรียบเทียบขนาดคำศัพท์ภาษาอังกฤษกับขนาดคำศัพท์ภาษาอื่นจริงจังนัก และนอกจากนี้ยังมีข้อเท็จจริงที่ว่าพจนานุกรมจะมีนโยบายการรวมและนับหน่วยข้อมูลแตกต่างกัน[55]

ในเดือนธันวาคม 2553 การศึกษาร่วมของฮาร์วาร์ด/กูเกิลพบว่า ภาษาอังกฤษมีคำ 1,022,000 คำ และขยายตัวที่อัตรา 8,500 คำต่อปี[56] การค้นพบนี้มีขึ้นหลังการคำนวณโดยคอมพิวเตอร์จากหนังสือที่ถูกแปลงเป็นดิจิทัล 5,195,769 เล่ม ส่วนการค้นพบอื่นประมาณอัตราการเติบโตของคำไว้ 25,000 คำต่อปี[57]

ที่มาของคำ

ในบรรดาหนึ่งพันคำที่ใช้มากที่สุดในภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่ (พิสัยการประมาณตั้งแต่ราว 50%[58] ไปจนถึงกว่า 80%[59]) เป็นคำเจอร์แมนิก อย่างไรก็ดี คำขั้นสูงกว่าในหัวข้ออย่างวิทยาศาสตร์ ปรัชญาและคณิตศาสตร์มาจากภาษาละตินหรือกรีก และยังมีภาษาอารบิกหลายคำในวิชาดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์และเคมี[60]

ที่มาของคำภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยที่สุด 7,476 คำ
100 คำแรก1,000 คำแรก1,000 คำที่สองที่เหลือ
เจอร์แมนิก97%57%39%36%
อิตาลิก3%36%51%51%
เฮลเลนิก04%4%7%
อื่น ๆ03%6%6%
ที่มา: Nation 2001, p. 265

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

บรรณานุกรม

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง