สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง
สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (ฝรั่งเศส: Paris Saint-Germain F.C.) หรือเรียกอย่างย่อว่า เปแอ็สเฌ (PSG) เป็นสโมสรฟุตบอลซึ่งตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ปัจจุบันเล่นอยู่ในลีกเอิง ลีกสูงสุดของฟุตบอลฝรั่งเศส เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของฝรั่งเศส[1][2] โดยชนะเลิศการแข่งขันในประเทศมากกว่า 40 รายการ ซึ่งรวมถึงสถิติชนะเลิศฟุตบอลลีกเอิง 11 สมัย และยังครองสถิติในการเล่นในลีกสูงสุดยาวนานที่สุดโดยไม่ตกชั้น และเป็นสโมสรเดียวของฝรั่งเศสที่ชนะเลิศถ้วยรางวัลในประเทศ 3 รายการ และ 4 รายการในฤดูกาลเดียวกัน มีสนามเหย้าคือปาร์กเดแพร็งส์ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตปกครองที่ 16 ของกรุงปารีส ใกล้กับเทศบาลบูโลญบียงกูร์[3] สโมสรมีสัญลักษณ์คือรูปหอไอเฟล และดอกลิลลี สีประจำสโมสรได้แก่ สีแดง สีน้ำเงิน และสีขาว
ชื่อเต็ม | สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง | |||
---|---|---|---|---|
ฉายา | PSG, Paris SG, Les Rouge-et-Bleu, Les Parisiens ยักษ์ใหญ่แดนน้ำหอม (ฉายาในภาษาไทย) | |||
ก่อตั้ง | 12 สิงหาคม ค.ศ. 1970 | |||
สนาม | ปาร์กเดแพร็งส์ | |||
ความจุ | 48,713 ที่นั่ง | |||
เจ้าของ | กลุ่มทุนกาตาร์ | |||
ประธาน | นาศิร อัลเคาะลัยฟี | |||
ผู้จัดการ | ลุยส์ เอนริเก | |||
ลีก | ลีกเอิง | |||
2022–23 | อันดับที่ 1 | |||
เว็บไซต์ | เว็บไซต์สโมสร | |||
| ||||
ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1970 จากการควบรวมสโมสรระหว่างปารี แอ็ฟเซ และ สตาดแซ็ง-แฌร์แม็ง[4] ถ้วยรางวัลแรกของสโมสรคือรายการกุปเดอฟร็องส์ใน ค.ศ. 1982 ก่อนจะคว้าแชมป์ลีกเอิงสมัยแรกได้ใน ค.ศ. 1986 ถัดมาในช่วงทศวรรษ 1990 สโมสรเข้าสู่ยุคแห่งความสำเร็จ โดยชนะเลิศลีกเอิงสมัยที่ 2, ชนะเลิศกุปเดอฟร็องส์เพิ่ม 3 สมัย และกุปเดอลาลีกอีก 2 สมัย และชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพใน ค.ศ. 1996 ส่งผลให้พวกเขาเป็นหนึ่งในสองสโมสรของฝรั่งเศสที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลยุโรป[5] ใน ค.ศ. 2011 กลุ่มนายทุนมหาเศรษฐีจากกาตาร์เข้าซื้อกิจการสโมสร ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดในโลก[6][7][8] และด้วยการลงทุนซื้อตัวผู้เล่นมากกว่า 1 พันล้านยูโร ส่งผลให้สโมสรครองความยิ่งใหญ่ในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกใน ค.ศ. 2020[9][10]
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งเป็นสโมสรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในฝรั่งเศส รวมทั้งเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก[11][12][13] สโมสรมีคู่ปรับคือออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ โดยการแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมเรียกว่า เลอกลาซิก[14] ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งเป็นสโมสรที่ทำรายรับมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกจากการจัดอันดับโดย ดีลอยต์ทูชโทมัตสุ ด้วยรายรับกว่า 654 ล้านยูโร และได้รับการจัดอันดับโดยฟอบส์ให้เป็นสโมสรที่มีมูลค่าสูงที่สุดเป็นอันดับ 7 ของโลกด้วยมูลค่า 4.2 พันล้านดอลลาร์
ประวัติ
ยุคแรกของการก่อตั้งและการแยกทีม (1970–73)
สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1970[15] โดย กี เครซ็อง และ ปีแยร์-เอเตียน กีโย[16] นักธุรกิจชื่อดังซึ่งมีแนวคิดต้องการสร้างทีมฟุตบอลที่เป็นตัวแทนของกรุงปารีสในการแข่งขันระดับโลก[17] และต้องการนำชื่อเสียงมาสู่กรุงปารีสและวงการฟุตบอลฝรั่งเศส โดยแต่เดิมนั้นสโมสรได้เกิดจากการรวมทีมกันระหว่างสโมสร ปารี แอ็ฟเซ (ก่อตั้งใน ค.ศ. 1969) กับ สตาดแซ็ง-แฌร์แม็ง (ก่อตั้งใน ค.ศ. 1904) ภายหลังจากที่สตาดแซ็ง-แฌร์แม็งซึ่งเล่นอยู่ในลีก 3 ในขณะนั้นเลื่อนชั้นขึ้นสู่ลีกเดอ (ลีก 2) โดย ปารี แอ็ฟเซ ได้ให้การสนับสนุนในด้านค่าใช้จ่าย ในขณะที่ สตาดแซ็ง-แฌร์แม็ง วางแผนในด้านโครงสร้างทีมและการบริหาร รวมถึงการสร้างศูนย์ฝึกซ้อม ซึ่งภายหลังจากการรวมทีมกันสโมสรได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง[18] และลงเล่นในลีกเดอในปีนั้น และ ปีแยร์-เอเตียน กีโย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสโมสรคนแรก[19] การแข่งขันนัดแรกอย่างเป็นทางการของพวกเขาคือการบุกไปเสมอ Stade Poitevin FC ด้วยผลประตู 1–1 ในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1970 ผู้ทำประตูแรกให้แก่สโมสรก็คือ Bernard Guignedoux โดยทำได้จากลูกฟรีคิก[20]
ในช่วงเวลาดังกล่าว สโมสรยังเปิดโอกาสให้แฟนบอลได้ร่วมเป็นเจ้าของทีม ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลของฝรั่งเศส สโมสรมีสมาชิกร่วมลงนามกว่า 20,000 คน และสโมสรเรอัลมาดริดได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งสโมสร[21] โดยซานเตียโก เบร์นาเบว ประธานสโมสรเรอัลมาดริดในขณะนั้น ได้อนุมัติเงินทุนสนับสนุนพวกเขาจากการที่กลุ่มผู้บริหารเริ่มประสบปัญหาการเงิน[22]
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดอย่างลีกเอิงได้ใน ค.ศ. 1971 ในฐานะแชมป์การแข่งขันลีกเดอ[23] โดยในฤดูกาลแรกพวกเขาสามารถจบในอันดับที่ 16 และในฤดูกาลต่อมาพวกเขาจบอันดับที่ 12 ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน ค.ศ. 1972 สภาเมืองปารีสได้เสนอเงินจำนวน 850,000 ฟรังก์เพื่อชำระหนี้ของสโมสร และรักษาสถานะในการเล่นบนลีกสูงสุดต่อไป โดยข้อเสนอดังกล่าวแลกกับการต่อรองให้สโมสรเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า "Paris Football Club (สโมสรฟุตบอลปารี)" กี เครซ็อง ผู้เข้ามารับตำแหน่งประธานสโมสรคนใหม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนชื่อ ทว่า อ็องรี ปาเตรล ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ความขัดแย้งนี้นำไปสู่การลาออกของ เครซ็อง โดยเขายอมส่งมอบตำแหน่งประธานสโมสรให้แก่ปาเตรลแทน ซึ่งปาเตรลได้พยายามเจรจากับสภาของกรุงปารีสใหม่อีกครั้งทว่าก็ไม่เป็นผล
ในช่วงนั้นมีนักเตะชื่อดังอย่างฟร็องซัว อึมเปอเล นักเตะชาวคองโกซึ่งยิงประตูในลีกไปถึง 21 ประตู ต่อมาใน ค.ศ. 1972 สืบเนื่องจากความขัดแย้งที่เรื้อรังมาร่วมปี สโมสรได้ประกาศแยกทีมอีกครั้ง โดยสโมสรปารี แอ็ฟเซ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสภากรุงปารีส และ กี เครซ็อง กลับไปมีสถานะเดิมอีกครั้งและยังคงเล่นในลีกสูงสุดต่อไปในฤดูกาล 1973 ในขณะที่ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง (สตาดแซ็ง-แฌร์แม็งเดิม) ของ อ็องรี ปาเตรล ต้องตกชั้นอีกครั้ง และสูญเสียสถานะสโมสรฟุตบอลอาชีพไปโดยปริยาย
กลับคืนสู่ลีกสูงสุด และความสำเร็จในยุคแรก (1970–89)
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ทำการยกระดับทีมกลับมาอีกครั้ง ด้วยการมารับตำแหน่งประธานกรรมการบริหารคนใหม่อย่าง ดาเนียล เฮชเตอร์ นักออกแบบแฟชั่นชื่อดังชาวฝรั่งเศสเชื้อสายเบลเยียม ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1973[24] โดยเขามีบทบาทสำคัญในด้านการลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก และยังเป็นผู้ออกแบบชุดแข่งขันของทีมให้ทันสมัยยิ่งขึ้น[25] และยังแต่งตั้ง ฌุสต์ ฟงแตน อดีตนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศสผู้โด่งดังเข้ามาเป็นผู้อำนวยการด้านกีฬา สโมสรกลับคืนสู่ลีกเอิงได้อีกครั้งหลังจากกลับมาเอาชนะ สโมสรฟุตบอลวาล็องเซียนส์ ในการแข่งขันเพลย์ออฟด้วยผลประตูรวมสองนัด 5–4 แม้จะบุกแพ้ในนัดแรก 1–2 แต่พวกเขากลับมาเอาชนะคืนได้ที่ปาร์กเดแพร็งส์ ด้วยผลประตู 4–2[26] และสโมสรไม่เคยตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกเลยจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้สโมสรยังได้รับสถานะสโมสรฟุตบอลอาชีพกลับมาอีกครั้ง
ในฤดูกาล 1973–74 ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ลงเล่นเกมในบ้านที่ ปาร์กเดแพร็งส์ บนลีกสูงสุดนัดแรกพบสโมสรเรดส์สตาร์ และพวกเขาเอาชนะด้วยผลประตู 3–1 โอตเนียล ดอสเซวี ชาวโตโก ถือเป็นผู้ทำประตูแรกของสโมสรที่สนามแห่งนี้[27] พวกเขายังทำผลงานในฟุตบอลถ้วยได้อย่างยอดเยี่ยมในเวลาอันสั้น โดยเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศรายการ กุปเดอฟร็องส์ ได้ หลังจากเอาชนะ แม็ส ด้วยผลประตูรวมสองนัด 4–1[28] ในช่วงเวลานั้นสโมสรที่แยกตัวออกไปอย่าง ปารี แอ็ฟเซ มีช่วงเวลาที่มืดมน พวกเขามีผลงานย่ำแย่ถึงขั้นตกชั้นสู่ลีกเดอในฤดูกาลเดียวกับที่ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง เลื่อนชั้นกลับมา การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารของ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ ดาเนียล เฮชเตอร์ ได้ปรับบทบาทด้วยการดำรงตำแหน่งประธานสโมสรคนใหม่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1974 ภายหลังการลาออกของ อ็องรี ปาเตรล และ ฟรองซิส บอเรลลิ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองประธานสโมสร
ภายใต้การบริหารทีมของ เฮชเตอร์ สโมสรยังไม่สามารถชนะถ้วยรางวัลใดในทศวรรศ 1970 นี้ แต่มีการพัฒนาทีมอย่างต่อเนื่องและทำผลงานในฟุตบอลถ้วยได้ดีอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้สโมสรมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นทุกปี นำไปสู่การดึงดูดผู้เล่นชื่อดังในยุคนั้นอย่าง ฌ็อง-ปีแยร์ โดเลียน, มุสตาฟา ดาร์เลฟ และ การ์ลอส เบียงคี[29] อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น เมื่อ ดาเนียล เฮชเตอร์ ถูกลงโทษจากสมาคมฟุตบอลฝรั่งเศส ห้ามมิให้ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมทางฟุตบอลในประเทศตลอดชีวิต สืบเนื่องจากการทุจริตในโครงการจำหน่ายบัตรเข้าชมการแข่งขัน ณ สนามปาร์กเดแพร็งส์ ส่งผลให้ ฟรองซิส บอเรลลิ รองประธานในขณะนั้นรับตำแหน่งประธานสโมสรต่อ
สโมสรคว้าแชมป์รายการแรกคือกุปเดอฟร็องส์ในฤดูกาล 1981–82[30] ด้วยการชนะอาแอ็ส แซ็งเตเตียนในการดวลลูกโทษ หลังจากเสมอกัน 2–2 ภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการอย่าง ฌอร์ฌ แปรอโช ซึ่งรับตำแหน่งตั้งแต่ ค.ศ. 1979 ท่ามกลางการเฉลิมฉลองของแฟน ๆ ในสนามรวมถึงประธานสโมสรที่วิ่งลงไปในสนาม โดยผู้ที่ยิงจุดโทษตัดสินให้ทีมชนะก็คือ ฌ็อง-มาร์ก ปียาร์เฌ ชัยชนะดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมแข่งขันฟุตบอลยุโรปของสโมสร ซึ่งพวกเขาเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศยูโรเปียนคัพในฤดูกาล 1982–83[31]
แม้จะยังไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกเอิงได้ แต่พวกเขาก็ทำอันดับได้ดีโดยจบอันดับสามในฤดูกาล 1982–83 และป้องกันแชมป์กุปเดอฟร็องส์ได้อีกครั้ง จากเอาชนะน็องต์ผู้ชนะการแข่งขันลีกเอิงในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลประตู 3–2[32] ก่อนที่ แปรอโช จะลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม[33] แต่การรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อพวกเขาคว้าแชมป์ลีกเอิงได้ในฤดูกาล 1985–86 ภายใต้การคุมทีมของ เฌราร์ อูลีเย[34] ทีมชุดนั้นมีผู้เล่นแกนหลักอย่าง โฌแอล บัตซ์, ด็อมมินิค เบเธเนย์, ลุยส์ เฟอร์นานเดส, ซาเฟต ซูซิช และ ด็อมมินิค โรเชตู โดยสโมสรคว้าแชมป์ด้วยผลงานยอดเยี่ยมโดยไม่แพ้ติดต่อกันถึง 26 นัด นับตั้งแต่บุกไปเอาชนะตูลูสในนัดที่สามของฤดูกาล แต่เส้นทางในฤดูกาลต่อมาก็ไม่ราบรื่นนัก เมื่อพวกเขาจบเพียงอันดับเจ็ดในลีกเอิง[35] และยังตกรอบฟุตบอลถ้วยอย่างรวดเร็วทั้งการแข่งขันในประเทศและยูโรเปียนคัพ
เข้าสู่ฤดูกาล 1987–88 สโมสรยังทำผลงานย่ำแย่ต่อเนื่อง โดยต้องลุ้นหนีตกชั้นถึงนัดสุดท้าย แต่เอาตัวรอดได้จากการบุกไปเอาชนะ เลออาฟวร์ อาเซ[36] ก่อนจะกลับไปทำผลงานยอดเยี่ยมอีกครั้งในฤดูกาล 1988–89 โดยลุ้นแชมป์ลีกกับคู่อริอย่าง ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ แต่ก็พลาดแชมป์โดยเป็นรองเพียงแค่สามคะแนน[37]
ยุคทอง (1990–99)
ใน ค.ศ. 1991 กานาลปลุส (Canal+) สถานีโทรทัศน์ชื่อดังของฝรั่งเศสได้เข้ามาซื้อกิจการของสโมสร และทำให้สโมสรเริ่มกลับมาประสบความสำเร็จมากขึ้น พวกเขากลายสภาพเป็นสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศ และถือเป็นจุดเริ่มต้นยุคทองของพวกเขาอย่างแท้จริง[38] มีแชล เดนีโซ ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานสโมสรแทนที่ ฟรานซิส บอเรลลิ ภายใต้ความคาดหวังที่สูงขึ้น โดยกลุ่มผู้บริหารตั้งเป้ามหายว่าต้องผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกในรายการยุโรปในฤดูกาลแรกทันที และต้องกลับไปคว้าแชมป์ลีกเอิงให้ได้ภายในสามปี[39] ด้วยเหตุนี้ Canal+ จึงเพิ่มงบประมาณของสโมสรเพื่อเสริมทีมจาก 90 เป็น 120 ล้านฟรังก์เพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งไว้สำหรับฤดูกาล 1991–92 รวมทั้งแต่งตั้งผู้จัดการทีมอย่าง อาร์ตูร์ จอร์จ ซึ่งพาฟูเตบอลกลูบึดูโปร์ตู หรือ สโมสรฟุตบอลโปร์ตู ทีมดังของโปรตุเกสคว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ ค.ศ. 1987 รวมถึงเซ็นสัญญากับผู้เล่นใหม่อย่าง รีการ์ดู โกมึซ และ วัลดู สองผู้เล่นชื่อดังทีมชาติบราซิลจากสปอร์ลิชบัวอีไบฟีกา รวมทั้งผู้เล่นชาวฝรั่งเศศที่ทำผลงานโดดเด่นหลายราย ไม่ว่าจะเป็น โปล เลอ เก็น, โลร็องต์ โฟร์เนียร์, ปาทริค คอลเลเตอร์ และกองหน้าชาวไลบีเรียอย่าง จอร์จ เวอาห์
ในฤดูกาล 1992–93 ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของความดุเดือดในศึกแห่งศักดิ์ศรีอย่าง เลอกลาซิก ที่สโมสรต้องพบกับ ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ ซึ่งทั้งสองทีมแย่งแชมป์ลีกกันอย่างสูสีอีกครั้งเช่นเดียวกับในฤดูกาล 1988–89 และปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ก็ต้องผิดหวังไปอีกครั้ง หลังจากมีคะแนนตามหลังมาร์แซย์สองคะแนนได้เพียงรองแชมป์ โดยพวกเขาแพ้ต่อมาร์แซย์ไปทั้งเกมเหย้าและเกมเยือน[40] โดยการแข่งันนัดสำคัญเกิดขึ้นเพียงสามวันภายหลังออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 1992–93 ซึ่งพวกเขาต้องเปิดบ้านรับผู้มาเยือนอย่างปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง โดยนัดนั้นถือเป็นนัดตัดสินแชมป์และพวกเขาเอาชนะ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ไปได้ อย่างไรก็ตาม ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นซึ่งถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลฝรั่งเศส เมื่อออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ถูกตัดสินจากสมาคมฟุตบอลฝรั่งเศสว่ามีความผิดจากกรณีล็อกผลการแข่งขัน และสมาคมตัดสินใจทำการริบแชมป์และจะมอบตำแหน่งให้แก่ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ทีมอันดับสองแทน แต่เจ้าของสโมสรอย่างกานาลปลุสได้ปฏิเสธสิทธิ์ดังกล่าว เนื่องจากเกรงว่าจะสร้างความไม่พอใจให่แก่กลุ่มผู้สนับสนุนของทีม ส่งผลให้ตำแหน่งผู้ชนะลีกสูงสุดในปีนั้นเป็นโมฆะ และถือว่าไม่มีทีมใดคว้าแชมป์ และ อาแอ็ส มอนาโก ซึ่งได้อันดับสามในฤดูกาลนั้น ได้สิทธิ์ไปแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 1993–94 แทน ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ที่ได้รับโทษแบน
แม้จะพลาดแชมป์ลีก แต่สโมสรสามารถคว้าแชมป์กุปเดอฟร็องส์ด้วยการชนะน็องต์ด้วยผลประตู 3–0 ต่อมาใน ค.ศ. 1995 สโมสรคว้าแชมป์กุปเดอฟร็องส์ ได้หลังเอาชนะอาแอ็สสทราซบูร์ 1–0 และคว้าแชมป์ทรอเฟเดช็องปียงในปีเดียวกัน รวมทั้งผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ จอร์จ เวอาห์ กองหน้าคนสำคัญของทีมซึ่งทำผลงานโดดเด่นในฤดูกาลนั้นยังคว้ารางวังบาลงดอร์ได้และยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของฟีฟ่า แม้เจ้าตัวจะย้ายไปร่วมทีมเอซีมิลาน ต่อมาใน ค.ศ. 1996 สโมสรคว้าแชมป์ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพสมัยแรกได้ และเป็นการคว้าแชมป์รายการระดับทวีปครั้งแรก[41] โดยเอาชนะสโมสรราพิทวีนจากออสเตรียด้วยผลประตู 1–0 จากประตูชัยของบรูว์โน อึนกอตี[42] และยังได้รองแชมป์ลีกเอิงในปีเดียวกัน ต่อมา ในฤดูกาล 1997–98 ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งคว้าแชมป์ในประเทศได้สองรายการคือ ทรอเฟเดช็องปียงและกุปเดอลาลีกเอิง ก่อนที่จะได้รองแชมป์ลีกเอิงอีกครั้งในฤดูกาล 1999–2000[43] ในทศวรรษ 1990 ถือเป็นรุ่งเรื่องของสโมสรนับตั้งแต่ก่อตั้งทีม พวกเขาชนะถ้วยรางวัลเก้ารายการ
ประสบปัญหา (2000–09)
นับจากปี 1998 เป็นต้นมาการเปลี่ยนแปลงของสโมสรได้เกิดขึ้นมากมาย เริ่มต้นจากการมีปัญหาภายในด้านการเงินของสโมสรจากนั้นฐานะทางการเงินของสโมสรก็ดีขึ้นตามลำดับ ในช่วงเวลาดังกล่าวสโมสรสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าอินเตอร์โตโต้คัพได้ในปี 2001 ซึ่งทีมชุดนั้นนำโดยผู้เล่นระดับตำนานเช่น มาร์โก ซีโมเน, รอนัลดีนโย และเปาเลตา ต่อมา กลุ่มกานาลได้ขายสโมสรให้กับ Colony Capital ในปี 2006 หลังจากนั้นมาสโมสรก็ได้ยกระดับตนเองขึ้นมาและเริ่มมีฐานแฟนบอลเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ในช่วงเวลาดังกล่าวพวกเขาคว้าแชมป์เพิ่มได้ 5 รายการ
อย่าไรก็ตาม ในช่วงฤดูกาล 2006–07 และ 2007–08 สโมสรต้องประสบกับปัญหาภายในหลายอย่างและมีผลงานย่ำแย่ในลีกเอิงจนถึงขั้นต้องหนีตกชั้นในฤดูกาล 2008 โดยในการแข่งขันนัดสุดท้ายพวกเขาต้องพบกับโซโชซ์ในการลุ้นหนีตกชั้น และอมารา ไดแอน กองหน้าชาวโกตดิวัวร์ เป็นผู้ทำประตูชัยช่วยให้ทีมชนะไปได้ 2–1 รอดตกชั้นไปอย่างหวุดหวิด
มหาเศรษฐีทีมใหม่ (2011–ปัจจุบัน)
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งเข้าสู่ยุคแห่งการฟื้นฟูครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 2011 เมื่อสโมสรถูกกลุ่มนายทุนจากประเทศกาตาร์ในนาม Qatar Sports Investments เข้าซื้อ โดยมีนาศิร อัลเคาะลัยฟี ดำรงตำแหน่งประธานสโมสรพร้อมด้วยเงินจำนวนมหาศาล ผู้บริหารสโมสรได้ลงทุนสร้างทีมจนกลายเป็นทีมยักษ์ใหญ่ทีมใหม่ของยุโรปด้วยผู้เล่นระดับโลก และมีเป้าหมายคือการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[44]
เลโอนาร์ดู อาราอูฌู อดีตผู้เล่นของสโมสรเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการด้านกีฬา และดูแลตลาดซื้อขายนักเตะในช่วงฤดูร้อนปี 2011 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ลีกเอิง รวมถึงการเซ็นสัญญากับนักเตะหลายราย เช่น แบลซ มาตุยดี, ซัลวาโตเร ซีรีกู , มักซ์เวล, เควิน กาเมโร และ ฆาบิเอร์ ปัสโตเร[45] แม้จะจบการแข่งขันลีกเอิงฤดูกาล 2011–12 ด้วยรองแชมป์ แต่พวกเขากลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในประเทศได้ในปีต่อมา โดยการนำทีมของผู้เล่นชื่อดัง ซลาตัน อิบราฮีโมวิช และกัปตันทีม ชียากู ซิลวา ภายใต้การคุมทีมของ การ์โล อันเชลอตตี ผู้จัดการทีมชื่อดัง[46] รวมทั้งเซ็นสัญญาระยะสั้นกับเดวิด เบคแคม[47] จำนวน 30 ประตูของอิบราฮีมอวิชทำให้ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งคว้าแชมป์ลีกเอิงเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี และเป็นสมัยที่สามในประวัติศาสตร์ พวกเขายังกลายเป็นทีมที่เข้าสู่รอบแพ้คัดออกของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกอย่างต่อเนื่อง โดยในฤดูกาลนั้นพวกเขาตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายโดยแพ้บาร์เซโลนาด้วยกฎประตูทีมเยือน
การลงทุนในตลาดซื้อขายยังคงดำเนินต่อไป ด้วยการมาถึงของเอดินซอน กาบานิ ในปี 2013 ด้วยค่าตัวสถิติสโมสร 64 ล้านยูโร[48] และดาวิด ลูอีซ ในปี 2014 ในราคา 50 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสถิติโลกในขณะนั้นของการซื้อขายผู้เล่นกองหลัง แม้อันเชลอตตีจะอำลาทีมเพื่อไปคุมเรอัลมาดริด แต่สโมสรยังประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องด้วยการคุมทีมของ โลร็องต์ บล็องก์ ซึ่งพาทีมคว้าแชมป์สามรายการหลักในประเทศ (ลีกเอิง, กุปเดอลาลีก และ ทรอเฟเดช็องปียง) ในฤดูกาล 2013–14 ตามด้วยการคว้า 4 แชมป์ในประเทศ (ลีกเอิง, กุปเดอฟร็องส์, กุปเดอลาลีก และ ทรอเฟเดช็องปียง) ได้สองฤดูกาลติตด่อกันตั้งแต่ปี 2014–16 โดยเฉพาะในปี 2016 ซึ่งสโมสรได้แชมป์ลีกโดยทำไปถึง 96 คะแนน เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลของฟุตบอลฝรั่งเศส
ในฤดูกาล 2016–17 อูไน เอเมรี เข้ามาคุมทีมหลังจากประสบความสำเร็จในการพาเซบิยาคว้าแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีก 3 สมัยติดต่อกัน แต่ผลงานโดยรวมของทีมตกลงไปจากการย้ายทีมของ ซลาตัน อิบราฮีโมวิช[49] พวกเขาเสียแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีให้แก่อาแอ็ส มอนาโก และยังล้มเหลวในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกโดยแพ้บาร์เซโลนาในรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยผลประตูรวม 5–6 ทั้งที่เอาชนะไปได้ก่อนในนัดแรกที่ปาร์กเดแพร็งส์ 4–0 แต่กลับพ่ายแพ้ในการไปเยือนที่สนามกัมนอว์อย่างยับเยิน 1–6 ความสำเร็จในการกลับมาของบาร์เซโลนาในครั้งนั้นได้รับการยกย่องเป็น "La Remontada" ("The Comeback")[50] จากความล้มเหลวดังกล่าว ส่งผลให้ทีมลงทุนครั้งใหญ่อีกครั้งในฤดูกาลต่อมาด้วยการซื้อตัวเนย์มาร์ ผู้เล่นชื่อดังชาวบราซิลด้วยค่าตัวสถิติโลก 222 ล้านยูโร รวมถึงการยืมตัวกีลียาน อึมบาเป ดาวรุ่งชาวฝรั่งเศสที่เป็นที่จับตามองมากที่สุดในยุโรปมาจากมอนาโกก่อนจะซื้อขาดในราคา 180 ล้านยูโร ทำให้ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งมีสองนักเตะที่ค่าตัวสูงที่สุดในโลกอยู่ในทีม ก่อนจะคว้า 4 ถ้วยรางวัลในประเทศได้เป็นครั้งที่สามในรอบสี่ฤดูกาล แต่ยังคงไม่ประสบความสำเร็จในรายการยุโรป โดยแพ้เรอัลมาดริดในยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีก ส่งผลให้เอเมรียุติสัญญา[51]
โทมัส ทุคเคิล เข้ามาคุมทีมต่อ[52] แต่พาทีมตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยแพ้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยกฎประตูทีมเยือน (ผลประตูรวม 3–3) แม้พวกเขาจะบุกไปชนะได้ก่อนที่โอลด์แทรฟฟอร์ด 2–0 แต่แพ้ในนัดที่สองที่ปาร์กเดแพร็งส์ด้วยประตู 1–3 รวมถึงแพ้สตาดแรแนในรอบชิงชนะเลิศกุปเดอฟร็องส์ และแพ้แก็งก็องในกุปเดอลาลีก 1–2 แต่พวกเขายังคว้าแชมป์ลีกเอิงได้เป็นสมัยที่ 8 ต่อมา ในฤดูกาล 2019–20 สโมสรคว้าแชมป์ลีกเป็นสมัยที่ 9 จากการที่รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศตัดจบฤดูกาลจากการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา[53] และยังคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยได้สองรายการคือ กุปเดอฟร็องส์ และ กุปเดอลาลีก เอาชนะ อาแอ็ส แซ็งเตเตียน และ ออแล็งปิกลียอแน ตามลำดับ และยังเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกแต่แพ้ไบเอิร์นมิวนิก 0–1[54]
แม้จะประสบความสำเร็จกับสโมสร แต่ทุคเคิลได้ลาทีมในฤดูกาลต่อมาจากการมีปัญหากับผู้บริหารสโมสร[55] เมาริซิโอ โปเชติโน อดีตผู้เล่นของสโมสรได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมในเดือนมกราคม 2021[56] และพาทีมได้แชมป์ฟุตบอลถ้วยสองรายการคือทรอเฟเดช็องปียง และกุปเดอฟร็องส์ แต่พวกเขาตกรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยแพ้แมนเชสเตอร์ซิตี และยังเสียแชมป์ลีกเอิงให้แก่ล็อสก์ลีล[57]
ในฤดูกาลต่อมา สโมสรทำการลงทุนครั้งใหญ่ด้วยการเซ็นสัญญากับผู้เล่นระดับโลก[58][59][60] ได้แก่ ลิโอเนล เมสซิ,[61] เซร์ฆิโอ ราโมส, อัชร็อฟ ฮะกีมี, จอร์จีนีโย ไวนัลดึม และ จันลุยจี ดอนนารุมมา รวมถึงการยืมตัว นูนู เม็งดึช[62] แต่ก็ล้มเหลวในฟุตบอลถ้วยทุกรายการ โดยแพ้ล็อสก์ลีลในทรอเฟเดช็องปียง 0–1 และตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายกุปเดอฟร็องส์จากการแพ้จุดโทษโอเฌเซ นิส และแพ้ เรอัล มาดริด ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[63] ก่อนจะคว้าแชมป์ลีกเอิงเป็นสมัยที่ 10 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดร่วมกับ อาแอ็ส แซ็งเตเตียน ในฤดูกาลนี้สโมสรต้องพบกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของผู้เล่นคนสำคัญอย่าง กีลียาน อึมบาเป ซึ่งตกเป็นข่าวว่าต้องการย้ายร่วมทีมเรอัลมาดริด[64] แต่ท้ายที่สุด อึมบาเป ก็ขยายสัญญากับสโมสรออกไปถึง ค.ศ. 2025[65] นำไปสู่การยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรปโดยลาลิกา ซึ่งต้องการให้ตรวจสอบการละเมิดกฎการเงินของปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง[66]
ในฤดูกาล 2022–23 นาศิร อัลเคาะลัยฟี ซึ่งไม่พอใจกับทิศทางของสโมสรซึ่งยังไม่สามารถคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมาครอง ได้ให้คำมั่นแก่กลุ่มผู้สนับสนุนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในด้านโครงสร้างและการบริหารทีม โดยเขาได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ เลอ ปารีเซียง[67] ว่าทีมจะเดินหน้าไปยังทิศทางที่ถูกต้อง การเปลี่ยนแปลงเริ่มจากการแต่งตั้ง ลุยส์ แกมโปส เข้ามารับตำแหน่งที่ปรึกษา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการด้านกีฬาให้แก่ อาแอ็ส มอนาโก และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการผลักดันการซื้อตัวผู้เล่นชื่อดัง เช่น ราดาเมล ฟัลกาโอ, ฌูเวา โมตีญู, ฮาเมส โรดริเกซ, ฟาบิญญู, อ็องตอนี มาร์ซียาล, บือร์นาร์ดู ซิลวา และ ตอมา เลอมาร์ ตามด้วยการปลดโปเชติโนในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2022 และแต่งตั้ง คริสต็อฟ กาลตีเย เข้ามารับตำแหน่งแทนด้วยสัญญาสองปี[68] สโมสรยังเน้นเซ็นสัญญากับผู้เล่นอายุน้อย โดยมีการนำผู้เล่นอย่าง นูนู เม็งดึช, วีตีญา, อูโก เอกิติเก และ นอร์ดี มูคิเอเล เข้ามาเสริมทีม ในขณะเดียวกัน ผู้เล่นอายุมากหลายรายได้ถูกขึ้นบัญชีขาย[69]
กาลตีเยพาทีมประเดิมฤดูกาล 2022–23 ด้วยการเอาชนะน็องต์ ด้วยผลประตู 4–0 ในรายการทรอเฟเดช็องปียง 2022 แต่ทีมก็ยังล้มเหลวในฟุตบอลยุโรป โดยแพ้ไบเอิร์นมิวนิกในรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยผลรวมสองนัด 0–3[70] สโมสรสร้างสถิติใหม่ในการคว้าแชมป์ลีกเอิงสูงสุดสมัยที่ 11 ในฤดูกาลนี้ ภายหลังจบฤดูกาลทีมมีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นอีกครั้ง เมื่อผู้เล่นสำคัญอย่างเมสซิ, เนย์มาร์ และราโมสอำลาทีม[71][72] รวมถึงมีการแต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างลุยส์ เอนริเก
เอกลักษณ์
สโมสรถือเป็นตัวแทนของประเทศฝรั่งเศส โดยมีสีประจำทีมคือสีแดง สีน้ำเงิน และสีขาว โดยสีแดงและน้ำเงินถือเป็นสีของชาวปารีส และสีขาวสื่อถึงการเป็นตัวแทนของจักรพรรดิฝรั่งเศสในอดีต[73] นอกจากนี้ โลโก้ของสโมสรยังปรากฏภาพของหอไอเฟล ซึ่งต้องการสื่อถึงการเป็นตัวแทนของสโมสรที่ดีที่สุดในกรุงปารีสและยังสะท้อนถึงการเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอลฝรั่งเศส[74]
สัตว์นำโชคอย่างเป็นทางการของสโมสรคือ "Germain the Lynx" ซึ่งสวมชุดที่เป็นสีประจำสโมสร โดยเปิดตัวใน ค.ศ. 2010[75] ที่กรุงปารีส เพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีของสโมสรและมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่เด็ก ๆ โดย "The Lynx" จะออกมาสร้างสีสันทุกครั้งก่อนเริ่มการแข่งขันโดยมักออกมาแจกของขวัญรวมทั้งขนมให้กับแฟนบอลในสนาม
คำขวัญ
คำขวัญแรกอย่างเป็นทางการของสโมสรคือ "Allez Paris!"[76] ซึ่งเริ่มใช้โดย แอนนี คอร์ดี นักแสดงหญิงชื่อดังชาวเบลเยียมใน ค.ศ. 1970 ซึ่งเธอถือเป็นแฟนของสโมสรมาอย่างยาวนานและยังเป็นหนึ่งในบุคคลผู้มีชื่อเสียงที่ให้การสนับสนุนเงินทุนสโมสรในระยะแรกของการก่อตั้งทีมในคริสต์ทศวรรษ 1970 อีกด้วย[77] ต่อมาใน ค.ศ. 1977 แฟนบอลในกรุงปารีสได้ร่วมกันก่อตั้งคำขวัญ "Allez Paris-Saint-Germain!" และเริ่มมีการนำมาร้องเชียร์ให้กำลังใจนักฟุตบอลในสนาม โดยยังคงให้เกียรติแอนนี่ คอร์ดีด้วยการใช้คำว่า Allez Paris นำหน้าเสมอ และสโมสรได้นำคำขวัญ Allez Paris-Saint-Germain! มาเป็นคำขวัญสโมสรมาจนถึงปัจจุบัน[78][79]
สนามกีฬา
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ลงเล่นเกมแรกของพวกเขาที่สนามเหย้าปัจจุบันคือปาร์ก เด แพร็งซ์ พบสโมสรเรดส์สตาร์ ใน ค.ศ. 1973 สนามมีความจุ 47,929 ที่นั่ง ตั้งอยู่ในกรุงปารีส โดยมีจุดเด่นคือสามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามโดยรอบกรุงปารีสได้อย่างชัดเจน และจะมีการเปิดไฟเป็นสีธงชาติฝรั่งเศสเป็นประจำทุกค่ำคืน[80] สนามแห่งนี้เคยถูกใช้โดย ปารี แอ็ฟเซ จนกระทั่งสโมสรตกชั้นสู่ลีกเดอใน ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นฤดูกาลเดียวกับทีม ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง เลื่อนชั้นกลับคืนสู่ลีกสูงสุด สนามแห่งนี้จึงเป็นสนามเหย้าของ ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง มานับตั้งแต่นั้น
ศึกแห่งศักดิ์ศรี
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็งถือเป็นคู่ปรับสำคัญของสโมสรออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ การพบกันระหว่างทั้งสองทีมถือเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่เรียกว่าเลอกลาซิก ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ดุเดือดที่สุดของวงการฟุตบอลฝรั่งเศส[81][82] และได้รับการขนานนามจากแฟนฟุตบอลว่าเป็นศึกเอลกลาซิโกของฝรั่งเศส[83][84]
ทั้งสองสโมสรถือเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดสองอันดับแรกของประเทศ และต่างก็เป็นหนึ่งในสองสโมสรของประเทศฝรั่งเศสที่ชนะเลิศถ้วยรางวัลระดับทวีป ทั้งสองฝ่ายต่างแย่งชิงความสำเร็จกันมาอย่างยาวนานโดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา นอกจากนี้ทั้งสองทีมยังถือเป็นสองสโมสรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในฝรั่งเศส[85][86] ทั้งคู่มีสถิติการพบกันจำนวน 101 นัด โดยปารีแซ็ง-แฌร์แม็งสามารถเอาชนะไปได้ 45 นัด เป็นชัยชนะของออแล็งปิกเดอมาร์แซย์ 33 นัด และเสมอกันไป 23 นัด
บุคลากรปัจจุบัน
- ณ วันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 2022[87]
คณะกรรมการ
- เจ้าของสโมสร: ตะมีม บิน ฮะมัด อัษษานี
- ประธานสโมสร: นาศิร อัลเคาะลัยฟี
- รองผู้จัดการทั่วไป: ฌ็อง-โคลด บลังค์[88]
- เลขาธิการ: วิคตอเรียโน เมเรโร[89]
- ที่ปรึกษา: ลุยส์ แกมโปส[90]
- รองผู้อำนวยการด้านฟุตบอล: ออลีวีเย กาเย[91]
ทีมงานผู้ฝึกสอน
- ผู้จัดการทีม: ลุยส์ เอนริเก
- ผู้ช่วยผู้จัดการทีม: ตีแยรี โอเล็กเซียก
- ผู้ช่วยผู้จัดการทีมคนที่สอง: ฌูเวา ซาคราเมนโต
- ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู: จานลูกา สปิเนลลิ
- นักกายภาพบำบัด: เปโดร โกเมส
ผู้เล่น
- ณ วันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2023[92]
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
ผู้เล่นที่ปล่อยยืม
หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ
|
|
เกียรติประวัติ
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ครองสถิติชนะเลิศการแข่งขันในประเทศหลายรายการ[93] พวกเขาเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฝรั่งเศสในแง่ของจำนวนถ้วยรางวัล[94] โดยชนะเลิศการแข่งขันในประเทศได้ 45 รายการรวมทั้งสถิติชนะเลิศลีกเอิง 11 สมัย และเป็นเจ้าของสถิติชนะเลิศสูงสุดในรายการ กุปเดอฟร็องส์, กุปเดอลาลีก และทรอเฟเดช็องปียง ในการแข่งขันระดับทวีป พวกเขาชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ และ ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ รายการละ 1 สมัย[95][96][97]
ภายหลังจากการชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพในฤดูกาล 1995–96 ส่งผลให้พวกเขาเป็นสโมสรเดียวของฝรั่งเศสที่คว้าแชมป์รายการดังกล่าวได้ และเป็นหนึ่งในสองสโมสรของฝรั่งเศส (ร่วมกับ ออแล็งปิกเดอมาร์แซย์) ที่ชนะเลิศการแข่งขันระดับทวีป รวมทั้งเป็นสโมสรจากยุโรปที่มีอายุการก่อตั้งน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์ได้[98] ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง เป็นสโมสรฝรั่งเศสที่ลงเล่นในลีกสูงสุดติดต่อกันยาวนานที่สุด (47 ปีนับตั้งแต่ฤดูกาล 1974–75)[99] นอกจากนี้ยังเป็นสโมสรเดียวในฝรั่งเศสที่ชนะเลิศรายการ กุปเดอฟร็องส์ ได้โดยไม่เสียประตูเลยตลอดทั้งรายการ โดยทำสถิติดังกล่าวได้ 2 ครั้ง (ฤดูกาล 1992-93 และ 2016–17)[100] และยังเป็นสโมสรเดียวที่ชนะเลิศรายการ: กุปเดอฟร็องส์ 4 สมัยติดต่อกัน (2015–18), กุปเดอลาลีก 5 สมัยติดต่อกัน (2014–18) และ ทรอเฟเดช็องปียง 8 สมัยติดต่อกัน (2013–20)[101]
ปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ยังทำสถิติชนะเลิศการแข่งขันภายในประเทศทั้ง 4 รายการ (Domestic quadruple) ได้ถึง 4 ครั้ง และเป็นสโมสรเดียวที่ชนะเลิศฟุตบอลถ้วยของฝรั่งเศสได้มากกว่า 1 รายการภายในฤดูกาลเดียวกัน (ซึ่งพวกเขาเคยทำได้ทั้ง 2 รายการ, 3 รายการ และ 4 รายการในฤดูกาลเดียวกัน)[102]
ระดับประเทศ
- ลีกเอิง (สถิติสูงสุด)
- ชนะเลิศ (11): 1985–86, 1993–94, 2012–13, 2013–14, 2014–15, 2015–16, 2017–18, 2018–19, 2019–20, 2021–22, 2022–23
- ลีกเดอ
- ชนะเลิศ (1): 1970–71
- กุปเดอฟร็องส์ (สถิติสูงสุด)
- ชนะเลิศ (14): 1981–82, 1982–83, 1992–93, 1994–95, 1997–98, 2003–04, 2005–06, 2009–10, 2014–15, 2015–16, 2016–17, 2017–18, 2019–20, 2020–21
- กุปเดอลาลีก (สถิติสูงสุด)
- ชนะเลิศ (9): 1994–95, 1997–98, 2007–08, 2013–14, 2014–15, 2015–16, 2016–17, 2017–18, 2019–20
- ทรอเฟเดช็องปียง (สถิติสูงสุด)
- ชนะเลิศ (12): 1995, 1998, 2013, 2014, 2015, 2016, 2017, 2018, 2019, 2020, 2022, 2023
ระดับทวีปยุโรป
- ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
- รองชนะเลิศ (1): 2019–20
- ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ
- ชนะเลิศ (1): 1995–96
- รองชนะเลิศ (1): 1996–97
- ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ
- ชนะเลิศ (1): 2001
- ยูฟ่าซูเปอร์คัพ
- รองชนะเลิศ (1): 1996
- อินเตอร์เนชันแนลแชมเปียนส์คัพ
- ชนะเลิศ (2): 2015, 2016
สถิติสำคัญ
ผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุด
- สถิติ ณ วันที่ 29 มกราคม 2023 รายชื่อตัวหนาคือผู้เล่นที่ยังคงเล่นให้กับสโมสรถึงปัจจุบัน
อันดับ | ผู้เล่น | จำนวนนัด |
---|---|---|
1 | ฌ็อง-มาร์ก ปียาร์เฌ | 435 |
2 | มาร์โก แวร์รัตตี | 401 |
3 | มาร์กิญญุส | 390 |
4 | ซิลเวน อาร์ม็อง | 380 |
5 | ซาเฟต ซูซิช | 344 |
โปล เลอ เก็น | ||
7 | แบร์นาร์ ลามา | 318 |
8 | ชียากู ซิลวา | 315 |
9 | มุสตาฟา ดาเลบ | 310 |
10 | เอดินซอน กาบานิ | 301 |
ผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุด
สถิติ ณ วันที่ 4 มีนาคม 2023 รายชื่อตัวหนาคือผู้เล่นที่ยังคงเล่นให้กับสโมสรถึงปัจจุบัน
อันดับ | ผู้เล่น | จำนวนประตู |
---|---|---|
1 | กีลียาน อึมบาเป | 201 |
2 | เอดินซอน กาบานิ | 200[103] |
3 | ซลาตัน อิบราฮีมอวิช | 156 |
4 | เนย์มาร์ | 118 |
5 | เปาเลตา | 109 |
6 | ด็อมมินิก โรเชตู | 100 |
7 | มุสตาฟา ดาเลบ | 98 |
8 | ฟร็องซัว เอ็มเปเล่ | 95 |
9 | อังเฆล ดิ มาริอา | 90 |
10 | ซาเฟต ซูซิช | 85 |
สถิติอื่น ๆ
- ผู้เล่นที่อายุมากที่สุดที่ลงเล่นให้กับสโมสร: จันลุยจี บุฟฟอน (41 ปี 5 เดือน)[104]
- ผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้กับสโมสร: กีงส์แล กอมาน (16 ปี 249 วัน)[105]
- ผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล: ซลาตัน อิบราฮีมอวิช (50 ประตู/ 2015-16)
- ผู้เล่นที่ผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมมากที่สุด: อังเฆล ดิ มาริอา (110 ครั้ง)[106]
- ผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด: มาร์โก แวร์รัตติ (29 ถ้วยรางวัล)
- การซื้อผู้เล่นที่แพงที่สุด: เนย์มาร์ (222 ล้านยูโร ค.ศ. 2017)[107]
- การขายผู้เล่นที่แพงที่สุด: กงซาลู แกดึช (40 ล้านยูโร ค.ศ. 2018)[108]
- ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด: โลร็องต์ บล็องก์ (11 ถ้วยรางวัล)[109]
- ผู้จัดการทีมที่พาทีมคว้าชัยชนะมากที่สุด: โลร็องต์ บล็องก์ (121 นัด)[110]
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
- PSG.fr (ฝรั่งเศส) (อังกฤษ)
- Paris Saint-Germain เก็บถาวร 2011-08-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน at Ligue 1 (ฝรั่งเศส) (อังกฤษ)
- Paris Saint-Germain at UEFA (ฝรั่งเศส) (อังกฤษ)
- สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่เฟซบุ๊ก
- สโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง ที่เฟซบุ๊ก