การผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง (Spinal fusion) การแทรกแซง การเชื่อมกระดูกสันหลัง L5 และ S1
ICD-9-CM 81.0 MeSH D013123 MedlinePlus 002968
การผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง (อังกฤษ : Spinal fusion, spondylodesis, spondylosyndesis )[1] [2] เป็นเทคนิคทางศัลยศาสตร์ออร์โทพีดิกส์ เพื่อเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง สองข้อหรือมากกว่านั้นซึ่งสามารถทำได้ที่กระดูกสันหลังส่วนคอ ส่วนอก และส่วนเอว เพื่อกันข้อกระดูกที่เชื่อมกันไม่ให้เคลื่อนไหวมีวิธีการเชื่อมกระดูกหลายอย่าง แต่ละอย่างจะมีการปลูกถ่ายกระดูก (bone grafting)ไม่ว่าจะมาจากคนไข้เอง (autograft) ได้จากผู้บริจาค (allograft) หรือจากกระดูกเทียม เพื่อช่วยเชื่อมกระดูกที่เกี่ยวข้อง[3] และบ่อยครั้งจะต้องใช้อุปกรณ์อื่น ๆ (รวมทั้งสกรู แผ่นวัสดุ หรือกรง) เพื่อยึดกระดูกให้อยู่กับที่ในขณะที่กระดูกปลูกถ่ายเชื่อมข้อกระดูกเข้าด้วยกัน
การผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลังทำมากที่สุดเพื่อบรรเทาความปวด และแรงกดต่อไขสันหลัง ที่เกิดเมื่อหมอนกระดูกสันหลัง (กระดูกอ่อน ระหว่างข้อกระดูก) เสื่อม (degenerative disc disease)[4] อาการทางแพทย์อื่น ๆ ที่รักษาด้วยวิธีนี้รวมทั้งช่องไขสันหลังตีบ กระดูกสันหลังเคลื่อน กระดูกสันหลังเสื่อม กระดูกสันหลังหัก กระดูกสันหลังคด และหลังโกง[4] เหมือนกับการผ่าตัดอื่น ๆ ภาวะแทรกซ้อนอาจรวมทั้งการติดเชื้อ การเสียเลือด และความเสียหายต่อประสาท[5] การเชื่อมยังเปลี่ยนการเคลื่อนไหวปกติของกระดูกสันหลัง ซึ่งสร้างภาระมากขึ้นกับข้อกระดูกเหนือและใต้ข้อที่เชื่อมเข้าด้วยกันดังนั้น ภาวะแทรกซ้อนระยะยาวก็คือกระดูกที่มีภาระมากขึ้นจะเสื่อม[3]
ในการแพทย์ (ล่าง) หมอนกระดูกสันหลังเคลื่อนไปเบียดประสาทไขสันหลัง (บน) ปกติ การเชื่อมกระดูกสันหลังสามารถใช้รักษาอาการต่าง ๆ ที่มีผลต่อสันหลังระดับคอ อก และเอวซึ่งโดยทั่วไปใช้ลดแรงกดอัดต่อและสร้างเสถียรภาพให้กระดูก[5] เหตุสามัญที่สุดของแรงอัดที่ไขสันหลังหรือเส้นประสาท ก็คือหมอนกระดูกสันหลังเสื่อม (degenerative disc disease)[6] เหตุสามัญอื่น ๆ รวมทั้งหมอนกระดูกสันหลังเคลื่อน ช่องไขสันหลังตีบ การบาดเจ็บ และเนื้องอก ที่ไขสันหลัง[5]
ช่องไขสันหลังตีบอาจเป็นผลของปุ่มกระดูกงอก (osteophytes) หรือเอ็น ที่หนาขึ้น ซึ่งในระยะยาวมีผลเป็นช่องไขสันหลังตีบ[5] แล้วทำให้ปวดขา เมื่อทำกิจกรรม เป็นอาการที่เรียกว่า อาการปวดขาเหตุประสาท (neurogenic claudication)[5] ส่วนการกดเส้นประสาทตรงที่ออกจากไขสันหลังซึ่งเรียกว่า โรครากประสาท (radiculopathy) จะทำให้ปวดอวัยวะส่วนที่เส้นประสาทวิ่งไปถึง (เช่น ขาสำหรับปัญหาส่วนเอว แขนสำหรับปัญหาส่วนคอ)[5] ในกรณีที่รุนแรง แรงดันนี้จะทำให้มีความบกพร่องทางประสาทอย่างอื่น เช่น เหน็บชา ปัญหาการกลั้นปัสสาวะ/อุจจาระ และอัมพาต [5]
การเชื่อมกระดูกส่วนเอวและส่วนคอจะสามัญกว่าส่วนอก[6] เพราะกระดูกในเขตเหล่านี้เคลื่อนไหวมากกว่าจึงเสื่อมง่ายกว่า[6] อนึ่ง เพราะกระดูกส่วนอกมักจะเคลื่อนไม่ได้ ปัญหาจากส่วนนี้จึงมักมาจากความบาดเจ็บ หรือการเสียรูปเนื่องจากกระดูกสันหลังคด (scoliosis) และหลังโกง (kyphosis)[5]
ภาวะที่แพทย์จะพิจารณาเชื่อมกระดูกไขสันหลังรวมทั้ง
หมอนกระดูกสันหลังเสื่อม (Degenerative disc disease) หมอนกระดูกสันหลังเคลื่อน (herniated disc) อาการปวดเนื่องจากหมอนรองกระดูก เนื้องอก ที่ไขสันหลังกระดูกสันหลังหัก กระดูกสันหลังคด กระดูกสันหลังโกง (เช่น Scheuermann's disease) กระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis) กระดูกสันหลังเสื่อม (Spondylosis) Posterior rami syndrome อาการเสื่อมของสันหลังอย่างอื่น ๆ[5] ภาวะอย่างอื่น ๆ ที่ทำให้กระดูกสันหลังไม่เสถียร[5] ข้อห้ามใช้ โปรตีนเพิ่มการเติบโตของกระดูก คือ Bone morphogenetic protein (rhBMP) ไม่ควรใช้เป็นปกติสำหรับการเชื่อมกระดูกสันหลังส่วนคอจากด้านหน้า เช่นที่ทำด้วยเทคนิค anterior cervical discectomy and fusion[7] เพราะมีรายงานว่าการรักษาเช่นนี้ทำให้เนื้อเยื่อ อ่อนบวม แล้วมีผลเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตเพราะกลืนไม่ได้หรือหายใจไม่ออก[7]
วิทยาการระบาด ตามรายงานของสำนักงานวิจัยและคุณภาพการรักษาสุขภาพสหรัฐ (AHRQ)ในปี 2554 มีการการผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง 488,000 รายในโรงพยาบาลสหรัฐ (ที่อัตรา 15.7 ต่อประชากร 10,000) ซึ่งอยู่ในอัตรา 3.1% ของการผ่าตัดทั้งหมด[8] และเพิ่มขึ้น 70% จากปี 2544[9] โดยการเชื่อมกระดูกส่วนเอวสามัญที่สุด ที่ ~210,000 รายต่อปีส่วนอกอยู่ที่ 24,000 รายต่อปี และส่วนคอ 157,000 รายต่อปี[6]
งานวิเคราะห์การเชื่อมกระดูกไขสันหลังปี 2551 ในสหรัฐพบข้อมูลดังต่อไปนี้[6]
อายุเฉลี่ยสำหรับผู้ที่ได้รับการผ่าตัดนี้อยู่ที่ 54.2 ปี คือ 53.3 ปีสำหรับการเชื่อมส่วนคอ 42.7 ปีสำหรับส่วนอก และ 56.3 ปีสำหรับส่วนเอว คนไข้ชายอยู่ที่อัตรา 45.5% เวลาเฉลี่ยที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาลอยู่ที่ 3.7 วัน คือ 2.7 วันสำหรับการเชื่อมที่คอ 8.5 วันสำหรับที่อก และ 3.9 วันสำหรับที่เอว อัตราการตายในโรงพยาบาลอยู่ที่ 0.25% ค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายสำหรับการเชื่อมกระดูกสันหลังจะขึ้นอยู่กับสถาบัน ประกัน ประเภทการผ่าตัด และสุขภาพทั่วไปของคนไข้[10] ค่าใช้จ่ายรวมทั้งแล็บ ยา ห้องและอาหาร อุปกรณ์รักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัด กายภาพบำบัด การสร้างภาพ และค่าบริการโรงพยาบาลอื่น ๆ[11]
ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยรวมใน รพ. สหรัฐเพื่อผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลังเพิ่มจาก 24,676 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2541 เป็น 81,960 ดอลลาร์ในปี 2551[6] ต่อไปนี้เป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสำหรับเทคนิคการผ่าตัดที่สามัญต่าง ๆ เพื่อเชื่อมกระดูกสันหลังในสหรัฐ
34,943 ดอลลาร์ - Anterior cervical discectomy and fusion (ACDF) - การผ่าตัดที่คอสำหรับผู้ที่มีโรคอ้วนและโรคเบาหวานรุนแรง (2548-2551)[10] 25,633 ดอลลาร์ - ACDF - การผ่าตัดที่คอสำหรับผู้ที่ไม่มีโรคอ้วนและโรคเบาหวาน (2548-2551)[10] 65,782 ดอลลาร์ - Lumbar decompression and fusion (LDF) - การผ่าตัดส่วนเอวสำหรับผู้ที่มีโรคเบาหวานและโรคซึมเศร้า (2548-2551)[10] 52,249 ดอลลาร์ - LDF - การผ่าตัดส่วนเอวสำหรับผู้ที่ไม่มีโรคเบาหวานและโรคซึมเศร้า (2548-2551)[10] 80,095 ดอลลาร์ - การผ่าตัดส่วนอก (2546-2556)[11] 55,547 ดอลลาร์ - การแก้ปัญหาการผ่าตัดครั้งก่อนเพราะภาวะโรคในข้อติดกัน (2546-2556)[11] เทคนิค กายวิภาค ของข้อกระดูกสันหลัง
มีเทคนิคการเชื่อมข้อกะระดูกสันหลังหลายอย่างซึ่งขึ้นอยู่กับระดับข้อกระดูกสันหลังและตำแหน่งที่กดบีบไขสันหลัง/เส้นประสาท[5] หลังจากที่ลดความกดดันที่กระดูกสันหลังแล้ว แพทย์ก็จะปลูกถ่ายกระดูกหรือกระดูกเทียมใส่ในระหว่างข้อกระดูกเพื่อให้เชื่อมเข้าด้วยกัน[3] โดยทั่วไปแล้ว การเชื่อมจะทำจากด้านหน้า ด้านหลัง หรือที่ด้านทั้งสองของข้อกระดูก[5] ทุกวันนี้ การเชื่อมโดยมากจะทำพร้อมกับวัสดุยึดอื่น ๆ (รวมทั้งสกรู แผ่นยึด หรือท่อนยึด) เพราะมีหลักฐานว่าเชื่อมกันดีกว่าที่ไม่ใช้[5]
เทคนิคอื่น ๆ ที่ต้องผ่าเจาะน้อยกว่านี้ (Minimally invasive) ก็เริ่มเป็นที่นิยม[12] รวมทั้งการใช้ระบบภาพนำทางเพื่อใส่ท่อนยึดและสกรูเข้าที่กระดูกโดยเป็นแผลเล็กกว่าซึ่งทำให้กล้ามเนื้อเสียหายน้อยกว่า มีเลือด การอักเสบ ความปวด และการอยู่ในโรงพยาบาลน้อยกว่า[12]
รายการต่อไปนี้เป็นตัวอย่างเทคนิคการเชื่อมกระดูกไขสันหลังที่สามัญเพื่อกระดูกแต่ละระดับ ๆ
การผ่าตัดกระดูกสันหลังส่วนคอจากด้านหน้า (ACDF) ระดับคอ Anterior cervical discectomy and fusion (ACDF)[5] Anterior cervical corpectomy and fusion[5] Posterior cervical decompression and fusion[5] ระดับอก Anterior decompression and fusion[5] Posterior instrumentation and fusion - มีอุปกรณ์หลายอย่างที่สามารถใช้ช่วยเชื่อมกระดูกสันหลังระดับอกรวมทั้ง sublaminar wiring, pedicle transverse process hooks, transverse process hooks, pedicle screw-rod systems, และ vertebral body plate systems[5] ระดับเอว Posterolateral Fusion - ปลูกถ่ายกระดูกที่ระหว่าง transverse process ด้านหลังของข้อกระดูก แล้วก็ยึดข้อกระดูกด้วยสกรูหรือ/และลวดผ่าน pedicle of vertebral arch ของข้อกระดูกแต่ละข้อโดยยึดกับท่อนโลหะที่ด้านข้าง Interbody Fusion - เอาหมอนกระดูกสันหลังทั้งอันระหว่างข้อกระดูกออก แล้วปลูกถ่ายกระดูกในช่องนั้น โดยอาจใส่อุปกรณ์ที่เป็นพลาสติก หรือไทเทเนียม ระหว่างข้อด้วย เพื่อรักษาแนวและความสูงของกระดูกสันหลัง การผ่าตัดมีแบบย่อยต่าง ๆ รวมทั้งAnterior lumbar interbody fusion (ALIF) - ผ่าหมอนรองกระดูกผ่านช่องท้องด้านหน้า Posterior lumbar interbody fusion (PLIF) - ผ่าหมอนรองกระดูกจากด้านหลัง Transforaminal lumbar interbody fusion (TLIF) - ผ่าหมอนรองกระดูกจากด้านหลังข้าง ๆ กระดูก Transpsoas interbody fusion (DLIF หรือ XLIF) - ผ่าหมอนรองกระดูกผ่านกล้ามเนื้อ psoas จากด้านหนึ่งของกระดูกสันหลัง Oblique lateral lumbar interbody fusion (OLLIF) - ผ่าหมอนรองกระดูกผ่านกล้ามเนื้อ psoas ในแนวเฉียง ท่อนวัสดุที่เชื่อมข้อกระดูกสันหล้งเพื่อทำให้เสถียร ความเสี่ยงและปัจจัย การเชื่อมกระดูกสันหลังเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงสูงและภาวะแทรกซ้อนอาจหนัก รวมทั้งถึงตายโดยทั่วไปแล้ว ความเสี่ยงจะสูงขึ้นในผู้มีอายุที่มีดัชนีมวลกาย สูง มีโรค อื่น มีโภชนาการ ที่ไม่ดีและมีอาการทางประสาทอื่น ๆ (เช่น เหน็บชา ไม่มีแรง ปัญหาการกลั้นปัสสาวะอุจจาระ) ก่อนผ่าตัด[5] ภาวะแทรกซ้อนยังขึ้นอยู่กับประเภทและขอบเขตของการผ่าตัดมีเวลาสามช่วงที่อาจมีภาวะแทรกซ้อน
ระหว่างการผ่าตัด การนอนของผู้ป่วยบนโต๊ะผ่าตัด[5] การเสียเลือด[5] ความเสียหายต่อประสาทและโครงสร้างรอบ ๆ ระหว่างการผ่าตัด[5] การใส่วัสดุเชื่อมกระดูก[5] การตัดเอากระดูกเผื่อปลูกถ่าย (ถ้าทำแบบ autograft)[5] ภายใน 2–3 วัน หลังผ่าตัดจากอาทิตย์เป็นปี ๆ การติดเชื้อ[5] การเสียรูป - เตี้ยลง หลังคด หรือส่วนที่เชื่อมกันล้ม[5] Pseudarthrosis - การไม่เชื่อมกันของข้อกระดูก ปัจจัยเสี่ยงรวมทั้งการสูบบุหรี่ ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAID) ภาวะกระดูกพรุน การผ่าตัดแก้ ภูมิคุ้มกัน อ่อนแอ[5] ภาวะโรคของข้อกระดูกที่อยู่ติดกัน คือการเสื่อมของข้อกระดูกเหนือ/ใต้ส่วนที่เชื่อมกัน เนื่องจากต้องทำงานมากขึ้น[5] พังผืดเหนือเยื่อดูรา (Epidural fibrosis) คือการเกิดแผลเป็นของเยื่อกระดูกรอบ ๆ กระดูกสันหลัง[5] เยื่ออะแร็กนอยด์อักเสบ (Arachnoiditis) คือเยื่อรอบ ๆ ไขสันหลังอักเสบ ปกติมีเหตุจากการติดเชื้อหรือสีที่ฉีด[5] การฟื้นตัว การฟื้นตัวหลังการเชื่อมกระดูกสันหลังต่างกันมาก โดยขึ้นอยู่กับศัลยแพทย์และประเภทการผ่าตัด[13] คนไข้จะอยู่ในโรงพยาบาลโดยเฉลี่ย 3.7 วัน[6] แต่ก็มีคนไข้บางพวกที่สามารถกลับบ้านในวันเดียวกันถ้าเป็นการเชื่อมกระดูกส่วนคอแบบง่าย ๆ และทำในศูนย์ผ่าตัดผู้ป่วยนอก[14] การผ่าตัดที่เจาะผ่าน้อย (Minimally invasive surgeries) ยังลดเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลอย่างสำคัญอีกด้วย[14] การฟื้นสภาพมักจะมีข้อจำกัดในกิจกรรมและการฝึกฟื้นสมรรถภาพ[15] โดยข้อจำกัดหลังจากการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับแพทย์
ช่วงเวลาปกติสำหรับข้อจำกัดต่าง ๆ หลังจากการผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลังส่วนเอวรวมทั้ง[15]
เดิน - คนไข้โดยมากสามารถลุกเดินวันต่อมาหลังจากผ่าตัด นั่ง - คนไข้สามารถเริ่มนั่งภายใน 1–6 สัปดาห์หลังจากผ่าตัด ยก - แพทย์โดยทั่วไปแนะนำให้หลีกเลี่ยงการยกจนกระทั่งสัปดาห์ที่ 12 การขับรถ - คนไข้อาจเริ่มขับรถได้ภายใน 3–6 สัปดาห์ การกลับไปนั่งทำงาน ปกติภายใน 3–6 สัปดาห์ การกลับไปทำงานที่ใช้แรง ภายใน 7–12 สัปดาห์ การบำบัดฟื้นฟูสภาพหลังจากการเชื่อมกระดูกสันหลังอาจไม่จำเป็นแต่ก็มีหลักฐานบ้างว่ามันช่วยกิจกรรมในชีวิตและลดความปวดหลัง ดังนั้น ศัลยแพทย์บางท่านก็จะแนะนำ[15]
สังคม ความบ่อย ตามรายงานของสำนักงานวิจัยและคุณภาพการรักษาสุขภาพสหรัฐ (AHRQ) ในปี 2554 มีการการผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูกสันหลัง 488,000 รายในโรงพยาบาลสหรัฐ (ที่อัตรา 15.7 ต่อประชากร 10,000) ซึ่งอยู่ในอัตรา 3.1% ของการผ่าตัดทั้งหมด[8]
คนดังอเมริกันที่ผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลัง เชิงอรรถและอ้างอิง บรรณานุกรม Cervical Spinal Fusion. WebMD.A Patient's Guide to Anterior Cervical Fusion. University of Maryland Medical Center.Boatright, K. C. and S. D. Boden. Chapter 12: Biology of Spine Fusion. In: Lieberman, J., et al., Eds. Bone Regeneration and Repair . Totowa, New Jersey: Humana Press. 2005. pp. 225-239. Holmes, C. F., et al. Chapter 9: Cervical Spine Injuries. In: Schenck, R. F., American Academy of Orthopedic Surgeons. Athletic Training in Sports Medicine. Jones & Bartlett Publishers. 2005. pp. 197-218. Camillo, F. X. Chapter 36: Arthrodesis of the Spine. In: Canale, S. T. and J. H. Beaty. Campbell's Operative Orthopaedics 2 . (11th Ed.). Philadelphia: Mosby. 2007. pp. 1851-1874. Williams, K. D. and A. L. Park. Chapter 39: Lower Back Pain and Disorders of Intervertebral Discs. In: Canale, S. T. and J. H. Beaty. Campbell's Operative Orthopaedics 2 . (11th Ed.). Philadelphia: Mosby. 2007. pp. 2159-2224. . Weyreuther, M., et al., Eds. Chapter 7: The Postoperative Spine. MRI Atlas: Orthopedics and Neurosurgery - The Spine . trans. B. Herwig. Berlin: Springer-Verlag. 2006. pp. 273-288. Tehranzadehlow, J., et al. (2005). Advances in spinal fusion. Seminars in Ultrasound, CT, and MRI 26(2) : 103-113. *Resnick, D. K., et al. Surgical Management of Low Back Pain (2nd Ed.). Rolling Meadows, Illinois: American Association of Neurosurgeons. 2008. Oblique Lateral Lumbar Interbody Fusion (OLLIF) : Technical Notes and Early Results of a Single Surgeon Comparative Study. NIH.Wheeless, C. R., et al., Eds. Fusion of the Spine. Wheeless' Textbook of Orthopaedics . Division of Orthopedic Surgery. Duke University Medical Center. Spinal Fusion. American Academy of Orthopaedic Surgeons. มิถุนายน 2010. สืบค้นเมื่อ 1 มิถุนายน 2013.Spinasanta, S. What is Spinal Instrumentation and Spinal Fusion? SpineUniverse. กันยายน 2012. สืบค้นเมื่อ 1 มิถุนายน 2013. Spinal fusion. Encyclopedia of Surgery. สืบค้นเมื่อ 1 มิถุนายน 2013.แหล่งข้อมูลอื่น