การไหว้

ไหว้ เป็นการทักทายของชาวไทย เพื่อแสดงความเคารพหรือสักการะด้วยการพนมมือเช่นเดียวกับการทำ อัญชลีมุทรา ของวัฒนธรรมอินเดีย ถือเป็นการให้เกียรติและแสดงถึงความมีสัมมาคารวะแก่กันและกัน นอกจากนี้ยังแสดงถึงการขอบคุณ การขอโทษ การยกย่อง หรืออื่น ๆ ตามแต่โอกาส[1] การไหว้จะใช้สองมือขึ้นประนมเหมือนดอกบัวตูมไว้ระหว่างอก นิ้วแนบชิดสนิทกัน ศอกสองข้างแนบชิดลำตัว และยกขึ้นไหว้ในระดับต่าง ๆ โดยใช้มือกับใบหน้าเป็นตัวแบ่งระดับ[2]

โรนัลด์ แมคโดนัลด์ ตัวนำโชคของแมคโดนัลด์ต้อนรับผู้ใช้บริการด้วยการไหว้

การไหว้ยังคงเป็นธรรมเนียมที่สืบเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน กลายเป็นมารยาทพื้นฐานของชาวไทย สำหรับการทักทาย การขอบคุณ[3] บางครั้งการไหว้ขอโทษก็ทำเพื่อให้ตนพ้นจากความผิด[4]

ประวัติ

พะนอม แก้วกำเนิด อดีตเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กล่าวว่าการไหว้ เป็นการแสดงออกโดยธรรมชาติของมนุษย์เพื่อแสดงความรักและเคารพต่อกัน[1] วัฒนธรรมการไหว้ของไทย มีมาแต่เมื่อไร ไม่ปรากฏหลักฐาน[1] คาดว่าน่าจะรับมาจากอารยธรรมอินเดียผ่านศาสนาฮินดูและพุทธ ซึ่งมีการประนมมือเช่นเดียวกันนี้มาตั้งแต่ 4,000 ปีก่อน ดังปรากฏหลักฐานเป็นภาพในตราประทับทำจากดินเหนียวของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ[5] ส.พลายน้อย ระบุว่า มีหลักฐานทางโบราณคดีเป็นรูปคนพนมมือบนหินชนวนจากวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย และตุ๊กตาสังคโลกเป็นรูปผู้ชายนั่งพนมมือ แสดงให้เห็นว่าคนไทยรู้จักการไหว้มาช้านานแล้ว[6] ซึ่งเมื่อชาวไทยรับวัฒนธรรมการไหว้มา ก็ได้ปรับปรุงให้เหมาะสมกับวิถีชีวิต เวลา และสถานที่ จนกลายเป็นขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมหนึ่งของไทย[1][2]

แต่เดิมคนไทยจะทักทายคำพูดต่าง ๆ ร่วมไปด้วย เช่น สบายดีหรือ ไปไหนมา หรือกินข้าวมาหรือยัง[7] ทว่าความหมายบ่งไปเชิงสู่รู้ ฟังดูไม่เหมาะสมนัก[8] กระทั่งพระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) เป็นผู้ริเริ่มการทักทายด้วยคำว่า "สวัสดี" เป็นคำทักทายทั้งเมื่อพบหน้าและจากกัน ใช้กันในหมู่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อ พ.ศ. 2476 ต่อมาในสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศให้ใช้คำดังกล่าวเป็นคำทักทายเมื่อ พ.ศ. 2481[9][10] ซึ่งคำทักทายนี้จะถูกใช้พูดประกอบการไหว้ อย่างไรก็ตามคำว่า สวัสดี ถือเป็นวาจาอันเป็นมงคลที่มีมาช้านาน ดังปรากฏในจารึกยุคอาณาจักรตามพรลิงค์ เมื่อ พ.ศ. 1773[6] นอกจากหลักฐานจากภาคใต้แล้ว ศิลาจารึกจากภาคเหนือและภาคอีสานก็มีการใช้คำว่าสวัสดี เพราะเป็นถ้อยคำมงคลในพระศาสนา[11]

การปฏิบัติ

การไหว้นั้นไม่จำกัดท่วงท่า สามารถไหว้ได้ในหลายอิริยาบถไม่ว่าจะนั่งเก้าอี้ ยืน หรือนั่งกับพื้น[1] กระทำด้วยกิริยาอ่อนน้อมสวยงาม โดยการไหว้ ประกอบด้วยกิริยาสองส่วน ดังนี้[12]

  1. อัญชลี คือการพนมมือ โดยการพนมมือด้วยการนำมือสองข้างมาประกบกัน กระพุ่มมือคล้ายรูปดอกบัว ไม่แบนราบ พนมมือแนบไว้ระหว่างหน้าอก ปลายนิ้วมือเฉียงพอประมาณหรือเอียง 45 องศา นิ้วทุกนิ้วเรียงชิดสนิทกันไม่กางออกจากกัน ศอกสองข้างแนบชิดติดลำตัวไม่กางศอก[2]
  2. วันทา คือการไหว้ มีอยู่สามระดับ ในกรณีเพศชายยืนไหว้ ให้ยืนตรง ค้อมตัวลงแล้วยกมือขึ้นไหว้ ให้นิ้วหัวแม่มือตรงตามระดับการไหว้ แล้วกลับมายืนในท่าตรงตามเดิม ส่วนเพศหญิงยืนไหว้ ให้ยืนตรงแล้วถอยเท้าที่ถนัดข้างใดข้างหนึ่งไปข้างหลังเล็กน้อย พร้อมกับย่อตัวแล้วยกมือขึ้นไหว้ ให้นิ้วหัวแม่มือตรงตามระดับการไหว้ จากนั้นให้ลดมือลงแล้วชักเท้ากลับสู่ท่ายืนตรง หรือเพศหญิงจะยืนไหว้แบบเพศชายก็ได้[1][2]

ตามธรรมเนียมไทย เวลาแขกมาบ้านก็ไหว้เจ้าบ้านเพื่อขออนุญาต ครั้นจะขอตัวลาก็ไหว้อีกครั้ง[13] และหากมีการรับของจากผู้อาวุโสกว่า ผู้ด้อยอาวุโสต้องทำการไหว้ก่อนรับของ ถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง[14]

สำหรับชาวมุสลิมสามารถไหว้บุคคลได้ เช่นการทำความเคารพครูหรือไหว้ทักทายบุคคลอื่นที่เป็นบุคคลต่างศาสนา[15] แต่ห้ามไหว้สิ่งเคารพอื่น หรือไหว้พร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน หรือแสดงความเคารพด้วยการกราบไหว้เด็ดขาด เพราะมุสลิมจะบูชาหรือกราบอัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้น[16] ขณะคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกสามารถไหว้พระสงฆ์ในพุทธศาสนาได้ เพราะเป็นเพศนักบวชควรแก่การเคารพ แต่หากกราบพระจะไม่แบมือ[17] ส่วนพราหมณ์หลวงมีธรรมเนียมการกระหย่งไหว้ ซึ่งมีลักษณะคล้ายการนั่งยอง ก่อนทอดผ้ากราบ แล้วก้มลงกราบเทวรูปจากท่านั่งดังกล่าว[18]

การแบ่งระดับ

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้กำหนดระดับของการไหว้ไว้ 3 ระดับ ดังนี้

  1. การไหว้ระดับที่ 1 สำหรับไหว้พระรัตนตรัย อันได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ทั้งยังรวมไปถึงโบราณสถานหรือศาสนสถานอันเนื่องจากพุทธศาสนา ในกรณีที่ไม่สามารถกราบเบญจางคประดิษฐ์ได้ ให้ประนมมือขึ้น ให้นิ้วหัวแม่มือจรดกลางระหว่างคิ้ว นิ้วชี้แตะเหนือหน้าผาก ก้มหน้าขนานกับพื้นพอประมาณ[2] อุปมาว่ารัตนตรัยคือแก้วอันประเสริฐ มีค่าสูงสุด ควรแก่การกราบไหว้[1]
  2. การไหว้ระดับที่ 2 สำหรับไหว้ผู้มีพระคุณหรือผู้อาวุโส ได้แก่ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่เราเคารพอย่างสูง ให้ประนมมือขึ้น นิ้วหัวแม่มือจรดปลายจมูก นิ้วชี้จรดระหว่างคิ้ว[2] อุปมาว่าเป็นบุคคลที่ให้ความเคารพรองจากพระรัตนตรัย เป็นบุคคลที่ให้ลมหายใจ และเป็นบุคคลที่ทำให้มีชีวิตอยู่ในสังคมได้[1]
  3. การไหว้ระดับที่ 3 สำหรับไหว้บุคคลทั่วไปและบุคคลเสมอกัน วัยไม่สูงกว่าผู้ไหว้ ให้ประนมมือขึ้น หัวแม่มือจรดที่ปลายคาง นิ้วชี้แตะที่จมูก ก้มศีรษะเล็กน้อย[2] อุปมาว่าควรแก่การเคารพรองจากบิดามารดา หรือเป็นบุคคลที่พูดคุยด้วยกันประจำ ควรระวังวาจา[1]

ส่วนการรับไหว้ คือการตอบรับการทักทายจากผู้ด้อยอาวุโสกว่า เพื่อแสดงออกว่าเราให้ความสนใจ ผู้รับไหว้กระพุ่มมือไว้บริเวณหน้าอก ปลายนิ้วชี้อยู่ที่ดั้งจมูก นิ้วหัวแม่มืออยู่บริเวณคาง สายตามองไปที่ผู้ไหว้ด้วยความหวังดี[19] อุปมาว่ามือที่พนมอยู่กลางอกนั้นคือการตอบรับจากใจ[1]

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง