สงครามปลดปล่อยบังกลาเทศ
สงครามปลดปล่อยบังกลาเทศ สงครามประกาศอิสรภาพบังกลาเทศ หรือ สงครามปลดปล่อย[b] (เบงกอล: মুক্তিযুদ্ধ) เป็นการปฏิวัติและการขัดกันด้วยอาวุธที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1971 เมื่อขบวนการชาตินิยมเบงกอลและเรียกร้องการกำหนดการปกครองด้วยตนเองในปากีสถานตะวันออกก่อการกำเริบจนนำไปสู่การประกาศอิสรภาพของบังกลาเทศ สงครามเปิดฉากเมื่อคณะเผด็จการทหารในปากีสถานตะวันตกนำโดยยาห์ยา ข่านดำเนินการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวบังกลาเทศในปฏิบัติการเสิร์ชไลต์ของคืนวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1971
สงครามปลดปล่อยบังกลาเทศ | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ ความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถานและสงครามเย็น | |||||||||
ตามเข็มนาฬิกาจากซ้ายบน: อนุสรณ์ปัญญาชนผู้พลีชีพ; ปืนใหญ่ฮาวอิตเซอร์ของกองทัพบังกลาเทศ; พลโท อามีร์ เนียซีลงนามในตราสารยอมจำนนของปากีสถาน[1]; พีเอ็นเอส กาซี | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
| ปากีสถาน
| ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
ชีค มูจิบูร์ เราะห์มาน พลเรือโท นิลกัณฐ์ กฤษณัน (ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการกองทัพเรือตะวันออก) พลอากาศโท หริ จันทร์ เทวัญ (ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการกองทัพอากาศตะวันออก) | ยาห์ยา ข่าน ควาจา ไครุดดิน (ประธานคณะกรรมการนาโกริก ศักติ) กุลัม อะซัม (เอเมียร์ญามาอะเตอิสลามี) โมติอูร์ เราะฮ์มัน นิซามี (ผู้นำอัล-บะดัร) พลตรี โมฮัมหมัด จัมเชด (ผู้บัญชาการราซาการ์) ฟัซลุล กาดีร์ เชาธรี (ผู้นำอัล-ชัมส์) | ||||||||
กำลัง | |||||||||
175,000[5][6] 250,000[5] | กองทัพประจำการ ~91,000 นาย[a] กำลังกึ่งทหาร 280,000 นาย[a] ทหารอาสาสมัคร ~25,000 นาย[8] | ||||||||
ความสูญเสีย | |||||||||
เสียชีวิต ~30,000 นาย[9][10] เสียชีวิต 1,426–1,525 นาย[11] บาดเจ็บ 3,611–4,061 นาย[11] | เสียชีวิต ~8,000 นาย บาดเจ็บ ~10,000 นาย ตกเป็นเชลย 90,000—93,000 นาย[12] (รวมทหาร 79,676 นายและทหารอาสาสมัครท้องถิ่น 10,324—12,192 นาย)[11][13][14] | ||||||||
พลเรือนเสียชีวิต: ประมาณ 300,000–3,000,000 คน[10] |
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้มุกติวาหินี ขบวนการต่อต้านของชาวเบงกอลเริ่มสงครามกองโจร ฝ่ายปากีสถานได้เปรียบในช่วงแรกก่อนถูกโต้กลับเมื่อฝ่ายกองโจรก่อวินาศกรรมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะปฏิบัติการแจ็คพอตที่สร้างความเสียหายต่อกองทัพเรือปากีสถาน ขณะที่กองทัพอากาศบังกลาเทศที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งโจมตีฐานทัพปากีสถาน[17] อินเดียเข้าร่วมสงครามในวันที่ 3 ธันวาคม หลังปากีสถานโจมตีตอนเหนือของอินเดียทางอากาศ เกิดเป็นสงครามอินเดีย-ปากีสถาน ปากีสถานซึ่งเผชิญกับการครองอากาศของอินเดียทางแนวรบด้านตะวันออก และการรุกคืบของทัพพันธมิตรอินเดีย-มุกติวาหินีทางแนวรบด้านตะวันตกยอมจำนนที่เมืองธากาในวันที่ 16 ธันวาคม ซึ่งนับเป็นการยอมจำนนครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง[18]
กองทัพปากีสถานปฏิบัติการทางทหารและโจมตีชนบทและเขตเมืองทั่วปากีสถานตะวันออกทางอากาศเพื่อปราบปรามความไม่สงบหลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี ค.ศ. 1970 รวมถึงมีส่วนในการเนรเทศ ข่มขืนกระทำชำเราและกวาดล้างนักเรียน ปัญญาชน ผู้ฝักใฝ่คติชาตินิยมเบงกอล ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาและบุคลากรทางการทหาร อีกทั้งยังสนับสนุนกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงอย่างราซาการ์ อัล-บะดัร อัล-ชัมส์เพื่อช่วยในการตีโฉบฉวย[19][20][21][22][23] สงครามนี้เกิดการสังหารหมู่จำนวนมากรวมถึงการสังหารปัญญาชนชาวเบงกอลกว่า 1,000 คน[24] นอกจากนี้ยังเกิดความรุนแรงทางนิกายระหว่างชาวเบงกอลกับชาวมุสลิมพิหาร ชาวเบงกอลประมาณ 10 ล้านลี้ภัยในอินเดีย ขณะที่อีก 30 ล้านคนต้องพลัดถิ่นภายในประเทศ[25]
สงครามปลดปล่อยบังกลาเทศเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียใต้ เมื่อบังกลาเทศอุบัติขึ้นมาเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่เจ็ดของโลก สงครามนี้ยังเป็นหนึ่งในช่วงตึงเครียดสำคัญในสงครามเย็นระหว่างสหรัฐ สหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐสมาชิกสหประชาชาติส่วนใหญ่ยอมรับบังกลาเทศเป็นรัฐเอกราชในปี ค.ศ. 1972