มิตซูบิชิ กาแลนต์
มิตซูบิชิ กาแลนต์ (Mitsubishi Galant) เป็นรถยนต์ขนาดครอบครัว ผลิตโดย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ตั้งแต่ พ.ศ. 2512 ถึง พ.ศ. 2555 โดยแบ่งวิวัฒนาการออกเป็น 9 เจเนอเรชัน(โฉม) โดยกาแลนต์โฉมที่ 1-7 จัดเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact Car) แต่กาแลนต์โฉมที่ 8 เป็นต้นมา จัดเป็นรถยนต์นั่งขนาดกลาง (Mid-size Car) และเมื่อพิจารณาแล้ว กาแลนต์ ถือเป็นรถรุ่นที่เทียบได้ใกล้เคียงกับ ฮอนด้า แอคคอร์ด และ โตโยต้า คัมรี่ มาก
มิตซูบิชิ กาแลนต์ | |
---|---|
ภาพรวม | |
บริษัทผู้ผลิต | มิตซูบิชิ มอเตอร์ส |
เริ่มผลิตเมื่อ | พ.ศ. 2512 – พ.ศ. 2555 พ.ศ. 2550–2560 (Galant Fortis) |
แหล่งผลิต |
|
ตัวถังและช่วงล่าง | |
ประเภท | รถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact Car) (พ.ศ. 2512–2537, พ.ศ. 2558–2560) รถยนต์นั่งขนาดกลาง (Mid-Size Car) (พ.ศ. 2526–2555) |
รูปแบบตัวถัง | รถซีดาน 4 ประตู, 5 ประตู วาก้อน, คูเป้ 2 ประตู |
รุ่นที่คล้ายกัน | ฮอนด้า แอคคอร์ด โตโยต้า โคโรน่า/คัมรี่ นิสสัน เซฟิโร่/เทียน่า มาสด้า 6/626 ฮุนได โซนาต้า โฟล์กสวาเกน พาสสาต ซูบารุ เลกาซี ฟอร์ด ทอรัส คาดิแลค ซีทีเอส เมอร์คิวรี มิลาน เชฟโรเลต มาลีบู |
ระบบส่งกำลัง | |
เครื่องยนต์ | 1.3 - 3.8 ลิตร I4 - V6 |
ระยะเหตุการณ์ | |
รุ่นก่อนหน้า | Mitsubishi Colt 1500 |
รุ่นต่อไป | ยังไม่มี |
มิตซูบิชิ กาแลนต์ได้เคยนำมาขายในประเทศไทยในช่วงหนึ่งโดยบริษัทมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย โดยเป็นรถขนาดใกล้เคียงกับโตโยต้า โคโรน่า ,ฮอนด้า แอคคอร์ด ,นิสสัน เซฟิโร่ และมาสด้า 626 เริ่มจำหน่ายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 จนถึงยุควิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไทยทำให้หลายยี่ห้อซึ่งมีรถขนาดกลางมาทำตลาดต้องเลิกทำตลาดไป เช่น ฟอร์ด มาสด้า รวมถึงมิตซูบิชิเองด้วยโดยไม่มีทีท่าที่จะนำรถประเภทนี้มาขายกันง่ายๆ และยังไม่นับรวมผู้ผลิตรายเล็กๆ ที่นำรถขนาดกลางมาทำตลาดในประเทศไทยแบบ Niche Market ในปัจจุบันเช่น เปอโยต์ ฮุนได สโกด้า ซูบารุ โฟล์กสวาเกน เป็นต้น
โดยกาแลนต์โฉมต่าง ๆ มีลักษณะและประวัติโดยสังเขปดังนี้
รุ่นที่ 1 (A50; พ.ศ. 2512-2516)
กาแลนต์โฉมแรกนี้ รู้จักกันดีในชื่อ Colt Galant ใช้เครื่องยนต์ชื่อ Saturn Engine ขับเคลื่อนรถ โดยมีเครื่องยนต์ 4G30 (1.3 ลิตร) และ 4G31 (1.5 ลิตร)
ในช่วงแรก กาแลนต์มีเฉพาะรถ Sedan 4 ประตู แต่ต่อมาก็มีการผลิตรถ Sedan 2 ประตูขึ้นใน พ.ศ. 2513 และในปีเดียวกัน ก็มีการผลิตกาแลนต์เป็นรถ Coupe (รถสปอร์ต) ขายในชื่อ Mitsubishi Galant GTO ซึ่งนำไปสู่การผลิตรถสปอร์ตรุ่น Mitsubishi FTO ใน พ.ศ. 2537
พ.ศ. 2514 กาแลนต์โฉมนี้ถูกส่งออกไปยังอเมริกา ซึ่งเป็นรถรุ่นแรกของมิตซูบิชิที่มีขายใน สหรัฐอเมริกา (ในสหรัฐอเมริกา กาแลนต์มีชื่อว่า Dodge Colt)
รุ่นที่ 2 (A112, A114, A115; พ.ศ. 2516-2519)
กาแลนต์โฉมนี้ ส่งออกในหลายประเทศมากขึ้น เป็นตัวช่วยขยายตลาดการส่งออกของมิตซูบิชิได้ดี มีการส่งขายกาแลนต์ไปยังประเทศออสเตรเลีย ประเทศแคนาดา และ ทวีปยุโรป ใช้เครื่องยนต์ชื่อ Astron Engine ช่วยเพิ่มแรงม้า ลดแรงสั่นสะเทือนและเสียงดังจากเครื่องยนต์
โฉมนี้ มีตัวถัง 2 แบบ คือ Sedan 4 ประตู และ Coupe 2 ประตู
รุ่นที่ 3 (A120/A130; พ.ศ. 2519-2523)
โฉมนี้ ในช่วงแรกยังมีตัวถัง 2 แบบดังโฉมที่ 2 โดยในประเทศญี่ปุ่น จะเรียกรถ Sedan 4 ประตูว่า Galant Sigma รวมถึงในประเทศไทย ที่เรียกกันอย่างแพร่หลายว่า Galant Sigma และเรียกรถ Coupe 2 ประตูว่า Galant Lambda แต่ต่อมา มีการสร้างเป็นรถแบบ Station Wagon 5 ประตู
กาแลนต์โฉมที่ 3 ได้รับรางวัล Car of the Year ของ ประเทศแอฟริกาใต้ ประจำปี ค.ศ. 1977
รุ่นที่ 4 (A160; พ.ศ. 2523-2530)
โฉมนี้ กาแลนต์เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ชื่อ Sirius แต่ในรุ่นที่ราคาถูก จะใช้เป็นเครื่องรุ่น Astron 4D55 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ในรถเก๋งรุ่นแรกที่ใช้น้ำมันดีเซล และนอกจากนี้ กาแลนต์ในโฉมนี้ เริ่มเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์แบบหัวฉีดอิเลกทรอนิกส์ แทนเครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ เพื่อช่วยประหยัดน้ำมันและเพิ่มอัตราเร่ง
กาแลนต์ในโฉมนี้ มีการพัฒนาประสิทธิภาพอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยให้สูงขึ้น ท้ายรถบรรจุของได้มากขึ้น และมีการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันเสียงในห้องโดยสาร ช่วยให้เสียงเครื่องยนต์รบกวนในห้องโดยสารลดลง
กาแลนต์โฉมนี้ ได้รางวัลอีกครั้ง คือรางวัล Car of the Year ของ ประเทศนิวซีแลนด์ ประจำปี ค.ศ. 1981
โดยทั่วไปแล้ว กาแลนต์โฉมที่ 4 เลิกผลิตใน พ.ศ. 2526 แต่ในออสเตรเลีย มีการผลิตโฉมที่ 4 นี้ไปจนถึง พ.ศ. 2530 เลยทีเดียว
รุ่นที่ 5 (E11-E19; พ.ศ. 2526-2535)
โฉมที่ 5 เปลี่ยนไปใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า มีการใช้เครื่องยนต์ทั้ง Astron และ Saturn ขนาดลูกสูบตั้งแต่ 1.6 ไปจนถึง 3.0 ลิตร เริ่มหายไปจากท้องตลาดใน พ.ศ. 2530 เมื่อกาแลนต์ผลิตโฉมที่ 6 ออกมา
กาแลนต์โฉมนี้ ได้รับรางวัล Golden Steering Wheel ในประเทศเยอรมนี
รุ่นที่ 6 (E31, E32, E33, E34, E35, E38, E39; พ.ศ. 2530-2536)
โฉมที่ 6 นี้ กาแลนต์มีความสูงมากขึ้น และเริ่มมีความโค้งมน ซึ่งต่างจากรถทั่วไปที่สมัยนั้นจะเป็นเหลี่ยม ๆ และได้รับรางวัล Car of the Year Japan ประจำปี ค.ศ. 1987 และกลายเป็นเทรนด์รถยนต์ที่มาแรงในยุคนั้น
เริ่มมีการนำรถกาแลนต์ไปใช้เป็นรถสปอร์ตกับรถแรลลี่ ทำให้รถกาแลนต์โฉมที่ 6 ใหญ่กว่าโฉมก่อนไม่มากนัก เพราะต้องการเน้นความเพรียวกระชับแบบรถสปอร์ต ทิ้งความเป็นรถครอบครัวขนาดใหญ่ไปชั่วขณะ
แต่การนำกาแลนต์ไปทำรถสปอร์ต เริ่มเกิดขึ้นจริง ๆ ในยุคของโฉมที่ 2 แต่ไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนัก ในยุคโฉมที่ 2-5 ถือกันว่ากาแลนต์คือรถครอบครัว แต่ว่าโฉมที่ 6-7 นี้ กาแลนต์เพรียวกระชับจนแทบจะนับได้ว่าเป็นรถสปอร์ต
|
รุ่นที่ 7 (E52, E53, E54, E55, E57, E64, E72, E74, E77, E84, E88; พ.ศ. 2535-2541)
โฉมที่ 7 เป็นโฉมสุดท้ายที่กาแลนต์ถูกจัดอยู่ในประเภทรถยนต์ขนาดเล็ก เนื่องจาก มิตซูบิชิ แลนเซอร์ รถยนต์อีกรุ่นที่มีขนาดเล็กกระชับกว่า (แต่ก็ใช้เป็นรถครอบครัวขยาดย่อมได้เช่นกัน) เริ่มมีความนิยมนำไปใช้เป็นรถสปอร์ตมากขึ้น เนื่องจากการที่คนซื้อกาแลนต์ในช่วงโฉมที่ 5 มีสัดส่วนไม่น้อยที่ต้องการซื้อกาแลนต์ไปใช้เป็นรถสปอร์ต แต่เมื่อรถสปอร์ตของมิตซูบิชิในใจผู้ซื้อมีแลนเซอร์เข้าแทนที่ เนื่องจากการที่แลนเซอร์ออกรุ่นพิเศษ คือ Lancer Evolution ทำให้กาแลนต์เริ่มมีความนิยมลดลง
กาแลนต์โฉมนี้ แม้จะพยายามใส่ Options รถสปอร์ตไปมากขึ้น แต่ความนิยมก็ไม่ได้เพิ่มมา โฉมที่ 7 จึงเป็นโฉมที่ กาแลนต์ ไม่ประสบความสำเร็จเท่าโฉมอื่นนัก
ในประเทศไทย ได้นำมาจำหน่ายในชื่อ มิตซูบิชิ กาแลนต์ อัลติมา โดยเป็นรุ่นสุดท้ายที่ประกอบในประเทศ และในรุ่นต่อมาก็มีทำตลาดแบบเงียบๆ ไม่มากนัก
|
รุ่นที่ 8 (EA1, EA2, EA3, EA4, EA5, EA7, EC1, EC4, EC5, EC7; พ.ศ. 2539-2546)
จากความผิดพลาดทางการตลาดที่มิตซูบิชิประสบกับกาแลนต์ในช่วงโฉมที่ 7 ในโฉมที่ 8 นี้จึงละทิ้งความเป็นรถสปอร์ตของกาแลนต์ลง ยุติการผลิตตัวถัง Coupe หันมาเป็นรถยนต์ขนาดกลางสำหรับครอบครัวแทน แล้วกาแลนต์ก็กลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วยรางวัล Car of the Year Japan
โฉมนี้มีการคิดค้นระบบเกียร์แบบกึ่งอัตโนมัติ (semi-automatic) มาใช้ควบคู่กับระบบเกียร์ธรรมดา (manual) และเกียร์อัตโนมัติ (automatic) ในประเทศไทย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) เคยนำเข้ากาแลนต์รุ่นนี้มาเพียงล็อดเล็กๆ เท่านั้น
|
รุ่นที่ 9 (พ.ศ. 2547-2555)
โฉมนี้ กาแลนต์มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีลักษณะดูดีขึ้น ทางมิตซูบิชิได้นำไปแสดงในงานมอเตอร์โชว์ระดับนานาชาติ ด้วยขนาดใหญ่ขึ้น Options มากขึ้น แต่ใช้ทรัพยากรคุ้มค่า และมีราคาที่ถูกลง แต่รุ่นนี้กลับไม่มีจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น
โฉมนี้ได้เลิกผลิตและจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว เนื่องจากความนิยมรถขนาดกลางลดลง ถือว่าอยู่ในช่วงขาลงของรถยนต์ประเภทนี้ ผู้คนหันมาใช้รถยนต์ที่ขนาดเล็กลงแทน สาเหตุเป็นเพราะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้มิตซูบิชิประสบปัญหาเป็นอย่างมากในการขายกาแลนต์โฉมนี้ รวมถึง Mitsubishi Motors เองก็ประสบปัญหาการเงินมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 แล้ว มิตซูบิชิจึงได้ตัดสินใจเลิกผลิตกาแลนต์อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2555 อย่างไรก็ดี ได้มีการผลิตรถยนต์รุ่นใหญ่กว่ากาแลนต์ออกมาจำหน่าย ในชื่อ มิตซูบิชิ พราวเดีย และมิตซูบิชิ ดิกนิตี และเตรียมกลับมาผลิตรถยนต์นั่งขนาดกลางสำหรับตลาดอเมริกาเหนืออีกครั้ง
- 2004–2006 Mitsubishi Galant (US)
- 2007-2008 Mitsubishi Galant (US)
- 2009-2012 Mitsubishi Galant (US)
- Mitsubishi 380 (ออสเตรเลีย)
- Chinese market Galant produced by Soueast-Mitsubishi
- Rear view of the Chinese market Galant
- Taiwanese market Galant Grunder
- Taiwanese market Galant Grunder post-facelift
- Rear view of the post-facelift Taiwanese market Galant Grunder serving as a police cruiser
รุ่นที่ 10 (Galant Fortis; พ.ศ. 2550–2560)
กลายเป็นเรื่องของการทำตลาดแบบชวนให้สงสัยอีกครั้งสำหรับมิตซูบิชิ เมื่อเปิดเผยว่าจะจัดการถอดชื่อของแลนเซอร์ออกจากสารบบรถยนต์รุ่นธรรมดาที่ขายในญี่ปุ่น และส่งแลนเซอร์ใหม่ที่เปิดตัวในสหรัฐอเมริกาเป็นแห่งแรกเข้ามาขายในตลาดญี่ปุ่นด้วยชื่อใหม่ แต่ก็ไม่ถึงกับใหม่แกะกล่อง เพราะเป็นการนำชื่อของกาแลนท์ รถยนต์รุ่นใหญ่ไซส์เดียวกับโตโยต้า โคโรน่าที่สูญพันธุ์ไปจากตลาดญี่ปุ่นแล้ว (แต่ยังมีการผลิตรุ่นใหม่ขายในอเมริกาเหนือ) กลับมาใช้งานอีกครั้ง
มิตซูบิชิเปิดเผยว่าแลนเซอร์ใหม่สำหรับตลาดญี่ปุ่นจะใช้ชื่อว่า กาแลนท์ ฟอร์ติส (Galant Fortis) ซึ่งมาจากภาษาละตินที่เป็นแปลว่าความแข็งแกร่ง และมาพร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่แตกต่างจากแลนเซอร์ใหม่ที่ทำตลาดอยู่ในสหรัฐอเมริกา พร้อมเครื่องยนต์ใหม่แบบอะลูมิเนียมทั้งบล็อก 2,000 ซีซีในรหัส 4B11 มีกำลังสูงสุด 152 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.1 กก.-ม. ที่ 4,250 รอบ/นาที
ไม่มีการเปิดเผยถึงเหตุผล แต่การเปลี่ยนชื่ออาจจะช่วยให้สามารถแข่งขันกับบรรดาคู่ปรับได้ดีในระดับหนึ่งก็เป็นได้ แต่สิ่งที่ชวนให้น่าสงสัยคือ ‘แล้วทำไมไม่เปลี่ยนชื่อใหม่ไปเลยล่ะ เพราะกาแลนท์ในตลาดญี่ปุ่นก็ใช่ว่าจะสุดฮ็อต ?’
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าชื่อของแลนเซอร์จะสูญพันธุ์ไปซ่ะทีเดียว เพราะอย่างน้อยก็ยังเหลือเอาไว้ใช้กับตัวแรงจากสนามแข่งแรลลี่อย่างอีโวลูชัน X ที่ตัว X ซึ่งต่อท้ายหมายถึงสายพันธุ์ที่ 10 โดยใช้ตัวอักษรโรมัน ไม่ใช้ X Factor อย่างที่เคยมีคนสงสัย และในรุ่นใหม่จะใช้เครื่องยนต์เทอร์โบรุ่นใหม่ที่พัฒนาบนพื้นฐานของ 4B11