รัฐนิยม

ประกาศของรัฐบาลไทย

รัฐนิยม เป็นแนวปฏิบัติทางวัฒนธรรมซึ่งคณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 9 (พ.ศ. 2481–2485) กำหนดแก่ประชาชนชาวไทย[1] มุ่งหมายให้เป็นประเพณีนิยมของรัฐ ทำนองเดียวกับพระราชนิยมที่กำหนดขึ้นจากความนิยมส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์[1]

จอมพล แปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ขณะตรวจสอบนักเรียน
จอมพล แปลก กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนกิจกรรมการเกษตร

รัฐนิยมมีทั้งสิ้น 12 ฉบับ[1] ฉบับแรกออกในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ซึ่งเป็นวันชาติ[2] ฉบับสุดท้ายออกในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2485[3]

ประวัติ

คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 9 ซึ่งมีจอมพล แปลก พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีนโยบายปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยในลักษณะที่ไม่ทอดทิ้งประเพณีเดิม โดยเรียกว่า "การสร้างชาติ" และหนึ่งในวิธีการสร้างชาตินี้ คือ จัดระเบียบประเพณีบ้านเมืองเสียใหม่[4] ในปีที่ 2 ของการดำรงตำแหน่ง คณะรัฐมนตรีจึงออกประกาศในเรื่องนี้เป็นฉบับแรก เรียกว่า "รัฐนิยม" โดยออกในวันชาติ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ในวันดังกล่าว จอมพล แปลก แถลงทางวิทยุว่า "รัฐนิยม คือ การปฏิบัติให้เป็นประเพณีนิยมที่ดีประจำชาติ เพื่อให้บุตรหลานอนุชนคนไทยเรายึดถือเป็นหลักปฏิบัติ รัฐนิยมนี้มีลักษณะและละม้ายคล้ายคลึงกับจรรยมารยาทของอารยชนจะพึงประพฤติ"[1] และหลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร วิจิตรวาทการ) รัฐมนตรีในคณะเดียวกัน ยังแถลงว่า "เรื่องรัฐนิยมได้กำเนิดขึ้นมาจากความวิตกหมกมุ่นของนายกรัฐมนตรีในปัญหาสำคัญอันเกี่ยวแก่ประเทศชาติ คือ ปัญหาที่คิดจะทำคนไทยให้เป็นไทยจริง ๆ โดยชั้นต้น คือ ให้คนไทยสามารถดำรงตนอยู่โดยอิสระ ขั้นที่สอง ก็คือ ฟื้นฟูวัฒนธรรมไทยให้ชาวไทยได้รับความยกย่องจากนานาชาติ"[1]

การกำหนดรัฐนิยมนั้นดำเนินการโดยตั้งคณะกรรมการชื่อว่า "คณะกรรมการรัฐนิยม" มีหลวงวิจิตรวาทการนั้นเองเป็นประธาน และมีหน้าที่ร่างรัฐนิยมต่าง ๆ ขึ้นตามความต้องการของรัฐบาล[1]

รัฐบาลเลือกออกรัฐนิยมในรูปแบบประกาศเชิญชวน มากกว่าออกเป็นกฎหมายบังคับ เนื่องจากเห็นว่า "ไม่สมควรที่จะออกกฎหมายบีบบังคับราษฎรในระยะแรก ๆ เพราะอาจจะไม่ได้ผลเท่าที่ควรถ้าจะต้องใช้วิธีบังคับ แต่การที่ค่อยเป็นค่อยไปโดยให้ราษฎรได้ซึมซับแนวปฏิบัติรัฐนิยมไปทีละน้อย น่าจะกลายเป็นลักษณนิสัยของประชาชนชาวไทยไปได้ในที่สุด"[4] ในเรื่องนี้ หลวงวิจิตรวาทการอธิบายว่า "หน้าที่ของรัฐบาล...เป็นหน้าที่ที่ก่อสร้างความถาวรวัฒนาให้แก่ประเทศชาติ... แต่การสร้างความถาวร กับการสร้างความวัฒนานั้น วิธีการไม่เหมือนกัน การสร้างความถาวรอาจอาศัยกฎหมายได้ แต่การสร้างความวัฒนานั้นไม่สะดวกที่จะใช้กฎหมาย รัฐบาลจึ่งได้จัดให้มีระเบียบการอันหนึ่งขึ้น เรียกว่า รัฐนิยม รัฐนิยมมีลักษณะเช่นเดียวกับพระราชนิยมในสมัยก่อน ผิดกันแต่ว่า พระราชนิยมเป็นมติของพระมหากษัตริย์พระองค์เดียว ส่วนรัฐนิยมเป็นมติของรัฐซึ่งตั้งขึ้นโดยอนุโลมตามมติมหาชนเป็นประเพณีนิยมประจำชาติ"[1]

ในโอกาสถัด ๆ มา ก็ได้ออกรัฐนิยมฉบับอื่น ๆ อีกตามลำดับ จนสิ้นอายุคณะรัฐมนตรีใน พ.ศ. 2485 จึงมีรัฐนิยมทั้งสิ้น 12 ฉบับ[1]

รัฐนิยม

รัฐนิยมมีทั้งสิ้น 12 ฉบับ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2482 จนถึง พ.ศ. 2485 ในปีแรกนั้นออกมากถึง 6 ฉบับ แต่ในปีถัด ๆ มา ลดลงเรื่อย ๆ[1] รัฐนิยมทั้ง 12 ฉบับมีดังนี้

ฉบับที่ลงวันที่เรื่องอ้างอิง
124 มิถุนายน พ.ศ. 2482รัฐนิยมใช้ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ[2]
23 กรกฎาคม พ.ศ. 2482การป้องกันภัยที่จะบังเกิดแก่ชาติ[5]
32 สิงหาคม พ.ศ. 2482การเรียกชื่อชาวไทย[6]
48 กันยายน พ.ศ. 2482การเคารพธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี[7]
51 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482ให้ชาวไทยพยายามใช้เครื่องอุปโภคบริโภคที่มีกำเนิดหรือทำขึ้นในประเทศไทย[8]
610 ธันวาคม พ.ศ. 2482ทำนองและเนื้อร้องเพลงชาติ[9]
721 มีนาคม พ.ศ. 2482ชักชวนให้ชาวไทยร่วมกันสร้างชาติ[10]
826 เมษายน พ.ศ. 2483เพลงสรรเสริญพระบารมี[11]
924 มิถุนายน พ.ศ. 2483ภาษาและหนังสือไทยกับหน้าที่พลเมืองดี[12]
1015 มกราคม พ.ศ. 2484การแต่งกายของประชาชนชาวไทย[13]
118 กันยายน พ.ศ. 2484กิจประจำวันของคนไทย[14]
1228 มกราคม พ.ศ. 2485การช่วยเหลือคุ้มครองเด็ก คนชรา หรือคนทุพพลภาพ[3]

ผลสืบเนื่อง

รัฐนิยมมีลักษณะเป็นแนวปฏิบัติ มิใช่เป็นข้อบังคับ และไม่มีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน[1] ทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือและไม่ประสบผลสำเร็จเท่าใดนัก[4] คณะรัฐมนตรีชุดถัดมา คือ คณะรัฐมนตรีไทย คณะที่ 10 (พ.ศ. 2485–2487) ซึ่งมีจอมพล แปลก เป็นนายกรัฐมนตรีดังเดิม จึงหันไปผลักดันนโยบายสร้างชาติผ่านการออกกฎหมายบังคับแทน คือ พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พุทธศักราช 2485 ซึ่งวางโทษทางอาญาสำหรับผู้ฝ่าฝืน นำไปสู่การถกเถียงอย่างกว้างขวางในสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะจากสมาชิกสภาผู้ไม่เห็นด้วยกับการบีบบังคับ[4] เมื่อสิ้นคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว จึงมีการยกเลิกบทบังคับหลายประการที่ได้ประกาศใช้ไป[4] และเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 จึงกำหนดไว้ในมาตรา 66 ว่า "รัฐพึงรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมประจำชาติ แต่ต้องไม่กระทำโดยวิธีการอันเป็นการบังคับฝืนใจบุคคล"[15]

ในสมัยหลัง

ภาพจากแหล่งข้อมูลภายนอก
ค่านิยมของคนไทย 12 ประการ (PDF). กองบัญชาการกองทัพไทย.[ลิงก์เสีย]

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ คณะทหารซึ่งขึ้นสู่อำนาจด้วยการก่อรัฐประหารใน พ.ศ. 2557 ได้พยายามจัดระเบียบทางวัฒนธรรมทำนองเดียวกัน ผ่านการกำหนด "ค่านิยมของคนไทย 12 ประการ"[16] และกำหนดให้นักเรียนไทยท่องจำค่านิยมนี้ทุกวันในระหว่างพิธีเคารพธงชาติตอนเช้าและในชั้นเรียน[17]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง