พายุไต้ฝุ่นบบพา (พ.ศ. 2555)
พายุไต้ฝุ่นบบพาหรือพายุไต้ฝุ่นบุปผา (ชื่อสากล: 1224, ชื่อของ JTWC : 26W, ชื่อของ PAGASA: ปาโบล; Pablo) เป็นพายุหมุนเขตร้อน ที่ก่อตัวขึ้นอย่างผิดปกติใกล้กับเส้นศูนย์สูตร จัดเป็นพายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุดที่เคยโจมตีภาคใต้ของฟิลิปปินส์ในบริเวณเกาะมินดาเนาโดยมีความแรงในระดับ 5 ซูเปอร์ไต้ฝุ่น มีความเร็วลม 160 mph (260 km/h)[1] พายุไต้ฝุ่นโบเป็นพายุที่เกิดค่อนไปทางใต้สุดเป็นอันดับสอง และเป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 โดยเกิดที่ละติจูด 7.4° N เมื่อ 3 ธันวาคม โดยมีเฉพาะซูเปอร์ไต้ฝุ่นหลุยส์ใน พ.ศ. 2507 ที่เป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 5 ที่เกิดใกล้กับเส้นศูนย์สูตร ที่ 7.3° N[2]
พายุไต้ฝุ่นกำลังแรงอย่างมาก (JMA) | |||
---|---|---|---|
พายุซูเปอร์ไต้ฝุ่นระดับ 5 (SSHWS) | |||
พายุไต้ฝุ่นบบพาขณะมีกำลังสูงสุดใกล้กับฟิลิปปินส์ในวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555 | |||
ก่อตัว | 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 | ||
สลายตัว | 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555 | ||
ความเร็วลม สูงสุด |
| ||
ความกดอากาศต่ำสุด | 930 เฮกโตปาสกาล (มิลลิบาร์ 27.46 นิ้วปรอท) | ||
ผู้เสียชีวิต | ทั้งหมด 1,146 คน, สูญหาย 834 คน | ||
ความเสียหาย | 1.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค่าเงินปี 2012) | ||
พื้นที่ได้รับ ผลกระทบ | ไมโครนีเชีย, ปาเลา, ฟิลิปปินส์ | ||
ส่วนหนึ่งของ ฤดูพายุไต้ฝุ่นแปซิฟิก พ.ศ. 2555 |
หลังจากที่โจมตีปาเลา โดยได้ทำลายบ้านเรือน ตัดขาดการสื่อสาร กระแสไฟฟ้าขัดข้อง และถอนรากถอนโคนต้นไม้ พายุไต้ฝุ่นโบพาได้ขึ้นสู่แผ่นดินที่เกาะมินดาเนาที่เคยถูกทำลายด้วย พายุโซนร้อนวาชิเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2554[3][4] พายุได้สร้างความเสียหายให้กับเกาะมินดาเนาอย่างมาก ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัย และเสียชีวิตจำนวนมาก[5]
หลังจากโจมตี จังหวัดดาเวาตะวันออก และ หุบเขาโกมโปสเตลา พายุไต้ฝุ่นโบพาได้ข้ามทางใต้และตอนกลางของเกาะมินดาเนา พายุได้เคลื่อนสู่ทะเลจีนใต้ ทางตะวันตกของเกาะปาลาวัน นักอุตุนิยมวิทยาของรัฐคาดการณ์ว่าพายุนี้จะเข้าสู่ เวียดนาม หรือจีนตอนใต้[6]
การเตรียมรับสถานการณ์
สหพันธรัฐไมโครนีเชียและปาเลา
เมื่อพายุโบพาก่อตัวขึ้น National Weather Service (NWS) ใน กวม ได้ประกาศเตือนภัยสำหรับสหพันธรัฐไมโครนีเชีย ที่เกาะนุกุโอโรและลุกุนอร์ [7] และได้เพิ่มระดับการเตือนในวันที่ 26 พฤศจิกายน โดยได้รวมโลซับและคุกลากูนด้วย[8] เมื่อพายุโบพาเคลื่อนไปทางตะวันตก ได้มีการประกาศให้จับตาในโปลูวัต,[9] และ ซาตาวัล[10] ทั้งสองแห่งได้ยกระดับเป็นการเตือนภัย และการจับตาไต้ฝุ่นได้ถูกประกาศเพิ่มในโวเลไอ[11]
Palau National Emergency Management Office (NEMO) ได้ออกประกาศเมื่อ 29 พฤศจิกายน ให้ประชาชนเตรียมรับมือกัยสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเฉพาะอาหารและน้ำสำหรับสามวัน วิทยุเคลื่อนที่พร้อมแบตเตอรี ไฟฉายและชุดปฐมพยาบาล และออกจากสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยเมื่อเกิดพายุ เติมน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับพาหนะให้พร้อม[12] ในวันที่ 30 พฤศจิกายนเจ้าหน้าที่ของปาเลาได้เตรียมพร้อมสำหรับพายุไต้ฝุ่นระดับสาม ที่คาดว่าจะขึ้นฝั่งเมื่อ 2 ธันวาคม
อิทธิพลของพายุ
สหพันธรัฐไมโครนีเชียและปาเลา
เมื่อพายุโบพาผ่านทางใต้ของเกาะ เกิดไฟฟ้าดับทั่วเกาะ[13] เครือข่ายการสื่อสารหยุดชะงัก และเกิดความเสียหายในบริเวณที่พายุผ่าน ในโกรอร์เกิดต้นไม้โค่นล้มและไฟฟ้าดับ ด้านนอกของโกรอร์ หมู่บ้านตามแนวชายฝั่งได้รับผลกระทบจากลมแรงและฝน ทำให้เกิดน้ำท่วม[14] ฝนตกหนักจนเกิดน้ำท่วมในปาเลลิวและบ้านในบาเบลดาโอบถูกทำลาย[15]
ประเทศฟิลิปปินส์
พายุไต้ฝุ่นโบพา ซึ่งพัดเข้าชายฝั่งประเทศฟิลิปปินส์ สภาการจัดการและบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติแห่งชาติฟิลิปปินส์ รายงานว่าส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 902 ราย[16] สูญหายอีกจำนวนกว่า 934 คน บาดเจ็บจำนวน 2,661 ราย
ในขณะที่เที่ยวบิน 146 เที่ยว ในจังหวัดมินดาเนาและเกาะใกล้เคียงหยุดให้บริการ เช่นเดียวกับเรือโดยสารเฟอร์รี่ ที่ระงับให้บริการและทำให้ผู้โดยสาร 3 พันคน ต้องติดอยู่ตามท่าเรือ โรงเรียนและธุรกิจในประเทศได้ทำการปิดการปิดโรงเรียนและการทำธุรกิจชั่วคราว
โดยสภาดังกล่าวได้ประเมินว่าไต้ฝุ่นโบพาจะสร้างความเสียหายต่อระบบสาธารณูปโภคของฟิลิปปินส์ราว 14.3 พันล้านเปโซ หรือประมาณ 348.95 ล้านดอลลาห์สหรัฐ ส่วนพื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหายราว 9 พัน 7 ร้อยล้านเปโซ หรือ ราว 2 ร้อย 36.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[17]
โดย ซุปเปอร์ไต้ฝุ่น โบพา ขึ้นฝั่งด้วยความเร็วลม 210 ก.ม. ต่อ ช.ม. ทำให้ฝนตกหนักที่เกาะมินดาเนาโดยเฉพาะพื้นที่ทางตะวันออก ซึ่งเกาะมินดาเนามีประชาชนอาศัยอยู่มากถึง 10 ล้านคน นอกจากนี้ยังทำให้ไฟฟ้าดับ ถนนหลายเส้นถูกตัดขาด และทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยง เกิดดินสไลด์ถล่มลงมา
โฆษกของกองทัพฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า เกิดน้ำท่วมฉับพลันไหลผ่านค่ายทหารแห่งหนึ่งบนเกาะมินดาเนา ทำให้มีผู้สูญหายกว่า 20 คน รวมถึงทหารอีก 6 นายด้านรัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งระดับ 3 ใน 7 จังหวัด เตรียมอุปกรณ์กู้ภัย และย้ายประชาชนราว 2000 ครอบครัว[18]