อำนาจอธิปไตย
อำนาจอธิปไตย (sovereignty) หรืออำนาจใดที่ก่อร่างรัฐชาติ โดยทั่วไปถือเป็นอำนาจสูงสุด[1] อำนาจอธิปไตยนำมาซึ่งลำดับขั้นในรัฐ รวมถึงภาวะอิสระในการปกครองตนเองนอกรัฐ (external autonomy)[2] ในรัฐ อำนาจอธิปไตยถูกมอบหมายให้แก่บุคคล กลุ่มบุคคล หรือสถาบันที่มีอำนาจสมบูรณ์เหนือบุคคลอื่น เพื่อตรากฎหมายหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่มีอยู่เดิม[3] ในทฤษฎีทางการเมือง อำนาจอธิปไตยเป็นคำสามัญบ่งชี้อำนาจหน้าที่ซึ่งมีความชอบธรรมสูงสุดเหนือองค์การทางการเมือง[4] ในกฎหมายระหว่างประเทศ อำนาจอธิปไตยเป็นการใช้อำนาจโดยรัฐ อำนาจอธิปไตยหมายถึงสิทธิทางกฎหมายที่ให้กระทำได้โดยนิตินัย ขณะที่โดยพฤตินัยนั้น หมายถึงขีดความสามารถที่กระทำได้อย่างแท้จริง
มโนทัศน์
มโนทัศน์ของอำนาจอธิปไตยมีหลายองค์ประกอบที่ทับซ้อนกัน มีคำนิยามหลายคำ และมีการนำมาปรับใช้ที่หลากหลายและไม่ลงรอยกันตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา[5][6][7][8] ความเชื่อเรื่องรัฐเอกราชในปัจจุบันประกอบด้วย 4 มิติ: ดินแดน, ประชากร, องค์การของรัฐ (authority) และการรับรอง (recognition)[7] อ้างถึง สตีเฟน ดี. คราสเนอร์ อำนาจอธิปไตยสามารถเข้าใจได้โดย 4 วิธี:
- อำนาจอธิปไตยภายใน (Domestic sovereignty) – การควบคุมที่แท้จริงเหนือรัฐโดยองค์การของรัฐที่ถูกจัดแจงภายในรัฐ
- อำนาจอธิปไตยพึ่งพาระหว่างรัฐ (Interdependence sovereignty) – การควบคุมการเคลื่อนตัว (movement) เหนือชายแดนรัฐ
- อำนาจอธิปไตยทางกฎหมายระหว่างประเทศ (International legal sovereignty) – การรับรองรัฐโดยรัฐเอกราชอื่นอย่างเป็นทางการ
- อำนาจอธิปไตยแบบเว็สท์ฟาเลิน – ไม่มีอำนาจอธิปไตยอื่นใดนอกจากอำนาจอธิปไตยภายในรัฐนั้น (อำนาจอื่น ๆ อาจเป็นองค์การทางการเมืองหรือตัวแสดงภายนอกอื่น)[5]
ทั้งนี้ ยังมีอีกสององค์ประกอบของอำนาจอธิปไตยที่ควรกล่าวถึงคือ อำนาจอธิปไตยเชิงประจักษ์ (empiriacal sovereignty) และ อำนาจอธิปไตยเชิงกฎหมาย (juridical sovereignty)[9] อำนาจอธิปไตยเชิงประจักษ์จะบรรยายการจัดการกับความชอบธรรมของผู้ปกครองรัฐ และความชอบธรรมในการใช้อำนาจนั้น[9] เดวิด ซามูเอล ชี้ว่าเป็นมิติที่สำคัญของรัฐ เพราะจะต้องมีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับเลือกให้กระทำแทนพลเมืองของรัฐ[10] ขณะที่อำนาจอธิปไตยเชิงกฎหมายเน้นไปที่ความสำคัญของรัฐอื่นในการรับรองสิทธิการปกครองและใช้อำนาจอย่างเสรีของรัฐโดยให้มีการแทรกแซงอย่างน้อยที่สุด[9] Douglass North ระบุว่าสถาบันต้องมีโครงสร้าง และรูปแบบของอำนาจอธิปไตยทั้งสองนี้อาจใช้เป็นวิธีในการก่อร่างโครงสร้างขึ้น[11]
การได้มา
วิธีการได้มาซึ่งอำนาจอธิปไตยหลายวิธีได้รับการยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศทั้งในปัจจุบันและในประวัติศาสตร์ว่าเป็นวิธีโดยชอบด้วยกฎหมายผ่านการได้มาของดินแดนนอกรัฐ การจัดแบ่งประเภทของวิธีเหล่านี้ แต่เดิมมาจากกฎหมายลักษณะทรัพย์สินโรมันและการพัฒนาขึ้นของระบบกฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่:[12]
- การได้ดินแดนตามข้อตกลง (cession) คือการโอนดินแดนจากรัฐหนึ่งไปอีกรัฐหนึ่งโดยสนธิสัญญา
- การยึดครอง (occupation) คือการได้มาซึ่งดินแดนที่รัฐใดไม่ได้ครอบครองอยู่ (หรือดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ)
- การครอบครองปรปักษ์ (prescription) เป็นการควบคุมดินแดนโดยมีผลบังคับเหนือดินแดนที่ยอมโอนอ่อนตาม
- ที่งอก (accretion) คือการได้มาซึ่งดินแดนด้วยกระบวนการทางธรรมชาติ เช่น ที่งอกชายฝั่งหรือการปะทุของแม็กมาสู่พื้นผิวโลก (volcanism)
- การสร้าง (creation) เป็นกระบวนการที่อ้างสิทธิในดินแดนใหม่ทางทะเล
- การชี้ขาดตัดสิน และ
- การพิชิตดินแดน
อวกาศ (รวมถึงวงโคจรของโลก, ของดวงจันทร์ และเทห์ฟากฟ้าอื่น ๆ และวงโคจรของมัน) | |||||||
น่านฟ้าระดับชาติ | น่านฟ้าทะเลอาณาเขต | น่านฟ้าเขตต่อเนื่อง[ต้องการอ้างอิง] | น่านฟ้าสากล | ||||
พื้นผิวอาณาเขตทางบก | พื้นผิวน่านน้ำภายใน | พื้นผิวทะเลอาณาเขต | พื้นผิวเขตต่อเนื่อง | พื้นผิวเขตเศรษฐกิจจำเพาะ | พื้นผิวน่านน้ำสากล | ||
น่านน้ำภายใน | น่านน้ำอาณาเขต | เขตเศรษฐกิจจำเฉพาะ | น่านน้ำสากล | ||||
ดินแดนทางบกใต้ดิน | พื้นผิวไหล่ทวีป | พื้นผิวไหล่ทวีปส่วนต่อขยาย | พื้นผิวพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศ | ||||
ไหล่ทวีปใต้ดิน | พื้นผิวไหล่ทวีปส่วนต่อขยายใต้ดิน | พื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศใต้ดิน | |||||
การให้เหตุผล
มีการให้เหตุผลที่หลากหลายผ่านมุมมองที่แตกต่างซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานทางศีลธรรมของอำนาจอธิปไตย การให้เหตุผลเรื่องอำนาจอธิปไตยถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว: องค์อธิปัตย์ได้รับมอบอำนาจอธิปไตยโดยเทวสิทธิราชย์หรือสิทธิธรรมชาติ และอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของปวงชนแต่เดิม ซึ่งโทมัส ฮอบส์ กล่าวว่าปวงชนมอบอำนาจอธิปไตยของตนให้แก่องค์อธิปัตย์ ขณะที่ฌ็อง-ฌัก รูโซ ระบุว่าอำนาจอธิปไตยนั้นเป็นของปวงชนและสงวนรักษาอำนาจนั้นไว้[13]
ในช่วงหนึ่งของยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของยุโรป หลักเทวสิทธิราชย์เป็นหนึ่งในการอ้างสิทธิในการใช้อำนาจอธิปไตยที่สำคัญ ขณะที่อาณัติแห่งสวรรค์ในประเทศจีนถูกใช้เป็นเครื่องมือในการให้เหตุผลการปกครองโดยจักรพรรดิ แม้ต่อมาจะแทนที่โดยแนวคิดอำนาจอธิปไตยแบบตะวันตกในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19[14]
สาธารณรัฐเป็นรูปแบบรัฐบาลหนึ่งที่ประชาชน หรือส่วนหนึ่งที่สำคัญของพวกเขา สงวนไว้ซึ่งอำนาจอธิปไตยเหนือรัฐบาล และตำแหน่งในรัฐบาลไม่ได้มาโดยมรดกตกทอด[15][16] คำนิยามที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปของคำว่าสาธารณรัฐคือ รัฐบาลที่ไม่มีกษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ[17][18]
ประชาธิปไตยตั้งอยู่บนมโนทัศน์ของอำนาจอธิปไตยของปวงชน (popular sovereignty) ในประชาธิปไตยโดยตรง ประชาชนมีบทบาทในการออกนโยบายสาธารณะ ขณะที่ประชาธิปไตยมีผู้แทนทำให้มีการโอนถ่ายการใช้อำนาจอธิปไตยจากประชาชนสู่ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร
ดูเพิ่ม
- เขตพื้นที่ที่ปกครองตนเอง
- บาซิเลวส์
- อาณัติแห่งสวรรค์
- อำนาจเต็มที่
- สิทธิแห่งตน
- ความเป็นใหญ่เหนือประเทศราช
อ้างอิง
หนังสืออ่านเพิ่ม
- Benton, Lauren (2010). A Search for Sovereignty: Law and Geography in European Empires, 1400–1900. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-88105-0.
- Grimm, Dieter (2015). Howard, Dick (บ.ก.). Sovereignty: The Origin and Future of a Political and Legal Concept. Columbia Studies in Political Thought / Political History. แปลโดย Cooper, Belinda (e-book ed.). Columbia University Press. ISBN 9780231539302.
- Paris, R. (2020). "The Right to Dominate: How Old Ideas About Sovereignty Pose New Challenges for World Order." International Organization
- Philpott, Dan (2016). "Sovereignty". Stanford Encyclopedia of Philosophy. Metaphysics Research Lab, Stanford University.
- Prokhovnik, Raia (2007). Sovereignties: contemporary theory and practice. Houndmills, Basingstoke, Hampshire New York, N.Y: Palgrave Macmillan. ISBN 9781403913234.
- Prokhovnik, Raia (2008). Sovereignty: history and theory. Exeter, UK Charlottesville, VA: Imprint Academic. ISBN 9781845401412.
- Thomson, Janice E. (1996). Mercenaries, pirates, and sovereigns: state-building and extraterritorial violence in early modern Europe. Princeton University Press. ISBN 978-0-691-02571-1.