โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019[9] (โควิด-19) เป็นโรคติดเชื้ออันเกิดจากไวรัสโคโรนากลุ่มอาการทางเดินทางหายใจเฉียบพลันรุนแรง 2 (SARS-CoV-2)[10] มีการระบุโรคครั้งแรกในเดือนธันวาคม 2562 ในนครอู่ฮั่น เมืองหลวงของมณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน และได้กระจายไปทั่วโลกนับแต่นั้น ส่งผลให้เกิดการระบาดทั่วของโควิด-19[11][12]
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) | |
---|---|
ชื่ออื่น | โควิด-19, ปอดบวมไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่[1][2] |
ผู้ป่วยโควิด-19 แบบมีอาการหนัก กำลังรับการรักษาในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก | |
การออกเสียง | |
สาขาวิชา | โรคติดเชื้อ |
อาการ | ไข้ ไอ อ่อนเพลีย หายใจกระชั้น ไม่ได้กลิ่น บางทีไม่มีอาการ[4][5][6] |
ภาวะแทรกซ้อน | ปอดบวม, ภาวะพิษเหตุติดเชื้อไวรัส, กลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน, ไตวาย, กลุ่มอาการหลั่งไซโตไคน์, กลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็ก, พังผืดที่ปอด, โควิดเรื้อรัง |
การตั้งต้น | 2–14 วัน หลังได้รับเชื้อ (โดยทั่วไป 5 วัน) |
ระยะดำเนินโรค | มีตั้งแต่ 5 วัน ถึง 10 เดือน |
สาเหตุ | ไวรัสโคโรนากลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS-CoV-2) |
ปัจจัยเสี่ยง | การเดินทาง การสัมผัสไวรัส |
วิธีวินิจฉัย | การทดสอบ rRT-PCR, ซีทีสแกน |
การป้องกัน | การล้างมือ, การปิดใบหน้า, การกักโรค, การเว้นระยะห่างทางสังคม[7], วัคซีน |
การรักษา | การรักษาตามอาการและประคับประคอง |
ความชุก | ผู้ป่วยยืนยันแล้ว 183,474,301[8] ราย |
การเสียชีวิต | 3,971,197 ราย (2% ของผู้ป่วยยืนยันแล้ว)[8] |
อาการทั่วไป ได้แก่ ไข้ ไอ และหายใจลำบาก อาการอื่น ๆ อาจรวมถึงอ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ท้องร่วง เจ็บคอ ภาวะเสียการรู้กลิ่นและภาวะเสียการรู้รส[5][6][13] แม้ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง แต่บ้างทรุดลงเป็นกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (ARDS) ซึ่งน่าจะมีปัจจัยกระตุ้นจากพายุไซโตไคน์[14] อวัยวะล้มเหลวหลายอวัยวะ ช็อกเหตุพิษติดเชื้อ และลิ่มเลือด[15][16][17] เวลาตั้งแต่การสัมผัสจนถึงเริ่มแสดงอาการตามแบบฉบับอยู่ที่ 5 วัน แต่อาจมีได้ตั้งแต่ 2-14 วัน[5][18]
ไวรัสแพร่ระบาดได้ระหว่างบุคคลในช่วงที่มีการสัมผัสใกล้ชิดเป็นหลัก[a] มักผ่านละอองเสมหะขนาดเล็กที่เกิดจากการไอ[b] จามหรือสนทนา[6][19][21] แม้ละอองเสมหะเหล่านี้เกิดเมื่อหายใจออก แต่ปกติจะตกลงสู่พื้นหรือติดค้างบนพื้นผิว ไม่ใช่ติดเชื้อได้จากระยะไกล[6] บุคคลอาจติดเชื้อได้จากการสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนแล้วนำมาแตะตา จมูกหรือปากของตน[6] ไวรัสสามารถอยู่รอดบนพื้นผิวได้นานถึง 72 ชั่วโมง ไวรัสติดต่อทางสัมผัสได้มากที่สุดระหว่างสามวันแรกหลังเริ่มแสดงอาการ กระนั้นไวรัสอาจแพร่ได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มปรากฏอาการและในโรคระยะหลังแล้ว วิธีการวินิจฉัยมาตรฐาน คือ ปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรสย้อนกลับแบบเรียลไทม์ (rRT-PCR) จากการกวาดคอหอยส่วนจมูก[22] การถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ทรวงอกอาจเป็นประโยชน์สำหรับวินิจฉัยผู้ที่ต้องสงสัยติดเชื้อมากโดยอาศัยอาการและปัจจัยเสี่ยง แต่ไม่แนะนำให้ใช้คัดกรองเป็นกิจวัตร[23][24]
มาตรการที่แนะนำในการป้องกันการติดเชื้อ ได้แก่ การหมั่นล้างมือ การเว้นระยะห่างทางกายกับผู้อื่น (โดยเฉพาะจากผู้ที่มีอาการ) การปิดการไอและจามด้วยกระดาษทิชชูหรือข้อพับศอก และงดนำมือที่ไม่ได้ล้างแตะใบหน้า[7][25][26] แนะนำให้ใช้หน้ากากอนามัยสำหรับผู้ที่สงสัยว่าตนเองมีไวรัสและผู้ดูแลบุคคลเหล่านั้น[27][28] คำแนะนำการใช้หน้ากากอนามัยสำหรับประชาชนทั่วไปนั้นแตกต่างกันไปตามหน่วยงาน บ้างไม่แนะนำให้ใช้ บ้างแนะนำให้ใช้ และบ้างกำหนดว่าต้องใช้[28][29][30]
มีการพัฒนาวัคซีนสำหรับโควิด-19 ออกมาแล้วหลายชนิด เช่น ไฟเซอร์ โมเดิร์นน่า ซิโนแวค แอสต้าซินิก้า ฯลฯ และหลายประเทศกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการให้วัคซีนแก่ประชาชนของตัวเอง การรักษาหลักๆ เป็นการรักษาอาการ การประคับประคอง การแยกตัว และมาตรการในขั้นทดลอง[31] องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ (PHEIC) เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2563[32][33] และเป็นโรคระบาดทั่วเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563[12] มีการบันทึกการแพร่เชื้อในท้องถิ่นในประเทศส่วนใหญ่ของภูมิภาค WHO ทั้งหกภูมิภาค[34]
อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยโควิด-19 มีอาการได้หลากหลาย ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง[5][35] อาการที่พบบ่อยได้แก่ ปวดศีรษะ สูญเสียการรับกลิ่นและรส คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ ปวดกล้ามเนื้อ เจ็บคอ มีไข้ ถ่ายเหลว และหายใจลำบาก[36] ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเดียวกันอาจมีอาการแตกต่างกัน และเปลี่ยนแปลงได้เมื่อการป่วยดำเนินไป โดยทั่วไปแล้วพบการเจ็บป่วยได้ 3 รูปแบบหลักๆ ได้แก่ แบบที่มีอาการระบบหายใจเป็นหลัก คือไอ มีเสมหะ หายใจลำบาก และมีไข้, แบบที่มีอาการทางระบบกล้ามเนื้อเป็นหลัก คือปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดหัว อ่อนเพลีย, และแบบที่มีอาการทางระบบย่อยอาหารเป็นหลัก คือปวดท้อง อาเจียน และถ่ายเหลว อาการสูญเสียการรับกลิ่นและรสเป็นอาการที่พบได้บ่อย โดยบางรายงานพบว่าหากไม่นับผู้ที่มีโรคของหู คอ จมูก อยู่เดิมแล้วสามารถพบอาการนี้ได้สูงสุดถึง 88%[37][38][39]
ในบรรดาผู้ป่วยที่มีอาการ ส่วนใหญ่จะมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง (นับถึงการมีปอดอักเสบเล็กน้อย) คิดเป็น 81%, อีก 14% จะมีอาการรุนแรง (หายใจลำบาก ออกซิเจนต่ำ หรือมีรอยโรคที่ปอดมากกว่า 50% จากการตรวจภาพถ่ายรังสี), และอีก 5% จะมีอาการถึงขั้นวิกฤติ (การหายใจล้มเหลว ช็อก อวัยวะล้มเหลว)[4] มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ตั้งแต่ติดเชื้อจนหายไม่มีอาการใดๆ เลย ซึ่งบางรายงานพบว่าอาจมีมากถึงหนึ่งในสามของผู้ป่วยทั้งหมด[40][41] ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะไม่ได้รับการตรวจหาเชื้อ และสามารถแพร่กระจายเชื้อต่อไปได้[41][42][43][44] ผู้ป่วยระยะก่อนมีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยก็สามารถแพร่เชื้อได้เช่นกัน[44]
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการ หลังจากได้รับเชื้อแล้วผู้ป่วยจะมีระยะเวลาที่ยังไม่แสดงอาการอยู่ช่วงหนึ่ง เรียกว่า ระยะฟักตัว โดยระยะฟักตัวของโควิด-19 มีค่ามัธยฐานอยู่ที่ประมาณ 4-5 วัน[45] โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ 2-7 วัน และเกือบทั้งหมดจะไม่เกิน 12 วัน[45][46]
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้นได้ อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยส่วนหนึ่งอาจยังมีอาการบางอย่างหลงเหลืออยู่แม้จะหายป่วยจากระยะเฉียบพลันแล้ว เช่น อ่อนเพลีย เป็นต้น เรียกว่า ผลระยะยาวของโควิด-19 บางรายงานพบอาการเช่นนี้ในกว่าครึ่งของผู้ป่วยวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่รับการรักษาที่บ้าน[47][48] ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งมีการทำงานของอวัยวะบกพร่องในระยะยาวหลังหายป่วยระยะเฉียบพลัน ทั้งนี้ยังมีการเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาผลระยะยาวของโรคนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง[49]
สาเหตุ
การแพร่เชื้อ
โควิด-19 แพร่เมื่อบุคคลมีการสัมผัสใกล้ชิดเป็นหลัก (2 เมตร) โดยทางละอองฝอยขนาดเล็กที่เกิดระหว่างการไอ จามหรือสนทนา[6][21] บุคคลหายใจเอาละอองฝอยที่ปนเปื้อนที่ผู้ป่วยหายใจออกมาเข้าไปในปอด หรือละอองฝอยนั้นติดอยู่บนใบหน้าของบุคคลอื่นทำให้เกิดการติดเชื้อใหม่[19] ละอองฝอยนี้ค่อนข้างหนัก ปกติจะตกลงสู่พื้นผิวและไม่ปลิวไปไกลในอากาศ[6][21] บุคคลสามรถแพร่ไวรัสได้ขณะยังไม่แสดงอาการ แต่ไม่ชัดเจนว่าเกิดขึ้นบ่อยมากน้อยเพียงใด[6][19][21] การประมาณจำนวนผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการหนึ่งประมาณไว้ 40%[50] บุคคลแพร่เชื้อได้มากที่สุดเมื่อแสดงอาการ (แม้แต่อาการเบาหรือไม่จำเพาะ) แต่อาจแพร่เชื้อได้จนถึงสองวันก่อนปรากฏอาการ (การแพร่เชื้อก่อนมีอาการ)[21] และยังคงแพร่เชื้อต่ออีก 7 ถึง 12 วันโดยประมาณในผู้ป่วยปานกลาง และโดยเฉลี่ย 2 สัปดาห์ในผู้ป่วยรุนแรง[21]
เมื่อละอองฝอยที่มีเชื้อตกลงสู่พื้นหรือพื้นผิว ละอองฝอยนั้นยังติดเชื้อได้หากบุคลสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนแล้วนำมือไปสัมผัสตา จมูกหรือปากของตนแม้ว่าจะพบได้น้อย[6] ปริมาณไวรัสกัมมนต์บนพื้นผิวจะลดลงเรื่อยๆ ตามเวลาจนในที่สุดไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้ออีก[21] และถึงแม้ว่าจะคาดว่าพื้นผิวไม่ใช่วิถีหลักที่ไวรัสแพร่กระจาย[19] และยังไม่มีข้อมูลที่ทราบแน่ชัดว่าไวรัสปริมาณเท่าใดบนพื้นผิวที่จะก่อให้เกิดการติดเชื้อด้วยวิธีนี้ แต่ไวรัสยังคงสามารถตรวจพบได้บนพื้นผิวทองแดงแม้ว่าเวลาล่วงไป 4 ชั่วโมง สำหรับพื้นผิวที่เป็นกระดาษลังยังคงพบเชื้อได้แม้เวลาผ่านไปหนึ่งวัน และสามารถพบเชื้ออยูบนพลาสติก (พอลิโพรพีลีน) หรือเหล็กกล้าไร้สนิม (AISI 304) แม้เวลาจะผ่านไปสามถึงสี่วันก็ตาม[21][51] พื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสโควิด-19 นั้น สามารถทำความสะอาดและฆ่าเชื้อได้โดยง่าย ด้วยการใช้สารทำความสะอาดที่ใช้อยู่ทั่วไปตามครัวเรือน ซึ่งฆ่าไวรัสที่อยู่นอกร่างกายมนุษย์หรืออยู่บนมือ[6]
เสมหะและน้ำลายพาไวรัสไปปริมาณมาก[6][19][21][52] แม้ว่าโควิด-19 ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่การจูบ การสัมผัสทางเพศ และทางอุจจาระ-ปากต้องสงสัยว่าแพร่เชื้อไวรัส[53][54] วิธีดำเนินการทางการแพทย์บางอย่างก่อให้เกิดละอองลอย[55] และทำให้ไวรัสสามารถแพร่ได้ง่ายกว่าปกติ[6][21]
โควิด-19 ยังเป็นโรคใหม่ และรายละเอียดจำนวนมากเกี่ยวกับการแพร่ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน[6][19][21] โรคนี้แพร่กระจายระหว่างมนุษย์ได้ง่าย คือ ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่แต่ยังไม่เท่าโรคหัด[19] ประมาณจำนวนผู้ติดเชื้อโดยผู้ป่วยโควิด-19 หนึ่งคน (R0) แตกต่างกันมาก ค่าประมาณตั้งต้นของ WHO อยู่ที่ 1.4–2.5 (เฉลี่ย 1.95) อย่างไรก็ดีบทปฏิทัศน์ในภายหลังพบค่า R0 พื้นฐาน (โดยไม่มีมาตรการควบคุม) สูงกว่านั้นคือ 3.28 และ R0 มัธยฐานเท่ากับ 2.79[56]
วิทยาไวรัส
ไวรัสโคโรนากลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง 2 (SARS-CoV-2) เป็นไวรัสโคโรนากลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งแยกได้ครั้งแรกจากผู้ป่วยโรคปอดบวมสามคนซึ่งเชื่อมโยงกับคลัสเตอร์อาการป่วยทางเดินหายใจเฉียบพลันในอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน[57] คุณสมบัติทั้งหมดของไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นในไวรัสโคโรนาที่เกี่ยวข้องในธรรมชาติ เมื่ออยู่นอกร่างกายมนุษย์ ไวรัสถูกฆ่าได้ง่ายด้วยสบู่ตามครัวเรือน ซึ่งจะทำให้เปลือกที่ห่อหุ้มไวรัสแตก[23]
SARS-CoV-2 มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ SARS-CoV สายพันธุ์เดิม[58] เชื่อว่ากำเนิดขึ้นในสัตว์ การวิเคราะห์ทางพันธุกรรมเปิดเผยว่าไวรัสโคโรนามีคลัสเตอร์ทางพันธุกรรมกับสกุล Betacoronavirus ในสกุลย่อย Sarbecovirus (สายพันธุ์บี) ร่วมกับไวรัสที่มาจากค้างคาวอีกสองสายพันธุ์ ไวรัสมีความเหมือน กับตัวอย่างไวรัสโคโรนาค้างคาว (BatCov RaTG13) 96% ในระดับจีโนมทั้งหมด[59] ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 นักวิจัยชาวจีนพบว่าไวรัสจากลิ่นและจากมนุษย์มีกรดอะมิโนแตกต่างกันโมเลกุลเดียวในลำดับจีโนมบางส่วน อย่างไรก็ดี การเปรียบเทียบทั้งจีโนมในปัจจุบันพบว่าสารพันธุกรรมส่วนใหญ่ 92% เหมือนกันระหว่างไวรัสโคโรนาลิ่นกับ SARS-CoV-2 ซึ่งไม่เพียงพอต่อการพิสูจน์ว่าตัวลิ่นเป็นตัวถูกเบียนมัธยันตร์[60]
เกิดสายพันธุ์ที่มีชื่อเสียงของ SARS-CoV-2 ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2563 คลัสเตอร์ 5 เกิดขึ้นในหมู่ตัวมิงค์และผู้เลี้ยงตัวมิงค์ในเดนมาร์ก (เชื่อว่าถูกกำจัดไปแล้วเนื่องจากมีการกักกันอย่างเข้มงวดและฆ่าสัตว์ติดเชื้อ) Variant of Concern 202012/01 (VOC 202012/01) เชื่อว่าเกิดขึ้นในสหราชอาณาจักรในเดือนกันยายน และสายพันธุ์ 501Y.V2 เกิดขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้[61][62]
พยาธิสรีรวิทยา
ปอดเป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากโควิด-19 เพราะไวรัสเข้าถึงเซลล์ของผู้ป่วยผ่านเอนไซม์ angiotensin-converting enzyme 2 (ACE2) ซึ่งพบมากที่สุดเซลล์ถุงลมชนิดที่ 2 ของปอด[63] ไวรัสใช้ไกลโคโปรตีนผิวแบบพิเศษที่เรียก "สไปก์" (peplomer) เชื่อมต่อกับ ACE2 และเข้าสู่เซลล์ของผู้ป่วย[64] ด้านหนึ่งมองว่าการเพิ่ม ACE2 โดยใช้ยายับยั้งตัวรับแองกิโอเทนซิน 2 อาจป้องกันโรคได้[65]
SARS-CoV-2 อาจทำให้เกิดทางเดินทางหายใจล้มเหลวโดยมีผลต่อก้านสมองเช่นเดียวกับไวรัสโคโรนาตัวอื่นที่พบว่ารุกล้ำระบบประสาทส่วนกลาง แม้ว่ามีการตรวจพบไวรัสในน้ำหล่อสมองและไขสันหลังในการชันสูตรพลิกศพ แต่กลไกการรุกล้ำระบบประสาทส่วนกลางที่แน่ชัดยังไม่ชัดเจนและอาจเกี่ยวข้องกับการรุกล้ำเส้นประสาทส่วนปลายเนื่องจากในสมองมีระดับ ACE2 ต่ำ[66] ไวรัสยังมัผลต่ออวัยวะกระเพาะอาหารและลำไส้เนื่องจาก ACE2 มีการแสดงออกอยู่มากในเซลล์ต่อมของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้นและไส้ตรง[67]
ไวรัสสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจเฉียบพลัน และความเสียหายเรื้อรังต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด[68] พบการบาดเจ็บของหัวใจเฉียบพลันใน 12% ของผู้ติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในอู่ฮั่น ประเทศจีน[69] อัตราอาการระบบหัวใจและหลอดเลือดมีสูงสืบเนื่องจากการตอบสนองอักเสบทั่วร่างและโรคระบบภูมิคุ้มกันระหว่างการดำเนินโรค แต่การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหัวใจอาจมีความสัมพันธ์กับตัวรับ ACE2 ในหัวใจ[68]
รายงานระยะแรกแสดงว่าผู้ป่วยที่รับรักษาในโรงพยาบาลทั้งในประเทศจีนและนิวยอร์กถึง 30% มีการบาดเจ็บของไตบ้าง รวมทั้งผู้ไม่เคยมีปัญหาไตเดิม[70]
พยาธิวิทยาภูมิคุ้มกัน
แม้ว่า SARS-COV-2 มีการโน้มตอบสนองต่อเซลล์บุทางเดินหายใจที่แสดง ACE2 แต่ผู้ป่วยโควิด-19 รุนแรงมีอาการอักเสบมากเกินทั่วร่าง (systemic hyperinflammation) ข้อค้นพบทางห้องปฏิบัติการคลินิกที่มี IL-2, IL-7, IL-6, granulocyte-macrophage colony-stimulating factor (GM-CSF), interferon-γ inducible protein 10 (IP-10), monocyte chemoattractant protein 1 (MCP-1), macrophage inflammatory protein 1-α (MIP-1α), และ tumour necrosis factor-α (TNF-α) สูงขึ้นบ่งชี้ถึงกลุ่มอาการจากการหลั่งไซโตไคน์ (CRS) เสนอว่ามีพยาธิวิทยาภูมิคุ้มกันพื้นเดิม[69]
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโควิด-19 และกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (ARDS) มีไบโอมาร์กเกอร์ซีรัมซึ่งบ่งชี้ CRS คลาสสิก ได้แก่ ระดับซี-รีแอคทีฟ โปรตีน (CRP), แล็กเตดดีไฮโดรจีเนส (LDH), ดี-ไดเมอร์และเฟอร์ริตินสูง[71]
การวินิจฉัย
WHO จัดพิมพ์เกณฑ์วิธีการทดสอบหลายเกณฑ์สำหรับโรค[73] วิธีการทดสอบมาตรฐาน คือ ปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรสแบบย้อนกลับเรียลไทม์ (rRT-PCR)[74] โดยมาตรฐานแล้วการทดสอบนี้ต้องใช้กับตัวอย่างทางเดินหายใจที่ได้จากการกวาดคอหอยส่วนจมูก อย่างไรก็ดี อาจใช้การกวาดจมูกหรือตัวอย่างเสมหะได้[22][75] โดยทั่วไปจะทราบผลในไม่กี่ชั่วโมงถึงสองวัน[76][77] สามารถใช้การทดสอบเลือดได้ แต่ต้องใช้ตัวอย่างเลือดสองตัวอย่างแยกกันและเก็บห่างกันสองสัปดาห์ และผลลัพธ์ที่ได้มีคุณค่าทันทีน้อย[78] นักวิทยาศาสตร์จีนสามารถแยกสายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาและจัดพิมพ์ลำดับพันธุกรรมเพื่อให้ห้องปฏิบัติการทั่วโลกสามารถพัฒนาการทดสอบปฏิกิริยาลูกโซ่โพลีเมอเรส (PCR) ได้อย่างอิสระเพื่อตรวจหาการติดเชื้อไวรัส ณ วันที่ 4 เมษายน 2563 การทดสอบแอนติบอดี (ซึ่งอาจตรวจพบการติดเชื้อที่กำลังดำเนินอยู่ และว่าบุคคลนั้นเคยติดเชื้อมาก่อนหรือไม่) กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา แต่ยังไม่มีใช้แพร่หลาย[79][80][81] ประสบการณ์การทดสอบของจีนแสดงให้เห็นว่ามีความแม่นยำเพียง 60 ถึง 70%[82] องค์การอาหารและยาในสหรัฐอนุมัติการทดสอบข้างเตียงครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2563 สำหรับใช้ในปลายเดือนนั้น[83]
แนวทางการวินิจฉัยที่ออกโดยโรงพยาบาลจงหนาน มหาวิทยาลัยอู่ฮั่น แนะนำวิธีการตรวจหาการติดเชื้อตามลักษณะทางคลินิกและความเสี่ยงทางวิทยาการระบาด สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการระบุตัวผู้ที่มีอาการต่อไปนี้อย่างน้อยสองอาากร ร่วมกับมีประวัติเดินทางไปอู่ฮั่นหรือสัมผัสกับผู้ติดเชื้อรายอื่น ได้แก่ ไข้ ภาพถ่ายรังสีที่เข้าได้กับปอดบวม จำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวปกติหรือต่ำ หรือมีลิมโฟไซต์ต่ำ[84]
การศึกษาหนึ่งให้ผู้ป่วยโควิด-19 ที่รับการรักษาในโรงพยาบาลไอลงในภาชนะปลอดเชื้อเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำลาย และตรวจพบไวรัสในผู้ป่วยสิบเอ็ดจากสิบสองรายโดยใช้ RT-PCR เทคนิคนี้มีศักยภาพเร็วกว่าการกวาดและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขน้อยกว่า (เก็บที่บ้านหรือในรถ)[52]
เมื่อใช้ร่วมกับการทดสอบทางห้องปฏิบัติการ การทำซีทีสแกนทรวงอกอาจเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโควิด-19 ในคนที่อาการทางคลินิกบ่งชี้ว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นโรค แต่ไม่แนะนำให้ใช้คัดกรองเป็นการทั่วไป[23][24] ในระยะต้นมักพบรอยโรคเป็นรอยทึบแบบกระจกฝ้าในเนื้อปอดหลายกลีบและเป็นทั้งสองข้าง โดยกระจายแบบไม่สมมาตรและมักพบบ่อยที่ด้านนอกและด้านหลังของเนื้อปอด[23] เมื่อโรคดำเนินไปมากขึ้นอาจพบลักษณะมีรอยโรคเด่นที่เนื้อปอดด้านนอกใต้เยื่อหุ้มปอด (subpleural dominance), ผนังกั้นกลีบปอดย่อยหนาตัวพร้อมกับมีสารน้ำเติมเต็มถุงลมเห็นเป็นลักษณะคล้ายกระเบื้องปูพื้นถนน (crazy-paving pattern), และเนื้อปอดทึบ (consolidation) ได้[23][85]
ปลายปี 2562 WHO กำหนดรหัสโรคฉุกเฉิน ICD-10 U07.1 สำหรับการเสียชีวิตจากการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ที่ห้องปฏิบัติการยืนยันแล้ว และ U07.2 สำหรับการเสียชีวิตจากโตวิด-19 ที่วินิจฉัยทางคลินิกหรือวิทยาการระบาดโดยไม่มีการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ที่ห้องปฏิบัติการยืนยัน[86]
- ข้อค้นพบภาพถ่ายซีทีตรงแบบ
- ภาพถ่ายซีทีของระยะลุกลามอย่างรวดเร็ว
พยาธิวิทยา
มีข้อมูลเกี่ยวกับรอยโรคทางกล้องจุลทรรศน์และพยาธิสรีรวิทยาของโควิด-19 น้อย[87][88] ข้อค้นพบทางพยาธิวิทยาหลักในการชันสูตรพลิกศพ ได้แก่
- เห็นได้ด้วยตาเปล่า : เยื่อหุ้มปอดอักเสบ, เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ, รอยทึบในปอด และปอดบวมน้ำ
- สังเกตพบความรุนแรงของโรคปอดบวมเหตุไวรัสสี่ประเภท:
- ปอดบวมเล็กน้อย : สิ่งซึมเยิ้มข้นใส (serous exudation) เล็กน้อย, สิ่งซึมเยิ้มข้นไฟบรินเล็กน้อย
- ปอดบวมแบบเบา: ปอดบวมน้ำ, การเจริญเกินของเซลล์ปอด, เซลล์ปอดนอกแบบขนาดใหญ่, การอักเสบแทรก (interstitial) โดยมีการแทรกซึมของลิมโฟไซต์และมีการก่อตัวของเซลล์ยักษ์หลายนิวเคลียส
- ปอดบวมรุนแรง: การเสียหายของถุงลมแบบแผ่กระจาย (DAD) โดยมีสิ่งซึมเยิ้มข้นของถุงลมแบบแผ่กระจาย DAD เป็นสาเหตุของกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (ARDS) และภาวะอ็อกซิเจนต่ำในเลือดอย่างรุนแรง
- ปอดบวมที่กำลังหาย: การจัดระเบียบของสิ่งซึมเยิ้มข้นในโพรงถุงลมและภาวะเกิดพังผืดแทรกในปอด
- มีพลาสมาเซลล์มากใน BAL[89]
- เลือด : ภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย (DIC);[90] ปฏิกิริยามีเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงตัวอ่อน (leukoerythroblastic)[91]
- ตับ : ไขมันพอกตับแบบถุงเล็ก
การป้องกัน
มาตรการป้องกันเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ ได้แก่ การอยู่แต่ในบ้าน การเลี่ยงสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน การล้างมือด้วยสบู่และน้ำบ่อย ๆ โดยใช้เวลาอย่างน้อยครั้งละ 20 วินาที การปฏิบัติสุขอนามัยด้านทางเดินหายใจที่ดี และเลี่ยงการใช้มือที่ไม่ได้ล้างสัมผัสดวงตา จมูกหรือปาก[97][98][99] ซีดีซีแนะนำให้ใช้กระดาษทิชชูป้องปิดปากและจมูกเมื่อไอหรือจาม และแนะนำให้ใช้ข้อพับศอกด้านในหากไม่มีกระดาษทิชชู[97] แนะนำสุขอนามัยของมือที่เหมาะสมหลังไอหรือจาม[97] แนะนำสุขอนามัยส่วนบุคคลและวิถีชีวิตและอาหารสุขภาพดีเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซีดีซีแนะนำการใช้สิ่งปกปิดใบหน้าที่เป็นผ้าในสถานที่สาธารณะ ส่วนหนึ่งเพื่อจำกัดการแพร่เชื้อโดยปัจเจกที่ไม่แสดงอาการ[100]
ยุทธศาสตร์การเว้นระยะห่างทางสังคมมุ่งลดการสัมผัสบุคคลที่ติดเชื้อกับกลุ่มใหญ่โดยการปิดโรงเรียนและสถานที่ทำงาน การจำกัดการเดินทาง และยกเลิกการชุมนุมสาธารณะขนาดใหญ่[101] แนวทางการเว้นระยะห่างยังระบุให้บุคคลอยู่ห่างกันประมาณ 6 ฟุต (1.8 เมตร) ทั้งนี้ ยังไม่มียาใดทราบว่ามีประสิทธิภาพป้องกันโควิด-19 ได้[102][103] หลังการนำการเว้นระยะห่างทางสังคมและคำสั่งอยู่ติดบ้าน หลายภูมิภาคสามารถคงอัตราแพร่เชื้อประสิทธิภาพ ("Rt") น้อยกว่า 1 หมายความว่า โรคกำลังลดลงในพื้นที่เหล่านั้น[104]
เนื่องจากไม่คาดว่าจะมีวัคซีนอย่างเร็วจนถึงปี 2564[105] ส่วนสำคัญของการรับมือโควิด-19 คือการพยายามลดจุดสูงสุดของโรคระบาด ที่เรียก "การทำให้เส้นโค้งราบ"[93] ซึ่งกระทำโดยการชะลออัตราการติดเชื้อเพื่อลดความเสี่ยงมิให้ราชการสุขภาพมีงานล้น ทำให้รักษาผู้ป่วยปัจจุบันได้ดีขึ้นและชะลอผู้ป่วยใหม่จนกว่าจะมีการักษาหรือวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ[93][96]
ตามข้อมูลของ WHO แนะนำการใช้หน้ากากอนามัยเฉพาะเมื่อบุคคลไอหรือจาม หรือเมื่อกำลังดูแลผู้ต้องสงสัยว่าป่วย[106] ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคยุโรป (ECDC) ระบุว่า หน้ากากอนามัย "...อาจพิจารณาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าพื้นที่ที่ปิดพลุกพล่าน..." แต่ "...เฉพาะเป็นมาตรการเสริมเท่านั้น..."[107] CDC ของสหรัฐแนะนำให้สวมหน้ากากในที่สาธารณะหากเว้นระยะห่าง 6 ฟุตได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อไม่มีอาการแลป้องกันการแพร่เชื้อโดยไม่เจตนา[108] หลายประเทศแนะนำให้บุคคลสุขภาพดีสวมหน้ากากอนามัยหรือผ้าปกปิดใบหน้า (เช่น ผ้าพันคอ) อย่างน้อยในที่สาธารณะบางแห่ง รวมทั้งประเทศจีน[109] ฮ่องกง[110] สเปน[111] อิตาลี (แคว้นลอมบาร์เดีย)[112] รัสเซีย[113] และสหรัฐ[100]
CDC แนะนำให้ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโควิด-19 หรือผู้ที่เชื่อว่าตนติดเชื้ออยู่แต่ในบ้านยกเว้นเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ ให้โทรศัพท์ล่วงหน้าก่อนพบผู้ให้บริการทางการแพทย์ สวมหน้ากากก่อนเข้าห้องตรวจ และเมื่ออยู่ในห้องหรือยานพาหนะร่วมกับบุคคลอื่น ให้ใช้ทิชชูปิดไอและจาม ให้ล้างมืออย่างสม่ำเสมอด้วยสบู่และน้ำ และเลี่ยงการใช้ของใช้ในครัวเรือนส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น[27][114] CDC ยังแนะนำให้บุคคลล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำเป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเข้าห้องน้ำหรือเมื่อเห็นว่ามือสกปรก ก่อนกินอาหารและหลังสั่งน้ำมูก ไอหรือจาม นอกจากนี้ยังแนะนำให้ใช้สารล้างมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อย่างน้อย 60% กระนั้นควรใช้เฉพาะเมื่อไม่มีสบู่และน้ำ[97]
สำหรับพื้นที่ที่ไม่มรสารล้างมือพาณิชย์ขาย WHO ให้สูตรสองสูตรสำหรับการผลิตท้องถิ่น สำหรับทั้งสองสูตร กัมมันตภาพต่อต้านจุลชีพมาจากเอทานอลหรือไอโซโพรพานอล; ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ใช้เพื่อกำจัดสปอร์แบคทีเรียในแอลกอฮอล์ ส่วนกลีเซอรอลเพิ่มเข้ามาเป็นสารดูดความชุ่มชื้นแก่ผิว (humectant)[115]
- ความพยายามในการป้องกันโรคนั้นมีผลทวีคูณคือมีผลมากกว่าป้องกันการแพร่กระจายเพียงทอดเดียว การป้องกันผู้ป่วยใหม่ได้ 1 คนจะช่วยลดการสัมผัสโรคแก่บุคคลอีกหลายทอด (เนื่องจากผู้ติดเชื้อใหม่จะแพร่เชื้อต่อได้) ซึ่งสุดท้ายจะทำให้หยุดยั้งการระบาดได้
- คำแนะนำการล้างมือ
วัคซีน
วัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นวัคซีนที่มุ่งสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโคโรนาที่เป็นสาเหตุของโรคโควิด-19 โดยก่อนที่จะเกิดการระบาดทั่วของโควิด-19 ได้มีความพยายามในการพัฒนาวัคซีนสำหรับโรคไวรัสโคโรนาชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคอื่น ๆ เช่น กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส หรือ SARS) และโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (เมอร์ส หรือ MERS) มาอย่างต่อเนื่อง ความพยายามเหล่านี้ได้สะสมความรู้พอสมควรเกี่ยวกับโครงสร้างและการทำงานของไวรัสโคโรนา ซึ่งได้ช่วยให้การพัฒนาเทคโนโลยีวัคซีนโควิดต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นปี 2020 ดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว[116]เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2020 ซึ่งมีการเผยแพร่ลำดับยีนผ่านจีเซด (GISAID) และ ณ วันที่ 19 มีนาคม อุตสาหกรรมยาทั่วโลกก็ได้ประกาศคำมั่นสัญญาที่จะทำการเพื่อจัดการโรค[117]วัคซีนโควิด-19ได้เครดิตโดยทั่วไปว่าช่วยลดการติดต่อ ความรุนแรง และอัตราการตายเนื่องกับโรค[118]
ในการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 วัคซีนหลายชนิดสามารถป้องกันการติดเชื้อแบบแสดงอาการโดยมีประสิทธิศักย์สูงถึงร้อยละ 95 ณ เดือนกรกฎาคม 2021 มีวัคซีน 20 ชนิดที่ได้ขึ้นทะเบียนให้ใช้ในประเทศอย่างน้อย 1 ประเทศรวมทั้งวัคซีนอาร์เอ็นเอ 2 ชนิด (ไฟเซอร์และโมเดอร์นา), วัคซีนไวรัสโควิด-19 เชื้อตาย 9 ชนิด (BBIBP-CorV ของซิโนฟาร์ม, วัคซีนของ Chinese Academy of Medical Sciences, ซิโนแว็ก, โคแว็กซินของภารัตไบโอเทค, CoviVac ของ Chumakov Centre, COVIran Barakat ของ Shifa Pharmed Industrial Group, Minhai-Kangtai (KCONVAC), QazVac ของ Research Institute for Biological Safety Problems และ WIBP-CorV ของซิโนฟาร์ม)วัคซีนที่ใช้ไวรัสเป็นเวกเตอร์ 5 ชนิด (สปุตนิกไลท์และสปุตนิกวีของสถาบันวิจัยกามาเลีย, แอสตร้าเซนเนก้า, Ad5-nCoV ของแคนซิโนไบโอลอจิกส์ และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน) และวัคซีนหน่วยย่อยโปรตีนของไวรัสโควิด-19 จำนวน 4 ชนิด (Abdala ของ Center for Genetic Engineering and Biotechnology, EpiVacCorona ของสถาบันเวกตอร์, Soberana 02 ของ Finlay Institute และ ZF2001 ของ Anhui Zhifei Longcom)[119][120]มีวัคซีนแคนดิเดตซึ่งได้เข้าสู่การวิจัยเพื่อใช้รักษาแล้ว 330 ชนิด ในจำนวนนี้ 30 ชนิดกำลังทดลองในระยะที่ 1, 30 ชนิดในระยะที่ 1-2, 25 ชนิดในระยะที่ 3 และ 8 ชนิดในระยะที่ 4[119]
ประเทศต่าง ๆ มีแผนแจกจำหน่ายวัคซีนโดยจัดลำดับการให้ตามกลุ่มที่เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ผู้สูงอายุ และกลุ่มที่เสี่ยงติดแล้วแพร่โรค เช่น บุคลากรทางแพทย์[121]มีประเทศที่กำลังพิจารณาฉีดวัคซีนเพียงโดสเดียวในเบื้องต้นเพื่อขยายฉีดวัคซีนแก่ประชาชนให้มากที่สุดจนกว่าจะมีวัคซีนพอ[122][123][124][125]
จนถึงวันที่ 22 สิงหาคม 2021 องค์กรสาธารณสุขรวม ๆ กันทั่วโลกรายงานว่า ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ถึง 5,000 ล้านโดสแล้ว[126]ผู้ผลิตวัคซีนได้ระบุจำนวนโดสวัคซีนที่จะสามารถผลิตในปี 2021 ไว้ดังนี้ ออกซฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า 3,000 ล้านโดส, ไฟเซอร์}-
การหลีกเลี่ยงพื้นที่แออัดและอากาศไม่ถ่ายเทในอาคาร
CDC แนะนำให้หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัดภายในอาคาร[131] หากต้องอยู่ในอาคาร การเพิ่มอัตราการระบายอากาศ ลดการไหลเวียนซ้ำของอากาศ และเพิ่มการถ่ายเทอากาศไปยังสิ่งแวดล้อมภายนอก สามารถลดอัตราการแพร่เชื้อได้[131][132] WHO แนะนำให้ติดตั้งอุปกรณ์ระบายอากาศและอุปกรณ์กรองอากาศในพื้นที่สาธารณะ เพื่อช่วยกำจัดละอองลอยที่นำพาเชื้อ[133][134][135]
การรักษา
การรักษาปัจจุบันเป็นการบำบัดประคับประคอง ซึ่งอาจรวมถึงการให้สารน้ำ การรักษาด้วยออกซิเจน และประคับประคองอวัยวะสำคัญอื่นที่ได้รับผลกระทบ[136][137][138] มีการใช้เครื่องช่วยพยุงการทำงานของหัวใจและปอด (ECMO) เพื่อรักษาทางเดินหายใจล้มเหลว แต่ประโยชน์ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา[139][140] การรักษาแบบประคับประคองอาจมีประโยชน์ในผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงในการติดเชื้อระยะต้น[141]
WHO และคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนจัดพิมพ์ข้อแนะนำสำหรับการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่รับรักษาในโรงพยาบาล[142][143][144] แพทย์เวชบำบัดวิกฤตและแพทย์โรคระบบการหายใจในสหรัฐรวบรวมข้อแนะนำการรักษาจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้าเป็นทรัพยากรเสรี คือ IBCC[145][146]
ยา
จนถึงเดือนเมษายน 2563 ยังไม่มีการรักษาจำเพาะสำหรับโควิด-19[6] สำหรับอาการต่าง ๆ นั้น วิชาชีพแพทย์บางส่วนแนะนำให้ใช้พาราเซตามอล (อะเซตามิโนเฟน) มากกว่าไอบูโปรเฟน สำหรับการใช้ครั้งแรก[147][148][149] องค์การอนามัยโลกไม่คัดค้านการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูพรอเฟน เพื่อรักษาอาการ[142][150] และองค์การอาหารและยาแถลงว่าปัจจุบันไม่มีหลักฐานว่า NSAIDs ทำให้อาการของโควิด-19 ทรุดลง[151]
แม้มีข้อกังวลทางทฤษฎีเกี่ยวกับสารยับยั้ง ACE และยาต้านตัวรับแองกิโอเทนซิน ณ วันที่ 19 มีนาคม 2563 แต่ไม่เพียงพอเป็นเหตุผลให้หยุดยาเหล่านี้[142][152][153][154] การศึกษาหนึ่งในวันที่ 22 เมษายนพบว่าผู้ป่วยโควิด-19 ร่วมกับมีโรคความดันโลหิตสูงมีอัตราตายทุกสาเหตุต่ำลงเมื่อใช้ยาเหล่านี้[155]
ไม่แนะนำให้ใช้สเตียรอยด์ เช่น เมทิลเพรดนิโซโลน ยกเว้นมีกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลันแทรก[156][157] สมาคมวิทยาภูมิคุ้มกันและภูมิแพ้คลินิกออสตราเลเซียแนะนำให้พิจารณาใช้โทลิซิซูแมบสำหรับเป็นตัวเลือกการบำบัดนอกข้อบ่งใช้สำหรับผู้ป่วยกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลันในโควิด-19 เนื่องจากมีผลประโยชน์ที่ทราบในพายุไซโตไคน์ที่เกิดจาการบำบัดมะเร็งบางชนิด และพายุไซโตไคน์อาจเป็นปัจจัยส่งเสริมที่สำคัญต่ออัตราตายในโควิด-19 รุนแรง[14]
แนะนำให้ใช้ยาสำหรับป้องกันเลือดจับลิ่มในการรักษา[158] และการรักษาด้วยสารกันเลือดเป็นลิ่มที่ใช้เฮปารินน้ำหนักโมเลกุลต่ำดูเหมือนสัมพันธ์กับผลลัฑธ์ที่ดีขึ้นในโควิด-19 รุนแรงที่แสดงสัญญาณของการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (ดีไดเมอร์สูง)[159]
อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล
ต้องใช้ความระมัดระวังเพื่อจำกัดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัสให้น้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานสาธารณสุขเมื่อดำเนินวิธีดำเนินการที่อาจก่อให้เกิดละอองลอยได้ เช่น การใส่ท่อช่วยหายใจ หรือการช่วยหายใจด้วยมือ[160] สำหรับผู้เชี่ยวชาญสาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ซีดีซีแนะนำให้จัดผู้ป่วยให้ห้องแยกการติดเชื้อทางอากาศ (AIIR) นอกเหนือไปจากการระมัดระวังมาตรฐาน (standard precautioin) การระมัดระวังการสัมผัสและการระมัดระวังทางอากาศ[161]
ซีดีซีสรุปแนวทางปฏิบัติในการใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ระหว่างการระบาดทั่ว อุปกรณ์ที่แนะนำได้แก่ ชุดคลุม PPE, อุปกรณ์ช่วยหายใจหรือหน้ากากอนามัย อุปกรณ์ป้องกันดวงตาและถุงมือการแพทย์[162][163]
แนะนำให้ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจแทนหน้ากากอนามัยถ้ามี[164] หน้ากากเอ็น95 ได้รับอนุมัติในสถานที่อุตสาหกรรมแต่ FDA อนุญาตให้ใช้หน้ากากภายใต้การอนุญาตใช้ฉุกเฉิน (EUA) หน้ากากดังกล่าวได้รับการออกแบบมาให้ป้องกันอนุภาคที่มาทางอากาศเช่นฝุ่น แต่ประสิทธิภาพต่อเชื้อโรคจำเพาะยังไม่รับประกันสำหรับการใช้นอกข้อบ่งใช้[165] เมื่อไม่มีหน้ากาก CDC แนะนำให้ใช้อุปกรณ์ป้องกันใบหน้า (face shield) หรือใช้หน้ากากทำมือเป็นทางเลือกสุดท้าย[166]
เครื่องช่วยหายใจ
ผู้ป่วยโควิด-19 ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงถึงขนาดต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหรืออุปกรณ์คล้ายกัน แต่ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งจำเป็นต้องใช้[167][168] ชนิดของการช่วยหายใจในผู้ป่วยทางเดินหายใจล้มเหลวเนื่องจากโควิด-19 กำลังมีการศึกษาสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาล และมีหลักฐานบ้างที่ว่าสามารถเลี่ยงการใส่ท่อช่วยหายใจได้ด้วยการบำบัดด้วยออกซิเจนแบบผสมอากาศอัตราการไหลสูงผ่านหลอดคาจมูก หรือการช่วยหายใจแบบไม่รุกล้ำด้วยเครื่องให้แรงดันบวกในทางเดินทางใจแบบสองระดับ (BIPAP)[169] แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่าสองวิธีนี้ก่อให้เกิดประโยชน์เท่ากับเครื่องช่วยหายใจในผู้ป่วยวิกฤตหรือไม่[170] แพทย์บางส่วนนิยมเลือกใช้เครื่องช่วยหายใจแบบล่วงล้ำหากมี เพราะเทคนิคนี้ช่วยจำกัดการแพร่กระจายของอนุภาคละอองลอยเมื่อเทียบกับหลอดคาจมูกการไหลสูง[167]
ผู้ป่วยรุนแรงส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ (คืออายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป[167] และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลอายุมากกว่า 80 ปี)[171] ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศมีอัตราเตียงโรงพยาบาลต่อหัวไม่เพียงพอ ซึ่งจำกัดขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขในการรับมือกับการเพิ่มขึ้นเฉียบพลันของจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นรับรักษาในโรงพยาบาล[172] ความจุที่จำกัดนี้เป็นแรงผลักดันสำคัญสำหรับการเรียกร้องให้ "ทำให้เส้นโค้งราบ"[172] คือ การลดอัตราเร็วของการเกิดผู้ป่วยใหม่ และรักษาจำนวนผู้ป่วยในช่วงเวลาดหนึ่ง ๆ ให้ต่ำลง งานวิจัยหนึ่งในประเทศจีนพบว่า 5% เข้ารับการรักษาในหน่วยอภิบาล (ICU) 2.3% ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและ 1.4% เสียชีวิต[139] ในประเทศจีน ผู้ป่วยโควิด-19 ที่รักษาในโรงพยาบาลประมาณ 30% สุดท้ายต้องเข้ารักษาใน ICU[4]
กลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน
การช่วยหายใจด้วยเครื่องช่วยหายใจจะมีความซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนเป็นกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (ARDS) ในผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งจะทำให้การให้ออกซิเจนยากลำบากมากขึ้น[173] แพทย์จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจชนิดที่มีโหมดช่วยหายใจด้วยการควบคุมความดัน (pressure control mode) และสามารถกำหนดค่า PEEP ในระดับสูงได้[174] เพื่อช่วยนำส่งออกซิเจนได้มากที่สุดพร้อมกับลดความเสี่ยงของการเกิดการบาดเจ็บของปอดจากการใช้เครื่องช่วยหายใจและโพรงเยื่อหุ้มปอดมีอากาศให้น้อยที่สุด เครื่องช่วยหายใจแบบเก่าบางประเภทอาจไม่สามารถให้การช่วยหายใจแบบมี PEEP สูงได้[175]
มีอัตราตายสูงในผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งเชื่อว่าเนื่องจากพายุไซโตไคน์ สมาคมวิทยาภูมิคุ้มกันและภูมิแพ้ออสตราเลเซียแนะนำให้พิจารณาขัดขวางระบบ IL-6 ในโรครุนแรงโดยเร็ว และรวมอยู่ในข้อพิจารณาในแนวทางการรักษาหลายประเทศ[14]
ทางเลือกสำหรับ ARDS[173] | |
---|---|
การบำบัด | ข้อแนะนำ |
ออกซิเจนแบบผสมอากาศอัตราการไหลสูง | สำหรับ SpO2 <93% อาจป้องกันความจำเป็นต้องใช้การใส่ท่อช่วยหายใจและเครื่องช่วยหายใจ |
ปริมาตรหายใจเข้าออก | 6 มล./กก. และสามารถลดลงเหลือ 4 มล./กก. |
ความดันทางเดินหายใจราบ | รักษาให้ต่ำกว่า 30 cmH2O ถ้าเป็นไปได้ (อาจต้องใช้อัตราการหายใจสูง (35 ครั้งต่อนาที)) |
ความดันบวกที่สุดการหายใจ | ระดับปานกลางถึงสูง |
การจัดท่านอนคว่ำ | สำหรับการทำให้ออกซิเจนแย่ลง |
การจัดการสารน้ำ | เป้าหมายคือดุลติดลบ 0.5–1 ลิตรต่อวัน |
ยาปฏิชีวนะ | สำหรับการติดเชื้อแบคทีเรียทตุยิภูมิ |
กลูโคคอร์ติคอยด์ | ไม่แนะนำ |
การรักษาขั้นทดลอง
เริ่มการวิจัยหาการรักษาที่มีศักยภาพในเดือนมกราคม 2563[176] และยาต้านไวรัสหลายตัวอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิก[177][178] เรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ดูเหมือนจะมีแนวโน้มมากที่สุด[103] แม้ว่ายาใหม่อาจใช้เวลาพัฒนาจนถึงปี 2564[179] ยาหลายชนิดที่กำลังทดสอบได้รับการอนุมัติสำหรับใช้อย่างอื่นหรืออยู่ในการทดสอบขั้นสูงแล้ว[180] อาจทดลองใช้ยาต้านไวรัสในผู้ป่วยอาการรุนแรง[136] WHO แนะนำให้อาสาสมัครมีส่วนร่วมในการทดลองประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการรักษาที่มีศักยภาพ[181]
FDA อนุญาตชั่วคราวแก่พลาสมาระยะฟื้นตัวเป็นการรักษาขั้นทดลองในผู้ป่วยซึ่งชีวิตถูกคุกคามร้ายแรงหรือทันที ทั้งนี้ ยังไม่ผ่านการศึกษาทางคลินิกซึ่งจำเป็นต่อการแสดงความปลอดภัยและประสิทธิภาพสำหรับโรค[182][183][184]
เทคโนโลยีสารสนเทศ
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 จีนเปิดตัวแอพโทรศัพท์มือถือเพื่อรับมือการระบาดของโรค[185] โดยจะมีการขอให้ผู้ใช้กรอกชื่อและเลขประจำตัวของตน แอพนี้สามารถตรวจจับ "การสัมผัสใกล้ชิด" โดยใช้ข้อมูลการสอดส่องดูแล ฉะนั้นจึงบอกความเสี่ยงการติดเชื้อที่เป็นไปได้ ผู้ใช้ทุกคนสามารถตรวจสอบสถานภาพของผู้ใช้อื่นอีกสามคน หากตรวจพบโอกาสที่เป็นไปได้ แอพไม่เพียงจะแนะนำให้กักโรคตนเองเท่านั้น ยังแจ้งเตือนข้าราชการสาธารณสุขท้องถิ่นด้วย[186]
มีการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ซึ่งข้อมูลโทรศัพท์มือถือ เทคโนโลยีการรู้จำใบหน้า การค้นหาและติดตามโทรศัพท์มือถือ และปัญญาประดิษฐ์ในการติดตามผู้ติดเชื้อและผู้ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อในเกาหลีใต้ ไต้หวันและสิงคโปร์[187][188] ในเดือนมีนาคม 2563 รัฐบาลอิสราเอลเปิดใช้งานหน่วยงานความมั่นคงในการค้นหาและติดตามข้อมูลโทรศัพท์มือถือของผู้ที่ต้องสงสัยว่าติดไวรัสโคโรนา มาตรดารดังกล่าวนำมาใช้เพื่อใช้บังคับการกักโรคและคุ้มครองผู้ที่อาจสัมผัสกับพลเมืองที่ติดเชื้อ นอกจากนี้ในเดือนมีนาคม 2563 ด็อยท์เชอเทเลอค็อมแบ่งปันข้อมูลตำแหน่งโทรศัพท์รวมกับหน่วยงานของรัฐบาลกลางเยอรมัน สถาบันโรแบร์ท ค็อค เพื่อวิจัยและป้องกันการแพร่กระจายของไวรัส[189] รัสเซียใช้เทคโนโลยีรู้จำใบหน้าเพื่อตรวจจับผู้ฝ่าฝืนการกักโรค[190] Giulio Gallera ผู้ตรวจการสาธารณสุขภูมิภาคของอิตาลี กล่าวว่าเขาได้รับแจ้งจากผู้ให้บริการโทรศัพม์เคลื่อนที่ว่า "ประชาชน 40% ยังคงเดินทางอยู่"[191] รัฐบาลเยอรมันดำเนินการแฮกกาธอนสุดสัปดาห์เป็นเวลา 48 ชั่วโมง โดยมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 42,000 คน[192][193] นอกจากนี้ประธานาธิบดี Kersti Kaljulaid แห่งเอสโตเนียยังเรียกร้องทั่วโลกให้มีทางออกอย่างสร้างสรรค์ต่อการระบาดของไวรัสโคโรนา[194]
การประคับประคองจิตใจ
บุคคลอาจประสบทุกข์จากการกักโรค การจำกัดการเดินทาง ผลข้างเคียงของการรักษาและความกลัวโรค เพื่อจัดการกับความกังวลเหล่านี้ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนจัดพิมพ์แนวทางปฏิบัติระดับชาติสำหรับการรับมือวิกฤตจิตวิทยาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2563[195][196]
เดอะแลนซิต เผยแพร่ข้อเรียกร้อง 14 หน้าซึ่งเน้นสาหราชอาณาจักรและระบุสภาพซึ่งพบปัญหาสุขภาพจิตหลายอย่างบ่อยขึ้น บีบีซียกคำพูดของรอี โอคอนเนอร์ที่ว่า "การเพิ่มการแยกสันโดษทางสังคม ความเปลี่ยวเหงา ความกังวลทางสุขภาพ ความเครียดและภาวะเศรษฐกิจ" BBC อ้างถึง Rory O'Connor โดยกล่าวว่า "ความโดดเดี่ยวทางสังคมที่เพิ่มขึ้นความเหงาความวิตกกังวลด้านสุขภาพความเครียดและภาวะเศรษฐกิจขาลงเป็นพายุชั้นเลิศในการทำร้ายสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน"[197][198]
พยากรณ์โรค
ความรุนแรงของโควิด-19 มีหลายระดับ โรคอาจดำเนินแบบเบาโดยไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย โดยคล้ายกับโรคทางเดินหายใจส่วนบนที่พบทั่วไปอย่างอื่น เช่น โรคหวัด ผู้ป่วยเบาตรงแบบหายดีภายในสองสัปดาห์ ส่วนผู้ป่วยรุนแรงหรือวิกฤตอาจใช้เวลาหายสามถึงหกสัปดาห์ ในบรรดาผู้เสียชีวิตนั้น เวลาตั้งแต่เริ่มมีอาการถึงเสียชีวิตอยู่ระหว่างสองถึงแปดสัปดาห์[59]
เด็กไวต่อโรค แต่มีแนวโน้มมีอาการรุนแรงน้อยกว่า และมีโอกาสเป็นโรครุนแรงน้อยกว่าผู้ใหญ่ ในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 50 ปีมีโอกาสเสียชีวิตน้อยกว่า 0.5% ส่วนผู้อายุมากกว่า 70 ปีมีโอกาสมากกว่า 8%[205][206][207] หญิงมีครรภ์อาจมีความเสี่ยงติดโควิด-19 รุนแรงสูงกว่าโดยอาศัยข้อมูลจากไวรัสคล้ายกัน อย่างโรคซาร์สและเมอส์ แต่ยังขาดข้อมูลสำหรับโควิด-19[208][209]
บางการศึกษาพบว่า อัตราส่วนนิวโทรฟิลต่อเม็ดเลือดขาว (NLR) อาจมีประโยชน์ในการตรวจคัดกรองการป่วยรุนแรงเบื้องต้น[210]
ผู้ป่วยโควิด-19 ที่เสียชีวิตจำนวนนมากมีโรคพื้นเดิม เช่น ความดันโลหิตสูง, โรคเบาหวานและโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด[211] Istituto Superiore di Sanità รายงานว่าจาก 8.8% ของผู้เสียชีวิตที่มีเวชระเบียนให้ทบทวน ผู้ป่วยที่ได้รับสุ่มตัวอย่าง 97.2% มีโรคร่วมอย่างน้อยหนึ่งโรค โดยผู้ป่วยมีโรคร่วมเฉลี่ยคนละ 2.7 โรค[212] ตามรายงานเดียวกัน ระยะเวลามัธยฐานระหว่างเริ่มต้นมีอาการและเสียชีวิตคือ 10 วัน โดยห้าวันเป็นวันที่รับรักษาในโรงพยาบาล อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยที่ได้รับการย้ายเข้า ICU มีเวลามัธยฐาน 7 วันตั้งแต่รับรักษาในโรงพยาบาลและเสียชีวิต ในการศึกษาผู้ป่วยช่วงต้น เวลามัธยฐานตั้งแต่แสดงอาการเริ่มแรกถึงเสียชีวิตคือ 14 วัน โดยมีพิสัยระหว่าง 6 ถึง 41 วัน[213] ในการศึกษาโดยคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (NHC) ของจีน ชายมีอัตราตาย 2.8% ส่วนหญิงมีอัตราตาย 1.7%[214] การตรวจทางจุลพยาธิวิทยาของตัวอย่างปอดหลังเสียชีวิตแสดงให้เห็นความเสียหายของถุลมแบบแผ่กระจาย (diffuse alveolar damage) โดยมีสิ่งซึมเยิ้มขึ้นไฟโบรมิกซอยด์ของเซลล์ (cellular fibromyxoid exudates) ในปอดสองข้าง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดพยาธิสภาพต่อเซลล์ (cytopathic) ของไวรัสสังเกตได้ในเซลล์ปอด ภาพปอดจะดูคล้ายกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (ARDS)[59] ในผู้เสียชีวิต 11.8% ที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนรายงาน พบความเสียหายต่อหัวใจโดยมีระดับโทรโปนินสูงขึ้นหรือหัวใจหยุด[215] จากข้อมูลเมื่อเดือนมีนาคม 2563 จากสหรัฐ 89% ของผู้ได้รับรักษาในโรงพยาบาลมีโรคพื้นเดิม[216]
ความพร้อมของทรัพยากรการแพทย์และเศรฐกิจสังคมของภูมิภาคหนึ่งอาจมีผลต่ออัตราตาย[217] การประมาณอัตราตายจากโรคแตกต่างกันได้อันเนื่องจากความแตกต่างของภูมิภาค[218] แต่ยังมีสาเหตุมาจากความลำบากใน ระเบียบวิธีของข้อมูลด้วย การนับผู้ป่วยอาการเบาน้อยกว่าจริงอาจทำให้ประมาณอัตราตายสูงเกิน[219] อย่างไรก็ดีข้อเท็จจริงที่ว่าการเสียชีวิตเป็นผลของผู้ป่วยที่ติดโรคในอดีตอาจหมายความว่าอัตราตายประมาณได้ต่ำเกิน[220][221] ผู้สูบบุหรี่มีโอกาสเกิดอาการรุนแรงของโควิด-19 คิดเป็น 1.4 เท่าและมีโอกาสต้องการการอภิบาลหรือเสียชีวิตคิดเป็น 2.4 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ไม่สูบบุหรี่[222]
มีการยกข้อกังวลเกี่ยวกับผลตามระยะยาวของโรค องค์การโรงพยาบาลฮ่องกงพบว่าสมรรถภาพปอดลดลง 20% ถึง 30% ในผู้ป่วยบางรายที่หายจากโรค และการสแกนปอดพบความเสียหายต่ออวัยวะ[223] เหตุนี้ยังอาจนำไปสู่กลุ่มอาการหลังการอภิบาลหลังหายแล้ว[224]
อายุ | 0-9 | 10-19 | 20-29 | 30-39 | 40-49 | 50-59 | 60-69 | 70-79 | 80-89 | 90+ |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ประเทศจีน ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์[200] | 0.0 | 0.2 | 0.2 | 0.2 | 0.4 | 1.3 | 3.6 | 8.0 | 14.8 | |
เดนมาร์กเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม[225] | 0.2 | 4.1 | 16.6 | 27.6 | 48.1 | |||||
อิตาลีเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม[226] | 0.2 | 0.0 | 0.1 | 0.3 | 0.9 | 2.7 | 10.6 | 25.8 | 32.0 | 29.2 |
เนเธอร์แลนด์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม[227] | 0.0 | 0.2 | 0.1 | 0.3 | 0.5 | 1.7 | 8.1 | 25.5 | 32.7 | 33.9 |
เกาหลีใต้ ณ วันที่ 24 พฤษภาคม[228] | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.2 | 0.2 | 0.8 | 2.8 | 10.9 | 26.3 | |
สเปนเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม[229] | 0.2 | 0.3 | 0.2 | 0.3 | 0.6 | 1.4 | 4.9 | 14.3 | 21.0 | 22.3 |
สวิตเซอร์แลนด์ ณ วันที่ 20 พฤษภาคม[230] | 0.0 | 0.0 | 0.0 | 0.1 | 0.1 | 0.6 | 3.3 | 11.5 | 27.9 |
อายุ | 0-19 | 20-44 | 45-54 | 55-64 | 65-74 | 75-84 | 85 + |
---|---|---|---|---|---|---|---|
สหรัฐ ณ วันที่ 16 มีนาคม | 0.0 | 0.1-0.2 | 0.5-0.8 | 1.4-2.6 | 2.7-4.9 | 4.3-10.5 | 10.4-27.3 |
หมายเหตุ: ขอบเขตล่างรวมผู้ป่วยทุกราย ขอบเขตบนไม่นับรวมผู้ป่วยที่ขาดข้อมูล |
ร้อยละของผู้ติดเชื้อที่รับรักษาในโรงพยาบาล | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
0–19 | 20–29 | 30–39 | 40–49 | 50–59 | 60–69 | 70–79 | 80+ | รวม | |
หญิง | 0.2 (0.1–0.3) | 0.6 (0.3–0.9) | 1.1 (0.7–1.8) | 1.6 (0.9–2.4) | 3.2 (1.9–4.9) | 6.2 (3.7–9.6) | 9.6 (5.7–14.8) | 23.6 (14.0–36.4) | 3.2 (1.9–5.0) |
ชาย | 0.2 (0.1–0.3) | 0.7 (0.4–1.1) | 1.4 (0.9–2.2) | 1.9 (1.1–3.0) | 3.9 (2.3–6.1) | 8.1 (4.8–12.6) | 13.4 (8.0–20.7) | 45.9 (27.3–70.9) | 4.0 (2.4–6.2) |
รวม | 0.2 (0.1–0.3) | 0.6 (0.4–1.0) | 1.3 (0.8–2.0) | 1.7 (1.0–2.7) | 3.5 (2.1–5.4) | 7.1 (4.2–11.0) | 11.3 (6.7–17.5) | 32.0 (19.0–49.4) | 3.6 (2.1–5.6) |
ร้อยละของผู้ป่วยรับรักษาในโรงพยาบาลที่เข้าหน่วยอภิบาล | |||||||||
0–19 | 20–29 | 30–39 | 40–49 | 50–59 | 60–69 | 70–79 | 80+ | รวม | |
หญิง | 16.7 (14.4–19.2) | 8.6 (7.5–9.9) | 11.9 (10.9–13.0) | 16.6 (15.6–17.7) | 20.7 (19.8–21.7) | 23.1 (22.2–24.0) | 18.7 (18.0–19.5) | 4.2 (4.0–4.5) | 14.3 (13.9–14.7) |
ชาย | 26.9 (23.2–31.0) | 14.0 (12.2–15.9) | 19.2 (17.6–20.9) | 26.9 (25.3–28.5) | 33.4 (32.0–34.8) | 37.3 (36.0–38.6) | 30.2 (29.2–31.3) | 6.8 (6.5–7.2) | 23.1 (22.6–23.6) |
รวม | 22.2 (19.2–25.5) | 11.5 (10.1–13.2) | 15.9 (14.6–17.3) | 22.2 (21.0–23.5) | 27.6 (26.5–28.7) | 30.8 (29.8–31.8) | 24.9 (24.1–25.8) | 5.6 (5.3–5.9) | 19.0 (18.7–19.44) |
ร้อยละของผู้ที่รับรักษาในโรงพยาบาลแล้วเสียชีวิต | |||||||||
0–19 | 20–29 | 30–39 | 40–49 | 50–59 | 60–69 | 70–79 | 80+ | รวม | |
หญิง | 0.5 (0.2–1.1) | 0.9 (0.5–1.3) | 1.5 (1.2–1.9) | 2.6 (2.3–3.0) | 5.2 (4.8–5.6) | 10.1 (9.5–10.6) | 16.7 (16.0–17.4) | 25.2 (24.4–26.0) | 14.4 (14.0–14.9) |
ชาย | 0.7 (0.3–1.5) | 1.3 (0.8–1.9) | 2.2 (1.7–2.7) | 3.8 (3.4–4.4) | 7.6 (7.0–8.2) | 14.8 (14.1–15.6) | 24.6 (23.7–25.6) | 37.1 (36.1–38.2) | 21.22 (20.8–21.7) |
รวม | 0.6 (0.3–1.3) | 1.1 (0.7–1.6) | 1.9 (1.5–2.3) | 3.3 (2.9–3.7) | 6.5 (6.0–7.0) | 12.6 (12.0–13.2) | 21.0 (20.3–21.8) | 31.6 (30.9–32.4) | 18.1 (17.8–18.4) |
ร้อยละของผู้ติดเชื้อแล้วเสียชีวิต – อัตราติดเชื้อตาย (IFR) | |||||||||
0–19 | 20–29 | 30–39 | 40–49 | 50–59 | 60–69 | 70–79 | 80+ | รวม | |
หญิง | 0.001 (<0.001–0.002) | 0.005 (0.002–0.009) | 0.02 (0.01–0.03) | 0.04 (0.02–0.07) | 0.2 (0.1–0.3) | 0.6 (0.4–1.0) | 1.6 (1.0–2.5) | 5.9 (3.5–9.2) | 0.5 (0.3–0.7) |
ชาย | 0.001 (<0.001–0.003) | 0.008 (0.004–0.02) | 0.03 (0.02–0.05) | 0.07 (0.04–0.1) | 0.3 (0.2–0.5) | 1.2 (0.7–1.9) | 3.3 (2.0–5.1) | 17.1 (10.1–26.3) | 0.8 (0.5–1.3) |
รวม | 0.001 (<0.001–0.002) | 0.007 (0.003–0.01) | 0.02 (0.01–0.04) | 0.06 (0.03–0.09) | 0.2 (0.1–0.36) | 0.9 (0.5–1.4) | 2.4 (1.4–3.7) | 10.1 (6.0–15.6) | 0.7 (0.4–1.0) |
จำนวนในวงเล็บคือ ช่วงความเชื่อมั่น 95% สำหรับค่าประมาณ |
ภูมิคุ้มกัน
ณ เดือนเมษายน 2563 ยังไม่ทราบว่าการติดเชื้อในอดีตก่อให้เกิดภูมิตุ้มกันที่มีประสิทธิภาพและคงอยู่ระยะยาวในบุคคลที่หายจากโรคหรือไม่[232][233] มีรายงานว่าผู้เคยติดเชื้อบางคนเกิดสารภูมิต้านทานป้องกันโรค ฉะนั้นจึงสันนิษฐานว่าภูมิคุ้มกันแบบรับมามีความเป็นไปได้ โดยอาศัยข้อมูลจากพฤติกรรมของไวรัสโคโรนาชนิดอื่น[234] มีรายงานผู้ป่วยที่หายจากโควิด-19 ที่ติดตามแล้วการทดสอบไวรัสโคโรนาเป็นบวกในภายหลัง[235][236][237][238] อย่างไรก็ดี เชื่อว่าเป็นการติดเชื้อนาน (lingering) มากกว่าการติดเชื้อซ้ำ[238] หรือเป็นผลบวกลวงเนื่องจากชิ้นส่วนอาร์เอ็นเอที่หลงเหลืออยู่[239] การสอบสวนบุคคล 285 คนโดย CDC เกาหลีซึ่งผลตรวจ SARS-CoV-2 ในการทดสอบ PCR เป็นบวกหลังหายโควิด-19 แล้วหลายวันถึงหลายสัปดาห์ไม่พบหลักฐานว่าปัจเจกเหล่านี้ติดต่อทางสัมผัสในช่วงเวลาหลังนี้[240] ไวรัสโคโรนาชนิดอื่นบางตัวที่ยังติดเชื้อในมนุษย์สามารถติดเชื้อซ้ำได้หลังเวลาผ่านไป 1 ปี[241][242]
ประวัติศาสตร์
เชื่อว่าไวรัสนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติและมีต้นกำเนิดจากสัตว์[243] ผ่านการติดเชื้อล้น[244] ยังไม่ทราบต้นกำเนิดแท้จริง แต่ในเดือนธันวาคม 2562 การแพร่กระจายการติดเชื้อเกิดขึ้นแทบทั้งหมดจากคนสู่คน[200][245] การศึกษาผู้ป่วยโควิด-19 ยืนยันแล้ว 41 รายแรก ซึ่งตีพิมพ์ในเดอะแลนซิตเมื่อเดือนมกราคม 2563 เปิดเผยว่าวันเริ่มต้นอาการวันแรกสุดได้แก่วันที่ 1 ธันวาคม 2562[246][247][248] สิ่งพิมพ์เผยแพร่อย่างเป็นทางการจาก WHO รายงานว่าอาการเริ่มต้นเร็วที่สุดคือวันที่ 8 ธันวาคม 2562[249] WHO และทางการจีนยืนยันการติดต่อจากคนสู่คนในวันที่ 20 มกราคม 2563[250][251]
วิทยาการระบาด
มีการใช้มาตรการต่าง ๆ โดยทั่วไปเพื่อวัดอัตราตาย[252] ตัวเลขเหล่านี้แตกต่างกันตามภูมิภาคและช่วงเวลา และได้รับอิทธิพลจากปริมาณการทดสอบ คุณภาพของระบบกสาธารณสุข ตัวเลือกการรักษา เวลาตั้งแต่การระบาดครั้งแรกและลักษณะประชากร เช่น อายุ เพศ และสุขภาพโดยรวม[253]
อัตราส่วนเสียชีวิตต่อผู้ป่วยสะท้อนจำนวนผู้เสียชีวิตหารด้วยจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับวินิจฉัยในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ โดยอาศัยสถิติมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ อัตราส่วนเสียชีวิตต่อผู้ป่วยทั่วโลกอยู่ที่ (345,442/5,435,789) ณ 25 พฤษภาคม 2563 จำนวนดังกล่าวแตกต่างกันตามภูมิภาค[254]
มาตรการอื่น ๆ ได้แก่ อัตราป่วยตาย (CFR) ซึ่งสะท้อนร้อยละของผู้ป่วยได้รับวินิจฉัยที่เสียชีวิตจากโรคและอัตราติดเชื้อตาย (IFR) ซึ่งสะท้อนร้อยละของผู้ติดเชื้อ (ทั้งที่ได้รับวินิจฉัยและไม่ได้รับวินิจฉัย) ที่เสียชีวิตจากโรค สถิติเหล่านี้ไม่ผูกกับเวลาและติดตามประชากรจำเพาะจากการติดเชื้อผ่านการหายของผู้ป่วย นักวิชาการจำนวนหนึ่งพยายามคำนวณจำนวนเหล่านี้สำหรับประชากรจำเพาะ[255]
เกิดการระบาดในเรือนจำเนื่องจากความแออัดและไม่สามารถบังคับใช้การเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเหมาะสมได้[256][257] ในสหรัฐ ประชากรเรือนจำสูงอายุมากขึ้นและจำนนวมากมีความเสี่ยงสูงที่จะมีผลลัพธ์เลวจากโควิด-19 เนื่องจากมีโรคหัวใจและปอดร่วมสูงและเข้าถึงสาธารณสุขคุณภาพดีได้น้อย[256]
- ผู้ป่วยยืนยันแล้วตามเวลา
- ผู้เสียชีวิตทั้งหมดตามเวลา
- จำนวนผู้ได้รับการยืนยันโควิด-19 ต่อล้านคน[258]
- ยอดผู้เสียชีวิตยืนยันจากโควิด-19 ต่อล้านคน[259]
อัตราติดเชื้อตาย
Our World in Data แถลงว่าจนถึงวันที่ 25 มีนาคม 2563 อัตราติดเชื้อตาย (IFR) ไม่สามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำ[260] ในเดือนกุมภาพันธ์ กลุ่มวิจัยหนึ่งประมาณ IFR ไว้ที่ 0.94% โดยมีช่วงความเชื่อมั่นระหว่าง 0.37% ถึง 2.9%[261] ศูนย์แพทยศาสตร์อิงหลักฐานมหาวิทยาลัยลอนดอน (CEBM) ประมาณ GFR 0.8 ทั่วโลกไว้ที่ 9.6% (ทบทวนล่าสุด 30 เมษายน) และ IFR 0.10% ถึง 0.41% (ทบทวนล่าสุด 2 พฤษภาคม)[262] จากข้อมูลของ CEBM การทดสอบสารภูมิต้านทานแบบสุ่มในประเทศเยอรมนีประมาณ IFR ไว้ 0.37% (0.12% ถึง 0.87%) แต่มีข้อกังวลเกี่ยวกับผลบวกลวง[262][263][264] ขอบเขตล่างของอัตราติดเชื้อตายพบแล้วในหลายที่ ณ วันที่ 7 พฤษภาคม ในนครนิวยอร์กซึ่งมีประชากร 8.4 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 14,162 คน (0.17%)[265] ในแคว้นแบร์กาโม ประเทศอิตาลี ประชากรเสียชีวิต 0.57%[266] วันที่ 1 พฤษภาคม การทดสอบสารภูมิต้านทานในรัฐนิวยอร์กเสนอ IFR ที่ 0.86%[267]
ความแตกต่างระหว่างเพศ
ผลกระทบและอัตราตายของโควิด-19 แตกต่างกันระหว่างชายและหญิง[268] อัตราตายในชายสูงกว่าหญิงในการศึกษาในประเทศจีนและอิตาลี[1][269][270] ความเสี่ยงสูงสุดสำหรับชายคือในช่วงอายุ 50-59 ปี โดยช่องว่างระหว่างชายและหญิงบรรจบกันที่อายุ 90 ปีเท่านั้น ในประเทศจีนอัตราตายอยู่ที่ร้อยละ 2.8 สำหรับชายและ 1.7 สำหรับหญิง[270] ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดของความแตกต่างระหว่างเพศ แต่ปัจจัยทางพันธุกรรมและพฤติกรรมอาจเป็นเหตุผล[268] ความแตกต่างทางภูมิคุ้มกันที่เกิดจากเพศและความชุกของการสูบบุหรี่ในหญิงเมื่อเทียบกับชาย และชายที่เกิดโรคร่วมอย่างความดันโลหิตสูงในอายุน้อยกว่าหญิงอาจส่งเสริมให้อัตราตายในชายสูงกว่า[270] ในทวีปยุโรป ผู้ติดเชื้อ 57% เป็นชายและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เป็นชาย 72%[271] จนถึงเดือนเมษายน 2563 รัฐบาลสหรัฐไม่ได้ติดตามข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเพศของการติดเชื้อโควิด-19[272] การวิจัยแสดงว่าการเจ็บป่วยจากไวรัส เช่น อีโบลา, เอชไอวี, ไข้หวัดใหญ่และโรคซาร์สส่งผลกระทบต่อชายและหญิงต่างกัน[272] เจ้าหน้าที่สาธารณสุขโดยเฉพาะอย่างยิ่งพยาบาลเป็นหญิงมากกว่าชาย และมีโอกาสสัมผัสไวรัสสูงกว่า[273] การปิดโรงเรียน การห้ามเข้าออก (lockdown) และลดการเข้าถึงสาธารณสุขหลังการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนาในปี 2562–2563 อาจมีผลต่อสองเพศต่างกัน และอาจขยายความแตกต่างระหว่างเพศที่มีอยู่ให้มากขึ้นอีก[268][274]
สังคมและวัฒนธรรม
การตั้งชื่อ
องค์การอนามัยโลกประกาศเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 ว่าชื่อทางการของโรคนี้คือ "โควิด-19" (COVID-19)[275] หัวหน้า WHO เตโวโดรส อัดฮาโนม เกอเบรออีเยอซุส อธิบายว่า: CO มาจากคำว่า "โคโรนา" (corona), VI มาจากคำว่า "ไวรัส" (virus) ไวรัส, D มาจากคำว่า "โรค" (disease) และ 19 เป็นปีที่มีการระบุการระบาดครั้งแรก (31 ธันวาคม 2019 )[276] เลือกชื่อนี้เพื่อเลี่ยงการพาดพิงไปยังตำแหน่งภูมิศาสตร์จำเพาะ (เช่น จีน) ชนิดสัตว์หรือกลุ่มคน ตามคำแนะนำจากนานาชาติสำหรับการตั้งชื่อเพื่อป้องกันการตีตรา[277][278][279]
ไวรัสที่ก่อโควิด-19 มีชื่อว่า ไวรัสโคโรนากลุ่มอาการหายใจเฉียบพลันรุนแรง 2 (SARS-CoV-2) นอกจากนี้ WHO ใช้วลี "ไวรัสโควิด-19" เพิ่มเติมและ "ไวรัสที่ก่อให้เกิดโควิด-19" ในการสื่อสารสาธารณะ[275] มีการตั้งชื่อไวรัสโคโรนาในปี 2511 เมื่อพบครั้งแรกในกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ซึ่งชวนให้คิดถึงโคโรนาของดวงอาทิตย์, คำว่า Corona หมายถึงมงกุฎในภาษาละติน[280][281] ทั้งโรคและไวรัสมักเรียกกันว่า "ไวรัสโคโรนา"
ระหว่างการระบาดครั้งแรกในอู่ฮั่น ประเทศจีน โดยทั่วไปเรียกไวรัสและโรคว่า "ไวรัสโคโรนา" และ "ไวรัสโคโรนาอู่ฮั่น"[282][283][284] บางทีเรียก "โรคปอดบวมอู่ฮั่น"[285][286] ในเดือนมกราคม 2563 องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ใช้ 2019-nCov[287] และโรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน 2019-nCoV[288] เป็นชื่อชั่วคราวสำหรับไวรัสและโรคตามแนวทางการใช้สถานที่ในชื่อโรคและไวรัส ทั้งนี้ หลายโรคในอดีตได้ชื่อตามสถานที่ภูมิศาสตร์ เช่น ไข้หวัดใหญ่สเปน[289] โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง และไวรัสซิกา[290]
ข้อมูลที่ผิด
หลังจากที่การระบาดของโควิด-19 ขั้นแรก เกิดทฤษฎีสมคบคิด ข้อมูลที่ผิดและบิดเบือนเกี่ยวกับกำเนิด ขนาด การป้องกัน การรักษา และด้านอื่นของโรค และมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วออนไลน์[291][292][293]
สัตว์อื่น
ดูเหมือนว่ามนุษย์สามารถแพร่เชื้อไวรัสไปยังสัตว์อื่น ๆ แมวเลี้ยงในลีแยฌ ประเทศเบลเยียม มีผลตรวจเป็นบวกหลังมันเริ่มแสดงอาการ (ท้องร่วง อาเจียน หายใจถี่) หนึ่งสัปดาห์หลังเจ้าของที่ผลเป็นบวกเช่นกัน[294] เสือในสวนสัตว์บรองซ์ มีผลตรวจไวรัสเป็นบวกและแสดงอาการของโควิด-19 รวมถึงอาการไอแห้งและเบื่ออาหาร[295]
การศึกษาเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่ได้รับการปลูกเชื้อไวรัสพบว่า แมวและพังพอนดูเหมือนจะ "ไวมาก" ต่อโรค ในขณะที่หมาดูมีความไวน้อยกว่า โดยมีระดับการถ่ายแบบไวรัสต่ำกว่า การศึกษานี้ไม่พบหลักฐานการถ่ายแบบไวรัสในหมู เป็ด และไก่[296]
การวิจัย
ยังไม่มียาหรือวัคซีนใดได้รับอนุญาตให้รักษาโรค[180] การวิจัยระหว่างประเทศด้านวัคซีนและยาในโควิด-19 กำลังดำเนินอยู่โดยองค์การรัฐบาล กลุ่มวิชาการและนักวิจัยอุตสาหกรรม[297][298] ในเดือนมีนาคม องค์การอนามัยโลกริเริ่ม "การทดลองซอลิแดริตี" เพื่อประเมินผลการรักษาของสารต้านไวรัส 4 ชนิดที่มีอยู่แล้วซึ่งมีหวังประสิทธิภาพสูงสุด[299] องค์การอนามัยโลกยับยั้งไฮดร็อกซีคลอโรควินจากการทดลองยาทั่วโลกสำหรับการรักษาโควิด-19 ในวันที่ 26 พฤษภาคท 2563 ก่อนหน้านี้องค์การฯ ขึ้นทะเบียนผู้ป่วย 3,500 คนจาก 17 ประเทศในการทดลองซอลิแดริตี[300] ประเทศฝรั่งเศส อิตาลีและเบลเยียมห้ามใช้ไฮดร็อกซีคลอโรควินสำหรับรักษาโควิด-19[301]
ยา
มีการสรุปการทดลองประสิทธิผลระยะที่ 2–4 ในโควิด-19 จำนวน 29 การทดลองในเดือนมีนาคม 2563 หรือมีกำหนดได้ผลลัพธ์มนเดือนเมษายนจากโรงพยาบาลในประเทศจีน[302][303] มีการทดลองทางคลินิกดำเนินอยู่กว่า 300 การทดลองในเดือนเมษายน 2563[103] การทดลองเจ็ดการทดลองกำลังประเมินผลการรักษาโรคมาลาเรียที่ได้รับอนุมัติแล้ว ตลอดจนการศึกษาเกี่ยวกับไฮดร็อกซีคลอโรควินหรือคลอโรควิน[303] ยาต้านไวรัสที่มีการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ใหม่เป็นการวิจัยของจีนที่พบมากที่สุด โดยมีการทดลองยาเร็มเดสซิเวียระยะที่ 3 จำนวน 9 การทดลองในหลายประเทศที่มีกำหนดรายงานในปลายเดือนเมษายน[302][303] สารอื่นที่มีศักยภาพในการทดลอง ได้แก่ ยาขยายหลอดเลือด คอร์ติโคสเตียรอยด์ ภูมิคุ้มกันบำบัด กรดไลโออิก เบวาซิซูแมบ, และเอ็นไซม์แปลงแอนจิโอเทนซิน 2 สายผสม (recombinant ACE2)[303]
แนวร่วมการวิจัยคลินิกโควิด-19 มีเป้าหมายเพื่อ 1) อำนวยความสะดวกให้คณะกรรมการจริยธรรมและหน่วยงานกำกับระดับชาติทบทวนข้อเสนอการทดลองทางคลินิกอย่างรวดเร็ว 2) เร่งรัดการอนุมัติสารประกอบเพื่อการรักษาที่ได้รับการพิจารณา 3) รับประกันการวิเคราะห์ที่เป็นมาตรฐานและรวดเร็วของข้อมูลประสิทะผลและความปลอดภัยที่เกิดขึ้นใหม่ และ 4) อำนวยความสะดวกในการแบ่งปันผลการทดลองทางคลินิกก่อนตีพิมพ์[304][305] ณ เดือนเมษายน 2563 มีการทบทวนแบบพลวัตซึ่งการพัฒนาทางคลินิกสำหรับสารที่ได้รับการพิจารณาเป็นวัคซีนและยา โควิด-19 ของผู้สมัครอยู่ในขณะที่เมษายน 2563
ขณะนี้กำลังมีการประเมินยาต้านไวรัสที่มีอยู่หลายตัวสำหรับการรักษาโควิด-19[180] รวมถึงเรมเดซิเวียร์, คลอโรควินและไฮดร็อกซีคลอโรควิน, โลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ และโลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ร่วมกันอินเตอร์เฟียรอนบีตา[299][306] ในเดือนมีนาคม 2563 มีหลักฐานเบื้องต้นสำหรับประสิทธิผลของเรมเดซิเวียร์[307][308] พบอาการทางคลินิกดีขึ้นในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยเรมเดซิเวียร์ซึ่งเป็นการใช้อย่างการุณ (compassionate-use)[309] เรมเดซิเวียร์ยับยั้ง SARS-CoV-2 นอกกาย[310] กำลังมีการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ในสหรัฐ ประเทศจีนและอิตาลี[180][302][311]
ในปี 2563 การทดลองหนึ่งพบว่าโลปินาเวียร์/ริโตนาเวียร์ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาโควิด-19 รุนแรง[312] นิทาโซซาไนด์ (Nitazoxanide) ได้รับคำแนะนำให้ศึกษาในกายต่อหลังแสดงว่ามีการยับยั้ง SARS-CoV-2 ความเข้มข้นต่ำ[310]
ณ วันที่ 3 เมษายน 2020 การทดลองประสิทธิภาพของการใช้ไฮดร็อกซีคลอโรควินเป็นการรักษาโควิด-19 ให้ผลลัพธ์ออกมาคละกัน[313][314] และการศึกษาหนึ่งยังแสดงว่าอัตราตายเพิ่มขึ้นร่วมกับมีผลข้างเคียงมากขึ้นด้วย[315][316] การศึกษาคลอโรควินและไฮดร็อกซีคลอโรควินทั้งที่ใช้ร่วมหรือไม่ใช้กับอะซิโทรมัยซินมีข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้ชุมชนการแพทย์ไม่ยอมรับการบำบัดดังกล่าวโดยยอมให้มีการศึกษาเพิ่มเติม[103]
โอเซลทามิเวียร์ ไม่ยับยั้ง SARS-CoV-2 นอกกายและไม่มีบทบาทเท่าที่ทราบในการรักษาโควิด-19[103]
ผลลัพธ์การทดลองทางคลินิกขั้นต้นซึ่งศึกษาเดกซาเมทาโซนในสหราชอาณาจักรที่เปิดเผยในเดือนมิถุนายนแสดงว่าผู้ป่วยวิกฤตที่ต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจมีอัตราตายลดลงหนึ่งในสาม และผู้ป่วยที่ต้องรักษาด้วยอ็อกซืเจนมีอัตราตายลดลงหนึ่งในห้าในการทดลองแบบสุ่มโดยมีผู้ป่วย 11,500 คน และมีการรักษา 6 ชนิด[317]
การต้านพายุไซโตไคน์
พายุไซโตไคน์อาจเป็นภาวะแทรกซ้อนในระยะหลังของโควิด-19 ที่รุนแรง มีหลักฐานว่าไฮดร็อกซีคลอโรควินมีคุณสมบัติต้านพายุไซโตไคน์[318]
โทซิลิซูแมบ (Tocilizumab) รวมอยู่ในแนวทางการรักษาโดยคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีนหลังจากการศึกษาขนาดเล็กเสร็จสมบูรณ์[319][320] ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบแบบไม่สุ่มระดับชาติระยะที่ 2 ในประเทศอิตาลีหลังแสดงผลบวกในบุคคลที่ป่วยรุนแรง[321][322] เมื่อรวมกับการตรวจเลือดเฟอร์ริตินซีรัมเพื่อหาพายุไซโตไคน์ ตั้งใจให้ยาใช้โต้ตอบพายุไซโตไคน์ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุตายของผู้ป่วยบางราย[323][324][325] FDA อนุมัติสารต้านตัวรับอินเตอร์ลิวคิน-6 โดยอาศัยการศึกษาผู้ป่วยย้อนหลังสำหรับการรักษากลุ่มอาการหลั่งไซโตไคน์ดื้อสเตียรอยด์ (steroid refractory cytokine release syndrome, CRS) ซึ่งมีการชักนำจากอีกสาเหตุหนึ่ง คือ การบำบัดยีน Chimeric antigen receptor T cell (CAR T cell) ในปี 2560[326] จวบจนปัจจุบันไม่มีหลักฐานแบบสุ่มและมีการควบคุมว่าโทซิลิซูแมบเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับ CRS การให้โทซิลิซูแมบเพื่อป้องกันโรคมีการแสดงแล้วว่าเพิ่มระดับ IL-6 ในซีรัมโดยทำให้ตัวรับ IL-6 อิ่มตัว, ขับ IL-6 ข้ามตัวกั้นระหว่างเลือดกับสมอง และทำให้พิษต่อระบบประสาทกำเริบโดยไม่มีผลต่ออุบัติการณ์ของ CRS[327]
Lenzilumab ซึ่งเป็นสารภูมิต้านทานโมโนโคลนต้าน GM-CSF มีการแสดงแล้วว่าช่วยป้องกันในแบบจำลอง เพื่อป้องกันในแบบจำลองหนูสำหรับ CRS และพิษต่อระบบประสาทที่เซลล์ CAR T ชักนำ และเป็นตัวเลือกรักษาที่เป็นไปได้เนื่องจากสังเกตพบการเพิ่มขึ้นของเซลล์ทีที่หลั่ง GM-CSF ผิดปกติในผู้ป่วยโควิด-19 ที่รับรักษาในโรงพยาบาล[328]
สถาบันไฟน์สตีนแห่งนอร์ทเวลเฮลท์ประกาศการศึกษาในเดือนมีนาคมเรื่อง "สารภูมิต้านทานของมนุษย์ซึ่งอาจป้องกันกัมมันตภาพ" ของ IL-6[329]
สารภูมิต้านทานรับมา
การถ่ายโอนสารภูมิต้านทานที่ทำให้บริสุทธิ์และเข้มข้นที่ผลิตจากระบบภูมิตุ้มกันของบุคคลที่หายจากโควิด-19 แก่ผู้ที่ต้องการนั้นอยู่ระหว่างการสอบสวนใช้เป็นการให้ภูมิคุ้มกันรับมาที่ไม่ใช่วัคซีน[330] เคยมีการลองใช้ยุทธศาสตร์นี้กับโรคซาร์สแต่ผลลัพธ์ไม่ได้ข้อสรุป[330] การลบล้างฤทธิ์ของไวรัส (viral neutralization) เป็นกลไกการออกฤทธิ์ที่คาดไว้ว่าการบำบัดด้วยภูมิคุ้มกันรับมาจะช่วยป้องกัน SARS-CoV-2 อย่างไรก็ดี กลไกอื่นก็อาจเป็นไปได้ เช่น ความเป็นพิษต่อเซลล์ที่อาศัยสารภูมิคุ้มกัน (antibody-dependent cellular cytotoxicity) และฟาโกไซโทซิส[330] การรักษาด้วยสารภูมิต้านทานรูปแบบอื่น ๆ เช่น สารภูมิต้านทานโมโนโคลนที่ผลิตขึ้น กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา[330] การผลิตเซรุ่มระยะฟื้นโรคซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เป็นของเหลวจากโลหิตของผู้ป่วยที่หายแล้วประกอบด้วยสารภูมิต้านทานที่จำเพาะกับไวรัส อาจเพิ่มขึ้นเพื่อให้ใช้งานได้เร็วขึ้น[331]
เชิงอรรถ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
หน่วยงานสุขภาพ
- Coronavirus disease (COVID‑19) Facts by the World Health Organization (WHO)
- Coronavirus 2019 (COVID-19) by the US Centers for Disease Control and Prevention (CDC)
- Coronavirus (COVID‑19) by the UK National Health Service (NHS)
สารบบ
- Coronavirus Resource Center at the Center for Inquiry
- COVID-19 ที่เว็บไซต์ Curlie
- COVID‑19 Resource Directory on OpenMD
- COVID‑19 Information on FireMountain.net เก็บถาวร 13 มกราคม 2022 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
วารสารการแพทย์
- Coronavirus Disease 2019 (COVID‑19) by JAMA
- BMJ's Coronavirus (covid‑19) Hub by the BMJ
- Novel Coronavirus Information Center by Elsevier
- COVID‑19 Resource Centre by The Lancet
- Coronavirus (COVID‑19) Research Highlights by Springer Nature
- Coronavirus (Covid‑19) by The New England Journal of Medicine
- Covid‑19: Novel Coronavirus เก็บถาวร 2020-09-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน by Wiley Publishing
แนวทางการรักษา
- "JHMI Clinical Recommendations for Available Pharmacologic Therapies for COVID-19" (PDF). Johns Hopkins Medicine.
- "Bouncing Back From COVID-19: Your Guide to Restoring Movement" (PDF). Johns Hopkins Medicine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-02-15. สืบค้นเมื่อ 2022-08-26.
- "Guidelines on the Treatment and Management of Patients with COVID-19". Infectious Diseases Society of America.
- "Coronavirus Disease 2019 (COVID-19) Treatment Guidelines" (PDF). National Institutes of Health.
- World Health Organization (2022). Therapeutics and COVID-19: living guideline, 14 January 2022 (Report). hdl:10665/351006. WHO/2019-nCoV/therapeutics/2022.1.
- NHS England and NHS Improvement. National Guidance for post-COVID syndrome assessment clinics (Report).
การจำแนกโรค |
---|