การทหาร

การทหาร เป็นองค์การที่สังคมอนุญาตให้ใช้อำนาจสำหรับสังหาร[1] (lethal force) ซึ่งโดยปกติเป็นการใช้อาวุธสำหรับในการป้องกันประเทศ เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นหรืออยู่ภายใต้การรับรู้

กองกำลังทางการทหารของเนโท ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การทหารอาจมีการทำหน้าที่อื่นต่อสังคม เช่น การเดินหน้าวาระทางการเมือง[2] (ในกรณีคณะทหารผู้ยึดอำนาจการปกครอง) สนับสนุนหรือส่งเสริมการขยายทางเศรษฐกิจผ่านจักรวรรดินิยม และเป็นการควบคุมทางสังคมภายในรูปแบบหนึ่ง

คำว่า "การทหาร" หรือ "ทางทหาร" ที่เป็นคำคุณศัพท์ ยังใช้หมายถึง ทรัพย์สินหรือมุมมองของทหาร การทหารทำหน้าที่เป็นสังคมภายในสังคม โดยมีชุมชนทหารเป็นของตนเอง[3]

การจัดหน่วยทหาร

กำลังพลและการจัดหน่วยรบ

ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการทหารมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติการทางการทหารก็คือกำลังพลทหารที่เป็นมนุษย์เป็นหลัก โดยในปี 2543 กองทัพอังกฤษได้ระบุไว้ในเอกสารว่า มนุษย์ยังคงเป็นอาวุธชนิดแรกในสงคราม[4]

กำลังพลพร้อมรบ พ.ศ. 2565 (หน่วยเป็นพัน)
ประเทศกำลังพล

จีน
2,000

อินเดีย
1,450

สหรัฐ
1,390

เกาหลีเหนือ
1,200

รัสเซีย
850

ปากีสถาน
640

อิหร่าน
575

เกาหลีใต้
555

เวียดนาม
470

อียิป
450

ตรุกี
425

อินโดนิเซีย
400

เมียนมาร์
400

บราซิล
360

ไทย
350

แหล่งข้อมูล: Global Firepower Index[5]

ชั้นยศและบทบาทในการรบ

หน่วยงานทางการทหาร มักจะมีลำดับการบังคับบัญชาตามระดับของชั้นยศในการสั่งการ โดยเรียงจากยศที่มีอำนาจสูงที่สุดในการสั่งการกองทัพทั้งหมด (เช่น พลเอก) ไล่ลำดับลงมาจนถึงยศต่ำที่สุดที่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจใด ๆ (เช่น พลทหาร) นอกจากนี้ยังมีการจัดลำดับตามความอาวุโสและประสบการณ์ในการทำงาน เพื่อประสิทธิภาพในการตัดสินใจสั่งการไปยังเหล่าทหารที่อยู่ภายในบังคับบัญชา แต่ในบางกองทัพการแต่งตั้งชั้นยศก็ไม่สมกับสัดส่วนอำนาจการบังคับบัญชาในสากลประเทศอื่น ๆ[6]

นอกจากชั้นยศแล้ว บทบาทในการรบก็ถูกแบ่งขึ้นมาเพื่อระบุถึงคุณสมบัติและบทบาทหน้าของกองทหารนั้น ๆ โดยในประเทศไทยเรียกว่า เหล่า[7] เช่น ทหารราบ ทำหน้าที่ในการรบด้วยกำลังทหาร ทหารม้า ทำหน้าที่ในการใช้รถถังหรือพาหนะในการเคลื่อนที่และมีอำนาจการยิงที่รุนแรง ทหารช่าง ทำหน้าที่ในการสนับสนุนการรบด้านการช่าง การสร้างและดัดแปลงภูมิประเทศ

ในกองทัพและการทหารสมัยใหม่ ระบบชั้นยศนั้นถูกใช้อย่างแพร่หลายในเกือบทุกประเทศ แต่ในอดีตมีบางประเทศที่ปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์พยายามยกเลิกระบบชั้นยศในกองทัพ[8] เช่น สหภาพโซเวียต[9] สาธารณรัฐประชาชนจีน[10] แต่ก็ต้องกลับมาใช้งานระบบชั้นยศอีกครั้ง[11]เนื่องจากปัญหาในการบังคับบัญชาและควบคุมการรบ

การสรรหากำลังพล

การสรรหากำลังพลของกองทัพบกสหรัฐ ด้วยวิธีการออกบูธรับสมัครในโรงเรียนมัธยม

กำลังพลของกองทัพที่ใช้ในการปฏิบัติการทางทหารนั้น ปัจจุบันมีทั้งในรูปแบบของการรับสมัคร และรูปแบบของการเกณฑ์ทหาร ขึ้นอยู่กับระบบของแต่ละประเทศ ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่กำลังมีสัดส่วนของผู้หญิงเพิ่มมากขึ้นในกองทัพโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว[12] ในขณะที่ 2 ใน 3 ของประเทศทั่วโลกใช้วิธีในการสรรหากำลังพลเฉพาะในช่วงวัยของผู้ใหญ่ มีเพียงบางประเทศที่ยังคงใช้วิธีการสรรหากำลังพลโดยใช้เด็กเป็นกองกำลัง โดยเด็กตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก คือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี

สำหรับในประเทศไทยการสรรหากำลังพลเป็นรูปแบบของการเกณฑ์ทหาร แต่ในปัจจุบันกำลังเป็นที่ถกเถียงกันว่าจะคงรูปแบบการเกณฑ์ หรือจะปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบสมัครใจ เนื่องจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนของพลทหารที่มาจากการเกณฑ์ทหารของกองทัพ ปรากฏออกมาเป็นข่าวในสื่อ[13]และรายงานขององค์กรระหว่างประเทศ[14] ซึ่งกองทัพไทยระบุว่ากำลังศึกษารูปแบบของการสรรหากำลังพลแบบสมัครใจอยู่[15][16]

การฝึก

การฝึกกำลังพลเพื่อจะไปเป็นทหารนั้น โดยพื้นฐานจะต้องฝึกเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะปฏิบัติการทางทหาร ในการทำร้ายและสังหารข้าศึก การเผชิญสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างการรบ เป็นการฝึกทั้งในด้านของร่างกายและจิตใจ โดยอาจจะแบ่งไปตามคุณสมบัติเฉพาะของตำแหน่ง หลักสูตรหรือเหล่าที่เข้ารับการฝึก อาทิ

  • การทำลายตัวตนเดิม เช่น การตัดผมสั้นเกรียน การแต่งกายด้วยเครื่องแบบเหมือนกัน การใช้รหัสแทนการใช้ชื่อ[17][18]
  • กิจวัตรประจำวันที่เข้มงวด เช่น การจัดเตียง การขัดรองเท้า การจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ และมีบทลงโทษสำหรับผู้กระทำผิด[19][20]
  • การเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจนทำร้ายสภาพจิตใจ ซึ่งเป็นความต้องการของครูฝึก เช่น การอดนอน การอดอาหารหรือที่พัก การด่า การดูหมิ่นเหยียดหยาม หรือการทำให้อับอาย

ข่าวกรอง

ในการทหารนั้นจำเป็นจะต้องระบุถึงภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นต่อกองทัพหรือกองกำลังนั้น ๆ จึงได้มีการรวบรวมข่าว ทั้งจากบุคลากรของกองทัพเอง และจากพลเรือน เพื่อระบุตัวตนหรือสิ่งที่เป็นภัยคุกคาม และรักษาความปลอดภัย โดยเรียกว่าข่าวกรองทางทหาร โดยแนวคิดในการรวบรวมข่าวกรองนั้น เป็นการรวบรวมข่าวสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมีความสำคัญต่อการปฏิบัติการของฝ่ายเรา[21] ไม่ว่าจะเป็นแผนการในการก่อความไม่สงบ การเคลื่อนกำลัง หรือแผนการสำหรับการบุกยึด

ส่วนที่สำคัญที่สุดของข่าวกรองทางทหารคือการวิเคราะห์ข่าวกรอง เพื่อประเมินความสามารถทางการทหารของผู้ที่เราคาดว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต และจำลองรูปแบบการปฏิบัติการ ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการปฏิบัติการนั้น ๆ อาจจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท[21] คือ

  1. ข่าวกรองในการรบ (Combat Intelligence) คือสภาพของข้าศึก ลักษณะทางภูมิศาสตร์ การวางกำลัง
  2. ข่าวกรองทางยุทธศาสตร์ (Strategic Intelligence) คือข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการในระดับของนโยบาย และแผนการดำเนินกลยุทธ์ เกี่ยวกับขีดความสามารถในการรบ

เศรษฐกิจ

งบประมาณทางการทหารในปี พ.ศ. 2564 (หน่วยเป็นพันล้านเหรียญสหรัฐ)
ประเทศงบประมาณทางการทหาร

สหรัฐ
801.0

จีน
293.0

อินเดีย
76.6

สหราชอาณาจักร
68.4

รัสเซีย
65.9

ฝรั่งเศส
56.6

เยอรมนี
56.0

ซาอุดิอารเบีย
55.6

ญี่ปุ่น
54.1

เกาหลีใต้
50.2

อิตาลี
32.0

ออสเตรเลีย
31.8

แคนนาดา
26.4

อิหร่าน
24.6

อิสราเอล
24.3

แหล่งข้อมูล: SIPRI[22]

เศรษฐศาสตร์กลาโหม[23] คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการงบประมาณด้านการทหาร เพื่อสร้างทรัพยากรและบำรุงรักษากองกำลังทางการทหาร รวมไปถึงงบประมาณในการปฏิบัติการทางการทหารและการทำสงคราม

ในการจัดสรรงบประมาณทางการทหารนั้น จะถูกจัดสรรโดยหน่วยงานด้านการเงินในกองทัพของแต่ละประเทศ โดยการจัดซื้ออาวุธของกองกำลังทางการทหารนั้นสามารถกระทำได้ทั้งในยามสงบ และในสภาวะสงคราม แม้แต่ในสภาวะวิกฤตต่าง ๆ เช่นการแพร่ระบาดของโควิด-19[24] ที่หลายประเทศทั่วโลกยังคงมีการเพิ่มงบประมาณทางการทหาร แต่ก็มีบางประเทศปรับลดเพื่อนำงบประมาณดังกล่าวมาจัดการกับวิกฤตการแพร่ระบดของโควิด-19[25]

การพัฒนาขีดความสามารถ

เครื่องบินขับไล่เฉิงตู เจ-20 ของกองทัพอากาศจีน เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ทันสมัยของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน

การพัฒนาขีดความสามารถ[26] หรือมักจะเรียกกันว่าการพัฒนาความแข็งแกร่งของกองทัพ เป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน ซึ่งขีดความสามารถของกองทัพนั้นประกอบไปด้วยขีดความสามารถเชิงกลยุทธ เชิงปฏิบัติการ และเชิงยุทธวิธี เพื่อตอบโต้ต่อภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้น โดยอาจจะจัดทำแผนพัฒนาขีดความสามารถ (Defense Capability Development Plan)[26] และการจัดทำเอกสารป้องกันประเทศ (Defense White Paper)[26]

เทคโนโลยีทางการทหาร

หลายครั้งเทคโนโลยีของพลเรือนที่มีการศึกษาวิจัยไม่ได้ครอบคลุมหรือสามารถนำมาใช้ในทางการทหารได้ จึงต้องมีการศึกษาและวิจัยเทคโนโลยีทางการทหารโดยเฉพาะขึ้นมา[27] โดยปัจจุบันได้มีการแข่งขันกันระหว่างชาติมหาอำนาจหลัก เช่น สหรัฐ[28] จีน[29] ญี่ปุ่น รัสเซีย[30] เพื่อให้มีความก้าวหน้าและพัฒนาไปได้ไกลกว่าคู่แข่งของตนเอง[29]

เทคโนโลยีทางการทหารถูกใช้งานในแทบทุกส่วนของการทหารในปัจจุบัน อาทิ การออกแบบ พัฒนาอาวุธ อุปกรณ์สนับสนุนทหารราบในการรบ การฝึกในการรบ[31] รวมไปถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ที่อาจจะนำเข้ามาใช้ในสงครามในอนาคต แต่ยังคงเป็นที่ถกเถียงในปัจจุบันว่าการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในทางการทหารจะเกิดผลกระทบร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา[32]

การส่งกำลังบำรุงทางทหาร

เครื่องบินลำเลียงทางยุทธวิธี ซี-130 เฮอร์คิวลิส ของกองทัพอากาศไทย

การมีขีดความสามารถในการรบนั้น ไม่เพียงพอที่จะปฏิบัติการทางการทหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ[33] เนื่องจากหน่วยทหารจำเป็นจะต้องมีกระสุน อาวุธ และเสบียงต่าง ๆ ที่เพียงพอสำหรับการปฏิบัติการในการรบ[34] การส่งกำลังบำรุงทางทหารจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการปฏิบัติการทางการทหารต่าง ๆ ในสงครามยุคปัจจุบัน[35]

สำหรับการส่งกำลังบำรุงทางทหารนั้น สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งการใช้รถบรรทุกทหาร การใช้รถไฟ ไปจนถึงการใช้เรือขนส่งสินค้า เพื่อที่จะนำกำลังบำรุงเหล่านั้นส่งไปถึงทหารในแนวรบ และพื้นที่นัดหมายที่อาจมีการกำหนดไว้ล่วงหน้า

การส่งกำลังบำรุงถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายในการรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี พ.ศ. 2565 โดยในระลอกแรกของการเข้าโจมตี กองทัพรัสเซียถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความล้มเหลวในการส่งกำลังบำรุงทางการทหาร ทำให้เกิดความสูญเสียต่อกองกำลังของรัสเซียเป็นจำนวนมาก[34][35]

ทหารกับสังคม

ในสังคมตั้งแต่อดีต ทหารถูกเลือกให้เป็นผู้นำในการปกครองมวลชน เนื่องจากมีอำนาจทางทหารและสามารถปกป้องประชาชนภายใต้การปกครองได้ จึงได้รับความไว้วางใจในการเป็นผู้นำ เช่น สังคมญี่ปุ่นในอดีต ที่ทหารซามูไรเป็นวรรณะนักรบที่มีชนชั้นทางสังคมเหนือกว่าผู้อื่นและมีหน้าที่ในการปกป้องรับใช้โชกุน ซึ่งเป็นผู้นำของสังคมในขณะนั้น[36] และสังคมไทยในอดีต ที่พระมหากษัตริย์จะทรงเป็นผู้บังคับบัญชาในการรบโดยตรง บังคับบัญชาทหารเข้าสู่สงครามต่าง ๆ เพื่อปกป้องเมือง[37] จนกระทั่งเข้าสู่สังคมยุคใหม่ ทหารจึงมีสถานะที่เปลี่ยนไปและทำหน้าที่ในการปกป้องประเทศและประชาชนรวมถึงการป้อมปราม[38]

กองทัพไทยมีบทบาทกับสังคมมากขึ้นหลังการก่อการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2557

ในยุคปัจจุบัน ทหารถูกตั้งคำถามถึงคุณค่าและความจำเป็นในการมีอยู่ ในขณะเดียวกันการทหารก็มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่หลายประเทศยกเลิกการมีกองทัพลงไป[39] แต่ในอีกหลายประเทศกับเร่งพัฒนาขีดความสามารถยิ่งขึ้นไปอีก เพื่อแข่งขันและรับมือกับภัยคุกคามของตนเองที่เกิดขึ้นมา[40]

สังคมของทหารมีลักษณะที่เป็นสังคมซ้อนอยู่ภายในสังคมภายนอกอยู่อีกชั้นหนึ่ง[3] มีระบบบริหารจัดการภายในตัวของตัวเอง อาทิ ศาลทหาร ที่มีไว้สำหรับพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับทหาร หรืออาญาสงครามโดยเฉพาะ ไม่สามารถนำมาตัดสินพลเรือนซึ่งอยู่ภายนอกอำนาจของศาลทหารได้[41][42] แพทย์ทหาร หรือเรียกว่า เสนารักษ์ ที่มีความเชี่ยวชาญเหมือนแพทย์ทั่วไป แต่มีศักยภาพในการปฏิบัติการได้ในสถานการณ์ขับขันหรือการสู้รบ[43] การศึกษา ที่มีโรงเรียนทหารสำหรับเรียนและฝึกสำหรับการเป็นทหารโดยเฉพาะแยกออกมาจากพลเรือน โดยจะแยกตามความเชี่ยวชาญและบทบาทหน้าที่ในกองทัพหลังจากจบการศึกษา เช่น โรงเรียนเตรียมทหาร[44] โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ

ทหารกับสังคมการเมือง มีพัฒนาการที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในหลายประเทศ ทหารได้เข้าไปมีบทบาททางการเมือง[45] ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ทหารสามารถเข้ามามีบทบาททางการเมืองได้ ด้วยวิธีการรัฐประหาร หรือจากระบอบการปกครองที่เอื้ออำนวยอยู่แล้ว ซึ่งปัญหาที่พบคือการแทรงแซงกลไกต่าง ๆ รวมไปถึงปัญหาความโปร่งใสของกองทัพ ซึ่งเกิดจากข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับปฏิบัติการทางการทหารต่าง ๆ[46] และการจัดการงบประมาณที่เกิดการทุจริตได้ง่าย[47]

ในประเทศที่สามารถแยกทหารออกจากการแทรกแซงทางการเมืองได้นั้นใช้วิธีการคานอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ฝ่ายของประเทศให้เกิดความสมดุล[45]คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ รวมถึงการปฏิรูปธุรกิจหรือกิจการของฝ่ายทหารเพื่อลดอำนาจการต่อรองลง โดยองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดคือฝ่ายทหารเอง ที่ต้องยินยอมที่จะปรับตัวและอยู่ภายใต้พลเรือน[45] เช่นเดียวกับประเทศที่ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอื่น ๆ ปฏิเสธที่จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง[48]

จริยธรรมทางการทหาร

กองทัพไทยส่งทหารร่วมภารกิจค้นหาและกู้ภัยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่ประเทศเนปาล ด้วยเครื่อง ซี-130เอช ในปี พ.ศ. 2558

จริยธรรมในการทำสงครามและปฏิบัติการทางการทหารนั้นถูกพัฒนาเรื่อยมา โดยมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2492 และเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2493 ในชื่อของอนุสัญญาเจนีวา แต่ในหลักความเป็นจริง อนุสัญญาดังกล่าวถูกปฏิบัติเฉพาะในช่วงเวลาสงครามตามรูปแบบ แต่ไม่ถูกนำมาปฏิบัติในการชุมนุมทางการเมือง[49][50]และการลุกฮือต่าง ๆ ของประชาชน[51]

ในแนวปฏิบัติระหว่างประเทศ ได้มีการห้ามใช้อาวุธบางชนิด โดยเฉพาะอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง (Weapons of Mass Destruction: WMD) นอกจากนี้ยังมีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการก่อให้เกิดอาชญากรรมสงคราม โดยจัดให้มีการดำเนินคดีต่ออาชญากรสงครามในศาลอาญาระหว่างประเทศ สำหรับผู้ที่ละเมิดและกระทำผิด[52] และตามบทบัญญัติกฎหมายทางการทหารโดยเฉพาะของแต่ละประเทศ เช่น ประมวลกฎหมายยุติธรรมทหาร ของสหรัฐอเมริกา[41] พระราชบัญญัติอาชญากรสงคราม พุทธศักราช 2488 ของไทย[53][54]

นอกจากนี้ ยังมีการปฏิบัติการทางทหารเพื่อมนุษยธรรมที่ได้รับการยอมรับโดยแพร่หลาย อาทิ การบรรเทาสาธารณภัย[55] การปกป้องผู้ลี้ภัยและผู้อพยพ[56] และการรักษาสันติภาพในพื้นที่ขัดแย้ง[57]

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง