การเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตา
ในสาขาชีววิทยา การเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตา[2](อังกฤษ: binocular vision)หมายถึงการเห็นด้วยสองตาที่สัตว์สามารถรับรู้ภาพ 3 มิติเป็นภาพเดียวจากสิ่งแวดล้อมนักประสาทวิทยาคนหนึ่งได้กำหนดข้อดี 6 ประการในการมีสองตาเทียบกับตาเดียว คือ[3]
- มีตาสำรองในกรณีที่ข้างหนึ่งเสียหาย
- มีขอบเขตการเห็น/ภาพที่กว้างกว่า ยกตัวอย่างเช่น มนุษย์มีขอบเขตการเห็นในแนวนอนประมาณ 190 องศาด้วยสองตา โดยประมาณ 120 องศาจะเป็นส่วนที่เห็นด้วยทั้งสองตา และ 40 องศาที่อยู่ข้าง ๆ และเห็นด้วยตาข้างเดียว[4]
- ทำให้เห็นเป็น 3 มิติ (stereopsis) เพราะการเห็นไม่เหมือนกันของตาทั้งสองข้าง (binocular disparity) เนื่องจากมีตำแหน่งที่ต่างกันบนศีรษะ จึงทำให้สามารถรู้ใกล้ไกลได้ ซึ่งทำให้สัตว์สามารถมองเห็นผ่านการพรางตัวของสัตว์อื่น ๆ ได้
- ทำให้สามารถกำหนดมุมบรรจบของเส้นหรือแนวสายตาของตาทั้งสองโดยขึ้นอยู่กับการเบนตา จากภาพที่ตกลงบนจอตาทั้งสอง[5] ซึ่งจำเป็นเพื่อให้ได้ข้อดีที่ 3
- ทำให้สามารถเห็นวัตถุที่อยู่ข้างหลังสิ่งที่บัง เลโอนาร์โด ดา วินชีได้กล่าวถึงข้อดีนี้ไว้ว่า เสา/แถบแนวตั้งที่อยู่ใกล้ตามากกว่าวัตถุที่ต้องการมอง อาจจะบังวัตถุนั้นที่ตาซ้ายแต่อาจเห็นได้ด้วยตาขวา
- ทำให้สมองสามารถรวมข้อมูลจากตาซ้ายขวา (binocular summation) และช่วยให้เห็นวัตถุที่ลาง ๆ ได้ดีขึ้น[6]
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/9b/Binocular_vision.svg/220px-Binocular_vision.svg.png)
ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการมองด้วยสองตาอื่น ๆ รวมทั้งการบอกได้ว่า แสงมากระทบข้างไหนของตา (utrocular discrimination)[7],ความถนัดในการเล็งมองด้วยตาข้างใดข้างหนึ่งโดยเฉพาะ แม้ตาจะเปิดทั้งคู่ (ocular dominance)[8],การกำหนดทิศของวัตถุโดยอาศัยข้อมูลเฉลี่ยจากตาทั้งสอง (allelotropia)[9],การรวมภาพจากสองตาโดยเห็นเป็นภาพเดียวแม้แต่ละข้างจะเห็นต่างกัน[10]และการแข่งขันระหว่างสองตา คือการเห็นสลับกันระหว่างตาซ้ายขวา ถ้าภาพที่มาจากตาทั้งสองต่างกันจนไม่สามารถรวมเป็นภาพเดียวกันได้[11]
การเห็นด้วยสองตาช่วยให้ทำกิจกรรมได้ดีขึ้นรวมทั้งการจับ การจับวัตถุที่โยน และการวิ่งเดิน[12]ทำให้สามารถเดินเข้าไปหาแล้วหลีกเลี่ยงอุปสรรคได้เร็วขึ้นอย่างมั่นใจ[13]จักษุแพทย์จะเป็นผู้ชำนาญเฉพาะทางเพื่อแก้ปัญหาการมองเห็นด้วยสองตา
ประวัติคำภาษาอังกฤษ
คำภาษาอังกฤษว่า binocular มาจากรากศัพท์ภาษาละตินสองคำ คือ bini แปลว่า คู่ และ oculus แปลว่า ตา[14]
ขอบเขตการเห็นและการขยับตา
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/52/Fieldofview-pigeon-owl.svg/220px-Fieldofview-pigeon-owl.svg.png)
สัตว์บางชนิด ซึ่งปกติจะเป็นสัตว์ถูกล่าแต่ไม่เสมอไป จะมีตาอยู่ทางข้างทั้งสองของศีรษะเพื่อให้มีขอบเขตการเห็นกว้างที่สุดสัตว์ตัวอย่างรวมทั้งกระต่าย ควาย และแอนทิโลปเป็นต้นในสัตว์เหล่านี้ ตาบ่อยครั้งจะสามารถขยับได้อย่างเป็นอิสระเพื่อเพิ่มขอบเขตการเห็นนกบางชนิดสามารถมองเห็นได้รอบตัวถึง 360 องศาแม้จะไม่ขยับตาเลย
สัตว์บางชนิด ซึ่งปกติจะเป็นสัตว์ล่าเหยื่อแต่ไม่เสมอไป จะมีตาอยู่ด้านหน้าของศีรษะ ทำให้สามารถมองเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตา ซึ่งลดขอบเขตการเห็นโดยแลกกับการเห็นเป็น 3 มิติถึงกระนั้น ตาที่อยู่ด้านหน้าก็เป็นลักษณะสืบสายพันธุ์ที่ได้วิวัฒนาการมาอย่างพิเศษ ดังนั้น จึงมีกลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลังเพียง 3 กลุ่มที่ยังมีชีวิตอยู่และมีตาที่จัดว่าส่องไปข้างหน้าจริง ๆ รวมทั้งไพรเมต (รวมมนุษย์) สัตว์กินเนื้อ และนกล่าเหยื่อ (รวมทั้งนกอินทรีและเหยี่ยว)
มีสัตว์ล่าเหยื่อบางชนิด โดยเฉพาะที่ตัวใหญ่ เช่นวาฬสเปิร์มและวาฬเพชฌฆาต ซึ่งมีตาอยู่ที่ข้างทั้งสองของศีรษะ แต่ก็ยังเป็นไปได้ว่า พวกมันก็มีเขตลานสายตาที่เห็นด้วยตาทั้งสองเช่นกัน[15]นอกจากนั้น สัตว์ที่ไม่ใช่สัตว์ล่าเหยื่อ รวมทั้งค้างคาวผลไม้และไพรเมตจำนวนหนึ่ง ก็มีตาส่องไปทางด้านหน้าด้วยสัตว์เหล่านี้มักจำเป็นต้องรู้ใกล้ไกลเป็นอย่างดียกตัวอย่างเช่น การมองเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาจะทำให้สามารถจับผลไม้ที่ต้องการ หรือมองหาและจับกิ่งไม้ได้ดีขึ้น
ทิศทางหรือมุมมองของจุด ๆ หนึ่งในปริภูมิเทียบกับแนวมองตรงไปข้างหน้าจากตรงกลางศีรษะ เรียกตามภาษาอังกฤษว่า visual direction หรือ versionส่วนมุมของแนวมองของตาทั้งสองซึ่งบรรจบอยู่ที่จุดตรึงตาข้างหน้าเรียกว่า absolute disparity, binocular parallax, vergence demand หรือแค่ vergenceความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 3 อย่างคือตำแหน่งของตาทั้งสอง version และ vergence จะกำหนดโดยกฎ Hering's law of visual direction
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/5/58/Grey_crowned_crane_portrait_front_and_side_view.jpg/220px-Grey_crowned_crane_portrait_front_and_side_view.jpg)
ในสัตว์ที่มีตามองไปข้างหน้า ตาทั้งสองมักจะขยับคู่กันการขยับตาอาจเป็นทางเดียวกัน (conjunctive) ที่เรียกว่า version eye movement โดยแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ รวมทั้งsaccade, smooth pursuit, nystagmus, และ vestibulo-ocular reflexหรืออาจไปในทางตรงกันข้าม (disjunctive) ที่เรียกว่า vergence eye movementความสัมพันธ์ระหว่างการขยับตาไปในทางเดียวกันหรือทางตรงกันข้ามกันในมนุษย์ (และในสัตว์ส่วนมาก) อธิบายได้โดยกฎ Hering's law of equal innervation
สัตว์บางชนิดสามารถใช้ตาได้ทั้งสองแบบยกตัวอย่างเช่น นกเอี้ยงและนกกิ้งโครงมีตาทางด้านข้างซึ่งทำให้มีขอบเขตการเห็นกว้าง แต่ก็สามารถขยับตาทั้งสองด้วยกันไปทางด้านหน้าเพื่อมีส่วนที่เห็นร่วมกัน และทำให้เห็นภาพ 3 มิติอีกตัวอย่างที่หน้าทึ่งก็คือกิ่งก่าคาเมเลียนที่มีตาบนแป้นหมุน โดยแต่ละตาจะขยับขึ้นหรือลง ซ้ายหรือขวาได้อย่างเป็นอิสระ แต่ก็ยังเล็งตาไปทางวัตถุเดียวกันเมื่อกำลังล่าเหยื่อได้ด้วย
การรวมข้อมูลจากตาทั้งสองข้าง (Binocular summation)
การรวมข้อมูลจากตาทั้งสอง (Binocular summation) เป็นกระบวนการที่ลดขีดเริ่มเปลี่ยนของการเห็นสิ่งเร้าเมื่อใช้ตาทั้งสองแทนตาข้างเดียว[16]มีปรากฏการณ์ที่เป็นผลหลายอย่างเมื่อเปรียบการเห็นด้วยสองตาเทียบกับการเห็นด้วยตาเดียว[16]การรวมภาพจากสองตาทางประสาท (Neural binocular summation) เกิดเมื่อสมรรถภาพการเห็นด้วยสองตาดีกว่าการยับยั้งเหตุมองด้วยสองตา (Binocular inhibition) เกิดเมื่อสมรรถภาพการเห็นด้วยสองตาน้อยกว่าเมื่อมองด้วยตาข้างเดียวซึ่งแสดงนัยว่า ตาที่ไม่ดีจะมีผลต่อตาดี และมีผลต่อการเห็นโดยรวม[16]การรวมข้อมูลจากตาทั้งสองจะถึงขีดสูงสุดถ้าตาทั้งสองข้างดีพอกันตาที่ดีไม่พอกันจะเห็นได้ดีลดลงมีโรคตาต่าง ๆ ที่เกิดจากตาดีไม่เท่ากัน เช่น ต้อกระจกข้างเดียว (unilateral cataract) และตามัว[16]ปัจจัยที่มีผลต่อการรวมภาพจากตาทั้งสองรวมทั้งความละเอียดของภาพ (spatial frequency) จำนวนจุดจอประสาทตาที่ได้สิ่งเร้า และช่วงระหว่างเวลาที่เห็นสิ่งเร้า[16]
ปฏิสัมพันธ์ของตาทั้งสอง
นอกจากการวมข้อมูลจากตาทั้งสองแล้ว ตาแต่ละข้างยังอาจมีผลต่อกันและกันด้วยกลไกอย่างน้อยอีก 3 อย่าง
- ขนาดรูม่านตา - แสงที่เข้าไปยังตาข้างหนึ่งจะมีผลต่อรูม่านตาของตาทั้งสอง ซึ่งสามารถเห็นได้โดยดูตาของเพื่อนเมื่อเขาปิดตาข้างหนึ่ง คือเมื่อตาเปิดทั้งสองข้าง รูม่านตาของตาที่เห็นจะเล็ก แต่เมื่อปิดตาอีกข้างหนึ่ง รูม่านตาของตาที่ดูจะใหญ่
- การปรับตาดูใกล้ไกลและการเบนตาไปในทิศตรงกันข้าม (vergence) - การปรับตาดูใกล้ไกลเป็นภาวะเกี่ยวกับการโฟกัสเลนส์ตา ถ้าตาข้างหนึ่งเปิดและอีกข้างปิด แล้วโฟกัสที่วัตถุซึ่งอยู่ใกล้ ๆ การปรับเลนส์ตาจะเหมือนกันทั้งสองข้าง นอกจากนั้น ตาที่ปิดมักจะเบนไปเล็งที่วัตถุ กระบวนการสองอย่างนี้เชื่อมกันโดยรีเฟล็กซ์ ดังนั้น กระบวนการหนึ่งจะทำให้กระบวนการอีกอย่างหนึ่งเกิด
- Interocular transfer - การปรับตัวให้เข้ากับแสงของตาข้างหนึ่ง สามารถมีผลเล็กน้อยต่อการปรับตัวต่อแสงของตาอีกข้างหนึ่ง
- ผลหลังจากเห็นการเคลื่อนไหว (motion aftereffect) ที่เกิดขึ้นที่ตาหนึ่ง ก็จะเกิดขึ้นที่ตาอีกข้างหนึ่งด้วย
การเห็นเป็นภาพเดียว
ถ้าขอบเขตการเห็นของตาทั้งสองคาบเกี่ยวกัน มีโอกาสที่จะสับสนภาพของวัตถุเดียวกันที่มาจากตาซ้ายและขวาซึ่งสมองอาจจัดการโดยสองวิธี คือ การระงับภาพจากตาหนึ่ง (suppression) โดยสมองจะให้เห็นแค่ภาพเดียว หรือว่าการรวมภาพทั้งสองเป็นภาพเดียวแต่ถ้าเห็นเป็นสองภาพ นี้เรียกว่าการเห็นภาพซ้อน
การรวมภาพจากตาทั้งสอง (ซึ่งภาษาอังกฤษเรียกอย่างสามัญว่า "binocular fusion") จะเกิดในปริภูมิรอบ ๆ จุดที่ตรึงตาเป็นปริภูมิที่เรียกว่า Panum's fusional areaโดยวัตถุที่อยู่นอกปริภูมินี้ จะเห็นเป็นภาพซ้อน
ความถนัดตา
เมื่อตาแต่ละข้างมองเห็นภาพของตัวเอง ๆ นอกเขตปริภูมิ Panum's fusional area การรวมวัตถุข้างนอกเข้ากับที่อยู่ข้างในก็จะเป็นไปไม่ได้[17]นี่สามารถเห็นได้เมื่อชี้วัตถุไกล ๆ ด้วยนิ้วมือถ้าตรึงตาดูที่ปลายนิ้ว ก็จะเห็นรูปเดียว แต่จะเห็นวัตถุที่ไกลเป็นภาพซ้อนถ้าตรึงตาดูวัตถุที่อยู่ไกล ก็จะเห็นเป็นภาพเดียว แต่จะเห็นปลายนิ้วมือเป็นภาพซ้อนเพื่อให้ชี้ได้ถูกต้อง ภาพที่มาจากตาข้างใดข้างหนึ่งต้องให้ความสำคัญมากกว่า (คือตาที่ถนัด) โดยไม่สนใจอีกข้างหนึ่ง (ตาที่ไม่ถนัด)และตาที่สามารถเล็งมองวัตถุที่ไกลได้เร็วและตรึงอยู่ที่นั่น ก็จะเรียกว่า เป็นตาที่ถนัด (dominant eye)[17]
ภาพ 3 มิติ
ตาทั้งสองมีเขตการมองที่คาบเกี่ยวกันเพราะตาอยู่ที่ศีรษะด้านหน้า ไม่ใช่ด้านข้างเขตที่คาบเกี่ยวกันนี้ทำให้ตาแต่ละข้างมองเห็นวัตถุเดียวกันแต่ต่างมุมกันเล็กน้อยเพราะความคาบเกี่ยวกันนี้ การเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาจึงทำให้สามารถรู้ความใกล้ไกล[18]เป็นความรู้สึกที่ได้เมื่อมองด้วยสองตาสำหรับคนที่มองเห็นด้วยสองตาได้เป็นปกติ[18]ภาพเดียวกันที่ตกลงที่จอตาทั้งสองข้างจะต่างกันเล็กน้อยเพราะตำแหน่งของตาที่ต่างกันบนศีรษะความต่างที่สองตา (binocular disparity) เยี่ยงนี้จะให้ข้อมูลหลักอย่างหนึ่งแก่สมองเพื่อใช้คำนวณความใกล้ไกลของสิ่งที่เห็น[18]
การเห็นเป็น 3 มิติมีปัจจัยสองอย่าง คือ ธรรมชาติของสิ่งเร้าที่ให้ข้อมูล 3 มิติ และกระบวนการในสมองที่ประมวลข้อมูลนั้น[18]ระยะห่างระหว่างสองตาของผู้ใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 6.5 ซม.[18]ความต่างบนจอตา (Retinal disparity) ก็คือความห่างของภาพวัตถุต่าง ๆ ที่ตกลงบนจอประสาทตาด้านซ้ายและขวา ซึ่งให้ข้อมูลความใกล้ไกล[18]แต่เป็นความใกล้ไกลโดยเปรียบเทียบระหว่างวัตถุต่าง ๆ ไม่ใช่ความใกล้ไกลที่แม่นยำหรือสัมบูรณ์วัตถุสองอย่างยิ่งใกล้กันเท่าไร ความต่างบนจอตาก็จะเล็กลงเท่านั้นถ้าวัตถุห่างกัน ความต่างบนจอตาก็จะใหญ่ขึ้นถ้าวัตถุอยู่ใกล้ไกลเท่ากัน ก็จะไม่มีความต่างที่จอตา[18]
Allelotropia
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/4a/Heringvisualdirection.png/220px-Heringvisualdirection.png)
เพราะตาทั้งสองอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันของศีรษะ วัตถุที่มองซึ่งไม่ได้อยู่ที่จุดตรึงตราหรืออยู่บนผิว horopter จะมีทิศทางการเห็น (visual direction) ที่ต่างกันในตาแต่ละข้างแต่เมื่อภาพสองภาพที่มองเห็นด้วยตาเดี่ยว ๆ รวมเข้าด้วยกันเป็นภาพเดียว เป็นภาพที่เรียกว่าภาพไซคลอปส์ (Cyclopean image, ตามยักษ์ไซคลอปส์ที่มีตาเดียว) วัตถุที่ว่าก็จะมีทิศทางการเห็นอันใหม่ โดยทั่วไปจะเป็นค่าเฉลี่ยของทิศทางการเห็นจากแต่ละตาปรากฏการณ์นี้เรียกว่า allelotropia[9]ส่วนจุดเริ่มต้นของทิศทางการเห็นใหม่ (ที่มีจุดปลายที่วัตถุ) จะอยู่ประมาณระหว่างตาทั้งสอง ซึ่งเรียกว่า ตาไซคลอปส์ (cyclopean eye)ตำแหน่งของตาไซคลอปส์ปกติจะไม่ได้อยู่ระหว่างตาทั้งสองพอดี แต่มักจะอยู่ใกล้ตาที่ถนัดมากกว่า
การแข่งขันระหว่างสองตา
เมื่อมีภาพที่ต่างกันสองภาพแสดงให้ตาแต่ละข้างในเขตการเห็นเดียวกัน จะมีการรับรู้ภาพข้างหนึ่งพักหนึ่ง แล้วสลับไปยังอีกภาพหนึ่ง แล้วกลับไปอีกภาพหนึ่งเรื่อย ๆ ตราบที่ยังสนใจดูภาพอยู่การสลับการรับรู้ระหว่างภาพจากสองตาเรียกว่า การแข่งขันระหว่างสองตา[19]มนุษย์มีสมรรถภาพจำกัดในการประมวลภาพหนึ่ง ๆ อย่างสมบูรณ์จึงเป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์นี้นี้
มีปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อระยะเวลาที่เห็นภาพ ๆ หนึ่งรวมทั้งบริบท ความเปรียบต่าง การเคลื่อนไหว รายละเอียด และภาพเนกาทีฟ[19]งานวิจัยปี 2551 แสดงว่า สีหน้าอาจทำให้ใส่ใจรูปหนึ่ง ๆ เพิ่มขึ้น[19]เช่น เมื่อแสดงใบหน้าที่ออกสีหน้าที่ตาข้างหนึ่ง และแสดงใบหน้าที่สีหน้าเฉย ๆ อีกด้านหนึ่งก็จะทำให้เห็นใบหน้าที่ออกสีหน้ามากกว่า หรือไม่เห็นใบหน้าที่มีสีหน้าเฉย ๆ เลย[19]
โรค
เพื่อคงสภาพการเห็นเป็น 3 มิติโดยเป็นภาพเดียว ตาจะต้องเล็งมองได้อย่างถูกต้องกล้ามเนื้อตา 6 มัดเป็นตัวควบคุมตำแหน่งของตาในเบ้าตาความยาวที่ต่างกัน จุดยึดที่ต่างกัน หรือกำลังที่ต่างกันของกล้ามเนื้อมัดเดียวกันในสองตาแม้เพียงเล็กน้อย อาจทำให้ตาข้างหนึ่งมักหมุนไปยังตำแหน่งในเบ้าตาที่ไม่สอดคล้องกับอีกข้างหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อเหนื่อยซึ่งเรียกว่า ตาเหล่แฝง (phoria)และอาจปรากฏถ้าทดสอบโดยปิดตาข้าหนึ่ง (cover-uncover test)
เมื่อตรวจโดยวิธีนี้ ให้ดูตาทั้งสองของคนที่จะตรวจให้ปิดตาข้างหนึ่งด้วยการ์ดแล้วให้บุคคลนั้นมองปลายนิ้วของคุณโดยให้เปลี่ยนตำแหน่งของนิ้วนี่เพื่อล้มรีเฟล็กซ์ที่ปกติจะปรับตาที่ปิดให้ไปในตำแหน่งที่ถูกต้องเมื่อหยุดขยับมือและนิ้ว ให้เปิดตาของบุคคลนั้นแล้วดูตา
คุณอาจจะเห็นมันเปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็วจากตาเหล่ออกหรือเข้า ไปสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องถ้าตาที่ปิดขยับเข้าจากการเบนออก บุคคลนี้มี exophoria (ตาเหล่ออกแฝง)ถ้าขยับออกจากการเบนเข้า บุคคลนี้มี esophoria (ตาเหล่เข้าแฝง)ถ้าตาไม่ขยับเลย บุคคลนี้มีตาปกติ (orthophoria)คนโดยมากจะมีตาเหล่แฝงไม่เข้าก็ออกบ้างซึ่งเป็นเรื่องปกติ
ถ้าเปิดตาแล้วตาขยับลง บุคคลมีตาเหล่ขึ้นแฝง (hyperphoria) ถ้าตาขยับขึ้น บุคคลมีตาเหล่ลงแฝง (hypophoria)ตาเหล่แฝงในแนวตั้งเช่นนี้มีน้อยมากยังเป็นไปได้ด้วยที่ตาที่เปิดจะขยับโดยหมุนในเบ้าตาแต่ตาเหล่หมุนแฝง (cyclophoria) เช่นนี้ปกติจะไม่เห็นด้วยการทดสอบวิธีนี้[ต้องการอ้างอิง]และเป็นอะไรที่เกิดน้อยกว่ายิ่งกว่าตาเหล่ขึ้นลงแฝง
วิธีการทดสอบนี้ยังสามารถใช้ตรวจโรคมองด้วยสองตาที่เป็นปัญหายิ่งขึ้น คือ ตาเหล่แบบชัดแจ้งเบื้องต้น ผู้ตรวจจะดูตาแรกเมื่อปิดตาที่สองถ้าตาขยับจากเบนออกเป็นเบนเข้า บุคคลนั้นมีตาเหล่ออก (exotropia, wall-eyed)ถ้าตาขยับจากเบนเข้าเป็นเบนออก บุคคลนั้นมีตาเหล่เข้า (esotropia, cross-eyed)ทั้งสองเป็นตาเหล่ที่อาจเกิดร่วมกับตามัว
แม้อาการตามัวจะมีนิยามที่ต่าง ๆ กัน[16]แต่นิยามซึ่งสามัญที่สุดก็แสดงว่า ตามัวเป็นอาการของตาข้างเดียวซึ่งมองเห็นแย่กว่า 20/20 โดยไม่ปรากฏเหตุทางโครงสร้างร่างกายหรือโรคและจะเกิดร่วมกับอาการต่อไปนี้ก่อนถึงอายุ 6 ขวบ คือamblyogenic anisometropia, ตาเหล่เข้าหรือออกข้างเดียวเป็นประจำ (constant unilateral esotropia or exotropia), amblyogenic bilateral isometropia, ตาเอียงสองข้างหรือข้างเดียวเหตุตามัว (amblyogenic unilateral or bilateral astigmatism), image degradation[16]ถ้าตาที่ปิดเป็นตาซึ่งไม่มัว ตาที่มัวก็จะเป็นตาเดียวที่บุคคลนั้นเห็นและอาการตาเหล่จะปรากฏเมื่อคนไข้ขยับตาเพื่อมองนิ้วของผู้ตรวจนอกจากนั้น ยังมีตาเหล่ขึ้น (hypertropia) ตาเหล่ลง (hypotropia) และตาเหล่หมุน (cyclotropia)
ความผิดปกติเนื่องกับการเห็นด้วยสองตารวมทั้ง
- การเห็นภาพซ้อน (diplopia, double vision)
- การเห็นสับสน (visual confusion) เป็นการเห็นภาพสองภาพตรงที่เดียวกัน
- การระงับ (suppression) ที่สมองไม่สนใจลานสายตาทั้งหมดหรือบางส่วนจากตาข้างหนึ่ง
- horror fusionis เป็นการเลี่ยงการเห็นเป็นภาพเดียวกันของสมองโดยขยับตาให้ไม่ตรง
- anomalous retinal correspondence (ความไม่สอดคล้องของจอตา) ที่สมองสัมพันธ์ภาพจากรอยบุ๋มจอตาของตาข้างหนึ่ง ว่ามาจากส่วนรอบ ๆ รอยบุ๋มจอตาอีกข้างหนึ่ง
ความผิดปกติเนื่องกับการมองด้วยสองตาเป็นโรคตาที่สามัญที่สุดกลุ่มหนึ่งซึ่งปกติจะสัมพันธ์กับอาการต่าง ๆ เช่นปวดหัว ตาล้า/ตาเพลีย (asthenopia) ปวดตา เห็นไม่ชัด และการเห็นภาพซ้อนเป็นบางครั้งบางคราว[20]
คนไข้ที่มาหาจักษุแพทย์ประมาณ 20% จะมีความผิดปกติเนื่องกับมองด้วยสองตา[20]วิธีวินิจฉัยที่มีประสิทธิผลมากที่สุดก็คือ การตรวจการเบนของตาเมื่อมองใกล้ ๆ (near point of convergence test, NPC)[20]เมื่อตรวจด้วย NPC แพทย์จะขยับวัตถุที่ให้มอง เช่นนิ้ว เข้าไปใกล้ ๆ หน้าของคนไข้จนกระทั่งเห็นว่า ตาได้ได้เบนออกหรือคนไข้เริ่มเห็นภาพซ้อน[20]
จนกระทั่งถึงระดับหนึ่ง ระบบการเห็นจะสามารถชดเชยการเห็นที่ไม่เหมือนกันของตาทั้งสองข้างแต่ถ้าปัญหาการมองด้วยสองตามากเกิน เช่น ระบบต้องปรับตัวให้เข้ากับการเบี่ยงเบนของตาไม่ว่าจะเป็นแบบแนวนอน แนวตั้ง แบบหมุน หรือการเห็นขนาดวัตถุไม่เหมือนกันของตาทั้งสองข้าง (aniseikonic) มากเกินไปก็จะทำให้ไม่เห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตา และโดยที่สุดจึงทำให้ตาเหล่หรือทำอาการตาเหล่ให้แย่ลง
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
- Blake, Randolph; Wilson, Hugh (2011). "Binocular vision". Vision Research. 51 (7): 754–770. doi:10.1016/j.visres.2010.10.009.
- Scott B. Steinman, Barbara A. Steinman and Ralph Philip Garzia. (2000). Foundations of Binocular Vision: A Clinical perspective. McGraw-Hill Medical.
- Rahul Bhola: Binocular Vision, EyeRounds.org, University of Iowa Healthcare (updated Jan. 23, 2006)
- Livingstone, MS; Conway, BR (September 2004). "Was Rembrandt stereoblind?". The New England Journal of Medicine. 351 (12): 1264–5. doi:10.1056/NEJM200409163511224. ISSN 0028-4793. PMC 2634283. PMID 15371590.
- "Disparity sensitivity in man and owl: Psychophysical evidence for equivalent perception of shape-from-stereo" (PDF).
- Gaining Binocular Vision - No Longer Stereoblind - People Tell Their Stories
- VisionSimulations.com |Images and vision simulators of various diseases and conditions of the eye
- Binocular Vision ในหอสมุดแพทยศาสตร์แห่งชาติอเมริกัน สำหรับหัวข้อเนื้อหาทางการแพทย์ (MeSH)
- Vision2 - Open source Java program for binocular vision examination using shutter glasses