สังสารวัฏ
วัฏสงสาร, สังสารวัฏ หรือ สงสารวัฏ (อักษรเทวนาครี: संसार, saṃsāra) เป็นศัพท์บาลี/สันสกฤตที่มีความหมายว่า "โลก"[1][2] กับแนวคิดการกลับมาเกิดและ "วัฏจักรของสิ่งมีชีวิต สสาร การดำรงอยู่" ความเชื่อพื้นฐานในศาสนาอินเดียส่วนใหญ่[3][4] สังสารวัฏเป็นที่นิยมในแนวคิดการเวียนว่ายตายเกิด[2][5] บางครั้งสื่อด้วยคำหรือวลีอื่นอย่าง การเกิดใหม่, วงจรกรรม, การกลับชาติมาเกิดหรือPunarjanman และ "วัฏจักรของการล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย เร่ร่อน หรือการดำรงอยู่ทางโลก"[2][6]
แนวคิดสังสารวัฏมีที่มาจากวรรณกรรมหลังพระเวท ทฤษฎีนี้ไม่ได้พูดถึงตัวพระเวทเอง[7][8] โดยปรากฏในรูปแบบที่พัฒนาแล้ว แต่ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการในอุปนิษัทตอนต้น[9][10] การแสดงธรรมเกี่ยวกับสังสารวัฏยังพบในศาสนาสมณะ เช่น พุทธและเชน เช่นเดียวกันกับสำนักปรัชญาฮินดูหลายแห่งประมาณหลังกลางสหัสวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช[10][11] หลักคำสอนเกี่ยวกับสังสารวัฏถูกเชื่อมโยงเข้ากับทฤษฎีกรรมในศาสนาฮินดู และการปลดปล่อยจากสังสารวัฏถือเป็นแก่นแท้ของการแสวงหาจิตวิญญาณของธรรมเนียมอินเดีย ตลอดจนข้อขัดแย้งภายในของตน[12][13] การปลดปล่อยตนเองจากสังสารวัฏมีชื่อเรียกว่าโมกษะ, นิพพาน, Mukti หรือKaivalya[6][14][15]
ความหมายและศัพทมูล
สังสารวัฏหมายถึง "การพเนจร"[2][16] หรือ "โลก" ซึ่งคำนี้มีความหมายว่า "การเปลี่ยนวัฏจักร"[1] สังสารวัฏเชื่อมโยงเข้ากับทฤษฎีกรรมและสื่อถึงความเชื่อที่ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลต้องเวียนว่ายตายเกิด คำนี้ยังปรากฏในวลีที่คล้ายกันอย่าง "วัฏจักรของการดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง", "การเกิดใหม่", "วงจรกรรม", "วงล้อชีวิต" และ "วัฏจักรของสิ่งมีชีวิต สสาร การดำรงอยู่"[2][5][17]
Monier-Williams รายงานว่า สังสารวัฏ (saṃsāra) มีรากมาจาก Saṃsṛ (संसृ) หมายถึง "เวียนไปเวียนมา, หมุนเวียน, ไปสู่หรือได้มา, เคลื่อนที่เป็นวง"[18] แนวคิดนี้อยู่ตรงข้ามกับแนวคิดโมกษะ ซึ่งมีอีกชื่อว่า mukti, นิพพาน, นิรวาณ หรือ kaivalya ซึ่งสื่อถึงการปลดปล่อยตนเองจากวัฏจักรอันไร้จุดหมาย[6][18]
แนวคิดสังสารวัฏพัฒนาขึ้นหลังสมัยพระเวท และสืบต้นตอในชั้นSamhita เช่น ในฤคเวทส่วนที่ 1.164, 4.55, 6.70 และ 10.14[9][19][20] ในขณะที่แนวคิดที่กล่าวถึงในชั้น Samhita ของพระเวท ยังไม่มีคำแสดงที่กระจ่าง และแนวคิดนี้พัฒนาเต็มที่ในอุปนิษัทตอนต้น[21][22] Damien Keown ระบุว่าแนวคิด "การเวียนว่ายตายเกิด" ปรากฏขึ้นประมาณ 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช[23] คำว่าสังสารวัฏกับโมกษะยังปรากฏในหลักวิชาอุปนิษัทบางเล่ม เช่น โองการที่ 1.3.7 ของ Katha Upanishad,[24] โองการที่ 6.16 ของ Shvetashvatara Upanishad[25] และโองการที่ 1.4 กับ 6.34 ของMaitri Upanishad[26][27]
ศาสนาฮินดู
ในศาสนาฮินดู สังสารวัฏเป็นการเดินทางสู่อาตมัน[28] ตามธรรมเนียมฮินดู ร่างกายตาย แต่อาตมะไม่ตาย ซึ่งถือว่าเป็นความจริงนิรันดร์ ทำลายไม่ได้ และสุคติ[28] ทุกสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน เป็นวัฏจักร และประกอบด้วยสองสิ่ง คือตัวตนหรืออาตมัน และร่างกายหรือวัตถุ[29] ตามความเชื่อฮินดู สิ่งที่คงอนันต์นามว่าอาตมันจะไม่กลับชาติมาเกิด มันจะไม่เปลี่ยนแปลงและอยู่ยงคงกระพัน[29] ตรงกันข้าม ร่างกายและบุคลิกภาพสามารถเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เกิดและตาย[29] กรรมในปัจจุบันส่งผลต่อสถานการณ์ในอนาคตในชีวิตนี้ เช่นเดียวกันกับรูปร่างและชีวิตในดินแดนในอนาคตด้วย[30][31] ในมุมมองชีวิตของฮินดู ความตั้งใจและการกระทำที่ดีนำไปสู่อนาคตที่ดี ความตั้งใจและการกระทำที่ไม่ดีนำไปสู่อนาคตที่ไม่ดี[32]
ศาสนาพุทธ
ในศาสนาพุทธ Jeff Wilson อธิบายถึงสังสารวัฏเป็น "วัฏจักรแห่งชีวิต ความตาย และการเกิดใหม่ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด"[34] มีอีกชื่อว่าภวจักร มักกล่าวถึงในคัมภีร์ศาสนาพุทธว่า punarbhava (การเกิดใหม่) รากฐานและจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดของศาสนาพุทธคือนิพพาน การปลดปล่อยตนจากวัฏจักรของการดำรงอยู่[34][35][36]
สังสารวัฏ ถือเป็นสิ่งที่คงอยู่ถาวรในศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับศาสนาอินเดียอื่น ๆ Paul Williams ระบุว่า ในแนวคิดศาสนาพุทธ กรรมเป็นตัวนำสังสารวัฏถาวร และ "ไม่บรรลุนิพพาน ในแต่ละครั้งจะมีผู้ถือกำเนิดและตายเพื่อไปเกิดในภพอื่นตามเหตุอันไม่มีตัวตนโดยสมบูรณ์แห่งกรรมของตน วัฏจักรการเกิด การเกิดและตายใหม่ที่ไม่สิ้นสุดนี้คือสังสารวัฏ"[37] อริยสัจ 4 ที่พุทธศาสนาทุกนิกายยอมรับ เป็นสิ่งที่จะยุติการเกิดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสังสารวัฏนี้ และวัฏจักรแห่งทุกข์ที่เกี่ยวข้อง[38][39][40]
อ้างอิง
ข้อมูลทั่วไปและอ้างอิง
- John Geeverghese Arapura (1986). Hermeneutical Essays on Vedāntic Topics. Motilal Banarsidass. ISBN 978-81-208-0183-7.
- Buitenen, J. A. B. Van (1957). "Dharma and Moksa". Philosophy East and West. 7 (1/2): 33–40. doi:10.2307/1396832. JSTOR 1396832.
- John Bowker (2014). God: A Very Short Introduction. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-870895-7.
- Robert Buswell Jr.; Donald Lopez Jr. (2013). The Princeton Dictionary of Buddhism. Princeton University Press. ISBN 978-1-4008-4805-8.
- Harold Coward (2008). The Perfectibility of Human Nature in Eastern and Western Thought: The Central Story. State University of New York Press. ISBN 978-0-7914-7336-8.
- Harold Coward (2012). Religious Understandings of a Good Death in Hospice Palliative Care. State University of New York Press. ISBN 978-1-4384-4275-4.
- Dalal, Roshen (2010). Hinduism: An Alphabetical Guide. Penguin Books. ISBN 978-0-14-341421-6.
- Dundas, Paul (2002) [1992]. The Jains (Second ed.). London and New York: Routledge. ISBN 978-0-415-26605-5.
- Mircea Eliade (1987). The encyclopedia of religion. Macmillan. ISBN 978-0-02-909480-8.
- Jeaneane D. Fowler (1997). Hinduism: Beliefs and Practices. Sussex Academic Press. ISBN 978-1-898723-60-8.[ลิงก์เสีย]
- Jeaneane D. Fowler (2002). Perspectives of Reality: An Introduction to the Philosophy of Hinduism. Sussex Academic Press. ISBN 978-1-898723-93-6.[ลิงก์เสีย]
- Jessica Frazier; Gavin Flood (2011). The Continuum Companion to Hindu Studies. Bloomsbury Academic. ISBN 978-0-8264-9966-0.
- Gethin, Rupert (1998). Foundations of Buddhism. Oxford University Press. ISBN 978-0192892232.
- Jaini, Padmanabh (1980). Doniger, Wendy (บ.ก.). Karma and Rebirth in Classical Indian Traditions. University of California Press. ISBN 978-0-520-03923-0.
- Jaini, Padmanabh S., บ.ก. (2000). Collected Papers On Jaina Studies (First ed.). Delhi: Motilal Banarsidass. ISBN 978-81-208-1691-6.
- Mark Juergensmeyer; Wade Clark Roof (2011). Encyclopedia of Global Religion. SAGE Publications. ISBN 978-1-4522-6656-5.
- Damien Keown (2004). A Dictionary of Buddhism. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-157917-2.
- Klaus Klostermaier (2010). A Survey of Hinduism: Third Edition. State University of New York Press. ISBN 978-0-7914-8011-3.
- Dalai Lama (1992). The Meaning of Life, translated and edited by Jeffrey Hopkins. Wisdom. ISBN 978-1459614505.
- Stephen J. Laumakis (2008). An Introduction to Buddhist Philosophy. Cambridge University Press. ISBN 978-1-139-46966-1.
- Lochtefeld, James (2002). The Illustrated Encyclopedia of Hinduism, Vol. 2: N-Z. Rosen Publishing. ISBN 978-0-8239-2287-1.
- Michael Myers (2013). Brahman: A Comparative Theology. Routledge. ISBN 978-1-136-83565-0.
- Obeyesekere, Gananath (1980). Wendy Doniger (บ.ก.). Karma and Rebirth in Classical Indian Traditions. University of California Press. ISBN 978-0-520-03923-0.
- Obeyesekere, Gananath (2005). Wendy Doniger (บ.ก.). Karma and Rebirth: A Cross Cultural Study. Motilal Banarsidass. ISBN 978-8120826090.
- Sethia, Tara (2004), Ahiṃsā, Anekānta and Jainism, Motilal Banarsidass, ISBN 978-81-208-2036-4
- Williams, Paul (2002). Buddhist Thought. Routledge. ISBN 0-415207010.
- Paul Williams; Anthony Tribe; Alexander Wynne (2012). Buddhist Thought. Routledge. ISBN 978-1-136-52088-4.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Reincarnation: A Simple Explanation
- The Wheel of Life, C. George Boeree, Shippensburg University
- The difference between Samsara and Nirvana, Minnesota State University, Mankato
- Saṃsāra and Rebirth, Buddhism, Oxford Bibliographies
- ชีวิตจะยุติการเกิดได้อย่างไร จาก อภิธรรมออนไลน์.