เหตุโจมตีสถานีรถไฟกรามาตอสก์
ในวันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2565 ระหว่างการรุกรานยูเครนโดยรัสเซีย ขีปนาวุธของรัสเซีย[2][3][4][5][6][7][8] ได้โจมตีสถานีรถไฟชุมทางในเมืองกรามาตอสก์ ทางตอนเหนือของแคว้นดอแนตสก์ ประเทศยูเครน การโจมตีดังกล่าวส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิต 63 คน (รวมถึงเด็ก 9 คน) และบาดเจ็บ 150 คน (รวมถึงเด็ก 34 คน)[9] ทางการรัสเซียปฏิเสธความรับผิดชอบและโทษว่ายูเครนเป็นฝ่ายโจมตี[10]
เหตุโจมตีสถานีรถไฟกรามาตอสก์ | |
---|---|
เป็นส่วนหนึ่งของการทัพยูเครนตะวันออก | |
สถานที่ | กรามาตอสก์ ยูเครน |
พิกัด | 48°43′34″N 37°32′34″E / 48.72611°N 37.54278°E |
วันที่ | 8 เมษายน พ.ศ. 2565 ประมาณ 10:30 น. (UTC+3) |
เป้าหมาย | พลเรือน |
ประเภท | การโจมตีด้วยขีปนาวุธ |
ตาย | 63 คน (รวมเด็ก 9 คน) |
เจ็บ | 150 คน (รวมเด็ก 34 คน) |
ผู้ก่อเหตุ | กองทัพรัสเซีย |
ภูมิหลัง
ระหว่างการรุกรานของรัสเซียซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ กองกำลังรัสเซียบุกเข้ายูเครนโดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือกองกำลังแบ่งแยกดินแดนของสาธารณรัฐประชาชนดอแนตสก์และสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์ในการยึดพื้นที่แคว้นดอแนตสก์และแคว้นลูฮันสก์ส่วนที่รัฐบาลยูเครนควบคุม ทหารของกองทัพยูเครนที่ประจำการในเมืองสลอวิยันสก์และเมืองกรามาตอสก์มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านการรุกของรัสเซีย[11]
ในคืนวันที่ 7 เมษายน ช่องเทเลแกรมช่องหนึ่งที่สนับสนุนรัสเซียเตือนพลเรือนไม่ให้อพยพออกจากเมืองสลอวิยันสก์และเมืองกรามาตอสก์ด้วยรถไฟ[12][13] จากนั้นเมื่อเวลาประมาณ 10:10 น. ของเช้าวันรุ่งขึ้น ก่อนเกิดเหตุโจมตีสถานีรถไฟกรามาตอสก์ไม่ถึงชั่วโมง กระทรวงกลาโหมรัสเซียประกาศว่าฝ่ายตนได้โจมตีสถานีรถไฟในเมืองสลอวิยันสก์ เมืองปอกร็อวสก์ และเมืองบาร์วินกอแวโดยใช้ "ขีปนาวุธอากาศที่มีความแม่นยำสูง"[14][15][16]
การโจมตี
ตามรายงานของรัฐบาลยูเครน ในเช้าวันที่ 8 เมษายน พลเรือนยูเครนจำนวนระหว่าง 1,000–4,000 คน (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก) กำลังรอขึ้นรถไฟที่สถานีกรามาตอสก์เพื่ออพยพออกจากพื้นที่ซึ่งกำลังถูกรัสเซียยิงถล่มอย่างหนัก[17][18]
เมื่อเวลา 10:28 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ขีปนาวุธทิ้งตัวลูกหนึ่งพร้อมหัวรบที่บรรจุระเบิดลูกปรายได้พุ่งเข้ามาทางสถานีรถไฟกรามาตอสก์ เมื่อใกล้ถึงสถานีรถไฟ ขีปนาวุธได้แตกออกกลางอากาศและปล่อยระเบิดขนาดเล็ก 50 ลูกตกสู่อาคารสถานีรถไฟ ชานชาลา รางรถไฟ รถไฟ รถยนต์หน้าสถานี และพื้นที่โดยรอบซึ่งมีผู้คนรวมตัวกันอยู่จำนวนมาก[19] ผู้ปฏิบัติงานช่วยเหลือจากเวิลด์เซนทรัลคิตเชินซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เล่าว่าเขาได้ยิน "เสียงระเบิดดังขึ้น 5–10 ครั้ง"[17]
สื่อของยูเครนเริ่มทยอยรายงานเหตุการณ์ตั้งแต่เวลาประมาณ 10:45 น.[20] รายงานข่าวต่าง ๆ บรรยายสภาพที่เกิดเหตุว่าเต็มไปด้วยกองเลือด ศพผู้เสียชีวิตเกลื่อนกลาดท่ามกลางกระเป๋าเดินทางที่ถูกทิ้งไว้ ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บหลายคนแขน ขา และอวัยวะอื่น ๆ ฉีกขาด และหลายคนมีบาดแผลฉกรรจ์ตามร่างกาย[11][19][21] หน่วยเผชิญเหตุเบื้องต้น อาสาสมัครประจำสถานี และประชาชนทั่วไปช่วยกันดำเนินการปฐมพยาบาลแก่ผู้บาดเจ็บ คนขับรถพยาบาลคนหนึ่งซึ่งมาถึงที่เกิดเหตุไม่กี่นาทีให้หลังเล่าว่า "ผู้คนกรีดร้องกันระงม ร้องอย่างเจ็บปวดมาก ๆ ผมได้ยินเสียงร้องของคนที่มีชีวิตอยู่เหลือเพียง 20–40 วินาที ได้ยินเสียงร้องครั้งสุดท้ายก่อนเขาตาย ผมเห็นแขนขา เห็นแขนขาของเด็กหล่นอยู่ตามพื้น ผมเห็นหัวคนกลิ้งอยู่ที่พื้น"[19]
ในตอนแรกมีการระบุว่าอาวุธที่ใช้ในการก่อเหตุคือขีปนาวุธทิ้งตัวอิสคันเดียร์[22] แต่ต่อมา เปาลอ กือรือแลนกอ ผู้ว่าการแคว้นดอแนตสก์ ระบุว่าน่าจะเป็นขีปนาวุธตอชคาอูที่บรรจุระเบิดลูกปรายมากกว่า[17] ทีมสืบสวนของฮิวแมนไรตส์วอตช์สำรวจพบจุดที่ระเบิดปะทุรวมทั้งสิ้น 32 จุด กระจายทั่วพื้นที่ 55,000 ตารางเมตร[19]
ด้านนอกของซากขีปนาวุธซึ่งตกอยู่ในบริเวณสถานีมีข้อความสีขาวเขียนไว้ว่า ЗА ДЕТЕЙ ซึ่งเป็นภาษารัสเซียแปลว่า "[แก้แค้น] ให้เด็ก ๆ"[23] นอกจากนี้ยังมีหมายเลขลำดับ Ш91579 กำกับไว้ ซึ่งเจ้าหน้าที่สืบสวนกล่าวว่าอาจช่วยในการแกะรอยไปสู่คลังแสงต้นทางได้[24][25]
ปฏิกิริยา
มิเชล บาเชเล ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่าเหตุโจมตีครั้งนี้ "เป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวในการปฏิบัติตามหลักการแบ่งแยกพลรบกับพลเรือน หลักการห้ามโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย และหลักการใช้ความระมัดระวังก่อนการสู้รบซึ่งบัญญัติไว้ในกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ"[26]
ดูญา มิยาตอวิช กรรมาธิการสภายุโรปเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า "การโจมตีเขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่นของยูเครนเป็นการกระทำอีกอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความไม่ใส่ใจต่อชีวิตพลเรือนอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นลักษณะประจำของการรุกรานทางทหารคราวนี้อย่างน่าเศร้า"[27]
วอลอดือมือร์ แซแลนสกึย ประธานาธิบดียูเครน กล่าวว่า "นี่คือความชั่วร้ายที่ไม่มีขอบเขต ถ้าพวกเขาไม่ถูกลงโทษ พวกเขาก็จะไม่หยุด"[21][28]
อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปซึ่งเดินทางเยือนยูเครนในวันเกิดเหตุ ประณามการโจมตีครั้งนี้ว่า "น่ารังเกียจ"[29] ฌ็อง-อีฟว์ เลอ ดรีย็อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส บรรยายการโจมตีครั้งนี้ว่าเป็น "อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" ที่ไม่สามารถปล่อยให้ลอยนวลได้[30] ขณะที่เบน วอลเลซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักร ประณามการโจมตีครั้งนี้ว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม[31]
อังตอนียู กูแตรึช เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวถึงการโจมตีด้วยขีปนาวุธครั้งนี้ว่าเป็นสิ่งที่ "ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง"[32]
ออแลกซันดร์ กามือชิน ผู้ว่าการรถไฟยูเครน กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่าเป็น "การโจมตีที่พุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานสำหรับผู้โดยสารรถไฟและผู้อยู่อาศัยในเมืองกรามาตอสก์"[33] หน่วยความมั่นคงยูเครนเริ่มกระบวนการดำเนินคดีตามมาตรา 438 แห่งประมวลกฎหมายอาญา[34]
จัสติน บรองก์ นักวิเคราะห์จากราชสถาบันสหบริการ (Royal United Services Institute) กล่าวว่ารัสเซียมีเป้าหมายที่จะสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของยูเครน เพื่อทำให้กองกำลังยูเครนเคลื่อนพลไปในภูมิภาคดอนบัสได้ลำบาก นอกจากนี้เขายังชี้ว่ารัสเซียเลือกใช้ขีปนาวุธประเภทตอชคาอูเพื่อ "ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนขึ้น"[31] เนื่องจากกองทัพยูเครนก็ใช้ขีปนาวุธประเภทนี้เช่นกัน กระทรวงกลาโหมสหรัฐเน้นย้ำว่ารัสเซียเป็นผู้รับผิดชอบในเหตุโจมตี รวมทั้งเน้นย้ำความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของชุมทางรถไฟแห่งนี้[35][36]
ปฏิกิริยาจากรัสเซียและผู้สนับสนุน
ในตอนแรก บรรดาสื่อของรัฐรัสเซียและช่องเทเลแกรมที่สนับสนุนรัสเซีย[37][38] อ้างว่ารัสเซียเพิ่งประสบความสำเร็จในการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายการขนส่งทางทหารแห่งหนึ่งในเมืองกรามาตอสก์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นที่ปรากฏชัดว่ามีขีปนาวุธคร่าชีวิตพลเรือนจำนวนมากที่สถานีรถไฟกรามาตอสก์ จึงมีการแก้ไขและลบรายงานก่อนหน้าทิ้ง[39] รัฐบาลรัสเซียปฏิเสธความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตี และกระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่าเป็นกลลวงของยูเครน[37][40] โดยอ้างว่ากองกำลังยูเครนเป็นผู้ยิงขีปนาวุธมาจากเมืองดอบรอปิลเลียทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรามาตอสก์[41][15]
สื่อรัสเซียยังกล่าวด้วยว่าหมายเลขลำดับของขีปนาวุธที่ตกในที่เกิดเหตุนั้นอยู่ในพิสัยเดียวกันกับที่กองกำลังยูเครนใช้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ไม่สามารถใช้หมายเลขลำดับในการพิสูจน์ว่าฝ่ายใดเป็นผู้ยิงขีปนาวุธ เนื่องจากขีปนาวุธประเภทตอชคาอูทั้งหมดผลิตจากโรงผลิตเพียงแห่งเดียวในรัสเซียและกระจายจากที่นั่นไปทั่วสหภาพโซเวียต จึงส่งผลให้ตอชคาอูที่รัสเซียใช้ในซีเรียกับตอชคาอูที่ยูเครนใช้ในเมืองสนิฌแนมีหมายเลขลำดับใกล้เคียงกันเป็นต้น[42][43][44] ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างก็ใช้อาวุธที่ยึดได้จากอีกฝ่ายอย่างกว้างขวาง[45][46]
คลิปวิดีโอปลอมคลิปหนึ่งที่ใส่ตราสัญลักษณ์บีบีซีและกล่าวโทษว่ากองกำลังยูเครนเป็นผู้ยิงขีปนาวุธได้แพร่สะพัดไปตามช่องเทเลแกรมที่สนับสนุนรัสเซียตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน สถานีโทรทัศน์ของรัฐรัสเซียยังนำวิดีโอนี้ไปออกอากาศด้วย แต่บีบีซีไม่เคยผลิตวิดีโอใด ๆ ในลักษณะดังกล่าว[47][48]
การประเมินปฏิกิริยาจากรัสเซีย
กระทรวงกลาโหมรัสเซียอ้างว่ากองกำลังของตนได้เลิกใช้ขีปนาวุธตอชคาอูไปแล้ว อย่างไรก็ตาม แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล นักข่าวสืบสวนของคอนฟลิกต์อินเทลลิเจนซ์ทีม และผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารจำนวนหนึ่งแสดงหลักฐานว่ากองกำลังรัสเซียได้เคยใช้ขีปนาวุธตอชคาในหลายพื้นที่ของยูเครนมาก่อนที่จะเกิดเหตุโจมตีสถานีกรามาตอสก์[49] ยิ่งไปกว่านั้น นักสืบจากโครงการโอเพนซอร์สฆายุนจากเบลารุสได้เผยแพร่วิดีโอแสดงขบวนรถบรรทุกรัสเซียที่บรรทุกขีปนาวุธตอชคาประเภทต่าง ๆ กำลังมุ่งหน้าจากเบลารุสมายังยูเครนในวันที่ 5 มีนาคม และ 30 มีนาคม[50] สถาบันเพื่อการศึกษาสงครามประเมินว่ากองทัพผสมที่ 8 พิทักษ์รัฐของรัสเซียซึ่งประจำการอยู่ในดอนบัสมีขีปนาวุธตอชคาอูไว้ใช้[51] รายงานข่าวและภาพจากสื่อสังคมออนไลน์ของรัสเซียแสดงให้เห็นว่ากองพลน้อยขีปนาวุธที่ 47 (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพผสมที่ 8 ของรัสเซีย) ได้อวดขีปนาวุธตอชคาอูตามงานสาธารณะต่าง ๆ ใน พ.ศ. 2564 ซึ่งรวมถึงการเดินสวนสนามในวันแห่งชัยชนะที่เมืองครัสโนดาร์ด้วย[52]
เมื่อวันที่ 14 เมษายน เบลลิงแคตระบุว่าหลักฐานโอเพนซอร์สที่มีอยู่ยังไม่เพียงพอที่จะระบุได้ว่าขีปนาวุธถูกยิงมาจากทิศทางใด[25]
เมื่อวันที่ 18 เมษายน พอลิติแฟกต์ประเมินความเป็นไปได้ที่เหตุโจมตีครั้งนี้จะเป็นปฏิบัติการธงเท็จ โดยสรุปว่า "ไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ายูเครนอยู่เบื้องหลังการโจมตีที่สถานีรถไฟกรามาตอสก์เมื่อวันที่ 8 เมษายน"[53]
ระเบียงภาพ
- สถานีรถไฟกรามาตอสก์ใน พ.ศ. 2557
- ร่างผู้เสียชีวิตท่ามกลางกระเป๋าเดินทางและสัมภาระ
- ตุ๊กตาชุ่มเลือดในที่เกิดเหตุ
- พิธีรำลึกครบรอบหนึ่งปีเหตุโจมตี