มาทิลดา 2

รถถังทหารราบ มาร์ค 2 เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า มาทิลดา เป็นรถถังทหารราบสัญชาติบริติซในสงครามโลกครั้งที่สอง^[1]

รถถังทหาราบ มาร์ค 2
มาทิลดา 2 ที่พิพิธภัณฑ์รถถังในโบวินตัน
ชนิด	รถถังทหารราบ
แหล่งกำเนิด	สหราชอาณาจักร
บทบาท
ประจำการ	1939–1955
ผู้ใช้งาน	สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย สหภาพโซเวียต
สงคราม	สงครามโลกครั้งที่สอง สงครามอาหรับ-อิสราเอล ค.ศ. 1948
ประวัติการผลิต
ผู้ออกแบบ	Mechanization Board and Messrs Vulcan
ช่วงการออกแบบ	1937[1]
บริษัทผู้ผลิต	Vulcan Foundry and others
ช่วงการผลิต	1937–1943
จำนวนที่ผลิต	2,987
แบบอื่น	see Variants below
ข้อมูลจำเพาะ
มวล	25 tons[2]
ความยาว	18 ft 5 in (5.61 m)[3]
ความกว้าง	8 ft 6 in (2.59 m)[4]
ความสูง	8 ft 3 in (2.51 m)
ลูกเรือ	4 (driver, gunner, loader, commander)[4]
เกราะ	20 ถึง 78 mm (0.79 ถึง 3.07 in)[4]
อาวุธหลัก	QF-2 pounder (40 mm) gun, 93 armour-piercing rounds[5]
อาวุธรอง	7.92 mm Besa machine gun 2,925 rounds[5]
เครื่องยนต์	2×diesel 6-cylinder 7-litre engines: 2×AEC[nb 1][5] or 2×Leyland[2] 190 bhp (140 kW) Leyland engine[6]
กำลัง/น้ำหนัก	7.5 bhp (5.6 kW) / tonne
เครื่องถ่ายกำลัง	6 speed Wilson epicyclic pre-selector gearbox
กันสะเทือน	Coil spring[2]
พิสัยปฏิบัติการ	160 miles (257 km)[4]
ความเร็ว	16 ไมล์ต่อชั่วโมง (26 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) on road[4] 9 ไมล์ต่อชั่วโมง (14 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) off road
ระบบบังคับเลี้ยว	Rackham clutches[7]

การออกแบบได้เริ่มต้นตามข้อกำหนดเฉพาะเจาะจงของ A12 ในปี ค.ศ. 1936 ในฐานะที่เป็นรถถังที่ถูกติดตั้งด้วยอาวุธให้แก่รถถังทหารราบบริติชคันแรก ที่ติดอาวุธด้วยปืนกล พลขับรถถังสองคนจากรถถังทหารราบ มาร์ค 1 (เอ11) มาร์ค 1 ยังเป็นที่รู้จักกันคือ มาทิลดา และ A12 ที่มีขนาดใหญ่กว่านั้นแต่เดิมเป็นที่รู้จักกันคือ มาทิลดา 2 หรือ มาทิลดา ซีเนียร์ มาร์ค 1 ได้ถูกทิ้งในปี ค.ศ. 1940 และจากนั้น เอ12 ก็แทบจะเรียกกันอย่างง่าย ๆ ว่า "มาทิลดา"

ด้วยเกราะที่หนัก มาทิลดา 2 เป็นรถถังทหารราบที่ยอดเยี่ยม แต่มีความเร็วและอาวุธที่ค่อนข้างจำกัด มันเป็นเพียงแค่รถถังที่เข้าประจำการตั้งแต่ช่วงเริ่มสงครามจนถึงยุติลง แม้ว่ามันจะมีส่วนร่วมโดยเฉพาะในการทัพแอฟริกาเหนือ มันถูกแทนที่ในการประจำการในแนวหน้าโดยรถถังทหารราบ เอ็มเค 3 วาเลนไทน์ ที่น้ำหนักเบากว่าและใช้ต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งเริ่มต้นในปลายปี ค.ศ. 1941