โรงเรียนกวดวิชาในประเทศไทย
โรงเรียนกวดวิชาในประเทศไทย คือ โรงเรียนกวดวิชาต่าง ๆ โดยมากแล้วมีเป้าหมายเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ก็มีการกวดวิชาในลักษณะอื่น ๆ อย่าง โรงเรียนกวดวิชา สอบเป็นปลัดอำเภอ สอบเป็นผู้สอบบัญชี สอบเข้าเป็นพลตำรวจ เป็นนายร้อย แอร์โฮสเตส สอบโทเฟล เป็นต้น
ประวัติ
การกวดวิชามีลักษณะการเรียนพิเศษตามบ้าน สันนิษฐานว่า เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี และมีวิวัฒนาการเรื่อยมาจนถึงรัชกาลที่ 5[1] ยังพบบันทึกว่ามีการกวดวิชาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยชาวจีนที่มีฐานะดีได้จ้างครูจีนมาสอนภาษาจีนให้แก่บุคคลที่จะไปศึกษาต่อในประเทศจีน[2] และจากในเอกสารโครงการวิจัยโดยสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ระบุถึง "โรงเรียนกลางคืน" ในสมัยรัชกาลที่ 6 เปิดสอนในเวลาหนึ่งทุ่มจนถึงสามทุ่ม ส่วนใหญ่เปิดสอนภาษาอังกฤษ นักเรียนที่มาเรียนเพื่อเตรียมตัวสอบชิงทุนคิง (King’s Scholarship) เพื่อไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ
ในหนังสือ ประวัติการศึกษาไทย โดย ดวงเดือน พิศาลบุตร (2512) อธิบายถึงกวดวิชาในยุคแรกของไทยว่า "การเรียนการสอนเป็นไปตามความสมัครใจของผู้เรียน และครูไม่คิดค่าสอนในตอนแรก แต่ในระยะต่อมาเริ่มมีการจ่ายค่าจ้างในการสอน ดังเช่นการเรียนการสอนของลูกคนจีนซึ่งจ้างครูมาสอนที่บ้านเดือนละ 8 ดอลลาร์ จึงนับได้ว่าการเรียนการสอน" จุดกำเนิดของการกวดวิชาในยุคแรกคือมาจากความต้องการของบุคคล[1] จนโรงเรียนกวดวิชามีหลักฐานชัดเจนขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2497 มีระบุไว้ใน พ.ร.บ.โรงเรียนราษฎร์ พ.ศ. 2497 มาตรา 20(5) ให้มีโรงเรียนกวดวิชา จัดเป็นโรงเรียนเอกชนประเภทการศึกษาพิเศษ จนโรงเรียนกวดวิชาได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในช่วงปี 2520–2530 ซึ่งมีการแข่งขันสูงในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ต่อมาการกวดวิชาขยายวงกว้างมากขึ้นและส่งผลต่อการเรียนในโรงเรียนปกติ เด็กในปีสุดท้ายก่อนเอนทรานซ์ไม่สนใจการเรียนในชั้นปกติ และทำให้ครูในโรงเรียนเริ่มสอนในแนวกวดวิชามากขึ้น
ปี 2534 กระทรวงศึกษาธิการได้อนุมัติหลักการให้เปิดโรงเรียนกวดวิชาได้แต่อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่รัดกุมทั้งสถานที่ ผู้บริหาร อาคาร ฯลฯ ในช่วงปี พ.ศ. 2539 โรงเรียนกวดวิชาเคมีอาจารย์อุ๊ ที่ขณะนั้นมีสาขาเดียวที่สะพานควาย เกิดเหตุชุลมุน ผู้ปกครองมาต่อแย่งคิวให้บุตร จนตำรวจต้องมาระงับเหตุวุ่นวาย จากเหตุการณ์นี้เป็นต้นกำเนิดของการนำวิดีโอหรือดีวีดีมาเปิดสอนแทนครูในโรงเรียนกวดวิชาแทบทุกแห่งในปัจจุบัน หลังวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 สยามสแควร์เริ่มเป็นแหล่งของโรงเรียนกวดวิชา เนื่องจากร้านค้าในสยามสแควร์เริ่มปิดตัวลง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเจ้าของที่ ได้ลดราคาค่าเช่า กลุ่มโรงเรียนกวดวิชาที่เดิมมักอยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้า ชุมชน และใกล้โรงเรียนดัง ๆ จึงเริ่มเข้ามามากขึ้น[3] ต่อมาในปี พ.ศ. 2551 มีโครงการอาคารวรรณสรณ์ ตั้งอยูริมถนนพญาไท ถือเป็นโครงการแรกของประเทศด้วยที่โรงเรียนกวดวิชากว่า 20 สถาบันมารวมตัวกัน[1]
จากนั้นในปี พ.ศ. 2542 ผู้กวดวิชาเริ่มเพิ่มมากขึ้นหลังหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 2542 กระทั่งปลายเดือนมกราคม 2544 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชนจึงได้ออกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการกำหนดมาตรฐานโรงเรียนเอกชนประเภทโรงเรียนกวดวิชาฉบับใหม่ขึ้น ที่มีมาตรการเชิงความปลอดภัยและคุณภาพสมบูรณ์ขึ้น[2] ภายหลังที่เปลี่ยนรูปแบบการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย เป็นระบบแอดมิชชั่น ได้ส่งผลให้โรงเรียนกวดวิชาชื่อดังหันมาปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับระบบ โดยครอบคลุมทั้งวิชาสามัญทั่วไป การสอบความถนัดทั่วไป (GAT: General Aptitude Test) การสอบความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT: Professional and Academic Aptitude Test) รวมถึงวิชาเฉพาะ เช่น วิชาเฉพาะแพทย์ วิชาความถนัดทางสถาปัตยกรรม และความถนัดทางภาษาอื่นๆ เช่น ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น[4]
ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา
จากข้อมูลปี พ.ศ. 2561 มูลค่าตลาดของโรงเรียนกวดวิชา มีราว 8,000 ล้านบาท แม้ธุรกิจกวดวิชาเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2550 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2555 ที่มีโรงเรียนกวดวิชาเพิ่มขึ้นมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดเริ่มชะลอตัว[5] จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในปี 2560 กลุ่มธุรกิจสถาบันกวดวิชามีรายได้รวมกันประมาณ 2,653 ล้านบาท โดยบริษัทที่มีรายได้สูงสุดคือ We by The Brain[6]
สถาบันกวดวิชาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาส่วนใหญ่จะแยกสอนสถาบันละวิชาเดียวเท่านั้น เช่น เอ็นคอนเซ็ปต์ สอนเฉพาะภาษาอังกฤษ, เคมี อาจารย์อุ๊ สอนเฉพาะวิชาเคมี, แอพพลายด์ฟิสิกส์ สอนเฉพาะฟิสิกส์ และมีเพียงบางสถาบันเท่านั้นที่สอนหลายวิชา เช่น ดาว้องก์ วิชาภาษาไทย, สังคมศึกษาและ ภาษาบาลี โดย อาจารย์ปิง ,เดอะติวเตอร์,เดอะเบรน (ปัจจุบัน คือ We by The Brain)[7]
เหตุผลมากที่สุดที่นักเรียนเข้ารับการกวดวิชาคือเพื่อเพิ่มความเข้าใจในบทเรียนของพวกเขา เหตุผลรองของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นคือเพื่อต้องการทราบถึงเทคนิคที่ช่วยให้คิดเร็วขึ้น ในขณะที่เหตุผลรองของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายคือเพื่อเตรียมตัวให้ผ่านการสอบ วิชาที่นักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นกวดวิชามากที่สุดคือคณิตศาสตร์ และสำหรับมัธยมศึกษาตอนปลายคือภาษาอังกฤษ ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหลักสูตรอยู่ที่ประมาณ 2,001–3,000 บาท[8]
ประเภท
การกำหนดประเภทและลักษณะของโรงเรียน การจัดการเรียนการสอน และหลักสูตรของโรงเรียนนอกระบบ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 กำหนดประเภทและลักษณะของโรงเรียนนอกระบบไว้ 7 ประเภท คือ ประเภทสอนศาสนา, ประเภทศิลปะและกีฬา, ประเภทวิชาชีพ, ประเภทกวดวิชา, ประเภทสร้างเสริมทักษะชีวิต, ประเภทศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา), ประเภทสถาบันศึกษาปอเนาะ[9]
ในปัจจุบันสถาบันกวดวิชามีการสอนทุกวิชาและทุกระดับชั้น ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล จนถึงระดับมหาวิทยาลัย และวัยทำงาน[10] จากข้อมูลปี พ.ศ. 2560 มีโรงเรียนกวดวิชาทั่วประเทศทั้งหมด 2,422 โรง ที่มีใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนนอกระบบ โดยในกรุงเทพมหานคร 626 โรง และต่างจังหวัด 1,796 โรง[11] นอกจากนั้นยังมีโรงเรียนกวดวิชาสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร มีอยู่เฉลี่ย 3-5 แห่งต่อจังหวัด โรงเรียนประเภทนี้ มี 3 แบบ คือ เรียนแบบระยะสั้น 3-4 เดือน เรียนแบบรายชั่วโมง และ เรียนแบบกินนอนเป็นปี ยึดตามการเรียนการสอนระดับตั้งแต่ ม.3−ม.5 มีวิชาเน้นวิทยาศาสตร์ อาทิ เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ รวมถึงการฝึกบริบทเตรียมตัวเข้าไปเป็นทหาร[12]
สมุดภาพ
- สถาบันกวดวิชาพิชญ์ศึกษา (ไบโอบีม) สาขาพญาไท อาคารวรรณสรณ์
- สถาบันกวดวิชาดังใจ (ออนดีมานด์) สาขาอาคารวิทยกิตติ์ในสยามสแควร์
- สถาบันกวดวิชาไอเดียลฟิสิกส์ สาขาสยามสแควร์