สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์

สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 หรือ สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ เป็นพระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 6 และเป็นรัชกาลสุดท้ายแห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2301 — 7 เมษายน พ.ศ. 2310 มีพระราชสมัญญานามที่สามัญชนเรียกกันอย่างลับว่า ขุนหลวงขี้เรื้อน[2][3][4] เนื่องจากพระฉวี (ผิวหนัง) เป็นโรคผิวหนัง โรคเรื้อน หรือโรคกลากเกลื้อน[5][6]

สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ
พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ วัดละมุด อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
ครองราชย์พ.ศ. 2301 - 7 เมษายน พ.ศ. 2310
ก่อนหน้าสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร
ถัดไปสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (อาณาจักรธนบุรี)
สมุหนายก
ดูรายชื่อ
  • เจ้าพระยาอภัยราชา (ประตูจีน)
    พระยาพระคลัง
พระราชสมภพพ.ศ. 2252
สวรรคตประมาณ เมษายน พ.ศ. 2310 (58 พรรษา)
มเหสีกรมขุนวิมลพัตร
พระสนมเจ้าจอมมารดาเพ็ง
เจ้าจอมมารดาแม้น[1]
พระราชบุตรเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรเทวี
พระองค์เจ้าหญิงสตันสรินทร์
พระองค์เจ้าชายประเวศกุมาร
พระองค์เจ้าหญิงสูรา (รุจจาเทวี)
พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (กุมารา)[1]
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
พระราชบิดาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
พระราชมารดากรมพระเทพามาตุ (พลับ)

พระราชประวัติ

ก่อนครองราชย์

สมเด็จพระบรมราชา มีพระนามเดิมว่าเจ้าฟ้าเอกทัศ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ประสูติแต่กรมหลวงพิพิธมนตรี (พระพันวัสสาน้อย) เมื่อพระราชบิดาปราบดาภิเษกในปี พ.ศ. 2275 จึงโปรดให้ตั้งเป็นกรมขุนอนุรักษ์มนตรี[7]

หนึ่งปีก่อนพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสวรรคต พระองค์ทรงแต่งตั้งเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต พระอนุชาของเจ้าฟ้าเอกทัศ ให้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตทูลว่า เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี พระเชษฐา ยังคงอยู่ขอพระราชทานให้เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลน่าจะสมควรกว่า พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศจึงตรัสว่า กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้น เป็นวิสัยพระทัยปราศจากความเพียร ถ้าจะให้ดำรงฐานานุศักดิ์อุปราชสำเร็จราชกิจกึ่งหนึ่ง ก็จะเกิดวิบัติฉิบหายเสีย เห็นแต่กรมขุนพรพินิจ กอปรด้วยสติปัญญาฉลาดเฉลียว ควรจะดำรงเศวตฉัตรรักษาแผ่นดินได้[8] แล้วรับสั่งกับกรมขุนอนุรักษ์มนตรีว่า "จงไปบวชเสีย อย่าอยู่ให้กีดขวาง" กรมขุนอนุรักษ์มนตรีเกรงพระราชอาญาจึงจำพระทัยทูลลาผนวชไปประทับ ณ วัดละมุดปากจั่น ส่วนเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตได้รับอุปราชาภิเษกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลแทน[9]

การเสด็จขึ้นครองราชย์

เมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2301 พระเจ้าอุทุมพรเสด็จขึ้นครองราชย์ ระหว่างนั้นกรมขุนอนุรักษ์มนตรีเสด็จมาประทับ ณ พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์[10] ราว 2 เดือนต่อมา พระเจ้าอุทุมพรเสด็จไปถวายราชสมบัติแก่กรมขุนอนุรักษ์มนตรีแล้วเสด็จออกผนวช ประทับ ณ วัดประดู่ทรงธรรม กรมขุนอนุรักษ์มนตรีจึงเสด็จขึ้นราชาภิเษก ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชามหาอดิศร บวรสุจริต ทศพิธธรรมธเรศ เชษฐโลกานายกอุดม บรมนาถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว[11]

สงครามคราวเสียกรุงครั้งที่สอง

พระบรมสาทิสลักษณ์ที่มีการตีความว่าเป็นพระเจ้าอุทุมพร หรือพระเจ้าเอกทัศ ในสมุดพม่าชื่อ "นั้นเตวั้งรุปซุงประบุท" ณ หอสมุดบริติช (British Library) กรุงลอนดอน[12]

ในระหว่างที่พระองค์ครองราชย์ พระเจ้าอลองพญาได้ยกกองทัพเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2303 พระเจ้าเอกทัศได้ทรงขอให้พระเจ้าอุทุมพรลาผนวชมาช่วยบัญชาการรบ แต่พระเจ้าอลองพญาประชวรสวรรคตเสียก่อน

ต่อมาใน พ.ศ. 2307 พระเจ้ามังระ โอรสของพระเจ้าอลองพญา ได้เป็นพระเจ้าอังวะและส่งกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก ให้เกณฑ์กองทัพกว่า 70,000 นาย ยกเข้าตีเมืองสยาม 2 ทาง ทางทิศใต้เข้าตีเข้าทางเมืองมะริด ส่วนทางตอนเหนือตีลงมาจากแคว้นล้านนา และบรรจบกันที่กรุงศรีอยุธยาเป็นศึกขนานกันสองข้างโดยได้ล้อมกรุงศรีอยุธยานาน 1 ปี 2 เดือน ก็เข้าพระนครได้ เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2310

ในพงศาวดารฉบับหอแก้วและคองบองของพม่า ได้บรรยายให้เห็นว่าในสงครามครั้งนี้ ผู้ปกครองกรุงศรีอยุธยาเองก็ได้เตรียมการและกระทำการรบอย่างเข้มแข็ง มิได้เหลวไหลอ่อนแอ[13]

การสวรรคต

สาเหตุการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าเอกทัศมีสันนิษฐานไว้หลายข้อ ในหลักฐานของไทยส่วนใหญ่บันทึกไว้ว่าพระองค์เสด็จสวรรคตจากการอดพระกระยาหารเป็นเวลานานกว่า 10 วัน หลังจากที่เสด็จหนีไปซ่อนตัวที่ป่าบ้านจิก ใกล้กับวัดสังฆาวาส[14] ทหารพม่าเชิญเสด็จไปที่ค่ายโพธิ์สามต้น เมื่อเสด็จสวรรคต นายทองสุกได้นำพระบรมศพไปฝังไว้ที่โคกพระเมรุ ตรงหน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร[15] ต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงอัญเชิญพระบรมศพขึ้นถวายพระเพลิงตามโบราณราชประเพณี[16][17]

ฝ่ายพงศาวดารพม่าระบุว่า เกิดความสับสนระหว่างการหลบหนีในเหตุการณ์กรุงแตก จึงถูกปืนยิงสวรรคตที่ประตูท้ายวัง

ส่วนคำให้การของแอนโทนี โกยาตัน ตำแหน่ง หัวหน้าฝรั่งต่างด้าว (Head of the foreign Europeans) เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2311 มีว่า "กษัตริย์องค์ที่สูงวัย [พระเจ้าเอกทัศ] ถูกลอบปลงพระชนม์โดยชาวสยามเช่นเดียวกัน" หรือไม่พระองค์ก็ทรงวางยาพิษตนเอง[18]

พระนาม

  • ขุนหลวงเอกทัศ (พงศาวดารเรื่องไทยรบพม่า พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ)
  • ขุนหลวงสุริยามรินทร์ (พระราชหัตถเลขาเรื่องเสด็จประพาสลำน้ำมะขามเฒ่า และพระราชกระแสเรื่องจัดการทหาร มณฑลกรุงเทพฯ ในรัชกาลที่ ๕ พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
  • ขุนหลวงขี้เรื้อน (พระราชกรัณยานุสร พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
  • พระเจ้าขี้เรื้อน หรือ พระเจ้าขี้เรื้อนเกลื้อนกราก[19]: 213 
  • พระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์[20]: 26 
  • สมเด็จพระบรมราชาธิราช (พงศาวดารเรื่องไทยรบพม่า พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ)
  • สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า[21]: 19 
  • สมเด็จพระเอกทัศ หรือ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ (ประชุมพงษาวดาร ภาคที่ ๖ เรื่องไทยรบพม่าครั้งกรุงเก่า)
  • สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์
  • พระเจ้าเอกทัศ
  • พระราชาเอกทัศ (วรรณคดีเรื่อง สามกรุง พระนิพนธ์ของพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์)
  • สุริยามเรศ หรือ สุริยอมรอิศ (วรรณคดีเรื่อง สามกรุง พระนิพนธ์ของพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์)
  • พระที่นั่งราชาสุริยามรินทร์
  • เจ้าฟ้าเอกาทศราชา หรือ เจ้าฟ้าเอกาทัศ (มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า ฉบับแปลโดยนายต่อ)

พระอุปนิสัย

คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม กล่าวว่า :-

ฝ่ายพระบรมเอกทัศจึงประพฤติตามอย่างธรรมเนียมกษัตริย์แต่ก่อนมา พระองค์ก็บำรุงพระศาสนาครอบครองอาณาประชาราษฎรทั้งปวงตามประเพณี...พระองค์จึงบำรุงพระสาสนาแล้วครอบครองบ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุขมา แล้วพระองค์ก็สร้างอารามชื่อวัดลมุดแล้วสร้างวัดครุฑาวัดหนึ่ง พระองค์จึงฉลองเลี้ยงพระสงฆ์พันหนึ่งจึงถวายเครื่องไตรจีวรแลเครื่องสังเฆฏพันหนึ่ง เครื่องเทียบสิ่งละพัน ต้นกัลปพฤกษ์ก็พันหนึ่ง จึงแจกทานสารพัดสิ่งของนานา สิ่งละพัน แจกอาณาประชาราษฎรทั้งปวงเป็นอันมาก จึงปรายเงินทองวันละ ๑๐ ชั่ง เจ็ดวันเป็น ๗๐ ชั่ง จึงให้มีการมหรศพทั้งปวงสรรพสิ่งต่างๆ เป็นการใหญ่ถ้วน ๗ วัน แล้วพระองค์ จึงหลั่งน้ำทักขิโณทกให้ตกลงเหนือแผ่นพสุธาจึงแผ่กุศให้แก่สัตว์ทั้งปวงแล้วเสด็จคืนเข้ายังพระราชวัง พระองค์ตั้ง อยู่ในธรรมสุจริตบพิตรเสด็จไปถวายมนัสการพระศรีสรรเพ็ชญ์ทุกเพลามิได้ขาด พระบาทจงกรมอยู่เป็นนิตย์ บพิตรตั้งอยู่ในทศพิธ ๑๐ ประการ แล้ว ครอบครองกรุงขัณฑสีมา ทั้งสมณพราหมณาก็ชื่นชมยินดีปรีดิ์เป็นสุขนิราศทุกขภัย ด้วยเมตตาบารมี ทั้งฝนก็ดี บริบูรณพูนความสุขมิได้กันดาร ทั้งข้าว ปลาอาหารและผลไม้มีรสโอชา ฝูงอาณาประชาราษฎรแล้วชาวนิคมชนบทก็อยู่เย็นเกษมสาร มีแต่จักชักชวนกันทําบุญให้ทานและการขัณฑเสมา[22]: 144–145 


คำให้การชาวกรุงเก่า แปลจากฉบับหลวงเมืองพม่า กล่าวว่า :-

พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาพระองค์นี้ ทรงพระราชศรัทธาอุตสาหะ บําเพ็ญพระราชกุศลบริจาคพระราชทรัพย์เครื่องประดับอาภรณ์ทั้งปวง พระราชทานแก่ยาจกวณิพกเป็นอันมาก...[23]: 163 


เพลงยาวนิราศพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เมื่อครั้งเสด็จไปตีเมืองพม่า เมื่อ พ.ศ. 2336 กล่าวว่า :-

๏ ไม่รู้รอบประกอบในราชกิจประพฤติการแต่ที่ผิดด้วยอิจฉา
สุภาษิตท่านกล่าวเปนราวมาจะตั้งแต่งเสนาธิบดี
ไม่ควรจะให้อัครฐานจะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมีจึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา[24]
นิราสพระราชนิพนธ์ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท.

เหตุการณ์ในรัชสมัย

นายสังข์แอบอ้างเก็บภาษีผักบุ้ง

ภาษีผักบุ้งของนายสังข์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายตรงกับรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ปรากฎใน พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปลีก หมายเลข ๒/ก ๑๐๔ ฉบับเดียวเท่านั้น

เมื่อ พ.ศ. 2305 นายสังข์ มหาดเล็กบ้านคูจามแอบอ้างว่าเป็นพี่ชายของเจ้าจอมฟัก พระสนมเอก และ ปาน น้องสาวของตนก็เป็นพระสนมด้วยซึ่งมีอิทธิพลมากอยู่[25]: 29  ส่วน ญาติ ไหวดี กล่าวว่านายสังฆ์เป็นพี่ชายของหม่อมเพ็งกับหม่อมแม้น[26]: 68  นายสังข์จึงกระทำฉ้อราษฎร์ตั้งข้อบังคับโดยไม่ได้รับอนุญาต[27]: 96 [28]: 143  ว่าหากใครเก็บผักบุ้งต้องเอามาขายแก่นายสังข์แต่เพียงผู้เดียวหากขายให้ผู้อื่นจะถูกปรับเงินไหม 5 ตำลึง (หรือ 20 บาท) รวมทั้งราษฎรที่ปลูกผักบุ้งจะต้องเสียภาษีตามขนาดแพผักบุ้ง[29] นายสังข์รับซื้อผักบุ้งโดยกดราคาผักบุ้งแล้วไปขายในท้องตลาดแล้วขึ้นราคาแพง เป็นการผูกขาดภาษีลักษณะเป็นนายทุนผูกขาดสินค้า[30]: 486  ราษฎรที่เคยซื้อขายผักบุ้งมาแต่ก่อนต่างได้รับความเดือดร้อนจึงนำความไปแจ้งต่อทางการแต่ไม่มีข้าราชการผู้ใดนำความขึ้นกราบทูลฯ เนื่องจากนายสังข์กล่าวอ้างว่าเก็บภาษีผักบุ้งเข้าพระคลัง (แต่นายสังเก็บภาษีเข้าส่วนตัว) ตลอดระยะ 3 เดือนนายสังข์เก็บภาษีผักบุ้งได้ถึง 400 ชั่งเศษ (หรือ 32,000 บาท)

ปรากฎใน ปูมโหร ว่า:-

ศักราช ๑๑๒๔ มะเมีย จัตวาศก ทําภาษีผักบุ้ง[31]

วันหนึ่ง สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ทรงพระประชวรบรรทมไม่หลับโปรดจะทอดพระเนตรละครให้ทรงพระเกษมสำราญ จึงมีรับสั่งให้หาละครเข้าไปเล่น ละครมีผู้เล่น 2 คนคือ นายแทน เล่นเป็นตัวจำอวดฝ่ายชาย และ นายมี เล่นเป็นตัวจำอวดฝ่ายหญิง เมื่อเล่นบทผูดมัดจะเร่งเอาเงินค่าผูกคอ

นายมีจึงร้องเล่นว่า :-

จะเอาเงินมาแต่ไหนจนจะตาย แต่เก็บผักบุ้งขายยังมีภาษี[27]: 97 

นายมีร้องเล่นอย่างนี้ซ้ำ 2-3 หน จนสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ทรงประหลาดพระทัยจึงทรงตรัสถามมูลเหตุ นายแทน และนายมีทั้ง 2 คนจึงกราบทูลถวายถึงความเดือดร้อนที่นายสังข์บังอาจเก็บภาษีผักบุ้ง พระองค์ทรงฟังแล้วก็ทรงพระพิโรธ จึงมีรับสั่งให้เสนาบดีกรมพระคลังคืนเงินแก่ราษฎร ส่วนนายสังข์เดิมพระองค์จะทรงให้ประหารชีวิตแต่พระพิโรธลดลงก็โปรดให้ยกเว้นโทษประหารชีวิตไว้

โรคฝีระบาดระหว่างเสียกรุงครั้งที่ 2

เมื่อ พ.ศ. 2308 ปีระกา หลังจากกองทัพของเนเมียวสีหบดีและมังมหานรธายกทัพมาสมทบด้วยกันที่กรุงศรีอยุธยา และเริ่มเข้าประชิดล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ได้ทุกด้าน ในพระนครผู้คนอดอยาก ปรากฏว่ามีข้าราชการ และชาวกรุงศรีอยุธยาหลบหนีรอดจากพระนครจำนวนมากไปตามหัวเมืองต่างๆ ระหว่างเสียกรุงครั้งที่ 2 พระราชพงศาวดารพม่า ว่า :- "ขุนนางพากันหลบเหลื่อมหนีไปเสียแล้วก่อนเสียกรุงโดยมาก"[32]: 136–137  โดยเฉพาะเมืองพิษณุโลกหัวเมืองเหนือซึ่งมิได้เสียเมืองแก่พม่า ข้าราชการและชาวกรุงศรีอยุธยาทราบกิตติศัพท์ของเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ว่าเป็นคนเข้มแข็งจึงรักษาเมืองพิษณุโลกไว้ได้[33]: 46  จึงพากันหลบหนีไปเมืองพิษณุโลกจำนวนมาก[34]: 17  ระหว่างที่ชาวกรุงศรีอยุธยากำลังหลบหนีพม่าได้ก็เกิดโรคฝี (ไข้ทรพิษ) ระบาด มีผู้คนล้มตายมาก

จดหมายเหตุโหร ตำราพระยาโหราธิบดี (เถื่อน) เจ้ากรมโหรหลวง กล่าวว่า :-

ศักราช ๑๑๒๗ ปีระกา เศษ ๓ ไอ้พม่าล้อมกรุง ชนออกฝีตายมากแล[35]: 18:เชิงอรรถ ๘ [36]: 73 

พระราชกรณียกิจ

ในทัศนะของสุเนตร ชุตินธรานนท์ มีความเห็นว่า ผู้ชำระพงศาวดารไทยไม่ได้ระบุพระราชกรณียกิจของพระเจ้าเอกทัศ ซ้ำยังกล่าวพาดพิงในแง่ร้ายอยู่บ่อยครั้ง หากแต่ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่น ๆ กลับมีการกล่าวถึงพระมหากษัตริย์พระองค์นี้อย่างชื่นชม

คำให้การชาวกรุงเก่า ปรากฏความว่า "[พระมหากษัตริย์พระองค์นี้] ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง"

ใน คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ปรากฏความว่า "พระองค์ตั้งอยู่ในธรรมสุจริต บพิตรเสด็จไปถวายนมัสการพระศรีสรรเพชทุกเพลามิได้ขาด พระบาทจงกรมอยู่เป็นนิจ บพิตรตั้งอยู่ในทศพิธสิบประการ แล้วครอบครองกรุงขันธสีมา ทั้งสมณพราหมณ์ก็ชื่นชมยินดีปรีเปนศุขนิราชทุกขไภย ด้วยเมตตาบารมีทั้งฝนก็ดีบริบูรณภูลความศุกมิได้ดาล ทั้งข้าวปลาอาหารและผลไม้มีรสโอชา ฝูงอาณาประชาราษฎร์และชาวนิคมชนบทก็อยู่เยนเกษมสานต์ มีแต่จะชักชวนกันทำบุญให้ทาน และการมโหรสพต่าง ๆ ทั้งนักปราชผู้ยากผู้ดีมีแต่ความศุกที่ทุกขอบขันธสีมา"

นอกจากนี้ จากหลักฐานทั้งสอง ยังได้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระเจ้าเอกทัศ เช่น ทรงออกพระราชบัญญัติเครื่องชั่ง ตวง วัดต่าง ๆ, มาตราเงินบาท สลึง เฟื้องให้เที่ยงตรง และโปรดให้ยกเลิกภาษีอากรต่าง ๆ เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้ง "ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บ้านเมืองสงบ การค้าขายเจริญ ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ให้แก่คนยากจนจำนวนมาก"[37]

พระราชกรณียกิจด้านการศาสนา ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โปรดให้หล่อพระพุทธรูปขนาดเท่าพระองค์ และบริจาคทรัพย์ทำการเฉลิมฉลองพระพุทธรูปแล้วอัญเชิญพระพุทธรูปพระองค์นั้นไปยังวัดวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์ ในช่วงต้นรัชกาล ทรงบริจาคพระราชทรัพย์เพื่อสร้างพระอารามขึ้นมา 2 แห่ง คือ วัดละมุด และวัดครุฑธาราม และยังพระราชดำเนิน ไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรีเป็นประจำทุกปีอีกด้วย และเมื่อยามสงบสุข พระองค์โปรดทำบุญบริจาคทรัพย์ให้แก่ผู้ยากไร้เป็นประจำเช่นกัน[38]

พระราชโอรสธิดา

บัญชีพระนามเจ้านาย ในคำให้การชาวกรุงเก่า ระบุว่าพระเจ้าเอกทัศมีพระราชโอรสธิดา 5 พระองค์[1]

ประสูติแต่กรมขุนวิมลพัตร พระอัครมเหสี คือ

  1. เจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรเทวี (ศรีจันทเทวี)

ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเพ็ง พระสนมเอก มี 2 พระองค์ คือ

  1. พระองค์เจ้าหญิงสตันสรินทร์ (ประพาลสุริยวงศ์)
  2. พระองค์เจ้าชายประเวศกุมาร (ประไพกุมาร)

ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแม้น พระสนมเอก มี 2 พระองค์ คือ

  1. พระองค์เจ้าหญิงสูรา (รุจจาเทวี)
  2. พระองค์เจ้าชายสุทัศน์ (กุมารา)

ส่วน บัญชีรายพระนามพระราชวงศ์และข้าราชการสยามที่พม่าว่าจับไปได้จากกรุงศรีอยุธยา เมื่อกรุงเสียในปี พ.ศ. 2310 ระบุรายพระนามเจ้านายว่ามีพระราชชายา 4 พระองค์ และมีพระราชโอรส-ธิดา 7 พระองค์ในสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อัมรินทร์ถูกจับไปยังพม่า ได้แก่[39]

ทัศนะ

ฝ่ายซึ่งเห็นว่าพระองค์มีพระราชประวัติความประพฤติไม่ดีก็ว่า ราษฎรไม่เลื่อมใสศรัทธาเพราะพระมหากษัตริย์ทรงประพฤติตนไม่เหมาะสม บ้านเมืองเกิดความระส่ำระสาย มีข้าราชการลาออกจากราชการอยู่บ้าง สังคมสมัยนั้นมีการกดขี่รีดไถ ข่มเหงรังแกราษฎรอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อขุนนางชั้นผู้น้อยเห็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทำก็เลียนแบบ ราษฎรและข้าราชการทั้งหลายหมดที่พึ่งจึงแตกความสามัคคี ดังที่บาทหลวงฝรั่งเศสได้เขียนจดหมายเหตุบันทึกไว้ว่า: "... บ้านเมืองแปรปรวน เพราะฝ่ายใน [พระราชชายา] ได้มีอำนาจเท่ากับพระเจ้าแผ่นดินผู้มีความผิดฐานกบฏ ฆ่าคนตายเอาไฟเผาบ้านเรือนจะต้องได้รับโทษถึงประหารชีวิต แต่ความโลภของฝ่ายในให้เปลี่ยนเป็นริบทรัพย์สิน ริบได้ก็ตกเป็นของฝ่ายในทั้งสิ้น พวกข้าราชการเห็นความโลภของฝ่ายใน ก็แสวงหาผลประโยชน์กับผู้ต้องหาคดีให้ได้มากที่สุดที่จะหาได้ จะได้แบ่งเอาบ้าง ความเดือดร้อนลำเค็ญก็ยิ่งทับถมราษฎรมากขึ้น...

"[40]

ในประวัติศาสตร์ไทย พระเจ้าเอกทัศเป็นพระมหากษัตริย์ที่ถูกกล่าวถึงในแง่ร้ายเรื่อยมา และถูกจดจำในฐานะ "บุคคลที่ไม่มีใครอยากจะตกอยู่ในฐานะเดียวกัน" เหตุเพราะไม่สามารถป้องกันกรุงศรีอยุธยาให้พ้นจากข้าศึก ทั้งนี้ คนไทยที่เหลือรอดมาถึงสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้นถือเอาว่า พระองค์ควรรับผิดชอบการเสียกรุงครั้งที่สองร่วมกับพระเจ้าอุทุมพร[41]

ครั้ง พ.ศ. 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวรหนัก เหตุเพราะช้ำพระราชหฤทัยที่สยามยกดินแดนให้ฝรั่งเศสไป (วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112) โดยทรงพระราชนิพนธ์บทกวีรำพันความทุกข์ร้อน และท้อพระทัยว่าจะถูกนินทาไปตลอดกาล ดังเช่นสองพระมหากษัตริย์ (พระเจ้าอุทุมพรและพระเจ้าเอกทัศ) ผู้ไม่อาจปกป้องกรุงศรีอยุธยาจากศัตรู ในช่วงนั้นก็ทรงพระราชนิพนธ์บทกวีรำพึงถึงความกลัดกลุ้มทุกข์ร้อน ทั้งกลัวว่าจะถูกติฉินนินทาไม่รู้จบสิ้น เหมือนสองกษัตริย์ผู้ไม่สามารถจะปกป้องกรุงศรีอยุธยาเอาไว้ได้จากข้าศึกศัตรู ความดังนี้[41]

"เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์มะนะเรื่องบำรุงกาย
ส่วนจิตบ่มีสบายศิระกลุ้มอุราตรึง
แม้หายก็พลันยากจะลำบากฤทัยพึง
ตริแต่จะถูกรึงอุระรัดและอัตรา
กลัวเป็นทวิราชบ่ตริป้องอยุธยา
เสียเมืองจึงนินทาบ่ละเว้นฤๅว่างวาย

ในวัฒนธรรมสมัยใหม่

มีนักแสดงผู้รับบท สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ได้แก่

พงศาวลี

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

เชิงอรรถ
บรรณานุกรม
  • จรรยา ประชิตโรมรัน. การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2547. ISBN 974-13-2907-5
  • นราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพระราชพงศาวดารพม่า. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2550. 1136 หน้า. ISBN 978-974-7088-10-6
  • ประชุมคำให้การกรุงศรีอยุธยา รวม 3 เรื่อง. กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2553. 536 หน้า. ISBN 978-616-508-073-6
  • พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน. กรุงเทพฯ : อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์, 2558. 558 หน้า. ISBN 978-616-92351-0-1 [จัดพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในการพระราชทานเพลิงศพพระธรรมปัญญาบดี (ถาวร ติสฺสานุกโร ป.ธ.๔)]
  • พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) และเอกสารอื่น. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2553. 800 หน้า. ISBN 978-616-7146-08-9
  • สุเนตร ชุตินธรานนท์. (2541). สงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๑๐: ศึกษาจากพงศาวดารพม่าฉบับราชวงศ์คองบอง. สำนักพิมพ์ศยาม. หน้า 81-82.
ก่อนหน้าสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ถัดไป
สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร
(พ.ศ. 2301)

พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา
(ราชวงศ์บ้านพลูหลวง)

(พ.ศ. 2301 — 7 เมษายน พ.ศ. 2310)
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
(พ.ศ. 2310-2325)
🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง