ยุทธการตอกลิ่ม
ยุทธการตอกลิ่ม (อังกฤษ: Battle of the Bulge) ยังเป็นที่รู้จักกันคือ การรุกตอบโต้กลับที่อาร์แดน เป็นการทัพรุกรานของเยอรมันที่สำคัญบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944 ถึง 25 มกราคม ค.ศ. 1945 มันเป็นการเริ่มปฏิบัติการผ่านทางบริเวณอาร์แดนที่เป็นป่าทึบของวาโลเนียในทางด้านตะวันออกของเบลเยียม ทางตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส และลักเซมเบิร์ก ในช่วงสุดท้ายของสงครามในยุโรป การรุกครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อหยุดยั้งฝ่ายสัมพันธมิตรในการใช้ท่าเรือที่แอนต์เวิร์ปในเบลเยียมและเพื่อแบ่งแยกแนวรบของฝ่ายสัมพันธมิตร ที่จะทำให้เยอรมันสามารถทำการปิดล้อมและทำลายกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งสี่กองทัพและบีบบังคับให้ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกเพื่อการเจรจาตกลงในการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพในความพอใจของฝ่ายอักษะ
ยุทธการตอกลิ่ม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามโลกครั้งที่สอง | |||||||
ทหารอเมริกันจากกรมทหารราบที่ 117, กำลังพิทักษ์ชาติเทนเนสซี ส่วนหนึ่งของกองพลทหารราบที่ 30 เคลื่อนผ่านรถถัง เอ็ม5เอ1 "สจวต" ระหว่างทางไปยึดเมือง St. Vith คืนระหว่างยุทธการตอกลิ่ม เดือนมกราคม 1945 | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
นาซีเยอรมนี | |||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (กองบินที่ 101) | อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (กองทัพบกที่ 7) | ||||||
กำลัง | |||||||
| |||||||
ความสูญเสีย | |||||||
Approximately 3,000 civilians killed[14] |
เยอรมันได้บรรลุในการจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัวโดยสิ้นเชิงในช่วงเช้าของวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1944 เนื่องจากการรวมตัวกันของความมั่นใจที่มากเกินไปของฝ่ายสัมพันธมิตร ความหมกมุ่นในการวางแผนการรุกของฝ่ายสัมพันธมิตร และการลาดตะเวนทางอากาศที่แย่ เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้าย กองทัพอเมริกันได้รับความรุนแรงจากการโจมตีครั้งนี้และก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายสูงสุดต่อพวกเขาจากปฏิบัติการใด ๆ ในช่วงสงคราม การสู้รบครั้งนี้ยังทำให้กองทัพของเยอรมนีได้หมดลงอย่างรุนแรงและพวกเขาส่วนมากไม่สามารถที่จะมาทดแทนได้ บุคลากรทางทหารของเยอรมัน และต่อมาเครื่องบินของลุฟท์วัฟเฟอ(ในช่วงสุดท้ายของการสู้รบ) ก็ได้รับความสูญเสียอย่างหนักเช่นเดียวกัน เยอรมันได้เข้าโจมตีส่วนที่ได้รับการปกป้องที่อ่อนแอของแนวรบฝ่ายสัมพันธมิตร โดยใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศที่มืดครึ้มอย่างหนักซึ่งทำให้กองทัพอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตรที่เหนือกว่าไม่สามารถบินออกไปได้ การต่อต้านอย่างรุนแรงบนไหล่ทางด้านเหนือของการรุก รอบบริเวณสันเขาเอลเซนบอร์น และในทางตอนใต้ รอบบริเวณบัสตอญ ปิดกั้นการเข้าถึงถนนสายสำคัญของเยอรมันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกซึ่งพวกเขาคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จ ขบวนยานเกราะและทหารราบที่ควรจะรุกไปตามเส้นทางขนานแต่กลับพบว่าตัวพวกเขาเองอยู่บนถนนเส้นทางเดียวกัน สิ่งนี้และภูมิประเทศที่เป็นที่ชื่นชอบของฝ่ายป้องกัน ทำให้เยอรมันรุกคืบช้ากว่าที่กำหนดและทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถที่จะเสริมกำลังแก่กองทหารที่เบาบางที่ประจำการอยู่ ทางตะวันตกที่ไกลที่สุดที่ฝ่ายรุกได้เดินทางไปถึงหมู่บ้าน Foy-Nôtre-Dame ทางตะวันออกเฉียงใต้ของดิแนนท์ ซึ่งได้ถูกหยุดยั้งโดยกองพลยานเกราะสหรัฐที่สอง เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1944[15][16][17] สภาพอากาศที่ได้ถูกทำให้ดีขึ้น ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม ได้เป็นใจให้กับการโจมตีทางอากาศต่อกองทัพเยอรมันและสายส่งบำรุงกำลังซึ่งได้ปิดผนึกถึงความล้มเหลวของการรุก ในวันที่ 26 ธันวาคม ผู้นำส่วนหนึ่งของกองทัพสหรัฐที่สามของแพตตันได้เดินทางมาถึงบัสตอญจากทางใต้ เป็นอันยุติของการปิดล้อม แม้ว่าการรุกจะถูกทำลายอย่างมีประสิทธิภาพในวันที่ 27 ธันวาคม แต่เมื่อหน่วยทหารของกองพลยานเกราะที่สองที่ติดกับได้พยายามจะที่ตีฝ่าออกไปถึงสองครั้งและประสบความสำเร็จได้เพียงบางส่วน การสู้รบยังคงดำเนินต่อไปอีกหนึ่งเดือนก่อนที่แนวหน้าจะได้รับการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพก่อนที่จะเข้าโจมตี ภายหลังจากความพ่ายแพ้ หน่วยทหารเยอรมันที่มีประสบการณ์จำนวนมากได้หมดลงไปอย่างมากทั้งคนและอุปกรณ์ ในขณะที่ผู้รอดชีวิตได้ล่าถอยกลับไปยังแนวป้องกันซีคฟรีท
การโจมตีช่วงแรกของเยอรมันที่เกี่ยวข้องกับจำนวน 410,000 นาย มากกว่า 1,400 คันของรถถัง รถถังพิฆาตและปืนจู่โจ่ม ชิ้นปืนใหญ่ 2,600 ชิ้น ปืนต่อต้านรถถัง 1,600 กระบอก และเครื่องบินมากกว่า 1,000 ลำ รวมทั้งยานรบหุ้มเกราะอื่น ๆ จำนวนมาก[4] สิ่งเหล่านี้ได้รับการเสริมกำลังในสองสัปดาห์ต่อมา ทำให้กองกำลังทั้งหมดของฝ่ายการรุกถึงราวประมาณ 450,000 นาย และรถถังและปืนจู่โจม 1,500 คัน ระหว่าง 63,222 กับ 98,000 นายของทหารเหล่านี้ล้วนเสียชีวิต สูญหาย ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่หรือถูกจับกุม สำหรับอเมริกัน จากจำนวนทหารสูงสุด 610,000 นาย[18] 89,000 นาย[5] ได้กลายเป็นผู้บาดเจ็บ ซึ่งมีจำนวนบางส่วน 19,000 นายล้วนถูกสังหาร[5][19] "ตอกลิ่ม" เป็นการต่อสู้รบแบบเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดและนองเลือดที่สุดโดยสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่สองI[20][21][22] และเป็นการทัพที่อันตรายมากที่สุดเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์อเมริกา
เบื้องหลัง
ภายหลังจากการบุกทะลวงจากนอร์ม็องดี เมื่อปลายเดือนกรกฏาคม ค.ศ. 1944 และฝ่ายสัมพันธมิตรทำการยกพลขึ้นบกในทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1944 ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รุกคืบสู่เยอรมนีได้เร็วกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรกลับต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านการขนส่งทางทหารหลายประการ:
- กองกำลังทหารต่างเหนื่อยล้าจากการสู้รบอย่างต่อเนื่องหลายสัปดาห์
- เส้นทางการส่งบำรุงกำลังได้ยืดยาวออกไปจนเปราะบาง
- เสบียงได้หมดลงอย่างน่าเป็นกังวล
นายพล ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์ (ผู้บัญชาการสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรบนแนวรบด้านตะวันตก) และเหล่าเสนาธิการของเขาเลือกที่จะเข้ายึดพื้นที่บริเวณอาร์แดนซึ่งถูกยึดครองโดยกองทัพสหรัฐที่หนึ่ง ฝ่ายสัมพันธมิตรเลือกที่จะป้องกันในอาร์แดนด้วยกำลังพลน้อยมากเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากภูมิประเทศที่เอื้ออำนวย(พื้นที่สูงที่มีป่ารกทึบกับหุบเขาแม่น้ำลึกและเครือข่ายเส้นทางถนนที่ค่อนข้างบาง) และวัตถุประสงค์การดำเนินเป้าหมายของฝ่ายสัมพันธมิตรที่จำกัดในพื้นที่ พวกเขาได้รับข้อมูลข่าวกรองว่าแวร์มัคท์ได้ใช้พื้นที่ข้ามชายแดนเยอรมันแห่งนี้เป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อนและเตรียมความพร้อมสำหรับทหารของตน[23]
ปัญหาทางด้านเสบียงของฝ่ายสัมพันธมิตร
อ้างอิง
บรรณานุกรม
- Cirillo, Roger (2003), Ardennes-Alsace, Office of the Chief of Military History Department of the Army, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-06, สืบค้นเมื่อ 6 December 2008
- Delaforce, Patrick (2004), The Battle of the Bulge: Hitler's Final Gamble, Pearson Higher Education, ISBN 978-1-4058-4062-0
- MacDonald, Charles B. (1998), The Battle of the Bulge, Phoenix, ISBN 978-1-85799-128-4
- Miles, Donna (14 December 2004), Battle of the Bulge Remembered 60 Years Later, United States Department of Defense, สืบค้นเมื่อ 12 June 2012
แหล่งข้อมูลอื่น
- Battle of the Bulge Original reports and pictures from The Times