ตามนุษย์

ตามนุษย์ เป็นอวัยวะที่ตอบสนองต่อแสงและแรงดันในฐานะเป็นอวัยวะรับความรู้สึก ตาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทำให้สามารถเห็นได้ช่วยให้เห็นภาพเคลื่อนไหวเป็น 3 มิติ และปกติเห็นเป็นสีในช่วงกลางวันเซลล์รูปแท่งและเซลล์รูปกรวยในจอตาทำให้สามารถรับรู้แสงและเห็น รวมทั้งแยกแยะสีและรับรู้ความใกล้ไกลตามนุษย์สามารถแยกแยะสีได้ประมาณ 10 ล้านสี[1]และอาจสามารถตรวจจับโฟตอนแม้เพียงอนุภาคเดียวได้[2]

ตามนุษย์
ตาของมนุษย์ด้านขวาของใบหน้า แสดงตาขาวที่มีเส้นเลือดบางส่วน ม่านตาสีเขียว และรูม่านตาสีดำ
1. วุ้นตา 2. ora serrata 3. กล้ามเนื้อซิลิอารี 4. Zonule of Zinn 5. Schlemm's canal 6. รูม่านตา 7. ห้องหน้า 8. กระจกตา 9. ม่านตา 10. lens cortex 11. lens nucleus 12. ciliary process 13. เยื่อตา 14. กล้ามเนื้ออินฟีเรียร์ ออบลีก 15. กล้ามเนื้ออินฟีเรียร์ เรกตัส 16. กล้ามเนื้อมีเดียล เรกตัส 17. หลอดเลือดแดงและดำของจอตา 18. จานประสาทตา 19. เยื่อดูรา 20. central retinal artery 21. central retinal vein 22. เส้นประสาทตา 23. vorticose vein 24. bulbar sheath 25. จุดภาพชัด 26. รอยบุ๋มจอตา 27. sclera 28. choroid 29. กล้ามเนื้อซุพีเรียร์ เรกตัส 30. จอตา
รายละเอียด
ระบบระบบการเห็น
ตัวระบุ
ภาษาละตินOculi Hominum
ภาษากรีกἀνθρώπινος ὀφθαλμός
MeSHD005123
TA98A01.1.00.007
A15.2.00.001
TA2113, 6734
FMA54448
อภิธานศัพท์กายวิภาคศาสตร์

เหมือนกับตาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ เซลล์ปมประสาทไวแสง (photosensitive ganglion cell) ในจอตามนุษย์ซึ่งไม่ช่วยให้เห็นภาพ จะได้สัญญาณแสงซึ่งมีผลต่อการปรับขนาดรูม่านตา ควบคุมและระงับการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน และปรับตัวทางสรีรภาพและพฤติกรรมตามจังหวะรอบวัน (circadian rhythm)[3]

โครงสร้าง

ส่วนด้านนอกของตา

ตาไม่ได้กลมอย่างสมบูรณ์ เพราะเป็นส่วนสองส่วนที่เชื่อมเข้าด้วยกัน คือส่วนหน้า (anterior segment) และส่วนหลัง (posterior segment)ส่วนหน้ามีกระจกตา รูม่านตา และแก้วตา/เลนส์ตากระจกตาจะโปร่งแสงและโค้งกว่า และจะเชื่อมเข้ากับส่วนหลังที่ใหญ่กว่า ซึ่งมีวุ้นตา จอตา คอรอยด์ (choroid) และเปลือกนอกคือส่วนตาขาว (sclera)กระจกตาปกติจะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 11.5 มม. และหนา 1/2 มม. ใกล้ ๆ ตรงกลางส่วนหลังจะเป็นส่วน 5/6 ของตาโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางปกติที่ 24 มม.กระจกตาและตาขาวจะเชื่อมกันโดยส่วนที่เรียกว่า limbusส่วนม่านตาก็คือโครงสร้างรูปกลมมีสีซึ่งล้อมรอบส่วนกลางของตา คือ รูม่านตา ซึ่งปรากฏเป็นสีดำขนาดรูม่านตา ซึ่งควบคุมปริมาณแสงที่เข้ามาในตา จะปรับโดยกล้ามเนื้อไอริส ไดเลเตอร์ และไอริส สฟิงคเตอร์

พลังงานแสงจะเข้ามาในตาผ่านกระจกตา ผ่านรูม่านตา และจึงผ่านแก้วตา (เลนส์ตา)รูปร่างของแก้วตาจะเปลี่ยนไปเมื่อมองใกล้ ๆ ซึ่งควบคุมโดยกล้ามเนื้อซิลิอารีโฟตอนของแสงซึ่งตกลงที่เซลล์ไวแสงของจอตา (คือ เซลล์รูปกรวยและเซลล์รูปแท่ง) จะเปลี่ยนเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ส่งไปยังสมองผ่านประสาทตา (optic nerve) แล้วแปลผลให้เป็นการเห็น

ขนาด

ขนาดของตาจะต่าง ๆ กันระหว่างบุคคลเพียง 1-2 มม. โดยสม่ำเสมอมากแม้ข้ามกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆขนาดตามขวาง (transverse) ของตาผู้ใหญ่อยู่ที่ประมาณ 24.2 มม. ขนาดด้านตั้ง (sagittal) อยู่ที่ 23.7 มม. และขนาดจากข้างหน้าไปด้านหลัง (axial) อยู่ที่ 22.0-24.8 มม โดยไม่แตกต่างอย่างสำคัญระหว่างเพศ กลุ่มอายุต่าง ๆ และชาติพันธุ์ต่าง ๆ[4] โดยมีปริมาตรที่ 6 ซม3[5]และหนัก 7.5 กรัม[ต้องการอ้างอิง]

ลูกตาจะโตเร็วมาก โดยเริ่มจาก 16-17 มม. เมื่อเกิด ไปเป็น 22.5-23 มม. เมื่อถึงอายุ 3 ขวบโดยอายุ 13 ปี ตาก็จะโตเต็มที่แล้ว

แผนภาพตามนุษย์ ซึ่งแสดงภาพผ่าตามขวางของตาขวา

องค์ประกอบ

ตาแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ซึ่งล้อมรอบโครงสร้างทางกายวิภาคต่าง ๆ ชั้นนอกสุดเรียกว่า fibrous tunic ซึ่งประกอบด้วยกระจกตาและส่วนตาขาว (sclera)ชั้นกลางเรียกว่า vascular tunic หรือ uvea ซึ่งประกอบด้วยคอรอยด์ (choroid), ซิลิอารีบอดี (ciliary body), iris pigment epithelium, และม่านตา (iris)ชั้นในสุดคือจอตา ซึ่งได้ออกซิเจนจากหลอดเลือดของคอรอยด์ด้านหลังและจากเส้นเลือดจอตาด้านหน้า

ตาจะเต็มไปด้วยสารน้ำในลูกตา (aqueous humor) ในส่วนหน้าคือระหว่างกระจกตาและแก้วตา และเต็มไปด้วยวุ้นตา (vitreous body) ส่วนหลังแก้วตา คือเต็มส่วนหลังทั้งหมดสารน้ำเป็นน้ำใส ๆ ที่เต็มบริเวณสองบริเวณในตาคือห้องหน้า (anterior chamber) ระหว่างกระจกตาและม่านตา และห้องหลัง (posterior chamber) ระหว่างม่านตาและแก้วตาแก้วตาจะแขวนอยู่กับซิลิอารีบอดีด้วยเอ็นแขวนที่เรียกว่า Zonule of Zinnซึ่งเป็นเส้นใยละเอียดโปร่งแสงเป็นพัน ๆ และส่งแรงจากกล้ามเนื้อเพื่อเปลี่ยนรูปร่างของแก้วตาเมื่อปรับตาดูใกล้ไกลส่วนวุ้นตาเป็นวัสดุใส ๆ ทำจากน้ำและโปรตีน ซึ่งทำให้เหมือนวุ้นเหนียว ๆ[6]

การเห็น

ตามนุษย์มองจากด้านขมับประมาณ 90° แสดงม่านตาและรูม่านตาที่ดูเหมือนจะหมุนมาทางข้าง ๆ เนื่องจากคุณสมบัติแสงของกระจกตาและสารน้ำในลูกตา

ขอบเขตภาพ

ขอบเขตภาพ (field of view) ของตามนุษย์แต่ละคน จะขึ้นอยู่กับโครงสร้างของใบหน้าแต่ปกติจะจำกัดอยู่ที่ 30° ด้านขึ้น (จำกัดโดยคิ้ว), 45° ด้านจมูก (จำกัดโดยจมูก), 70° ด้านล่าง, และ 100° ด้านขมับ[7][8][9]เมื่อรวมการเห็นของตาทั้งสอง ลานสายตาจะจำกัดโดย 135° ด้านตั้ง และ 200° ด้านขวาง[10][11]เมื่อมองจากด้านข้าง ๆ โดยมุมกว้าง ม่านตาและรูม่านตาอาจจะมองเห็น ซึ่งแสดงว่าบุคคลอาจมองเห็นรอบนอกได้ที่มุมนั้น[12][13][14]

ประมาณ 15° ไปทางขมับ และ 1.5° ต่ำกว่าแนวนอน จะเป็นจุดบอด ซึ่งเกิดจากประสาทตาที่อยู่ทางด้านจมูก ซึ่งมีขนาดด้านตั้ง 7.5° และกว้าง 5.5°[15]

พิสัยพลวัต

จอตามีอัตราความเปรียบต่างสถิต (static contrast ratio) ราว ๆ 100:1 (ประมาณ 6.5 f-stop)ทันทีที่มันขยับไปอย่างรวดเร็ว (saccade) แล้วมองที่เป้าหมาย มันก็จะเปลี่ยนการเปิดรับแสงโดยปรับม่านตา ซึ่งเป็นตัวแปลงขนาดรูม่านตา

การปรับตัวต่อความมืดขั้นเบื้องต้นจะเกิดเมื่ออยู่ในที่มืดสนิทติดต่อกันประมาณ 4 วินาทีส่วนการปรับตัวถึง 80% ของเซลล์รูปแท่งไวแสงในจอตาจะเกิดภายใน 30 นาทีโดยไม่ได้เกิดอย่างเชิงเส้นแต่มีลักษณะซับซ้อน และการขัดจังหวะรับแสงจะทำให้ต้องเริ่มกระบวนการปรับตัวอีกการปรับตัวได้เต็มที่จะขึ้นอยู่กับการไหลเวียนเลือดที่ดีซึ่งอาจติดขัดเนื่องจากโรคจอตา การไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี หรือการอยู่ในที่สูง[ต้องการอ้างอิง]

ตามนุษย์สามารถรับแสงสว่างในพิสัยถึง 1014 หรือหนึ่งร้อยล้านล้าน (100,000,000,000,000) ซึ่งเท่ากับ 46.5 f-stop คือตั้งแต่จาก 10−6 cd/m2 หรือ 0.000001 (หนึ่งในล้าน) แคนเดลาต่อตารางเมตร จนถึง 108 cd/m2 หรือร้อยล้าน (100,000,000) แคนเดลาต่อตารางเมตร[16][17][18]เป็นพิสัยที่ไม่รวมการมองพระอาทิตย์ในเวลาเที่ยง (109 cd/m2)[19]หรือฟ้าผ่า

ที่ล่างสุดของพิสัยเป็นระดับขีดเริ่มเปลี่ยนสัมบูรณ์ของการเห็นเมื่อมีแสงทั่วขอบเขตการเห็น เป็นแสงในระดับ 10−6 cd/m2[20][21]ที่บนสุดของพิสัยการเห็นปกติจะอยู่ที่ 108 cd/m2[22]

ตามีเลนส์ (แก้วตา) เหมือนกับที่พบในอุปกรณ์แสงเช่นกล้องถ่ายรูป และอยู่ใต้หลักฟิสิกส์ที่เหมือนกันโดยรูม่านตาก็คือรูรับแสงของมันส่วนม่านตาก็คือกลีบรูรับแสง/ไดอะแฟรมที่เป็นตัวเปิดปิดรูรับแสงแต่การหักเหแสงที่กระจกตาจะมีผลทำให้ขนาดยังผลของรูรับแสงต่างจากเส้นผ่าศูนย์กลางของรูม่านตาจริง ๆรูม่านตาปกติจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4 มม. แต่ก็อาจมีพิสัยระหว่าง 2 มม. (f/8.3) ในที่สว่างจนถึง 8 มม. (f/2.1) ในที่มืดค่าหลังนี่ยังลดลงช้า ๆ ตามอายุอีกด้วยคือผู้สูงอายุบางครั้งจะไม่ขยายรูม่านตาเกินกว่า 5-6 มม. ในที่มืด และรูอาจเล็กถึง 1 มม. ในที่สว่าง[23][24]

จุดสว่างกลม ๆ ก็คือ จานประสาทตา (optic disc) ซึ่งเป็นจุดที่เส้นประสาทตาออกจากจอตา
ภาพ MRI ของตามนุษย์
ตาและเบ้าตาที่เป็นปกติ มองจากด้านหน้า

การเคลื่อนตา

ระบบการเห็นในสมองมนุษย์ช้าเกินที่จะประมวลข้อมูล ถ้าภาพวิ่งข้ามจอตาได้เร็วกว่าไม่กี่องศาต่อวินาที[25]ดังนั้น เพื่อให้มองเห็นเมื่อกำลังเคลื่อนไหว สมองจะต้องชดเชยการเคลื่อนไหวของศีรษะโดยกลอกตาสัตว์ที่มีตาหันไปทางด้านหน้ามจะมีบริเวณเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งในจอตาที่เห็นได้ชัดมาก คือ รอยบุ๋มจอตาซึ่งครอบคลุมมุมการมองเห็นประมาณ 2 องศาในมนุษย์เพื่อจะให้เห็นได้ชัด สมองจะต้องกลอกตาให้ภาพของวัตถุเป้าหมายตกลงที่รอยบุ๋มจอตาความล้มเหลวในการเคลื่อนตาอย่างถูกต้อง อาจทำให้เห็นภาพได้ไม่ดี

การมีสองตาทำให้สมองสามารถรู้ความใกล้ไกลของวัตถุ และให้ความรู้สึกว่าภาพมี 3 มิติทั้งสองตาจะต้องมองแม่นพอเพื่อให้วัตถุเป้าหมายตกลงที่จุดซึ่งสอดคล้องกันที่จอตาทั้งสองซึ่งทำให้เห็นเป็น 3 มิติไม่เช่นนั้นแล้ว ก็อาจจะเห็นภาพซ้อนคนที่มีตาเหล่แต่กำเนิดมักจะไม่สนใจสิ่งที่เห็นจากตาข้างหนึ่ง จึงไม่เห็นเป็นภาพซ้อน แต่ก็ไม่เห็นเป็น 3 มิติ

กล้ามเนื้อตา 6 มัดที่ติดอยู่กับตาแต่ละข้าง จะเป็นตัวควบคุมการเคลื่อนไของตา ซึ่งทำให้เหลือบตาขึ้นลง เหล่ตาเข้า เหล่ตาออก และหมุนตาได้กล้ามเนื้อเหล่านี้ควบคุมโดยทั้งจิตใต้สำนึกและเหนือสำนึก เพื่อตามมองวัตถุและชดเชยการเคลื่อนไหวศีรษะไปพร้อม ๆ กัน

กล้ามเนื้อตา (extraocular muscles)

ตาแต่ละข้างมีกล้ามเนื้อหกมัดที่ควบคุมการเคลื่อนไหว คือกล้ามเนื้อ lateral rectus, medial rectus, inferior rectus, superior rectus, inferior oblique, และ superior obliqueเมื่อกล้ามเนื้อหดเกร็งต่าง ๆ กัน ก็จะเกิดทอร์ก/แรงบิดซึ่งหมุนลูกตา โดยเป็นการหมุนเกือบล้วน ๆ และเคลื่อนไปข้าง ๆ เพียงแค่ประมาณมิลลิเมตรเดียว[26]ดังนั้น จึงสามารถมองได้ว่าตาหมุนรอบจุด ๆ เดียวตรงกลาง

การเคลื่อนตาอย่างรวดเร็ว

การเคลื่อนตาอย่างรวดเร็ว (rapid eye movement, REM) ปกติจะหมายถึงระยะการนอนหลับที่ฝันอย่างชัดเจนที่สุดในระยะนี้ ตาจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่ใช่การเคลื่อนไหวตาชนิดพิเศษ

Saccades

Saccade เป็นการเคลื่อนไหวตาทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กันในทิศทางเดียวกันซึ่งควบคุมโดยสมองกลีบหน้ายังมีการเบี่ยงตาเล็ก ๆ ที่ไม่ปกติ ซึ่งหมุนตาได้ถึง 1/10 องศา โดยน้อยกว่า saccade แต่มากกว่า microsaccade

Microsaccades

แม้เมื่อเพ่งมองที่จุด ๆ เดียว ตาก็จะเบี่ยงไปรอบ ๆ เพื่อให้เซลล์ไวแสงได้การกระตุ้นที่ต่าง ๆ กันเพราะถ้าไม่เปลี่ยนการกระตุ้น เซลล์เหล่านี้จะหยุดส่งสัญญาณmicrosaccade จะขยับตาไม่เกิน 0.2° ในมนุษย์ผู้ใหญ่

Vestibulo-ocular reflex

vestibulo-ocular reflex เป็นรีเฟล็กซ์การเคลื่อนไหวตาที่ทำภาพซึ่งตกลงที่จอตาให้เสถียรในช่วงการเคลื่อนไหวศีรษะ โดยขยับตาไปทางทิศตรงกันข้ามของการเคลื่อนไหวศีรษะ เป็นการตอบสนองต่อข้อมูลการเคลื่อนไหวที่ได้จาก vestibular system ในหูชั้นใน ทำให้สามารถดำรงภาพให้อยู่ที่กลางลานสายตาได้ยกตัวอย่างเช่น เมื่อศีรษะขยับไปทางขวา ตาก็จะขยับไปทางซ้ายโดยเป็นอย่างนี้ทั้งหมดเมื่อขยับศีรษะขึ้นลง ซ้ายขวา โดยทั้งหมดให้ข้อมูลแก่กล้ามเนื้อตาเพื่อดำรงความเสถียรของภาพ

Smooth pursuit movement

ตายังสามารถมองตามวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่เป็นการตามที่ไม่แม่นเท่ากับ vestibulo-ocular reflex เพราะสมองต้องประมวลข้อมูลทางตาแล้วส่งข้อมูลป้อนกลับการมองตามวัตถุที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วคงที่ค่อนข้างง่าย แม้ตาอาจจะต้องขยับแบบ saccade ด้วยเพื่อให้ตามทันการเคลื่อนไหวแบบนี้สามารถขยับตาได้เร็วถึง 100°/วินาทีในผู้ใหญ่

Optokinetic reflex

รีเฟล็กซ์แบบ optokinetic reflex/optokinetic nystagmus จะทำให้ภาพบนจอตาเสถียรผ่านกระบวนการป้อนกลับของการเห็นซึ่งเกิดเมื่อภาพที่เห็นทั้งหมดเลื่อนข้ามจอตา ทำให้ตาหมุนไปในทางเดียวกันและเร็วพอที่จะลดการเคลื่อนที่ของภาพที่จอตาให้น้อยที่สุด[27]เมื่อสิ่งที่กำลังมองออกนอกการมองเห็นตรง ๆ มากเกินไป ก็จะเกิดการเคลื่อนไหวแบบ saccade ให้กลับมามองที่กลางลานสายตายกตัวอย่างเช่น เมื่อมองนอกหน้าต่างที่รถไฟซึ่งกำลังวิ่งไป ตาสามารถโฟกัสที่รถไฟเคลื่อนที่ได้ระยะสั้น ๆ (โดยทำภาพให้เสถียรที่จอตา) จนกระทั่งรถไฟวิ่งออกนอกขอบเขตการเห็นที่จุดนี้ ตาจะกลับมามองที่จุดซึ่งเริ่มมองเห็นรถไฟด้วยการเคลื่อนที่แบบ saccade

การมองใกล้

ตาทั้งสองเบนคนละทิศเพื่อเห็นวัตถุเดียวกัน

การปรับตาให้เห็นใกล้ ๆ เป็นกระบวนการ 3 ขั้นตอนที่โฟกัสภาพลงที่จอตา

การเบนคนละทิศ (Vergence movement)

เมื่อสัตว์ที่เห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตามองที่วัตถุหนึ่ง ๆ ตาจะต้องหมุนรอบแกนแนวตั้งเพื่อให้ภาพตกลงที่กลางจอตาทั้งสองข้างเพื่อดูวัตถุใกล้ ๆ ตาจะเบนเข้าหากัน แต่สำหรับวัตถุไกล ๆ ตาจะเบนออกจากกัน

การหดรูม่านตา

เลนส์ไม่สามารถเบนแสงที่ขอบ ๆ ได้ดีเท่ากับส่วนตรงกลางดังนั้น ภาพที่เกิดจากเลนส์ทุกอันจะค่อนข้างมัว ๆ ที่ใกล้ ๆ ขอบ (เป็นความพร่าเหตุขอบเลนส์)ซึ่งลดได้ถ้ากันไม่มองแสงที่ขอบ ๆ โดยมองแต่ที่ตรงกลางซึ่งมีโฟกัสดีกว่าในตา รูม่านตาทำหน้าที่นี้โดยหดลงเมื่อตามองที่วัตถุใกล้ ๆรูรับแสงที่เล็กยังเพิ่มช่วงความชัด (depth of field) คือทำให้เห็นได้ชัดในช่วงใกล้ไกลที่มากกว่าอีกด้วยด้วยเหตุนี้ รูม่านตาจึงมีหน้าที่สองอย่างสำหรับการมองใกล้ คือลดความพร่าเหตุขอบเลนส์และเพิ่มช่วงความชัด[28]

การปรับเลนส์ดูใกล้ไกล

การเปลี่ยนความโค้งนูนของเลนส์เป็นหน้าที่ของกล้ามเนื้อซิลิอารีซึ่งอยู่รอบ ๆ เลนส์เป็นกระบวนการที่เรียกว่า การปรับตาดูใกล้ไกล (accommodation)ซึ่งลดเส้นผ่านศูนย์กลางส่วนในของกล้ามเนื้อซิลิอารี คลายใยเอ็นแขวน (suspensory ligament) ที่ยึดอยู่กับส่วนรอบ ๆ ของเลนส์ และคลายเลนส์ให้มีรูปนูนหรือกลมขึ้นเลนส์ที่นูนกว่าจะเบนแสงได้มากกว่าและโฟกัสแสงแบบลู่ออกของวัตถุใกล้ ๆ ลงที่จอตา ทำให้วัตถุใกล้ ๆ มีโฟกัสที่ดีกว่า[28][29]

การแพทย์

ผู้ดูแลตา

ตามนุษย์ซับซ้อนพอจำเป็นให้มีการใส่ใจและการดูแลนอกเหนือจากที่ทำโดยแพทย์ทั่วไปผู้ชำนาญในเรื่องตา หรือผู้มีวิชาชีพดูแลตา จะทำหน้าที่ต่าง ๆ กันในประเทศต่าง ๆและอาจมีสิ่งที่ทำเหลื่อมกันเมื่อดูแลคนไข้ เช่น ทั้งจักษุแพทย์และนักตรวจปรับสายตา (optometrist) สามารถวินิจฉัยโรคตาและวัดสายตาเพื่อทำแว่นตาแต่ปกติแล้ว จักษุแพทย์มีใบอนุญาตให้ผ่าตัดและปฏิบัติการที่ซับซ้อนอื่น ๆ เพื่อรักษาโรคสาขาวิชาชีพที่ดูแลตาต่าง ๆ รวมทั้ง

ความระคายเคืองตา

เยื่อตาอักเสบ คือตาแดงที่ตาขาวรอบ ๆ ม่านตาและรูม่านตา

ความระคายเคืองตาอาจนิยามได้ว่า "ความรู้สึกเจ็บ คัน แสบ หรือระคายเคืองอื่น ๆ ที่มาจากตา"[30]มันเป็นปัญหาสามัญที่ทุกคนมีอาการที่เกี่ยวข้องกันรวมทั้งความรู้สึกไม่สบาย ตาแห้ง น้ำตาไหล คัน ระคาย เหมือนมีของแปลกปลอมที่ตา ล้า ปวด แสบ เจ็บ แดง หนังตาบวม เหนื่อย เป็นต้นโดยมีระดับต่าง ๆ ตั้งแต่เบา ๆ จนถึงรุนแรงมีการเสนอว่าอาการเหล่านี้สัมพันธ์กับเหตุเกิดต่าง ๆ กัน และจะสัมพันธ์กับโครงสร้างตาที่เกี่ยวข้อง[31]

มีการศึกษาปัจจัยที่สงสัยว่าเป็นเหตุหลายอย่าง[30]สมมติฐานหนึ่งก็คือ มลพิษอากาศภายในอาคารเป็นเหตุให้ระคายเคืองตาและทางลมหายใจ[32][33]ความระคายเคืองตาจะขึ้นอยู่กับการเสียความเสถียรของฟิลม์น้ำตาด้านนอก ซึ่งกระจกตาส่วนที่แห้ง จะทำให้รู้สึกไม่สบายตา[32][34][35]

ปัจจัยทางอาชีพก็น่าจะมีผลต่อความรู้สึกระคายเคืองตาด้วยรวมทั้งแสงไฟ (แสงสว่างเกินและมีความเปรียบต่างต่ำ) อิริยาบถในการมอง อัตราการกะพริบตาที่ลดลง การหยุดพักน้อยเกินในงานที่ใช้ตามาก และการปรับตาดูใกล้ไกลแบบไม่ค่อยเปลี่ยน ภาระต่อกระดูกและกล้ามเนื้อ และปัญหาระบบประสาทเนื่องกับการเห็น[36][37]

แผนภาพของตามนุษย์ (ตาขวาผ่าตามแนวนอน คือ horizontal section) 1. เยื่อตา, 2. ส่วนตาขาว, 3. กระจกตา, 4. สารน้ำในลูกตา, 5. แก้วตา, 6. รูม่านตา, 7. ผนังลูกตาชั้นกลางพร้อมกับ 8. ม่านตา, 9. ซิลิอารีบอดี และ 10. คอรอยด์; 11. วุ้นตา, 12. จอตาพร้อมกับ 13. จุดภาพชัด; 14. จานประสาทตา → จุดบอด, 15. เส้นประสาทตา
แผนภาพตามนุษย์ (ตาขวาผ่าตามแนวนอน คือ horizontal section)
1. แก้วตา, 2. Zonule of Zinn หรือ Ciliary zonule, 3. ห้องหลัง และ 4. ห้องหน้า พร้อมกับ 5. การไหลของสารน้ำในลูกตา; 6. รูม่านตา, 7. Corneosclera or Fibrous tunic พร้อมกับ 8. กระจกตา, 9. Trabecular meshwork และ Schlemm's canal. 10. คอร์เนียล ลิมบัส และ 11. ส่วนตาขาว; 12. เยื่อตา, 13. ผนังลูกตาชั้นกลาง พร้อมกับ 14. ม่านตา, 15. ซิลิอารีบอดี (พร้อมกับ a: pars plicata และ b: pars plana) และ 16. คอรอยด์); 17. Ora serrata, 18. วุ้นตา พร้อมกับ 19. Hyaloid canal/(old artery), 20. จอตา พร้อมกับ 21. จุดภาพชัด, 22. รอยบุ๋มจอตา และ 23. จานประสาทตา → จุดบอด; 24. แกนเชิงแสงของตา (Optical axis of the eye) 25. แกนของตา (Axis of eye), 26. ประสาทตา พร้อมกับ 27. เยื่อดูรา, 28. Tenon's capsule หรือ bulbar sheath, 29. เอ็น, 30. ส่วนหน้า, 31. ส่วนหลัง, 32. Ophthalmic artery, 33. Artery และ central retinal vein → 36. เส้นเลือดที่จอตา; Ciliary arteries (34. Short posterior ones, 35. Long posterior ones และ 37. Anterior ones), 38. Lacrimal artery, 39. Ophthalmic vein, 40. Vorticose vein, 41. กระดูกเอทมอยด์, 42. กล้ามเนื้อมีเดียล เรกตัส, 43. กล้ามเนื้อแลทเทอรัล เรกตัส, 44. กระดูกสฟีนอยด์.

ปัจจัยอีกอย่างที่อาจเกี่ยวข้องก็คือความเครียดเนื่องกับงาน[38][39] นอกจากนั้น งานวิเคราะห์โดยการแจกแจงหลายตัวแปรยังพบว่า ปัจจัยทางจิตใจสัมพันธ์กับการระคายเคืองตามากขึ้น สำหรับผู้ที่ใช้จอมอนิเตอร์[40][41]

ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น สารเคมีที่เป็นพิษหรือทำให้ระคายเคือง(เช่น amine, ฟอร์มาลดีไฮด์, acetaldehyde, acrolein, N-decane, สารประกอบอินทรีย์ระเหยได้, โอโซน, สารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์และสารกันเสีย, สารก่อภูมิแพ้ เป็นต้น)ก็อาจทำให้ตาระคายเคืองด้วยสารประกอบอินทรีย์ระเหยได้ที่ทั้งไวปฏิกิริยาและเป็นตัวระคายต่อทางเดินลมหายใจ ก็อาจทำให้ตาระคายเคือง

ปัจจัยส่วนตัวต่าง ๆ (เช่น การใช้เลนส์สัมผัส การแต่งตา และยาบางชนิด)ก็อาจทำให้ฟิลม์น้ำตาเสียความเสถียรและอาจมีผลเป็นอาการทางตาต่าง ๆ[31]อย่างไรก็ดี ถ้าอนุภาคในอากาศเพียงอย่างเดียวทำฟิลม์น้ำตาให้ไม่เสถียรแล้วก่อความระคายเคือง มันก็จะต้องมีสารประกอบที่รบกวนผิวน้ำตาค่อนข้างสูง[31]

แบบจำลองเบ็ดเสร็จของความเสี่ยงทางสรีรภาพซึ่งแสดงว่า ความถี่การกะพริบตา การเกิดความไม่เสถียร และการสลายไปของฟิลม์น้ำตา เป็นปรากฏการณ์ที่แยกจากกันไม่ได้ อาจสามารถอธิบายความระคายเคืองตาของพนักงานในสำนักงานโดยอาศัยอาชีพ สภาพอากาศ และปัจจัยเสี่ยงทางสรีรภาพเกี่ยวกับตา[31]

มีวิธีการวัดความระคายเคืองตาหลัก ๆ สองแบบแบบแรกก็คือความถี่การกะพริบตา ซึ่งสามารถสังเกตได้โดยพฤติกรรมแบบอื่น ๆ รวมทั้ง break up time, การไหลของน้ำตา, ภาวะเลือดคั่ง, ลักษณะทางเซลล์เกี่ยวกับน้ำตา, และความเสียหายต่อเนื้อเยื่อบุผิว (โดย vital staining) เป็นต้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาทางสรีรภาพของมนุษย์

ความถี่การกะพริบตานิยามว่า จำนวนการกะพริบตาต่อนาที โดยเกี่ยวข้องกับความระคายเคืองตาความถี่เฉลี่ยจะต่างกันในบุคคลต่าง ๆ เริ่มตั้งแต่น้อยกว่า 2-3 ครั้ง/นาที จนถึง 20-30 ครั้ง/นาที และจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รวมทั้งการใช้เลนส์สัมผัสเป็นต้น ภาวะขาดน้ำ กิจกรรมทางใจ สภาพการทำงาน อุณหภูมิห้อง ความชื้นสัมพัทธ์ และแสงสว่างล้วนแต่มีอิทธิพลต่อความถี่การกะพริบตา

break up time (BUT) เป็นค่าวัดความระคายเคืองตาและเสถียรภาพของฟิลม์น้ำตาที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง[42]โดยมีนิยามเป็นช่วงเวลา (วินาที) ระหว่างการกะพริบตาและการแตกของฟิลม์น้ำตาBUT พิจารณาว่าสะท้อนถึงเสถียรภาพของฟิลม์น้ำตาด้วยในบุคคลปกติ BUT จะมากกว่าช่วงระหว่างการกะพริบตา และดังนั้น ฟิลม์น้ำตาจึงคงอยู่ได้[31]

งานศึกษาต่าง ๆ ได้แสดงว่า ความถี่การกะพริบตาจะมีสหสัมพันธ์ในเชิงลบกับ BUTปรากฏการณ์นี้ชี้ว่า ความระคายเคืองตาที่รู้สึกจะสัมพันธ์กับการกะพริบตาถี่ขึ้นเพราะทั้งกระจกตาและเยื่อตามีปลายประสาทไวความรู้สึกที่เป็นส่วนสาขาแรกของประสาทไทรเจมินัล[43][44]

วิธีอื่น ๆ รวมทั้ง ภาวะเลือดคั่ง (hyperemia) ลักษณะต่าง ๆ ทางเซลล์ เป็นต้น ก็ได้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อประเมินความเคืองตา

มีปัจจัยอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับความระคายเคืองตาด้วยสามอย่างที่มีอิทธิพลสูงสุดรวมทั้งมลพิษอากาศภายในอาคาร การใช้เลนส์สัมผัส และความแตกต่างระหว่างเพศ

งานศึกษาในสนามพบว่า ความชุกของอาการระคายเคืองตาที่เป็นปรวิสัย บ่อยครั้งจะต่างอย่างสำคัญระหว่างพนักงานในสำนักงาน เทียบกับตัวอย่างสุ่มจากกลุ่มประชากรทั่วไป[45][46][47][48] งานวิจัยเหล่านี้อาจชี้ว่า มลพิษอากาศภายในอาคารอาจมีบทบาทสำคัญทำให้ตาระคายเคือง

ปัจจุบันมีคนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ใส่เลนส์สัมผัส และตาแห้งดูเหมือนจะเป็นปัญหาที่บ่นมากที่สุดสำหรับผู้ใส่[49][50][51] แม้ทั้งคนใส่เลนส์สัมผัสและคนใส่แว่นจะประสบอาการตาระคายเคืองเหมือน ๆ กัน แต่ตาแห้ง ตาแดง และการเหมือนกับมีก้อนกรวด/ทรายในตา จะรายงานในคนใส่เลนส์สัมผัสบ่อยครั้งกว่า และรุนแรงมากกว่า เทียบกับคนใส่แว่น[51]

งานศึกษาต่าง ๆ ได้แสดงว่าความชุกของตาแห้งจะเพิ่มขึ้นตามอายุ[52][53] โดยเฉพาะในหญิง[54] BUT หรือเสถียรภาพของฟิลม์น้ำตา จะต่ำกว่าชายอย่างสำคัญ นอกจากนั้น หญิงยังกะพริบตาถี่กว่าเมื่ออ่านหนังสือ[55]ปัจจัยหลายอย่างอาจมีผลให้เกิดความแตกต่างระหว่างเพศอย่างหนึ่งก็คือการใช้เครื่องสำอางแต่งตาอีกอย่างอาจคือว่า หญิงในงานศึกษาที่ว่าทำงานเกี่ยวกับจอมอนิเตอร์มากกว่าชาย รวมทั้งงานในระดับต่ำกว่าเหตุผลที่มักอ้างที่สามก็คือการลดการหลั่งน้ำตาตามอายุ โดยเฉพาะในหญิงอายุมากกว่า 40 ปี[54][56][57]

มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิสได้ทำงานศึกษาเกี่ยวกับความถี่ของอาการที่รายงานในอาคารอุตสาหกรรม[58] ผลงานแสดงว่า ความเคืองตาเป็นอาการที่รายงานบ่อยที่สุดในอาคารอุตสาหกรรมในสหรัฐอเมริกาที่ 81%

นอกจากนั้น ความกังวลเกี่ยวกับผลลบต่อสุขภาพของพนักงานที่ทำงานในอาคารสำนักงานที่ใช้เครื่องใช้สำนักงานต่าง ๆ ก็ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[59]ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970 มีรายงานที่สัมพันธ์อาการที่เยื่อเมือก ที่ผิวหนัง และอาการทั่วไปอื่น ๆ กับกระดาษที่ทำก๊อปปี้เองได้จึงมีการเสนอละอองธุลีและสารระเหยต่าง ๆ ว่าเป็นเหตุอาการเหล่านี้ได้สัมพันธ์กับ sick building syndrome (SBS) ซึ่งมีอาการเช่นความเคืองตา เคืองผิวหนัง เคืองทางเดินลมหายใจด้านบน ปวดหัว และล้า[60]

อาการหลายอย่างของ SBS และ multiple chemical sensitivity (MCS) คล้ายกับอาการที่มีเหตุจากสารเคมีระคายเคืองที่อยู่ในอากาศ[61]งานศึกษาหนึ่งตรวจสอบอาการระคายเคืองอย่างเฉียบพลันของตาและทางเดินลมหายใจ ที่ประสบกับฝุ่นโซเดียมบอเรต (sodium borate) เนื่องกับอาชีพ[62]การประเมินอาการของคน 79 คนที่ได้รับฝุ่น และ 27 คนที่ไม่ได้รับรวมการสัมภาษณ์ก่อนช่วงการทำงานและหลังจากนั้นทุก ๆ ชม. ตลอด 6 ชม. ซึ่งเป็นช่วงเวลาการทำงาน โดยประเมิน 4 วันติดต่อกัน[62]การได้รับฝุ่นได้เฝ้าสังเกตไปพร้อม ๆ กันโดยใช้เครื่องตรวจละอองลอยในเวลาจริงการวิเคราะห์ใช้ข้อมูลการประสบกับฝุ่นในสองรูปแบบ คือค่าเฉลี่ยที่ได้ต่อวัน และค่าเฉลี่ยในระยะสั้น ๆ (คือ 15 นาที)ความสัมพันธ์ระหว่างการได้รับฝุ่นกับการตอบสนอง ประเมินโดยเชื่อมอัตราความชุกของอาการแต่ละชนิดกับการได้รับฝุ่นทั้งสองรูปแบบ[62]

อัตราความชุกแบบเฉียพลันของความระคายเคืองต่อจมูก ตา และคอ บวกกับการไอและการหายใจไม่ออกพบว่า สัมพันธ์กับการได้รับฝุ่นเพิ่มขึ้นในทั้งสองรูปแบบแต่ความชันของการได้รับฝุ่น-การตอบสนองจะสูงกว่าเมื่อใช้ข้อมูลการได้รับฝุ่นระยะสั้นการวิเคราะห์โดย multivariate logistic regression แสดงว่า ผู้สูบบุหรี่มักจะไวต่อการประสบกับฝุ่นโซเดียมบอเรตในอากาศน้อยกว่า[62]

บุคคลสามารถทำอะไรได้หลายอย่างเพื่อป้องกันการเคืองตา

  • พยายามรักษาการกะพริบตาให้เป็นปกติโดยหลีกเลี่ยงอุณหภูมิห้องที่สูงเกินไป เลี่ยงความชื้นสัมพัทธ์ที่สูงหรือต่ำเกินไป เพราะจะลดอัตราการกะพริบตาหรืออาจเพิ่มการระเหยน้ำ[31]
  • พยายามรักษาฟิลม์น้ำตาไม่ให้เสียโดยทำสิ่งต่อไปนี้
    1. การกะพริบตาหรือการพักสั้น ๆ อาจมีประโยชน์สำหรับผู้ใช้จอมอนิเตอร์[63][64] เพราะการทำอย่างนี้อาจช่วยรักษาฟิลม์น้ำตา
    2. แนะนำให้มองลงเพื่อลดพื้นที่ตาและลดการระเหยน้ำ[65][66][67]
    3. ควรวางจอมอนิเตอร์ให้ห่างจากคีย์บอร์ดเป็นระยะน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้มองลงและลดการระเหยน้ำให้น้อยที่สุด[68]
    4. การฝึกกะพริบตาอาจเป็นประโยชน์[69]

นอกจากนั้น การป้องกันอื่น ๆ รวมทั้งการรักษาเปลือกตาให้ถูกสุขภาพ การเลี่ยงการขยี้ตา[70] และการใช้เครื่องใช้ส่วนตัว (เครื่องสำอาง สบู่ เป็นต้น) และยาให้ถูกต้อง เครื่องสำอางตาควรใช้อย่างระมัดระวัง[71]

พฤติกรรมแบบกามวิปริตคือ การเลียลูกตา (oculolinctus) อาจทำให้เกิดความระคายเคือง การติดเชื้อ หรือความเสียหายต่อตา[72]

โรคตา

มีโรคตา ความผิดปกติทางตา และความเปลี่ยนแปลงตามอายุหลายอย่างที่อาจมีผลต่อตาและโครงสร้างรอบ ๆ

เมื่ออายุมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างจะจัดได้โดยส่วนเดียวว่ามาจากการมีอายุมากขึ้นกระบวนการทางกายวิภาคและสรีรภาพเหล่านี้โดยมาก เป็นการเสื่อมลงอย่างช้า ๆเมื่ออายุมากขึ้น คุณภาพการเห็นจะลดลงเนื่องจากเหตุที่เป็นอิสระจากโรคตาแม้จะมีความเปลี่ยนแปลงสำคัญหลายอย่างในตาที่ไม่เป็นโรคความเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อการทำงานมากที่สุดก็คือ การลดขนาดรูม่านตาและการเสียการปรับตาดูใกล้ไกล คือสมรรถภาพในการโฟกัส (โดยเฉพาะคือ presbyopia)ขนาดของรูม่านตาจะเป็นตัวควบคุมปริมาณแสงที่เข้ามาถึงจอตาระดับที่รูม่านตาสามารถขยายจะลดลงตามอายุ ทำให้แสงที่เข้ามาถึงจอตาลดลงมากเทียบกับคนอายุน้อยกว่า คนสูงอายุดูเหมือนจะใส่แว่นกันแดดที่มืดในระดับกลาง ๆ อยู่ตลอดเวลาดังนั้น เมื่อต้องใช้ตาทำงานที่จะออกมาดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับระดับแสงสว่าง ผู้สูงอายุจะต้องได้แสงสว่างมากกว่า

โรคตาบางชนิดอาจมาจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เริมหรือหูดหงอนไก่ถ้ามีการติดต่อสัมผัสระหว่างบริเวณที่ติดเชื้อกับตา โรคอาจไปติดที่ตา[73]

เมื่ออายุมากขึ้น จะเกิดวงแหวนรอบ ๆ กระจกตาที่เรียกว่า เส้นขอบกระจกตาวัยชรา (arcus senilis)นอกจากนั้น หนังตาก็จะหย่อนและไขมันของเบ้าตาก็จะฝ่อลงความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นสมุฏฐานของโรคหนังตาหลายประเภทรวมทั้งขอบตาแบะ (ectropion) ขอบตาม้วนเข้า และหนังตาตกวุ้นตาจะเหลวขึ้น (posterior vitreous detachment, PVD) และจะทึบขึ้น โดยเห็นเป็นวัสดุลอย (floater) มากขึ้นเรื่อย ๆ

ผู้มีวิชาชีพดูแลตารวมทั้งจักษุแพทย์ นักตรวจปรับสายตา (optometrist) และนักประกอบแว่น (optician) จะเป็นผู้ดูแลบริการในเรื่องตาและโรคตาแผนภาพสเนลเลน (Snellen chart) สามารถวัดการเห็นได้ชัด (visual acuity) วิธีหนึ่งหลังจากได้ตรวจตา หมอตาอาจจะให้ใบค่าตรวจตาแก่คนไข้เพื่อตัดแว่นสายตาโรคตาบางชนิดที่จำเป็นต้องใช้แว่นสายตารวมทั้งสายตาสั้น ซึ่งประชากรมนุษย์ประมาณ 1/3 จะมี[ต้องการอ้างอิง],สายตายาว (hyperopia) ซึ่งประชากรมนุษย์ประมาณ 1/4 มี,สายตาเอียง, และสายตาผู้สูงอายุ (presbyopia) ซึ่งเป็นการเสียพิสัยการโฟกัสเมื่ออายุมากขึ้น

โรคจุดภาพชัดเสื่อม (Macular degeneration)

โรคจุดภาพชัดเสื่อม (Macular degeneration) จะชุกเป็นพิเศษในสหรัฐอเมริกาโดยมีคนเป็นโรค 1.75 ล้านคนต่อปี[74]โดยการมีระดับลูทีน (lutein) และซีอาแซนทินที่ต่ำในจุดภาพชัด (macula) อาจสัมพันธ์กับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของโรคจุดภาพชัดเสื่อมตามอายุ (age-related macular degeneration, ตัวย่อ AMD)[75][76]

ลูทีนและซีอาแซนทินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ป้องกันจอตาและจุดภาพชัดจากความเสียหายโดยออกซิเดชันเพราะคลื่นแสงที่มีพลังงานสูง[77]คือ เมื่อคลื่นแสงเข้าไปในตา มันก็จะปลุกเร้าอิเล็กตรอนที่อาจเป็นอันตรายต่อเซลล์ในตาแต่ก่อนที่จะสร้างความเสียหายโดยออกซิเดชัน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคจุดภาพชัดเสื่อมหรือต้อกระจกลูทีนและซีอาแซนทินก็จะจับอิเล็กตรอนที่เป็นอนุมูลอิสระในกระบวนการรีดักชันทำให้ปลอดภัย

มีอาหารหลายอย่างที่สมบูรณ์ไปด้วยลูทีนและซีอาแซนทิน ที่ดีที่สุดก็คือทานผักใบเขียวเข้มรวมทั้งผักกะหล่ำ ผักโขมฝรั่ง (ปวยเล้ง) บรอกโคลี และผักกาด[78]อาหารเป็นเรื่องสำคัญในการได้และรักษาสุขภาพตาที่ดีลูทีนและซีอาแซนทินเป็นแคโรทีนอยด์สำคัญสองอย่าง ซึ่งพบที่จุดภาพชัดในตาปัจจุบันมีงานวิจัยเพื่อกำหนดบทบาทในพยาธิกำเนิดของโรคตาต่าง ๆ รวมทั้ง AMD และต้อกระจก[78]

รูปภาพอื่น ๆ

ดูเพิ่ม

เชิงอรรถและอ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง