ผู้ใช้:Sorozkung/ทดลองเขียน

Panzerkampfwagen IV
รถถังแพนเซอร์ 4 ในลวดลายพรางทะเลทราย ประจำการอยู่ใน กองพลยานเกราะที่ 15 ของกองกำลัง แอฟริกา คอป.
ชนิดรถถังขนาดกลาง
แหล่งกำเนิด ไรช์เยอรมัน
บทบาท
ประจำการ1939–1967
ผู้ใช้งานNazi Germany
Romania
Turkey
Hungary
Bulgaria
Finland
Spain
Croatia
Syria
สงครามWorld War II, 1948 Arab-Israeli War, Six-Day War
ประวัติการผลิต
ผู้ออกแบบKrupp
ช่วงการออกแบบ1936
บริษัทผู้ผลิตKrupp, Steyr-Daimler-Puch
มูลค่า~ 103,462 Reichsmarks[1]
ช่วงการผลิต1936–45
จำนวนที่ผลิต8,800 (estimate)
ข้อมูลจำเพาะ (Pz IV Ausf H, 1943[2])
มวล25 ตัน
ความยาว5.92 เมตร (19.4 ฟุต)
รวมความยาวปืน 7.02 เมตร (23.0 ฟุต)
ความกว้าง2.88 m (9 ft 5 in)
ความสูง2.68 m (8 ft 10 in)
ลูกเรือ5 (ผบ. รถถัง, พลปืน, พลบรรจุกระสุน, พลขับ, พลวิทยุ)

เกราะ10–80 mm (0.39–3.15 in)
อาวุธหลัก
7.5 cm (2.95 in) KwK 40 L/48 ปืนหลัก (87 นัด.)
อาวุธรอง
2–3 × 7.92-mm Maschinengewehr 34
เครื่องยนต์12-cylinder Maybach HL 120 TRM V12
300 PS (296 hp, 220 kW)
กำลัง/น้ำหนัก12 PS/t
กันสะเทือนLeaf spring
ความจุเชื้อเพลิง470 ลิตร
พิสัยปฏิบัติการ
200 km (120 mi)
ความเร็ว42 km/h (26 mph) บนถนน, 16 km/h (9.9 mph) บนภูมิประเทศ

แพนเซอร์คัมพ์วาเกน 4 เยอรมัน : Panzerkampfwagen (อักษรย่อ Pz.Kpfw. IV) หรือที่เรียกในอีกชื่อหนึ่งคือ แพนเซอร์ 4 เป็นรถถังขนาดกลางซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยเยอรมันในยุคปี ค.ศ. 1930 และได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายใhนช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แพนเซอร์ 4 นั้น ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการสนันสนุนทหารราบ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเข้าต่อตีกับรถถังโดยตรง ซึ่ง ณ ขณะนั้น รถถังที่ใช้ในการต่อสู้รถถังด้วยกันของเยอรมันนั้นเป็นรุ่น แพนเซอร์ 3แต่เมื่อเยอรมัน ต้องเจอกับสมรรถนะรถถัง ที-34 ของโซเวียตที่ดีกว่า ทำให้ต้องพัฒนา แพนเซอร์ 4 เป็นรถถังที่ใช้ในการต่อสู้รถถังในที่สุดรถถัง แพนเซอร์ 4 ถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวนมาก ตัวถังของ แพนเซอร์ 4 นั้น ได้ถูกนำไปพัฒนาต่อเป็นรถถังในอีกหลายๆรุ่น เช่น รถถังจู่โจม Sturmgeschütz 4, รถถังพิฆาตยานเกราะ Jagdpanzer 4, รถถังต่อสู้อากาศยาน Wirbelwind, ปืนใหญ่อัตราจร Brummbär เป็นต้น

จากความทนทานและความน่าเชื่อถือของ แพนเซอร์ 4 เยอรมันได้ใช้รถถังนี้ในทุกๆสมรภูมิที่เยอรมันทำการร่วมรบ และเป็นรถถังที่เยอรมันทำการผลิตตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1936 ถึง ปี ค.ศ. 1943 เป็นจำนวนถึง 8000 คันด้วยกันการปรับปรุงรถถังแพนเซอร์ 4 นั้น จะมีการดำเนินการเมื่อเจอกับรถถังของสัมพันธมิตรที่มีสมรรถนะดีกว่า โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มความหนาของเกราะ หรือติดตั้งอาวุธปืนต่อสู้รถถังแบบใหม่

ในช่วงท้ายๆของสงครามนั้น เยอรมันต้องการชดเชยรถถังที่สูญเสียไปในการรบให้ได้ไวที่สุด เยอรมันใช้วิธีในการลดสเปคในการผลิต เพื่อลดความซับซ้อนและเพิ่มความเร็วในการผลิต

รถถังแพนเซอร์ 4 เป็นรถถังที่ถูกส่งออกจากเยอรมนี โดยมีผู้ใช้งานอย่างแพร่หลาย เยอรมันขาย แพนเซอร์ 4 เป็นจำนวน 300 คัน ให้แก่ฟินด์แลนด์ โรมาเนีย สเปน และบัลแกเรีย หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 สเปนและฝรั่งเศสขายรถถังแพนเซอร์ 4 จำนวนหนึ่งให้แก่ซีเรีย ซึ่งถูกนำไปใช้ใน สงครามหกวัน ในปี ค.ศ. 1967

ประวัติการพัฒนารถถัง

ต้นกำเนิด

แพนเซอร์ 4 นั้นเป็นรถถังที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย จอมพล ไฮนซ์ กูเดอร์เรียน[3]โดยการจัดกำลังนั้น ในหนึ่งกองพันทหารม้ายานเกราะ จะประกอบด้วย กองร้อยแพนเซอร์ 3 จำนวน 3 กองร้อย และ แพนเซอร์ 4 จำนวน 1 กองร้อย[4]

ในปี ค.ศ. 1934 เยอรมันได้เขียนสเปค "รถถังขนาดกลาง" ไว้ และจะจัดกำลังเข้าสู่กองพันรถถังที่มี แพนเซอร์ 3อยู่แล้วโดยรถถังที่จะมาสนันสนุน แพนเซอร์ 3 นี้ จะต้องมีลำกล้องปืนขนาด 7.5เซนติเมตร เป็นปืนต่อสู้รถถังหลัก และต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 24 ตันรหัสที่ใช้ในการสร้างรถถังนี้คือ รถประกอบเอง (เยอรมัน : Begleitwagen)[5] เพื่อเป็นการหลบเลี่ยง สนธิสัญญาแวร์ซาย ที่ผูกพันกับเยอรมันอยู่[6]มีผู้ผลิตเพียง 3 รายที่ถูกคัดเลือกมาให้ผลิตรถถังต้นแบบคือ MAN, Krupp, and Rheinmetall-Borsig[7] โดยในที่สุด เยอรมันได้ตัดสินใจให้บริษัท Krupp เป็นผู้ผลิต

ในช่วงแรก แพนเซอร์ 4 ได้ถูกออกแบบให้ใช้ช่วงล่างแบบ ล้อลำเลียงสายพานซ้อน (อังกฤษ : six-wheeled interleaved suspension)แต่ทางกองทัพเยอรมันต้องการระบบช่วงล่างแบบ ทอร์ชัน บาร์(อังกฤษ : Torsion bar) ซึ่งสามารถไต่ที่สูงชันได้ดีกว่า และยังให้ความนุ่มนวลแก่พลประจำรถถังด้วย[7][8]แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากกองทัพเยอรมันต้องการใช้งานอย่างเร่งด่วน บริษัท Krupp จึงทำการเลือกช่วงล่างแบบ leaf spring double-bogie ซึ่งผลิตได้ง่ายกว่ามาแทน

ต้นแบบรถถังที่ได้มานั้น ใช้พลประจำรถ 5 นายโดยมีห้องเครื่องอยู่ทางท้ายรถถัง ด้านหน้าซ้ายเป็นที่นั่งของ พลขับส่วนด้านหน้าขวานั้น เป็นที่นั่งของพลวิทยุ ซึ่งจะต้องควบคุมปืนกลไปด้วยผู้บัญชาการรถถังจะนั่งอยู่ในป้อมปืน บริเวณด้านล่างของทางเข้าออก ส่วนพลปืน และพลบรรจุกระสุนนั้น จะนั่งอยู่ทางซ้าย และทางขวาของปืนตามลำดับทางด้านขวาของตัวถังนั้นจะเป็นที่เก็บกระสุนรถถัง แพนเซอร์ 4 เริ่มผลิตในปี ค.ศ. 1936 ณ เมือง Magdeburg[9]

รุ่น A - F1

รถถังแพนเซอร์ 4 รุ่น C

รุ่น A

การผลิตครั้งแรกนั้นเริ่มต้นเมื่อปี ค.ศ. 1936 โดยเป็นการผลิตในรุ่น A ใช้เครื่องยนต์ Maybach's HL 108TR ให้กำลัง 250 แรงม้า (183.73 kW) ใช้ระบบส่งกำลังแบบ SGR 75 ซึ่งมีเกียร์เดินหน้า 5 เกียร์ และเกียร์ถอยหลัง 1 เกียร์[10]โดยสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 31 กิโลเมตรต่อชั่วโมง[11]โดยปืนต่อสู้รถถังหลักนั้นเป็น ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังแบบ 37 L/24 (KwK 37 L/24) ซึ่งใช้ยิงกระสุนความเร็วต่ำ(HE) เพื่อประโยชน์ในการต่อสู้กับทหารราบ[12]การต่อสู้กับรถถังนั้น จะใช้กระสุนแบบเจาะเกราะ ความเร็วกระสุน 430 เมตรต่อวินาที โดยจะสามารถเจาะเกราะได้ลึก 43 มิลลิเมตร ที่มุมตกกระทบไม่เกิน 30 องศา ในระยะ 700 เมตร[13]และมีปืนกลแบบ MG34 2 กระบอก โดยกระบอกแรกจะใช้แกนร่วมกับปืนหลัก และอีกกระบอกจะติดอยู่กับตัวถังบริเวณพลวิทยุรุ่น A นั้น มีเกราะด้านหน้าหนา 14.5 มิลลิเมตร และมีเกราะที่ป้อมปืนหนา 20 มิลลิเมตร ด้วยความบางของเกราะระดับนี้ จะป้องกันได้เพียงแค่กระสุนปืนจากปืนเล็กยาว จรวดต่อสู้รถถังขนาดเบา และสะเก็ดระเบิดจากปืนใหญ่ได้เท่านั้น[14]หลังจากรุ่น A ผลิตได้เพียง 35 คัน เยอรมันจึงเริ่มทำการผลิตรุ่น B ในปี 1937[6]

รุ่น B

รุ่น B มีการปรับปรุงโดยมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นรุ่น Maybach HL 120TR ซึ่งให้กำลัง 300 แรงม้า และระบบส่งกำลังได้รับการปรับปรุงโดยเพิ่มเกียร์เดินหน้าอีก 1 เกียร์ เป็น 6 เกียร์ ทำความเร็วได้สูงสุด 39 กิโลเมตรต่อชั่วโมง[15]เกราะรถถังด้านหน้านั้นได้ถูกเพิ่มความหนาเป็น 30 มิลลิเมตร[14] และช่องปืนกลที่ติดอยู่บนตัวถังนั้นได้ถูกเปลี่ยนเป็นช่องว่าง ที่สามารถนำปืนสั้นยิงลอดออกไปได้ แพนเซอร์ 4 รุ่น B ได้ถูกผลิตออกไปเป็นจำนวน 42 คัน

รุ่น C

มีการเพิ่มความหนาของเกราะป้อมปืนเป็น 30 มิลลิเมตร ซึ่งทำให้รถถังมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 18.14 ตัน หลังจากผลิตรุ่น C ได้เพียง 40 คัน ก็ได้มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ใหม่โดยเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์รุ่น Maybach HL 120TRM. และทำการผลิตออกมาอีก 100 คัน ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นรุ่น D ในเดือนสิงหาคมปี 1939

เครื่องยนต์ มายบัค 120TRM ที่รถถังแพนเซอร์ 4 ส่วนใหญ่ใช้.

รุ่น D

รถถังแพนเซอร์ 4 รุ่น D

แพนเซอร์ 4 ที่ถูกผลิตออกมาในรุ่น D นั้นมีจำนวน 248 คัน โดยในรุ่น D นี้ได้มีการนำปืนกลที่ติดอยู่กับตัวถังกลับมาใช้งานเหมือนรุ่น B และมีการย้ายปืนกลแกนร่วมกับปืนหลักออกไปอยู่บนป้อมปืนแทน มีการเพิ่มความหนาของเพราะด้านข้างเป็น 20 มิลลิเมตร [12]หลังจากเยอรมันได้รับชัยชนะจากการบุกโปแลนด์ในปี 1939 เยอรมันจึงคิดจะขยายการผลิตรถถังรุ่นนี้ โดยนำเข้าประจำการในชื่อ Sonderkraftfahrzeug 161 (Sd.Kfz. 161).[6]

เนื่องจากปืนต่อสู้รถถังแบบ KwK 37 L/24 นั้น เป็นแบบลำกล้องสั้น และใช้ยิงกระสุนความเร็วต่ำ จึงมักจะไม่สามารถเจาะเกราะรถถังของอังกฤษในสมรภูมิการบุกยึดฝรั่งเศสได้ เยอรมันจึงได้ทำการทดลองติดตั้งปืนแบบ Pak 38 L/60 ขนาด 5 เซนติเมตร ซึ่งสามารถเจาะเกราะหนา 50 มิลลิเมตรได้ แต่การสั่งรถถังรุ่นนี้ต้องถูกยกเลิกไป เนื่องจากชัยชนะอันรวดเร็วของเยอรมนีที่มีต่อฝรั่งเศส[16]

รุ่น E

เริ่มทำการสร้างเมื่อเดือนเดือนกันยายน ปี 1940 โดยทำการเพิ่มความหนาของเกราะด้านหน้าเป็น 50 มิลลิเมตร โดยใส่แผ่นเหล็กเป็นเกราะเพิ่มด้านหน้าอีก 30 มิลลิเมตรและทำการย้ายช่องสังเกตการณ์ของผู้บังคับบัญชารถถังมาอยู่ด้านหน้าของป้อมปืน ในส่วนของรถถังรุ่นก่อนหน้านี้ จะถูกอัพเกรดให้เป็นแบบเดียวกับรุ่น E เมื่อรถถังได้นำกลับเข้ามาบำรุงรักษา

แพนเซอร์ 4 รุ่น E นี้ถูกผลิตออกมา 280 คัน ตลอดช่วงปี 1939 ถึงปี 1941

รุ่น F/F1

รถถังแพนเซอร์ 4 รุ่น F1 ซึ่งติดปืนลำกล้องสั้น ใช้ต่อสู้กับทหารราบ

ในปี 1941 แพนเซอร์ 4 รุ่น F ได้เริ่มสายการผลิต โดยความหนาของเกราะและป้อมปืนมีขนาด 50 มิลลิเมตร และเพิ่มขนาดของเกราะด้านข้างเป็น 30 มิลลิเมตร[17]จากการเพิ่มความหนาของเกราะทำให้น้ำหนักของรถถังเพิ่มขึ้นเป็น 22.3 ตัน ซึ่งจำเป็นต้องออกแบบระบบสายพานใหม่ให้มีความกว้างเพิ่มขึ้นเป็น 400 มิลลิเมตร จาก 380 มิลลิเมตร เพื่อกระจายแรงกดที่กระทำต่อพื้นดิน โดยหน้าสัมผัสของสายพานที่เพิ่มขึ้นนั้น จะช่วยรถถังในการวิ่งบนพื้นผิวที่เป็นน้ำแข็งด้วย รถถังยังได้รับการปรับปรุงในเรื่องของล้อลำเลียงสายพานด้วย

โดยเมื่อแพนเซอร์ 4 รุ่น F2 ได้เริ่มทำการผลิตไปแล้วนั้น รุ่น F ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น F1 โดยมีรถถังรุ่น F1 จำนวน 464 คันถูกผลิตออกมา โดยอีก 25 คันถูกเปลี่ยนให้เป็นรุ่น F2 ในสายการผลิต

รุ่น F2 - J

รุ่น F2

วันที่ 26 พฤษภาคม 1941 เพียงสัปดาเดียวก่อนยุทธการ Barbarossa จะเริ่มขึ้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ต้องการจะปรับปรุงปืนต่อสู้รถถังของ แพนเซอร์ 4 โดยได้ทำการติดต่อบริษัท Krupp อีกครั้ง เพื่อจะให้ติดตั้งปืน Pak 38 L/60 ขนาด 5 เซนติเมตรเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง และได้รถถังหลังจากการปรับปรุงในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1941[18]จากการเข้าต่อสู้กับรถถัง T-34 และรถถัง KV-1 ของโซเวียต ซึ่งใหม่กว่า และทรงพลังกว่านั้น ปรากฏว่ารถถังของเยอรมันไม่สามารถต่อกรกับรถถังของโซเวียตได้เลย เนื่องจากเกราะของ T-34 และ KV-1 มีความหนามาก ทำให้ปืนแบบ Pak 38 L/60 ไม่สามารถเจาะเกราะเข้าไปทำความเสียหายได้[19]เยอรมันจึงยกเลิกการผลิตรถถังที่ได้ติดตั้งปืนรุ่น Pak38 L/60 ทั้งหมด และได้ว่าจ้างบริษัท Rheinmetall ให้ทำการออกแบบปืนต่อสู้รถถังแบบใหม่ด้วยขนาด 7.5 เซนติเมตรแทนซึ่งภายหลังจากการออกแบบเสร็จสิ้น ปืนนี้ได้ชื่อว่า 7.5 cm Pak 40 L/46เนื่องจากปืนขนาดลำกล้องที่ยาวขึ้น ทำให้เกิดแรงสะท้อนถอยหลังที่มากขึ้น ซึ่งทำให้ระยะถอยของปืนนั้นเกินความยาวของป้อมปืนที่มีอยู่ จึงต้องทำการออกแบบระบบรับแรงสะท้อนถอยหลังใหม่ เพื่อให้ระยะถอยของปืนนั้นสั้นลง โดยปืนที่ติดตั้งบนรถถัง แพนเซอร์ 4 นั้น มีชื่อว่า KwK 40 L/43[20]โดยกระสุนเจาะเกราะ จะทำความเร็วได้ 990 เมตร ต่อวินาที ซึ่งต่างจากปืนกระบอกเดิมที่ทำได้เพียง 430 เมตรต่อวินาทีโดยปืนกระบอกใหม่ที่ถูกติดตั้งนี้ เมื่อยิงกระสุนแบบ Panzergranate 39 จะเจาะเกราะได้ 77 มิลลิเมตร ที่ระยะทาง 1830 เมตร[21]โดยรถถังที่ติดตั้งปืนรุ่น KwK40 L/43 จะมีชื่อรุ่นคือ F2 โดยมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 23.6 ตัน รถถังในรุ่นนี้ถูกผลิตออกมา 175 คันตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเดือนกรกฎาคมปี 1942 สามเดือนให้หลัง รถถังรุ่นนี้ก็ถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งหนึ่งเป็นรุ่น G

แพนเซอร์ 4 รุ่น F2 ติดตั้งปืน KwK 40 L/43 เพื่อใช้ต่อสู้กับรถถัง T-34 และ KV1 ของโซเวียตโดยเฉพาะ

รุ่น G

สำหรับการผลิตแพนเซอร์ 4 ในช่วงเดือนพฤษภาคม 1942 ถึงเดือนมิถุนายน 1943 นั้น แพนเซอร์ 4 รุ่น G ได้ถูกปรับแต่งหลายอย่าง เป็นต้นว่าการปรับปรุงในเรื่องเกราะ ซึ่งการปรับปรุงในเรื่องเกราะนั้นเป็นการเพิ่มน้ำหนักจนถึงขีดสุดที่รถถังจะรับไหวเพื่อไม่ให้น้ำหนักเกินไปมากกว่านี้ ได้มีการนำเกราะเสริมด้านข้างที่มีความหนา 20 มิลลิเมตรออกไป และไปเพิ่มความหนาของตัวถังด้านข้างเป็น 30 มิลลิเมตรแทนและน้ำหนักในส่วนที่หายไปนั้น ได้ถูกนำมาใช้ในการเสริมเกราะด้านหน้าให้มีความหนาเป็น 80 มิลลิเมตร[22] ซึ่งกำลังพลที่ใช้รถถังนี้ก็ต่างต้องการเกราะที่หนาขึ้นนี้ถึงแม้ต้องแลกมาด้วยปัญหาต่อระบบขับเคลื่อนของรถถังก็ตามโดยรถถังที่ผลิตในเดือนพฤษภาคม 1942 ถึงเดือนมกราคม 1943 นั้น จะใช้เกราะแบบใหม่นี้ผลิตรถถังเป็นครึ่งหนึ่ง ของเกราะแบบเดิมที่ผลิตออกมา และหลังจากเดือนมกราคม 1943 ก็จะเปลี่ยนไปผลิตเกราะแบบหนา 80 มิลลิเมตรทั้งหมด[23]

ช่องมองทั้งสองข้างของป้อมปืนนั้นถูกนำออกเพื่อให้การผลิตสามารถทำได้ง่ายขึ้น มีการนำล้อลำเลียงสายพานสำรองมาติดตั้งบนด้านซ้ายของตัวถัง และเพิ่มสายพานสำรองโดยนำมาวางไว้บนเกราะด้านหน้ามีการเปิดช่องว่างด้านบนของห้องเครื่องเพื่อเพิ่มสมรรถนะในการระบายอากาศ ในสมรภูมิที่ร้อนอบอ้าวส่วนในสมรภูมิที่มีความหนาวเย็นนั้น ได้มีการนำอุปกรณ์เพิ่มความร้อนไปติดตั้งเพื่อให้น้ำหล่อเย็นนั้นไม่เย็นจนเกินไปมีการเปลี่ยนไฟส่องสว่างใหม่ และนำเอาไฟสัญญาณบนป้อมปืนออก[24]ช่องสังเกตการณ์ของผู้บังคับบัญชารถถังนั้นได้ถูกเพิ่มความหนาของเกราะ และลดลงเหลือเพียงหนึ่งช่องซึ่งแต่เดิมมีสองช่อง

ในเดือนมีนาคม 1943 รถถังแพนเซอร์ 4 ที่ถูกติดตั้งเกราะด้านข้างสายพาน และด้านข้างป้อมปืนได้ถูกนำมาใช้งาน[25]

ในเดือนเมษายน 1943 ปืนแบบ KwK 40 L/48 ได้ถูกนำมาติดตั้งแทนปืน KwK 40 L/43 ซึ่งปืนแบบใหม่นี้มีความยาวของลำกล้องมากกว่า และได้รับการปรับปรุงซึ่งจะลดแรงสะท้อนถอยหลังให้ลดลงกว่าเดิม[26]และได้มีการเพิ่มเกราะแบบ Zimmerit ซึ่งนำไปติดตั้งด้านล่างของตัวถัง เนื่องจากเยอรมันกลัวว่าทุ่นระเบิดรถถังแบบเหนี่ยวนำแม่เหล็กของสัมพันธมิตรนั้นจะถูกนำมาใช้จัดการกับรถถังของเยอรมัน[27]

รถถังในรุ่นนี้ได้ถูกเพิ่มเกราะด้านข้างสายพานขนาดหนา 5 มิลลิเมตร และขนาดหนา 8 มิลลิเมตรที่ป้อมปืน[28] นอกจากนี้ยังมีการนำระบบส่งกำลังของรถถัง แพนเซอร์ 3 มาใช้ในรุ่นนี้ด้วย[28]

แพนเซอร์ 4 รุ่น H ภาพถ่ายจากพิภิทภันฑ์ Musée des Blindés จากประเทศ ฝรั่งเศส, แถบขรุขระตามรถถังคือเกราะแบบ ซิมเมอร์ริท กระโปรงเกราะด้านข่างถูกเปลี่ยนเป็นตะแกรงเหล็กแทนแล้ว.

รุ่น J

จากการสูญเสียอย่างหนักของรถถังเยอรมัน รถถังแพนเซอร์ 4 ในรุ่น J นั้นได้ถูกลดสเปคลงเพื่อให้สามารถผลิตรถถังทดแทนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น[29] โดยระบบหมุนป้อมปืนด้วยไฟฟ้านั้นได้ถูกยกเลิกไปทำให้พลปืนต้องทำการหมุมป้อมปืนเองด้วยมือ ที่ว่างของระบบไฟฟ้าที่หายไปนั้นถูกแทนที่ด้วยถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ซึ่งเพิ่มระยะปฏิบัติการณ์ของ แพนเซอร์ 4 เป็น 320 กิโลเมตรรถถังแพนเซอร์ถูกนำเกราะแบบ Zimmerit ออกไป ส่วนเกราะด้านข้างของสายพานนั้นถูกแทนที่ด้วยตะแกรงเหล็กแทน

ในช่วงท้ายๆของสายการผลิตนั้นได้มีการทดลองนำปืนของ รถถังเสือดำ มาใส่ ซึ่งมีความยาวกว่า แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากรถถังไม่สามารถแบกรับน้ำหนักได้มากกว่านี้แล้ว[29]

รถถังแพนเซอร์ 4 รุ่น J ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายในการผลิต ได้ถูกลดสเปคลงไปเพื่อเพิ่มความเร็วในการผลิต รุ่นนี้ถูกส่งออกไปยัง ฟินแลนด์

การผลิต

รถถังแพนเซอร์ 4 ที่ถูกผลิตออกมาในแต่ละปี[30]
ระยะเวลาจำนวนรุ่น(Ausführung or Ausf.)
1937–1939262A – D
1940278-386[31]E[32][โปรดขยายความ]
1941467-769[33]E, F1, F2, G[34]
1942est. 880G
19433,013G, H
19443,125J
1945est. 435J
Total9,870[35]A - J

ประวัติการรบ

รถถังแพนเซอร์ 4 ถูกยิงเข้าหลายจุด สังเกตบริเวณป้อมปืน และลำกล้องปืน

รถถังแพนเซอร์ 4 เป็นรถถังที่เยอรมันทำการผลิตตั้งแต่ก่อนเริ่มสงครามไปจนถึงสิ้นสุดสงคราม[36][37] ซึ่งจำนวนทั้งหมดนั้นเป็นถึง 30% ของรถถังที่เยอรมันผลิตออกมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

แนวรบฝั่งตะวันตก และสมรภูมิแอฟริกาเหนือ (1939–1942)

เมื่อกองทัพเยอรมันเริ่มบุกโปแลนด์นั้น เยอรมันมีรถถังแบบ แพนเซอร์ I จำนวน 1445 คัน แบบ แพนเซอร์ 2 จำนวน 1223 คัน แบบ แพนเซอร์ 3 จำนวน 98 คัน และแบบ แพนเซอร์ 4 จำนวน 211 คันซึ่งรถถังแบบแพนเซอร์ 4 นั้นมีจำนวนน้อยกว่า 10% ของกำลังรถถังทั้งหมดที่เยอรมันมีอยู่[38]จำนวนกำลังรถถังที่จัดเข้าในกองพลทหารยานเกราะที่ 1 เป็นดังนี้แพนเซอร์ 1 จำนวน 17 คันแพนเซอร์ 2 จำนวน 18 คันแพนเซอร์ 3 จำนวน 28 คันและแพนเซอร์ 4 จำนวน 14 คัน

ส่วนกองพลของทหารยานเกราะอื่นๆนั้นจะเน้นใช้รถถังรุ่นเก่าที่มีอยู่ ซึ่งมีการจัดกำลังดังนี้แพนเซอร์ 1 จำนวน 34 คันแพนเซอร์ 2 จำนวน 33 คันแพนเซอร์ 3 จำนวน 5 คันและแพนเซอร์ 4 จำนวน 6 คัน[39]

ถึงแม้ว่าโปแลนด์จะมีรถถังที่มีความสามารถในการเจาะเกราะรถถังเยอรมันได้กว่า 200 คัน และมีปืนต่อสู้รถถังที่มีประสิทธิภาพแต่เยอรมันก็เชื่อมั่นว่ารถถัง แพนเซอร์ 4 จะสามารถทำหน้าที่ในการเป็นหัวหอกในการต่อสู้กับยานเกราะเหล่านั้นได้

ถึงแม้เยอรมันจะทำการเพิ่มกำลังการผลิตรถถังแบบ แพนเซอร์ 3 และแพนเซอร์ 4 เป็นจำนวนมากในช่วงที่เยอรมันทำการบุกฝรั่งเศส แต่รถถังเยอรมันที่เข้าประจำการส่วนหญ่ยังคงเป็นรถถังเบาอยู่ โดยรถถังที่ทำการบุกฝรั่งเศสนั้นมี แพนเซอร์ I 523 คัน แพนเซอร์ 2 955 คัน แพนเซอร์ 3 349 คัน แพนเซอร์ 4 106 คัน แพนเซอร์ 35(t) 106 คัน และ Panzer 38(t) 228 คัน[40]เยอรมันได้ใช้กลยุทธ์ที่ดีกว่าในการเข้าปะทะ[41] ทำให้กองทัพรถถังเยอรมันชนะในการศึกถึงแม้ว่าจะมีรถถังเบาเป็นจำนวนมากก็ตาม[42]

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับรถถังแบบแพนเซอร์ 4 นั้นคืออัตราการเจาะเกราะที่ต่ำ เนื่องจากมันได้ทำการติดตั้งปืน KwK 37 L/24 ซึ่งยิงกระสุนออกไปได้ด้วยความเร็วต่ำ จึงไม่สามารถเจาะเกราะรถถังของฝรั่งเศสและอังกฤษได้[43] รถถัง Somua S35 ของฝรั่งเศสนั้นมีเกราะหนา 55 มิลลิเมตร ซึ่งปืนของรถถัง แพนเซอร์ 4 สามารถเจาะเกราะได้แค่ 43 มิลลิเมตร ที่ระยะ 700 เมตรเท่านั้น ส่วนการต่อสู้กับรถถัง Matilda Mk 2 ของอังกฤษนั้น เนื่องจากเกราะด้านหน้าของ Matilda Mk 2 มีความหนาถึง 70 มิลลิเมตรจึงไม่มีทางเลยที่รถถังแพนเซอร์ 4 จะเจาะเกราะเข้าไปได้ซึ่งถึงแม้จะทำการยิงเข้าจากด้านข้าง ก็ยังต้องเจอเกราะหนาขนาด 60 มิลลิเมตร ซึ่งปืน KwK 37 L/24 ไม่สามารถเจาะเข้าไปทำความเสียหายได้

รถถัง Crusader tank ของสหราชอาณาจักร แล่นผ่านรถถัง แพนเซอร์ 4 ที่เสียหาย รูปจากยุทธการ Operation Crusader, ปลายปี 1941.

แพนเซอร์ 4 ที่กองกำลังเยอรมันได้รับในสมรภูมิแอฟริกานั้น ยังไม่สามารถนำมาใช้แทน แพนเซอร์ 3 ได้ เนื่องจาก แพนเซอร์ 3 นั้นมีอัตราการเจาะเกราะที่สูงกว่า [44]แต่อย่างไรก็ดี ทั้งแพนเซอร์ 3 และแพนเซอร์ 4 ก็ต่างไม่สามารถเจาะเกราะที่หนาของรถถัง Matilda Mk 2 ได้ ส่วนปืนของ Matilda Mk 2 นั้น สามารถเจาะทะลุเกราะทั้ง แพนเซอร์ 2 และแพนเซอร์ 4 ได้ทั้งหมด ซึ่งรถถังแพนเซอร์ 3 และแพนเซอร์ 4 มีข้อได้เปรียบอย่างเดียวคือสามารถทำความเร็วได้ดีกว่า[45]

เดือนสิงหาคม ปี 1942 เอียร์วิน รอมเมล ได้รับรถถังแพนเซอร์ 4 รุ่น F2 เป็นจำนวน 27 คัน ซึ่งรถถังในรุ่นนี้ติดปืน KwK 40 L/43 ซึ่งมีขนาดความยาวลำกล้องมากกว่า ซึ่งรอมเมลตั้งใจจะใช้รถถังรุ่นใหม่นี้เป็นหัวหอกในการบุก[45] เพราะปืนขนาดความยาวลำกล้องที่มากกว่านั้น จะให้ความเร็วกระสุนที่สูงกว่า จึงทำให้มีอัตราการเจาะเกราะที่ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งรถถังรุ่นใหม่นี้สามารถทำลายรถถังอังกฤษได้ที่ระยะถึง 1500 เมตร[46]

ถึงแม้ว่าเยอรมันจะได้รับรถถังรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก แต่ก็เทียบไม่ได้กับยุทธภัณฑ์ที่ถูกส่งไปยังอังกฤษ ซึ่งจะถูกนำมาสร้างเป็นรถถังและส่งมารบกับเยอรมันในภายหลัง[47]นอกจากนี้รถถัง แพนเซอร์ 4 นั้นยังได้นำไปใช้ในการบุกยูโกสลาเวียและกรีซในปี 1941 อีกด้วย[48]


สมรภูมิด้านตะวันออก (1941–1945)

เมื่อเยอรมันได้เริ่มยุทธการ บราบารอสซา เยอรมันต้องต่อกรกับรถถังที่มีเกราะหนาอย่าง KV-1 และ T-34 ซึ่งเป็นสาเหตุให้เยอรมันต้องทำการปรับปรุงรถถังของตนให้มีอาวุธที่มีอานุภาพในการเจาะเกราะที่ดียิ่งขึ้น

เมื่อรถถัง แพนเซอร์ 4 ที่ติดอาวุธปืน KwK 40 L/43 ใหม่นี้ได้เข้าสู่สมรภูมิ มันสามารถทำลายรถถัง T-34 ของโซเวียตได้ที่ระยะ 1200 เมตร[49]โดยปืน KwK 40 L/43 ที่ติดตั้งใหม่นี้สามารถเจาะเกราะรถถัง T-34 ได้ทุกด้าน โดยมีระยะยิงตั้งแต่ 1000 เมตร ถึง 1600 เมตร[50]

โดยรถถังรุ่นใหม่ที่ถูกส่งมานี้เป็นรุ่น F2 ซึ่งมีจำนวนประมาณ 135 คัน ซึ่ง ณ ขนะนั้น มีเพียงรถถัง แพนเซอร์ 4 รุ่นใหม่นี้เท่านั้นที่จะสามารถทำลายรถถัง T-34 และ KV-1 ได้[51]รถถัง แพนเซอร์ 4 จึงกลายเป็นกำลังสำคัญมากในช่วงนี้[52] เนื่องจากรถถังแบบ ไทเกอร์ ที่ยังมีปัญหา และรถถังแบบ เสือดำ ที่ยังไม่ได้นำส่งให้แก่กองทัพเยอรมันในช่วงปี 1942 รถถังแพนเซอร์ 4 จำนวน 502 คันถูกทำลายในสมรภูมิรบตะวันออก[53]

แพนเซอร์ 4 ยังคงเป็นกำลังหลักต่อไปในสมรภูมิจนถึงปี 1943 และได้เข้าร่วม สมรภูมิที่ เคริซ์ส่วนรถถังเสือดำ ที่เป็นรุ่นใหม่กว่านั้นก็ยังประสบปัญหาบางประการ จึงไม่สามารถทำการรบได้อย่างเต็มที่[54]มีรถถังแพนเซอร์ 4 จำนวน 841 คันเข้าร่วมการรบในสมรภูมิเคริซ์[55]

ตลอดปี 1943 เยอรมันสูญเสียรถถัง แพนเซอร์ 4 จำนวน 2,352 คันในสมรภูมิตะวันออก[56]จากการสูญเสียรถถังเป็นจำนวนมาก กองพลยานเกราะ 1 กองพล ถูกปรับลดให้มีรถถังเพียง 12 - 18 คันเท่านั้น[52]

1944 เยอรมันสูญเสีย แพนเซอร์ 4 เป็นจำนวนมากถึง 2643 คัน ซึ่งเยอรมันไม่สามารถผลิตรถถังเข้ามาแทนที่รถถังที่เสียไปเหล่านี้ได้ทัน[57]

ในปีสุดท้ายของการรบ รถถังเยอรมัน ไม่สามารถต่อกรกับ T-34 ที่ถูกปรับปรุงมาใหม่ได้อีกแล้วแต่เนื่องจาก รถถังเสือดำ ยังไม่สามารถจัดหามาประจำการแทน แพนเซอร์ 4 ได้ทัน รถถังแพนเซอร์ 4 จึงยังต้องทำหน้าที่เป็นกำลังหลักไปก่อน

ในปี 1945 เยอรมันสูญเสียรถถัง แพนเซอร์ 4 จำนวน 287 คัน ซึ่งจากจำนวนที่ทหารของฝ่ายโซเวียดได้ทำการบันทึกไว้นั้นมีแพนเซอร์ 4 จำนวน 6,153 คัน หรือ 75% ของรถถังแพนเซอร์ 4 ถูกทำลายในสมรภูมิตะวันออก[58]

แพนเซอร์ 4 รุ่น H จาก 12th Panzer Division กำลังปฏิบัติการณ์ในสมรภูมิตะวันออก ณ สหภาพโซเวียต, ปี ค.ศ. 1944.

สมรภูมิด้านตะวันตก (1944 - 1945)

เมื่อกองกำลังสัมพันธมิตรเริ่มยุทธการ Overlord รถถังแพนเซอร์ 4 นั้นมีจำนวนเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของกำลังรถถังทั้งหมดที่อยู่ในแนวรบตะวันตก[59]กองพลยานเกราะทั้ง 11 กองพลที่ปฏิบัติการณ์ในนอร์มังดีนั้น ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยรถถังแบบ แพนเซอร์ 4 และรถถังเสือดำ โดยมีจำนวนรวมแล้วราวๆ 160 คัน

การปรับปรุงแพนเซอร์ 4 นั้น สร้างชื่อเสียงให้รถถังจนเป็นที่น่าเกรงขามแก่สัมพันธมิตร[59] ทั้งๆที่กองกำลังทางอากาศของสหรัฐสามารถครอบครองทางอากาศได้หมดแล้วแต่การซุ่มโจมตีของรถถัง และปืนต่อสู้รถถังของเยอรมันนั้นสามารถทำลายรถถังของสัมพันธมิตรได้เป็นจำนวนมาก

กองกำลังของสหราชอาณาจักร ทำลายรถถัง แพนเซอร์ 4 ในขณะการรบที่นอร์มังดี

ในช่วงยุทธการโอเวอร์ลอร์ดนั้น ทั้งรถถังแบบ แพนเซอร์ 4 และรถถัง เสือดำ มักจะถูกทำลายได้ง่ายจากการถูกซุ่มโจมตีข้างทางเมื่อเจอกับทหารราบที่ติดอาวุธต่อสู้รถถังมาด้วย หรือไม่ก็เป็นรถถังพิฆาตรถถัง เช่นเดียวกับเครื่องบินโจมตีภาคพื้นดินที่บินเข้ามาสนันสนุนระยะใกล้[60]

ภูมิประเทศในแถบนั้นมีพุ่มไม้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่งกับการใช้รถถัง ดังจะเห็นได้จากจำนวนรถถังที่ได้รับความเสียหายที่กระโปรงเกราะด้านข้าง เนื่องจากถูกซุ่มโจมตีซึ่งยานเกราะของเยอรมันล้วนหวาดหวั่นจากการถูกซุ่มโจมตีเมื่อต้องผ่านบริเวณพุ่มไม้[59]

ทางฝั่งสัมพันธมิตรนั้นได้ทำการค้นคว้าและวิจัยรถถังเป็นของตนเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือรถถังแบบ เอ็ม 4 เชอร์แมน (อังกฤษ : M4 Sherman) ซึ่งระบบเครื่องยนต์นั้นนับว่ามีความเสถียร เชื่อถือได้แต่หากมีข้อเสียซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เสียเปรียบมากคือเกราะที่บาง และปืนต่อสู้รถถังที่ไม่สามารถเจาะเกราะรถถังเยอรมันได้[61]

เมื่อ เอ็ม 4 เชอร์แมน ต้องทำการต่อสู้กับ แพนเซอร์ 4 ในรุ่นแรกๆ เอ็ม 4 เชอร์แมน ยังพอทำลายรถถัง แพนเซอร์ 4 ได้บ้าง แต่เมื่อเจอกับ แพนเซอร์ 4 ในรุ่นหลังๆแล้วนั้นรถถัง เอ็ม 4 เชอร์แมน ไม่สามารถทำอะไรได้เลย (นอกจากนี้ รถถังเอ็ม 4 เชอร์แมน ยังไม่สามารถเจาะเกราะรถถัง เสือดำ และรถถัง เสือโคร่ง ของเยอรมันได้ ไม่ว่าจะเข้าไปยิงในระยะใกล้เพียงใดก็ตาม)[62]รถถัง แพนเซอร์ 4 ในรุ่นหลังๆ ที่ทำการปรับปรุงเกราะด้านหน้าแล้วนั้น สามารถยังยั้งปืนของ เอ็ม 4 เชอร์แมนได้เป็นอย่างดี[63]

ด้วยเหตุนี้ กองกำลังสหราชอาณาจักร จึงได้ทำการติดตั้งปืนแบบ คิวเอฟ 17 ปอนด์ (อังกฤษ : QF 17 pounder) บนรถถัง เอ็ม 4 เชอร์แมน เดิม ซึ่งรถถังที่ติดตั้งปืนใหม่เข้าไปนี้ได้ชื่อว่า เชอร์แมน ไฟเออร์ฟลาย (อังกฤษ : Sherman Firefly)[64]ซึ่งรถถัง เชอร์แมน ไฟเออร์ฟลาย นี้ เป็นรถถังเพียงแบบเดียวที่สามารถสู้รบกับรถถังเยอรมันทุกชนิดได้อย่างสูสี มีรถถังเชอร์แมน ไฟเออร์ฟลายจำนวน 300 คันที่เข้าร่วมรบในยุทธการโอเวอร์ลอร์ด ที่นอร์มังดี[61]

อเมริกาเริ่มทำการติดตั้งปืนแบบ เอ็ม 1 (อังกฤษ : M1) ให้กับ รถถังเอ็ม 4 เชอร์แมนของตน ปืนเอ็ม 1 นี้มีขนาดลำกล้องที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งนั่นก็เพียงพอต่อการเข้าสู้รบกับรถถัง แพนเซอร์ 4 แล้ว[65][66]

ถึงแม้ว่าเยอรมันจะเป็นเจ้าแห่งสมรภูมิรถถัง ในวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1944 กองทัพที่ 5 และ 7 ของเยอรมันก็ต้องทำการถอยร่นเข้าสู่ประเทศเยอรมนีมีรถถังเยอรมันประมาณ 2,300 คันเข้าร่วมรบในนอร์มังดี (ในจำนวนนี้มีรถถังแบบแพนเซอร์ 4 จำนวน 750 คัน) เยอรมันเสียรถถังไปทั้งหมด 2,200 คันเนื่องจากการสูญเสียอย่างหนักนี้ ทำให้ในแต่ละกองพลๆ หนึ่งของเยอรมัน เหลือรถถังเข้าประจำการเพียง 5 ถึง 6 คันเท่านั้น

ในช่วงฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1944 รถถังแพนเซอร์ 4 ก็ได้ถูกใช้เป็นกำลังหลักอีกครั้งใน การยุทธที่ป่าอาร์เดนน์ ซึ่งรถถังแพนเซอร์ 4 ก็ถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้เยอรมันยังไม่สามารถใช้รถถังได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรด้วยเนื่องจากการขาดแคลนน้ำมัน[67]รถถังแพนเซอร์ 4 ที่เข้าร่วมรบใน การยุทธที่ป่าอาร์เดนน์นี้เป็นรถถังที่เหลือรอดมาจากการรบกับฝรั่งเศส ซึ่งมีจำนวนประมาณ 260 คัน[68]

Notes

References

🔥 Top keywords: หน้าหลักสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยพิเศษ:ค้นหาอสมทวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ลีก 2024บางกอกคณิกาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)เนติพร เสน่ห์สังคมวิทยาศาสตร์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)วันวิสาขบูชาวอลเลย์บอลลมเล่นไฟตารางธาตุอันดับโลกเอฟไอวีบีอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์หมวดหมู่:จังหวัดของประเทศไทยไลเกอร์รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยไอแซก นิวตันศาสนาพุทธราชวงศ์จักรีกาลิเลโอ กาลิเลอีประวัติศาสตร์ชาร์เลท วาศิตา แฮเมเนารายชื่อเครื่องดนตรีจังหวัดชัยนาทสังคายนาในศาสนาพุทธประเทศไทยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดนิวแคลิโดเนียวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยศาสนาพุทธในประเทศพม่าพระสุนทรโวหาร (ภู่)นริลญา กุลมงคลเพชร