วัคซีนเชื้อลดฤทธิ์

วัคซีนที่ใช้รูปแบบที่อ่อนแอลง (อ่อนฤทธิ์) ของเชื้อที่ก่อโรค
(เปลี่ยนทางจาก Attenuated virus)

วัคซีนเชื้อลดฤทธิ์ (อังกฤษ: attenuated vaccine, live attenuated vaccine) เป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อจุลชีพก่อโรคโดยลดศักยภาพก่อโรคของเชื้อ แต่เชื้อก็ยังสามารถแพร่พันธุ์ได้อยู่ คือยังเป็น ๆ อยู่ (live)[1]วัคซีนนี้ต่างกับวัคซีนเชื้อตาย (inactivated vaccine)

วัคซีนลดฤทธิ์สามารถกระตุ้นให้ภูมิคุ้มกันตอบสนองอย่างเข้มแข็งโดยคงอยู่นาน[2]เมื่อเทียบกับวัคซีนที่ฆ่าแล้ว วัคซีนที่ลดฤทธิ์ก่อภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งกว่า คงยืนกว่า และตอบสนองเร็วกว่า[3][4][5]วัคซีนลดฤทธิ์ทำงานโดยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารภูมิต้านทานและเซลล์ภูมิคุ้มกันที่จำโรค (memory immune cells) เพื่อตอบสนองต่อจุลชีพก่อโรคโดยเฉพาะ [6]ตัวอย่างวัคซีนลดฤทธิ์ที่สามัญรวมวัคซีนโรคหัด หัดเยอรมัน ไข้เหลือง และไข้หวัดใหญ่บางประเภท[2]

การพัฒนา

ไวรัสลดฤทธิ์

ไวรัสสามารถลดฤทธิ์โดยวิธีการทางวิวัฒนาการที่เรียกว่า serial passage คือการส่งไวรัสผ่านเซลล์ถูกเบียนต่าง ๆ เป็นอนุกรม เช่นส่งผ่าน[7][8]

ไวรัสก่อโรคดั้งเดิมจะนำไปติดเซลล์ถูกเบียนอื่น ๆและเพราะความผันแปรได้ทางพันธุกรรมหรือเพราะการกลายพันธุ์ที่สร้างขึ้น อนุภาคไวรัสส่วนน้อยส่วนหนึ่งก็จะติดเซลล์ถูกเบียนชนิดใหม่[8][9]สายพันธุ์นี้จะขยายพันธุ์และวิวัฒนาการต่อไปภายในเซลล์ใหม่ แล้วไวรัสก็จะค่อย ๆ เสียประสิทธิภาพการก่อโรคในเซลล์ดั้งเดิมเพราะความกดดันทางวิวัฒนาการ[A][8][9]กระบวนการเช่นนี้ทำให้ไวรัสปรับตัวเข้ากับเซลล์ถูกเบียนใหม่จนกระทั่งไม่ก่อโรคต่อคนที่ได้วัคซีนเป็นไวรัสนี้[9]ซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันสามารถกำจัดไวรัสได้ง่ายกว่า แล้วสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันแบบจำโรค ซึ่งป้องกันการติดเชื้อไวรัสคล้าย ๆ กันที่เกิดในธรรมชาติ[9]

ไวรัสยังสามารถลดฤทธิ์โดยวิธีการทาง reverse genetics[10]ที่สร้างไวรัสลดฤทธิ์โดยผสมยีนของไวรัสพันธุ์ที่ต้องการป้องกัน กับไวรัสพันธุ์คล้ายกันแต่ที่ลดฤทธิ์แล้ว[11]การลดฤทธิ์โดยวิธีพันธุศาสตร์ยังใช้ในการสร้างไวรัสสลายเนื้องอก (oncolytic virus) ได้อีกด้วย[12]

แบคทีเรียลดฤทธิ์

แบคทีเรียก็สามารถลดฤทธิ์โดยนำไปผ่านเซลล์ถูกเบียนอื่น ๆ เช่นเดียวกันกับที่ทำกับไวรัส[13]การน๊อกเอ๊าท์ยีนอาศัยผลที่ได้จากวิธีการทาง reverse genetics ก็ใช้ได้ด้วย[14]

การให้วัคซีน

วัคซีนลดฤทธิ์สามารถให้ได้หลายวิธี

กลไก

วัคซีนทำงานโดยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ต่าง ๆ เช่น CD8+ (Cytotoxic T cell) และ CD4+ T lymphocytes (เซลล์ทีเฮลเปอร์) หรือโมเลกุลต่าง ๆ เช่น สารภูมิต้านทาน ที่เฉพาะเจาะจงกับจุลชีพก่อโรค[6]เซลล์หรือโมเลกุลที่ว่าสามารถป้องกันหรือลดโรคโดยฆ่าเซลล์ที่ติดเชื้อหรือสร้างไซโตไคน์คือ Interleukin[6]วัคซีนแต่ละอย่างจึงก่อผลโดยเฉพาะ ๆ ที่ไม่เหมือนกัน[6]วัคซีนแบบลดฤทธิ์ที่ยังเป็นมักช่วยสร้างเซลล์ CD8+ และสารภูมิต้านทานที่อาศัยเซลล์ T[6]วัคซีนยังคงมีประสิทธิผลตราบเท่าที่ร่างกายยังดำรงการมีเซลล์เหล่านี้[6]วัคซีนลดฤทธิ์ที่ยังเป็นสามารถสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว อาจถึงตลอดชีวิต โดยไม่ต้องให้วัคซีนหลายครั้ง[9][6]และยังสร้างการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันระดับเซลล์ ที่ไม่ได้อาศัยสารภูมิต้านทานอย่างเดียว แต่อาศัยเซลล์ภูมิต้านทานเช่น เซลล์ T หรือ macrophage ด้วย[9]

ความปลอดภัย

วัคซีนลดฤทธิ์ที่ยังเป็นกระตุ้นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ และคงยืนอยู่นาน[2]เพราะจุลชีพลดฤทธิ์แล้ว ปกติจึงไม่กลับคืนไปยังสภาพก่อโรคแล้วทำให้ติดโรค[18]อนึ่ง ในบรรดาวัคซีนลดฤทธิ์ที่ยังเป็น 5 อย่างที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ คือ วัคซีนวัณโรค วัคซีนโปลิโอที่ให้ทางปาก วัคซีนโรคหัด วัคซีนโรตาไวรัส และวัคซีนไข้เหลือง ผลไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงก็มีน้อยมาก[18]แต่ก็เหมือนกับยาและหัตถกรรมทางแพทย์อื่น ๆ วัคซีนก็ไม่ได้ผลหรือปลอดภัยเต็มร้อย[19]

บุคคลที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เช่น ติดเชื้อเอชไอวี ทำเคมีบำบัด มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหลายอย่างร่วมกัน) ปกติไม่ควรรับวัคซีนลดฤทธิ์ที่ยังเป็น เพราะอาจไม่เกิดภูมิคุ้มกันเพียงพออย่างปลอดภัย[2][18][20][21]แต่คนที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องก็ยังสามารถรับวัคซีนลดฤทธิ์ เพราะไม่ได้เพิ่มโอกาสแพร่เชื้อ ยกเว้นวัคซีนโปลิโอที่ให้ทางปาก[21]

เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน วัคซีนลดฤทธิ์ที่ยังเป็นไม่ควรให้แก่หญิงมีครรภ์[18][22]เพราะแม่มีโอกาสแพร่เชื้อไปยังทารก[22]โดยเฉพาะก็คือ วัคซีนโรคอีสุกอีใสและวัคซีนไข้เหลืองปรากฏว่ามีผลไม่พึงประสงค์ต่อทารกในครรภ์และทารกที่กินนมแม่[22]

วัคซีนลดฤทธิ์ที่ยังเป็นบางอย่างยังมีผลไม่พึงประสงค์แบบเบาแต่สามัญเนื่องกับช่องทางที่ให้[22]ยกตัวอย่าง เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่แบบลดฤทธิ์แต่ยังเป็นซึ่งให้ทางจมูกสัมพันธ์กับอาการคัดจมูก[22]เทียบกับวัคซีนเชื้อตาย วัคซีนลดฤทธิ์ที่ยังเป็นมักเกิดความผิดพลาดในกระบวนการผลิต ขนส่ง และแจกจำหน่าย เพราะต้องแช่เย็นอย่างเข้มงวดและต้องเตรียมวัคซีนอย่างระมัดระวังก่อนให้[2][18][20]

ประวัติ

ประวัติของการพัฒนาวัคซีนได้เริ่มขึ้นเมื่อแพทย์ชาวอังกฤษเอดเวิร์ด เจนเนอร์ ได้สร้างวัคซีนฝีดาษขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18[23]คือหมอพบว่า การปลูกฝีให้กับมนุษย์ด้วยไวรัสฝีดาษของสัตว์ (วงศ์ Poxviridae) ทำให้มนุษย์มีภูมิคุ้มกันต่อโรคฝีดาษมนุษย์ ซึ่งจัดเป็นโรคที่สร้างความเสียหายมากที่สุดอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์[24][25]แม้วัคซีนฝีดาษดั้งเดิมบางครั้งจะจัดว่าเป็นวัคซีนลดฤทธิ์เพราะยังเป็นอยู่ แต่ถ้าเข้มงวดก็ไม่ใช่ เพราะไม่ได้ทำมาจากไวรัสฝีดาษมนุษย์โดยตรงคือทำมาจากไวรัสฝีดาษในวัวควาย (cowpox)[26][27]

การค้นพบว่าจุลชีพก่อโรคสามารถลดฤทธิ์ได้เกิดในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เมื่อนักจุลชีววิทยาชาวฝรั่งเศสหลุยส์ ปาสเตอร์ สร้างไวรัสลดฤทธิ์จากอหิวาตกโรคในไก่[26]ซึ่งต่อมาเขาได้ใช้ความรู้นี้พัฒนาวัคซีนแอนแทรกซ์แล้วแสดงประสิทธิภาพของมันในการทดลองที่ทำเป็นสาธารณะ[28]หลังจากนั้น เขาและเพื่อนร่วมงาน (Émile Roux) จึงได้พัฒนาวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า โดยเพาะเชื้อไวรัสในกระต่าย แล้วทำเนื้อเยื่อประสาทที่ติดโรคให้แห้ง[28]

ส่วนเทคนิคการเพาะไวรัสซ้ำ ๆ ในที่เพาะเลี้ยงแล้วสะกัดเอาสายพันธุ์ที่ก่อโรคได้น้อยกว่าเริ่มที่แพทย์ชาวฝรั่งเศส Albert Calmette และนักวิทยาภูมิคุ้มกันชาวฝรั่งเศส Camille Guérin ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผู้พัฒนาวัคซีนวัณโรคลดฤทธิ์ที่เรียกว่าวัคซีนบีซีจี[23]ต่อมา เทคนิคนี้ก็ได้ใช้เพื่อพัฒนาวัคซีนไข้เหลือง (โดย Jean Laigret และ Max Theiler เป็นต้น)[23][26][29]ซึ่งวัคซีนหนึ่งที่พัฒนาขึ้นได้ผลดีมาก จึงได้ช่วยจัดตั้งแนวปฏิบัติและกฎควบคุมวัคซีนอื่น ๆ ต่อมารวมทั้งการเพาะไวรัสในเนื้อเยื่อเป็นหลัก (เช่น ในตัวอ่อนของไก่) ไม่เพาะในสัตว์ และระบบที่ใช้สต๊อกไวรัสลดฤทธิ์แล้วดั้งเดิมโดยไม่ใช้ไวรัสที่สืบ ๆ มา เพื่อลดความแปรปรวนในการพัฒนาวัคซีน และลดโอกาสเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์[26][29]

ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีงานของนักไวรัสวิทยาเด่น ๆ มากมาย และได้เกิดวัคซีนลดฤทธิ์ที่ทำสำเร็จหลายอย่างรวมทั้งวัคซีนโปลิโอ วัคซีนโรคหัด วัคซีนโรคคางทูม และวัคซีนโรคหัดเยอรมัน[30][31][32][33]

ข้อดีและข้อเสีย

ข้อดี

  • เลียนการติดเชื้อตามธรรมชาติได้ดี[34][35]
  • มีประสิทธิภาพก่อปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันอย่างเข้มแข็งโดยทั้งสารภูมิต้านทานและเซลล์ภูมิคุ้มกัน[34][35][3]
  • สร้างภูมิคุ้มกันเป็นระยะยาวหรือตลอดชีวิต[34][35][4]
  • มักต้องใช้เพียงแค่หนึ่งหรือสองโดส[34][35][5]
  • สร้างภูมิต้านทานได้เร็ว[3][4][5]
  • ราคาถูก (เทียบกับการรักษาอื่น ๆ)[36][37]
  • อาจมีผลป้องกันโรคอื่น ๆ (non-specific effect) เป็นผลพลอยได้[38]

ข้อเสีย

  • ในกรณีที่มีน้อย โดยเฉพาะเมื่อให้วัคซีนในกลุ่มประชากรไม่พอ การกลายพันธุ์ที่เกิดเมื่อไวรัสลดฤทธิ์ขยายพันธุ์โดยธรรมชาติ หรือการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างไวรัสกับไวรัสอื่น ๆ ที่เป็นญาติกัน อาจทำให้ไวรัสลดฤทธิ์กลับคืนสภาพกลายเป็นไวรัสดั้งเดิม หรือกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ซึ่งอาจก่อโรคและติดต่อได้[34][39]
  • มักไม่แนะนำให้ใช้ในบุคคลที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องเพราะเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรง[34][40][41]
  • สายพันธุ์ที่ยังเป็นอยู่มักต้องเก็บรักษาดีมาก เช่น แช่เย็นหรือให้อาหารใหม่ ทำให้ขนส่งไปยังเขตห่างไกลได้ยากและมีค่าใช้จ่ายสูง[34][42]

รายการวัคซีนลดฤทธิ์

ที่ปัจจุบันใช้อยู่

วัคซีนแบคทีเรีย

วัคซีนไวรัส

กำลังพัฒนา

วัคซีนแบคทีเรีย

วัคซีนไวรัส

เชิงอรรถ

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: หน้าหลักสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยพิเศษ:ค้นหาอสมทวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ลีก 2024บางกอกคณิกาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)เนติพร เสน่ห์สังคมวิทยาศาสตร์พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)วันวิสาขบูชาวอลเลย์บอลลมเล่นไฟตารางธาตุอันดับโลกเอฟไอวีบีอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์หมวดหมู่:จังหวัดของประเทศไทยไลเกอร์รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยไอแซก นิวตันศาสนาพุทธราชวงศ์จักรีกาลิเลโอ กาลิเลอีประวัติศาสตร์ชาร์เลท วาศิตา แฮเมเนารายชื่อเครื่องดนตรีจังหวัดชัยนาทสังคายนาในศาสนาพุทธประเทศไทยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดนิวแคลิโดเนียวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยศาสนาพุทธในประเทศพม่าพระสุนทรโวหาร (ภู่)นริลญา กุลมงคลเพชร