ประเทศยูเครน

ประเทศในยุโรปตะวันออก

ยูเครน (อังกฤษ: Ukraine; ยูเครน: Украї́на, อักษรโรมัน: Ukraïna, ออกเสียง: [ʊkrɐˈjinɐ] ( ฟังเสียง)) เป็นประเทศหนึ่งในยุโรปตะวันออก เป็นประเทศที่มีเนื้อที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในยุโรปรองจากรัสเซียซึ่งยูเครนมีอาณาเขตติดต่อทางทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ[a] นอกจากนี้ยังมีอาณาเขตติดต่อกับเบลารุสทางทิศเหนือ ติดต่อกับโปแลนด์ สโลวาเกีย และฮังการีทางทิศตะวันตก ติดต่อกับโรมาเนียและมอลโดวาทางทิศใต้ และมีแนวชายฝั่งจรดทะเลอะซอฟและทะเลดำ ยูเครนมีเนื้อที่ 603,628 ตารางกิโลเมตร (233,062 ตารางไมล์)[b] มีประชากรประมาณ 41.3 ล้านคน[c] และเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ในยุโรป เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคือเคียฟ (กือยิว) ภาษาราชการคือภาษายูเครน และประชากรส่วนมากสามารถสื่อสารภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่ว[11]

ยูเครน

Украї́на (ยูเครน)
  • ที่ตั้งของ ประเทศยูเครน  (เขียว)
  • และดินแดนที่เป็นกรณีพิพาท (เขียวอ่อน)
เมืองหลวง
และเมืองใหญ่สุด
เคียฟ
49°N 32°E / 49°N 32°E / 49; 32
ภาษาราชการยูเครน
ภาษาที่ได้รับการรับรอง
ในระดับภูมิภาค
กลุ่มชาติพันธุ์
(ค.ศ. 2001)[3]
  • 77.8% ยูเครน
  • 17.3% รัสเซีย
  • 4.9% อื่น ๆ / ไม่ระบุ
ศาสนา
(ค.ศ. 2018)[4]
การปกครองรัฐเดี่ยว สาธารณรัฐระบบกึ่งประธานาธิบดี
วอลอดือมือร์ แซแลนสกึย
• นายกรัฐมนตรี
แดนึส ชมือฮัล
• ประธานสภาสูงสุด
รุสลัน สแตฟันชุก
สภานิติบัญญัติสภาสูงสุดยูเครน
การสร้างชาติ
ค.ศ. 882
• อาณาจักรรูทีเนีย
ค.ศ. 1199
• รัฐผู้บัญชาการคอสแซ็ก
18 สิงหาคม ค.ศ. 1649
10 มิถุนายน ค.ศ. 1917
• การประกาศเอกราชของสาธารณรัฐประชาชนยูเครน
22 มกราคม ค.ศ. 1918
1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918
• รัฐบัญญัติเอกภาพ
22 มกราคม ค.ศ. 1919
• การถอนตัวจากสหภาพโซเวียต
24 สิงหาคม ค.ศ. 1991
• การลงประชามติ
1 ธันวาคม ค.ศ. 1991
• รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
28 มิถุนายน ค.ศ. 1996
• การปฏิวัติแห่งศักดิ์ศรี[5]
18–23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014
พื้นที่
• รวม
603,628 ตารางกิโลเมตร (233,062 ตารางไมล์) (อันดับที่ 45)
7
ประชากร
• ตุลาคม ค.ศ. 2021 ประมาณ
ลดลงเป็นกลาง 41,319,838[6]
(ไม่รวมคาบสมุทรไครเมีย) (อันดับที่ 35)
• สำมะโนประชากร ค.ศ. 2001
48,457,102[3]
73.8 ต่อตารางกิโลเมตร (191.1 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 115)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) ค.ศ. 2022 (ประมาณ)
• รวม
เพิ่มขึ้น 6.22 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ[7] (อันดับที่ 48)
เพิ่มขึ้น 15,124 ดอลลาร์สหรัฐ[7] (อันดับที่ 108)
จีดีพี (ราคาตลาด) ค.ศ. 2022 (ประมาณ)
• รวม
เพิ่มขึ้น 2.04 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ[7] (อันดับที่ 56)
เพิ่มขึ้น 4,958 ดอลลาร์สหรัฐ[7] (อันดับที่ 119)
จีนี (ค.ศ. 2019)Negative increase 26.6[8]
ต่ำ
เอชดีไอ (ค.ศ. 2019)เพิ่มขึ้น 0.779[9]
สูง · อันดับที่ 74
สกุลเงินฮรึวญา (₴) (UAH)
เขตเวลาUTC+2[10] (เวลายุโรปตะวันออก)
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)
UTC+3 (เวลาออมแสงยุโรปตะวันออก)
ขับรถด้านขวามือ
รหัสโทรศัพท์+380
โดเมนบนสุด

ดินแดนที่เป็นประเทศยูเครนสมัยใหม่มีผู้คนอยู่อาศัยมาตั้งแต่ 32,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในสมัยกลาง พื้นที่นี้เป็นศูนย์กลางสำคัญแห่งหนึ่งของวัฒนธรรมสลาฟตะวันออก โดยมีสหพันธ์เผ่าชนแห่งรุสเคียฟก่อตัวเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ยูเครน หลังจากที่รุสเคียฟแตกออกเป็นหลายราชรัฐในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ประกอบกับหายนะที่เกิดจากการรุกรานของจักรวรรดิมองโกล ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของดินแดนก็เสื่อมสลายและบริเวณนี้ก็ถูกแย่งชิง แบ่งแยก และปกครองโดยมหาอำนาจต่าง ๆ ซึ่งได้แก่เครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย จักรวรรดิออสเตรีย–ฮังการี จักรวรรดิออตโตมัน และอาณาจักรซาร์รัสเซีย รัฐผู้บัญชาการคอสแซ็กของชาวยูเครนปรากฏขึ้นและเจริญรุ่งเรืองในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 แต่ในที่สุดดินแดนของรัฐนี้ก็ถูกแบ่งกันระหว่างโปแลนด์–ลิทัวเนียกับจักรวรรดิรัสเซีย ต่อมาเกิดขบวนการชาตินิยมยูเครนขึ้นเป็นผลสืบเนื่องจากการปฏิวัติรัสเซียและมีการประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนยูเครนเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1917 โดยได้รับการรับรองจากนานาชาติ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนตะวันตกของยูเครนได้รวมเข้ากับสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครนและทั้งประเทศก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ยูเครนได้รับเอกราชหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1991

หลังจากที่ได้รับเอกราช ยูเครนประกาศตนเป็นรัฐที่เป็นกลาง[12] โดยจัดตั้งความร่วมมือทางการทหารอย่างจำกัดกับรัสเซียและประเทศอื่น ๆ ในเครือรัฐเอกราช ในขณะเดียวกันก็สถาปนาความเป็นหุ้นส่วนกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือใน ค.ศ. 1994 ใน ค.ศ. 2013 หลังจากที่รัฐบาลของประธานาธิบดีวิกตอร์ ยานูกอวึช ตัดสินใจระงับความตกลงสมาคมระหว่างยูเครนกับสหภาพยุโรปและแสวงหาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับรัสเซีย คลื่นการเดินขบวนและการประท้วงที่รู้จักกันในชื่อยูโรไมดานก็เริ่มขึ้นและกินเวลานานหลายเดือนจนกระทั่งบานปลายเป็นการปฏิวัติแห่งศักดิ์ศรีซึ่งนำไปสู่การโค่นอำนาจยานูกอวึชและการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เหตุการณ์เหล่านี้กลายเป็นภูมิหลังของการผนวกไครเมียเข้ากับรัสเซียในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 และสงครามในดอนบัสในเดือนเมษายน ปีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ยูเครนได้เริ่มใช้ข้อตกลงการค้าเสรีเชิงลึกและครอบคลุมกับสหภาพยุโรปมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2016[13]

ยูเครนเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์อยู่ในอันดับที่ 77 เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในยุโรป โดยประสบปัญหาความยากจนและการทุจริตในตำแหน่งหน้าที่ในอัตราสูงมาก[14][15] อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์และกว้างขวาง ยูเครนจึงเป็นหนึ่งในผู้ส่งธัญพืชออกรายใหญ่ที่สุดในโลก[16][17] นอกจากนี้ยังมีกองทัพที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในยุโรปรองจากรัสเซียและฝรั่งเศส[18] ยูเครนเป็นสาธารณรัฐเดี่ยวภายใต้ระบบกึ่งประธานาธิบดีโดยแบ่งแยกอำนาจออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ประเทศนี้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ สภายุโรป องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป องค์การกวามเพื่อประชาธิปไตยและการพัฒนาเศรษฐกิจ และสามเหลี่ยมลูบลิน และเป็นหนึ่งในรัฐผู้ก่อตั้งเครือรัฐเอกราชแม้ว่าจะไม่เคยเป็นสมาชิกขององค์การนี้ก็ตาม

ประวัติศาสตร์

ยุครุ่งเรืองแห่งเคียฟ

นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าชาว Nomad โดยเฉพาะชาวไซเทีย เป็นพวกแรกที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งในยูเครนในช่วงก่อนคริสตกาล หลังจากนั้น ชาวเผ่าสลาฟได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนกลางและตะวันออกของยูเครน อย่างไรก็ดี ชนชาติสำคัญที่มีบทบาทในการรวบรวมดินแดนบริเวณนี้ให้เป็นปึกแผ่นคือชาวรุส (Rus) ที่มาจากสแกนดิเนเวีย โดยต่อมาชาวรุสได้สถาปนาจักรวรรดิรุสเคียฟขึ้นในศตวรรษที่ 6 และปกครองชาวสลาฟที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ และต่อมาได้ขยายดินแดนออกไปรวบรวมเผ่าสลาฟและชนชาติต่าง ๆ จนเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในศตวรรษที่ 11 แต่ในศตวรรษที่ 12 อาณาจักรนี้ได้เสื่อมสลายลง เนื่องจากสงครามระหว่างเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ และการรุกรานจากชาวมองโกลในศตวรรษต่อมา หลังจากนั้น ดินแดนบางส่วนของยูเครนได้ถูกผนวกรวมกับอาณาจักรต่าง ๆ เช่น ลิทัวเนีย โปแลนด์ ออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิรัสเซีย

คริสต์ศตวรรษที่ 19 และคริสต์ศตวรรษที่ 20

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยูเครนได้ประกาศเอกราชจากจักรวรรดิรัสเซียและราชวงศ์ฮับสบวร์กเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1918 แต่ต่อมากระแสการปฏิวัติในรัสเซียได้ลุกลามมายังยูเครน ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองและสงครามประกาศเอกราชขึ้น เกิดการก่อตั้งรัฐเอกราชยูเครนในช่วงระยะสั้น ๆ สมัยต่าง ๆ ดังนี้ สาธารณรัฐประชาชนยูเครน, สาธารณรัฐประชาชนยูเครนตะวันตก และ รัฐยูเครน

สมัยระหว่างสงครามของสาธารณรัฐยูเครน

ชายผู้ประสบทุพภิกขภัยบนถนนในคาร์กิว ใน ค.ศ. 1933 นโยบายนารวมและการริบพืชผลของประชากรโดยทางการสหภาพโซเวียตได้นำไปสู่ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในสาธารณรัฐยูเครน ซึ่งรู้จักกันในชื่อ ฮอลอดอมอร์

สงครามกลางเมืองรัสเซียได้ทำลายล้างจักรวรรดิรัสเซียทั้งหมดซึ่งรวมถึงภาคกลางและภาคตะวันออกของยูเครน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1.5 ล้านคน และประชากรอีกหลายแสนคนต้องไร้ที่อยู่อาศัยในดินแดนของอดีตจักรวรรดิรัสเซีย สาธารณรัฐยูเครนยังต้องเผชิญกับทุพภิกขภัยในรัสเซียใน ค.ศ. 1921 (โดยส่วนใหญ่จะเกิดผลกระทบในภูมิภาควอลกา–ยูรัล)[19][20] ในคริสต์ทศวรรษ 1920[21] มือกอลา สกรึปนึก ผู้นำคอมมิวนิสต์แห่งชาติ ได้ดำเนินนโยบายการทำให้เป็นยูเครนซึ่งสนับสนุนให้มีการฟื้นฟูวัฒนธรรมยูเครนและภาษายูเครน นโยบายการทำให้เป็นยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายโคเรนีซัตซียาซึ่งเป็นนโยบายที่ใช้ทั่วทั้งสหภาพโซเวียต ด้วยรูปแบบเศรษฐกิจที่ได้รับการวางแผนมาจากรัฐบาลกลาง สาธารณรัฐยูเครนจึงได้เข้าร่วมแผนการปรับให้เป็นอุตสาหกรรมตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1920 ทำให้ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 4 เท่าในคริสต์ทศวรรษ 1930

ในช่วงต้นสมัยโซเวียต เกษตรกรยูเครนได้รับผลกระทบจากโครงการรวมที่นาสำหรับพืชผลทางการเกษตร นโยบายรวมที่นาเป็นส่วนหนึ่งของแผนห้าปีฉบับที่หนึ่งโดยมีกองกำลังประจำการและหน่วยตำรวจลับที่รู้จักกันในชื่อเชการ์เป็นผู้บังคับใช้ ผู้ที่ต่อต้านจะถูกจับกุมและถูกเนรเทศไปยังค่ายกูลักและค่ายแรงงาน เนื่องจากในบางครั้ง เกษตรกรนารวมจะไม่ได้รับอนุญาตให้รับเมล็ดพืชใด ๆ จนกว่าจะผลิตได้ถึงโควตาที่เป็นไปได้ยาก ประชากรหลายล้านคนจึงต้องอดอยากจนเสียชีวิตในทุพภิกขภัยที่รู้จักกันในชื่อ "ฮอลอดอมอร์" หรือ "ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่" ซึ่งบางประเทศได้รับรองว่าเป็นพันธุฆาตที่โจเซฟ สตาลิน และบุคคลสำคัญคนอื่น ๆ ของสหภาพโซเวียตก่อขึ้น[22] กลุ่มเดียวกันนี้ส่วนใหญ่ยังมีส่วนรับผิดชอบในปฏิบัติการสังหารหมู่ในช่วงสงครามกลางเมือง การรวมที่นา และการกวาดล้างใหญ่[23]

สงครามโลกครั้งที่ 2

ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวยูเครนให้การสนับสนุนกองทัพนาซีเยอรมันเพื่อเป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต แต่ต่อมาได้หันไปต่อต้าน เนื่องจากกองทัพนาซีเยอรมันที่ปกครองอย่างกดขี่ และ ทารุณ โดยในช่วงดังกล่าว ชาวยิวในยูเครนกว่า 1 ล้านคนถูกสังหารหมู่ และ เคียฟ ถูกเผาทำลาย อย่างไรก็ดี หลังจากที่กองทัพนาซีบุกครองโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 ดินแดนส่วนตะวันตกของยูเครนที่เดิมอยู่ภายใต้โปแลนด์ได้ถูกผนวกรวมกับสหภาพโซเวียต

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กระแสชาตินิยมในยูเครนขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเหตุผลต่าง ๆ ได้แก่ ความไร้ประสิทธิภาพของระบบสหภาพโซเวียต ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วสหภาพโซเวียตและการพยายามปิดบังข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพโซเวียตต่อกรณีการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบีล ที่ตั้งอยู่ในยูเครนในปี ค.ศ. 1986 และเมื่อประธานาธิบดีกอร์บาชอฟดำเนินนโยบายเปิดกว้างทางการเมือง ได้ส่งผลให้รัฐบาลของสหภาพโซเวียตจำเป็นต้องให้อำนาจแก่สาธารณรัฐและดินแดนปกครองตนเองต่าง ๆ มากขึ้น กระแสการเรียกร้องสิทธิที่จะปกครองตนเองในยูเครนดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง

การประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต

ในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1990 ชาวยูเครนกว่า 300,000 คน[24] ได้มาเรียงแถวเป็นโซ่มนุษย์เพื่ออิสรภาพของยูเครนระหว่างเคียฟและลวิว เพื่อรำลึกถึงการรวมตัวกันของสาธารณรัฐประชาชนยูเครนและสาธารณรัฐยูเครนตะวันตกใน ค.ศ. 1919 ประชาชนออกมาที่ถนนและทางหลวงเรียงแถวเป็นโซ่มนุษย์ด้วยการจับมือกันเพื่อสนับสนุนความสามัคคี

วันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1990 รัฐสภาชุดใหม่ได้รับรองคำประกาศอธิปไตยแห่งรัฐยูเครน[25] คำประกาศนี้กำหนดหลักการของการกำหนดตนเอง ประชาธิปไตย ความเป็นอิสระ และความสำคัญของกฎหมายยูเครนที่เหนือกฎหมายของสหภาพโซเวียต ซึ่งหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น รัฐสภาของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียได้ประกาศใช้คำประกาศในลักษณะเดียวกันนี้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเผชิญหน้ากับทางการโซเวียต ในวันที่ 2-17 ตุลาคม ค.ศ. 1990 ได้เกิดเหตุการณ์การปฏิวัติที่หินแกรนิตในยูเครน วัตถุประสงค์หลักของการดำเนินการคือเพื่อป้องกันการลงนามในสนธิสัญญาสหภาพใหม่ของสหภาพโซเวียต ความต้องการของนักเรียนพึงพอใจด้วยการลงนามในมติของแวร์คอว์นาราดา (รัฐสภายูเครน) ซึ่งรับประกันการดำเนินการของพวกเขา[26]

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1991 มึความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตที่จะทำการก่อรัฐประหารเพื่อถอดมีฮาอิล กอร์บาชอฟให้ออกจากตำแหน่งและฟื้นฟูอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ หลังจากความพยายามก่อรัฐประหารที่ล้มเหลว วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1991 รัฐสภายูเครนได้รับรองรัฐบัญญัติประกาศอิสรภาพยูเครน[27]

แลออนิด เกราชุก ประธานาธิบดียูเครน (คนที่สองจากที่นั่งซ้าย) Stanislav Shushkevich ประธานสภาสูงสุดแห่งสาธารณรัฐเบลารุส (คนที่สามจากที่นั่งซ้าย) และ บอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีรัสเซีย (คนที่สองจากที่นั่งขวา) ลงนามในข้อตกลงเบลาเวจา ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1991

การลงประชามติและการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1991 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 92%[28] แสดงการสนับสนุนรัฐบัญญัติประกาศอิสรภาพ และเลือกแลออนิด เกราชุก ประธานรัฐสภาเป็นประธานาธิบดีคนแรกของยูเครน ในการประชุมที่เมืองเบรสต์ ประเทศเบลารุสเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ตามด้วยการประชุมที่อัลมา-อาตา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ผู้นำเบลารุส รัสเซีย และยูเครนได้ยุบสหภาพโซเวียตอย่างเป็นทางการและก่อตั้งเครือรัฐเอกราช (CIS)[29] และในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1991 สภาสาธารณรัฐแห่งสภาโซเวียตสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียตได้รับรองคำประกาศ "เกี่ยวกับการก่อตั้งเครือรัฐเอกราช" (รัสเซีย: В связи с созданием Содружества Независимых Государств) ซึ่งยุบสหภาพโซเวียตโดยนิตินัยและในคืนวันนั้นธงชาติสหภาพโซเวียตได้ถูกเชิญลงจากยอดเสาที่เครมลิน[30] รัฐสภายูเครนไม่ได้ให้สัตยาบันภาคยานุวัติ ซึ่งกล่าวคือ ยูเครนไม่เคยเป็นสมาชิกของเครือรัฐเอกราช[31]

เดิมที่ยูเครนถูกมองว่ามีภาวะเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ของสหภาพโซเวียต[32] อย่างไรก็ตาม ยูเครนประสบปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่มากกว่าประเทศอื่น ๆ ในอดีตสหภาพโซเวียต ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ยูเครนสูญเสียจีดีพีถึง 60% ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ถึง ค.ศ. 1999[33][34] และมีอัตราเงินเฟ้อถึง 5 หลัก[35] ความไม่พอใจกับสภาพเศรษฐกิจเช่นเดียวกับจำนวนอาชญากรรมและการทุจริตในยูเครนที่มากขึ้น ชาวยูเครนจึงประท้วงและนัดหยุดงาน[36]

เศรษฐกิจยูเครนมีเสถียรภาพในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 มีการประกาศใช้สกุลเงินฮรึวญาซึ่งเป็นสกุลเงินใหม่ โดยถูกนำมาใช้ใน ค.ศ. 1996 หลัง ค.ศ. 2000 ยูเครนมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริงอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยประมาณเจ็ดเปอร์เซ็นต์ต่อปี[37][38] รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของยูเครนได้รับการรับรองภายใต้การนำของแลออนิด กุชมา ประธานาธิบดีคนที่สองใน ค.ศ. 1996 ซึ่งเปลี่ยนยูเครนให้เป็นสาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดีและก่อตั้งระบบการเมืองที่มั่นคง อย่างไรก็ตาม กุชมาถูกฝ่ายตรงข้ามวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทุจริต การโกงเลือกตั้ง ซึ่งทำให้หมดกำลังใจในการพูด และการเพ่งความสนใจไปที่การใช้อำนาจที่มากเกินไปในตำแหน่งของเขา[39] ยูเครนยังดำเนินการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างเต็มรูปแบบ โดยสละคลังอาวุธนิวเคลียร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และรื้อถอนหรือถอดเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ทั้งหมดในอาณาเขตของตนเพื่อแลกกับการรับรองต่าง ๆ[40]

การปฏิวัติส้ม

ผู้ประท้วงที่จัตุรัสอิสรภาพในวันแรกของการปฏิวัติส้ม

ใน ค.ศ. 2004 วิกตอร์ ยานูกอวึช ซึ่งในขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งถูกควบคุมโดยส่วนใหญ่ตามคำตัดสินของศาลฎีกายูเครน[41] ผลการเลือกตั้งทำให้เกิดเสียงไม่พอใจของประชาชนที่สนับสนุนวิกตอร์ ยุชแชนกอ ผู้สมัครฝ่ายค้านซึ่งคัดค้านผลการเลือกตั้ง ในช่วงหลายเดือนแห่งการปฏิวัติที่วุ่นวาย ผู้สมัครยุชแชนกอก็ป่วยหนัก และในเวลาไม่นาน กลุ่มแพทย์อิสระหลายกลุ่มพบว่าเขาได้รับพิษจากสารทีซีดีดีไดออกซิน[42][43] ยุชแชนกอสงสัยอย่างยิ่งว่ารัสเซียมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษของเขา[44] ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดการปฏิวัติส้มที่สงบ และนำวิกตอร์ ยุชแชนกอ และยูลียา ตือมอแชนกอ ขึ้นสู่อำนาจ ในขณะที่วิกตอร์ ยานูกอวึช เป็นฝ่ายค้าน[45]

ยูลียา ตือมอแชนกอ (ขวา), อังเกลา แมร์เคิล และ มีเคอิล ซาคัชวีลี

นักเคลื่อนไหวของการปฏิวัติส้มได้รับทุนและการฝึกอบรมเกี่ยวกับยุทธวิธีขององค์กรทางการเมืองและการต่อต้านอย่างสันติโดยผู้สำรวจความคิดเห็นจากตะวันตกและที่ปรึกษามืออาชีพซึ่งได้รับทุนบางส่วนจากรัฐบาลตะวันตก[โปรดขยายความ] และหน่วยงานที่ไม่ใช่ภาครัฐ[ใคร?] แต่ได้รับเงินทุนส่วนใหญ่จากแหล่งในประเทศ[46] ตามรายงานของ เดอะการ์เดียน ผู้บริจาคจากต่างประเทศมีได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ และ หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ ร่วมกับสถาบันประชาธิปไตยแห่งชาติ, สถาบันรีพับลิกันอินเตอร์เนชันเนล, องค์การฟรีดอมเฮาส์ และมูลนิธิ Open Society Foundations ของจอร์จ โซรอส[47] กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยได้สนับสนุนความพยายามในการสร้างประชาธิปไตยในยูเครนตั้งแต่ ค.ศ. 1988[48] งานเขียนเกี่ยวกับการต่อสู้อย่างสันติโดยจีน ชาร์ป มีส่วนในการสร้างพื้นฐานเชิงกลยุทธ์ของการรณรงค์ของนักเรียน[49]

ทางการรัสเซียให้การสนับสนุนผ่านที่ปรึกษาเช่นเกล็บ ปัฟลอฟสกี ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำให้ภาพลักษณ์ของยุชแชนกอมืดมนผ่านสื่อของรัฐ รวมถึงกดดันให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ขึ้นกับรัฐลงคะแนนเสียงให้ยานูกอวึชและเทคนิคการลงคะแนนเสียงเช่นการลงคะแนนเสียงแบบ "แคโรเซลโหวตอิงค์" หลายครั้งและการลงคะแนนเสียง "วิญญาณที่ตายแล้ว"[46]

ยานูกอวึชกลับมาสู่อำนาจอีกครั้งใน ค.ศ. 2006 ในฐานะนายกรัฐมนตรีในกลุ่มพันธมิตรแห่งเอกภาพแห่งชาติ[50] จนกระทั่งการเลือกตั้งอย่างฉับพลันในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 ได้ทำให้ตือมอแชนกอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง[51] ท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเงินของยูเครนใน ค.ศ. 2008–09 เศรษฐกิจของยูเครนลดลง 15%[52] ข้อพิพาทกับรัสเซียทำให้การจ่ายก๊าซทั้งหมดไปยังยูเครนหยุดชะงักไปชั่วคราวใน ค.ศ. 2006 และอีกครั้งใน ค.ศ. 2009 ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนก๊าซในประเทศอื่น ๆ[53][54] วิกตอร์ ยานูกอวึชได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ. 2010 ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 48[55]

ยูโรไมดานและการปฏิวัติแห่งศักดิ์ศรี

การเดินขบวนของฝ่ายสนับสนุนสหภาพยุโรปในวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ในช่วงการประท้วงยูโรไมดาน

การประท้วงยูโรไมดาน (ยูเครน: Євромайдан ความหมายตามอักษร "จัตุรัสยูโร") เริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 หลังจากที่ประธานาธิบดีวิกตอร์ ยานูกอวึช ตัดสินใจระงับความตกลงสมาคมระหว่างยูเครนกับสหภาพยุโรปและแสวงหาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับรัสเซีย[56][57][58] ชาวยูเครนบางส่วนออกไปตามท้องถนนเพื่อแสดงการสนับสนุนสำหรับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับยุโรป[59]

ในขณะเดียวกัน ทางตะวันออกของประเทศที่ประชากรพูดภาษารัสเซียเป็นส่วนใหญ่ ประชากรส่วนใหญ่ต่อต้านการประท้วง ยูโรไมดาน แทนที่จะสนับสนุนรัฐบาลยานูกอวึช[60] เมื่อเวลาผ่านไป ยูโรไมดาน ได้อธิบายถึงกระแสของการประท้วงและความไม่สงบในยูเครน[61] ขอบเขตของการพัฒนาที่รวมถึงการเรียกร้องให้ประธานาธิบดียานูกอวึชและรัฐบาลของเขาลาออก[62]

ความรุนแรงเพิ่มขึ้นหลังจากวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 2014 เมื่อรัฐบาลยอมรับกฎหมายต่อต้านการประท้วงฉบับใหม่ ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่มีความรุนแรงเข้ายึดอาคารในใจกลางกรุงเคียฟ รวมถึงอาคารกระทรวงยุติธรรม และการจลาจลทำให้มีผู้เสียชีวิต 98 ราย บาดเจ็บประมาณ 15,000 คน และสูญหายประมาณ 100 ราย[63][64][65][66] ตั้งแต่วันที่ 18 ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์[67][68] และในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ประธานาธิบดียานูกอวึชได้ลงนามในข้อตกลงประนีประนอมกับผู้นำฝ่ายค้านที่สัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่อฟื้นฟูอำนาจบางอย่างให้รัฐสภาและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งในช่วงต้นเดือนธันวาคม[69]

อย่างไรก็ตาม สมาชิกรัฐสภายูเครนลงมติเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ให้ถอดถอนประธานาธิบดีและกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 25 พฤษภาคม เพื่อเลือกประธานาธิบดีคนใหม่[70] การขับไล่ยานูกอวึช[71] ทำให้วลาดีมีร์ ปูติน เริ่มเตรียมการผนวกไครเมียในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014[72][73] แปตรอ ปอรอแชนกอ ผู้ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนสหภาพยุโรป ชนะด้วยคะแนนเสียงมากกว่าร้อยละ 50 จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งรอบที่สอง[74][75][76] ในระหว่างการเลือกตั้งของเขา ปอรอแชนกอประกาศว่าลำดับความสำคัญในทันทีของเขาคือการดำเนินการกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคตะวันออกของยูเครนและการแก้ไขความสัมพันธ์กับรัสเซีย[74][75][76]

ปอรอแชนกอเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2014 ตามที่โฆษกหญิงของเขา Irina Friz ประกาศก่อนหน้านี้ พิธีเข้ารับตำแหน่งจะเป็นพิธีที่ไม่สำคัญโดยและไม่มีการเฉลิมฉลองที่จัตุรัสอิสรภาพในกรุงเคียฟ (ศูนย์กลางของการประท้วง ยูโรไมดาน[77]) สำหรับพิธี[78][79] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 มีการจัดการเลือกตั้งรัฐสภา กลุ่ม "โซลิดาริตี" ของปอรอแชนกอ ได้ที่นั่งไป 132 ที่นั่งจากทั้งหมด 423 ที่นั่ง[80]

การแทรกแซงของรัสเซียในลูฮันสก์และดอแนตสก์และการบุกครองไครเมีย

การบุกครองโดยรัสเซีย ค.ศ. 2022

ในฤดูใบไม้ผลิของ ค.ศ. 2021 รัสเซียเริ่มระดมกองกำลังไปประจำการตามแนวชายแดนยูเครน-รัสเซีย[81][82] เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 วลาดีมีร์ ปูติน ได้สั่งให้กองกำลังรัสเซียเคลื่อนเข้าไปยังสาธารณรัฐดอแนตสก์และลูฮันสก์ของยูเครนที่แยกตัวออกมาจากประเทศแม่ โดยเรียกกองกำลังเหล่านี้ว่า "กองกำลังรักษาสันติภาพ" ปูตินยังได้รับรองอย่างเป็นทางการว่า อดีตพื้นที่ของยูเครนเหล่านี้ได้กลายเป็นรัฐอธิปไตยและเป็นอิสระจากรัฐบาลยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ[83]

มกราคม ค.ศ. 2023

ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะส่งเครื่องบินรบ F-16 ไปยังยูเครน แม้ว่าเจ้าหน้าที่ยูเครนจะเรียกร้องการสนับสนุนทางอากาศอีกครั้งก็ตามนักข่าวถามเมื่อวันจันทร์ว่าสหรัฐฯ จะจัดหาเครื่องบินให้หรือไม่ นายไบเดนตอบเพียงว่า "ไม่" ความคิดเห็นของเขามีขึ้นหนึ่งวันหลังจากผู้นำเยอรมนีสั่งห้ามส่งเครื่องบินขับไล่ ยูเครนได้กล่าวว่าต้องการเครื่องบินไอพ่นเพื่อควบคุมน่านฟ้าของตนในสงครามที่กำลังดำเนินอยู่กับรัสเซีย

F-16 Fighting Falcons ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่เชื่อถือได้มากที่สุดในโลก และถูกใช้โดยประเทศอื่นๆ เช่น เบลเยียมและปากีสถานสิ่งเหล่านี้จะเป็นการอัพเกรดที่สำคัญสำหรับเครื่องบินขับไล่ในยุคโซเวียตที่ยูเครนใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งผลิตขึ้นก่อนที่ประเทศจะประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียตเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม นายไบเดนปฏิเสธคำร้องขอของยูเครนหลายครั้งต่อเครื่องบินไอพ่นลำนี้ โดยเน้นไปที่การให้การสนับสนุนทางทหารในด้านอื่นๆ แทนสหรัฐฯ ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะจัดหารถถัง Abrams 31 คันให้กับ Kyiv โดยที่อังกฤษและเยอรมนีก็ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนในลักษณะเดียวกัน

Andrii Melnyk รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของยูเครนยินดีกับการประกาศดังกล่าว แต่ได้ขอให้พันธมิตรจัดตั้ง "กลุ่มพันธมิตรเครื่องบินขับไล่" ที่จะจัดหาเครื่องบินขับไล่ Eurofighters, Tornados, Rafales ของฝรั่งเศส และ Gripen ของสวีเดนให้กับยูเครน

การเมืองการปกครอง

ฝ่ายบริหาร

ประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ดำรงตำแหน่งวาระละ 5 ปี นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล โดยสภาสูงสุดเป็นผู้เสนอชื่อ และประธานาธิบดีเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ

ฝ่ายนิติบัญญัติ

ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นระบบสภาเดียว คือ สภาสูงสุด (Supreme Rada) มีสมาชิก 450 คน (เลือกตั้งโดยตรง 225 ที่นั่ง แบบสัดส่วน 225 ที่นั่ง) โดยมีการเลือกตั้งทุก ๆ 4 ปี

นโยบายต่างประเทศ

ยูเครนดำเนินนโยบายมุ่งสู่ตะวันตกมาโดยตลอด ในช่วงแรกหลังการแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต โดยตั้งเป้าที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการพัฒนาของทวีปยุโรปและแยกตัวออกจากกรอบความสัมพันธ์กับรัสเซียและประเทศอดีตสหภาพโซเวียต แต่ต่อมา ยูเครนได้ปรับทิศทางของนโยบายต่างประเทศให้สมดุลมากขึ้น โดยหันมาให้ความสำคัญกับรัสเซียและกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ด้วย ในปัจจุบัน กล่าวได้ว่า นโยบายต่างประเทศของยูเครนอยู่บนพื้นฐานของการสร้างดุลยภาพระหว่างการบูรณาการกับตะวันตกและการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับรัสเซีย ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความผูกพันทางเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์การเมือง

ทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศของยูเครนในปัจจุบันการดำเนินนโยบายต่างประเทศของยูเครนภายใต้รัฐบาลของนาง Tymoshenko ยังคงมุ่งเน้นปัจจัยหลัก 3 ประการ เช่นเดียวกับรัฐบาลชุดก่อน ได้แก่

  1. พัฒนาความสัมพันธ์ทวิภาคีกับรัฐต่าง ๆ โดยเฉพาะเทศเพื่อนบ้าน ประเทศมหาอำนาจ และประเทศหุ้นส่วนสำคัญทางยุทธศาสตร์
  2. การบูรณาการเข้าสู่สหภาพยุโรปและนาโต้
  3. ความร่วมมือในกรอบพหุภาคี

ความสัมพันธ์กับรัสเซีย

ช่วงแรกในช่วง 10 ปีแรก หลังการแยกตัวจากสหภาพโซเวียต ยูเครนดำเนินนโยบายมุ่งสู่ตะวันตก หันไปให้ความสำคัญกับสหรัฐ ฯ และประเทศตะวันตก และพยายามหลีกหนีอิทธิพลของรัสเซีย ในขณะที่รัสเซียก็ไม่สามารถยอมรับการเป็นเอกราชอย่างสมบูรณ์ของยูเครนได้ เนื่องจากยูเครนหรือ Little Russia ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศรัสเซียมาโดยตลอด พร้อมกันนี้ ความขัดแย้งทางเชื้อชาติระหว่างชาวยูเครนกับชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในยูเครนได้ปะทุขึ้นภายหลังจากที่ยูเครนประกาศเอกราชจากรัสเซีย ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดสถานการณ์การเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียกับยูเครนหลายครั้ง เช่น การแย่งชิงคาบสมุทรไครเมีย และปัญหากรรมสิทธิกองเรือของรัสเซียในทะเลดำ เป็นต้น ทั้งนี้ ความพยายามลดการพึ่งพารัสเซียทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดได้แก่ การที่ยูเครนพยายามแสวงหาแหล่งน้ำมันและพลังงานจากแหล่งอื่น ๆ นอกเหนือจากรัสเซีย เช่น อิหร่าน และดินแดนปกครองตนเองในรัสเซีย

ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนกับรัสเซียได้กลับมาใกล้ชิดกันมากขึ้น หลังจากที่ได้ห่างเหินเป็นเวลายาวนานในช่วงหลังการประกาศอิสรภาพ การปรับความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งเริ่มจากการลงนามในความตกลงเพื่อหาข้อยุติสำหรับปัญหากองเรือทะเลดำเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1997 ทั้งนี้ ความตกลงฯ ได้กำหนดให้รัสเซียได้สิทธิในการเช่าฐานทัพเรือยูเครนที่เมืองเซวาสโตโพล (Sevastopol) เพื่อเป็นที่ตั้งกองเรือของตนต่อไปอีก 20 ปี

ทั้งสองประเทศได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการพิเศษเพื่อร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ (Bilateral Commission) และรวมไปถึงการพิจารณาปัญหาความขัดแย้งในการปักปันเขตแดน การจัดทำแผนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ 10 ปี (ปี ค.ศ. 1998 - 2007) ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสองประเทศในเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจ แนวทางในการร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและแนวทางในการขยายปริมาณการค้าระหว่างกัน รวมทั้งความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ กว่า 100 โครงการ เช่น ด้านการบิน การพลังงาน การสำรวจอวกาศ เป็นต้น ซึ่งแผนความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมปริมาณการค้าและการลงทุนระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งมีมูลค่า 14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ เมื่อปี ค.ศ. 1997 ให้เพิ่มขึ้นอีกสองเท่าครึ่งในอีก 10 ปี ข้างหน้า นอกจากนั้น ยังมีความตกลงระหว่างรัฐบาลอีกหลายฉบับ เช่น ความร่วมมือด้านการสื่อสาร การศึกษาและการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมร่วม เพื่อกระตุ้นให้เห็นถึงพัฒนาการความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัสเซียกับยูเครน รวมทั้งได้มีการลงนามในสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือและมิตรภาพ (Treaty of Friendship, Co-operation and Partnership) เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1997 เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรบนพื้นฐานของการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (strategic partnership) การเคารพซึ่งกันและกัน และในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีระหว่างกันอย่างแน่นแฟ้นต่อไป และผู้นำทั้งสองเห็นพ้องที่จะให้จัดตั้งคณะทำงานร่วม anti - crisis group เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และยืนยันที่จะผลักดันรัฐบาลของแต่ละฝ่ายให้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 2002 นายกรัฐมนตรี Mikhail Kasyanov ของรัสเซียและนายกรัฐมนตรี Anatoliy Kinakh ของยูเครนในขณะนั้น ได้ลงนามร่วมกันในความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ นอกจากนี้ นาย Alexei Miller ประธานกรรมการบริษัท Gazprom ของรัสเซียก็ได้ลงนามในเอกสารร่วมกับนาย Yury Buiko ประธานกรรมการบริษัท Nallogaz Ukrainy ของยูเครน เพื่อการจัดตั้งองค์กรร่วมทุนระหว่างประเทศ (international consortium) เพื่อพัฒนาและดำเนินการเกี่ยวกับระบบการขนส่งก๊าซในยูเครน โดยองค์กรดังกล่าวจะจัดตั้ง จดทะเบียน และดำเนินการภายใต้กฎหมายของยูเครน โดยสำนักงานจะตั้งอยู่ที่เคียฟ และในอนาคตรัสเซียและยูเครนจะเปิดโอกาสให้บริษัทต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปเข้ามามีส่วนร่วมในองค์กรร่วมทุนดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ รัสเซียและยูเครนได้เคยลงนามในสัญญาร่วมกันเพื่อการขนส่งก๊าซจากรัสเซียผ่านท่อก๊าซของยูเครนถึงปีค.ศ. 2013 ไม่ต่ำกว่า 110 พันล้านคิวบิกเมตร และปัจจุบัน รัสเซียส่งก๊าซไปยังยุโรปโดยผ่านระบบท่อส่งก๊าซในยูเครนเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลของนาง Tymoshenko น่าจะลดความสำคัญในการร่วมมือกับรัสเซียลงกว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว

ความขัดแย้งเรื่องราคาก๊าซธรรมชาติระหว่างยูเครนกับรัสเซีย

ก่อนหน้านี้ ยูเครนและรัสเซีย ได้เจรจาข้อขัดแย้งในกรณีที่รัสเซียระงับการจ่ายก๊าซธรรมชาติให้ยูเครน หลังจากที่ยูเครนไม่ยอมตามที่รัสเซียประกาศจะขึ้นราคาก๊าซ 4 เท่า จากเดิม 50 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1,000 ลูกบาศก์เมตร เป็น 220 - 230 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1,000 ลูกบาศก์เมตร ตามราคาตลาดยุโรป เหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ยูเครน และประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ซึ่งนำเข้าก๊าซจากรัสเซียผ่านท่อก๊าซในยูเครน ประสบกับปัญหาด้านพลังงาน ท่ามกลางภูมิอากาศที่หนาวเย็นที่สุดในรอบหลายปี ในเบื้องต้น ยูเครนและรัสเซียสามารถตกลงกันได้ในระดับหนึ่ง โดยยูเครนจะนำเข้าก๊าซจากรัสเซียผ่านบริษัท Rosukrenergo ซึ่งรัสเซีย ถือหุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง โดยบริษัท Rosukrenergo จะซื้อก๊าซจากรัสเซียในราคา 230 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1,000 ลูกบาศก์เมตร และขายก๊าซที่ตนซื้อจากเติร์กเมนิสถาน ซึ่งมีราคาถูกกว่าให้ยูเครนในราคา 95 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1,000 ลูกบาศก์เมตร เป็นเวลา 5 ปี ทั้งนี้ สำหรับปี 2551 รัฐบาลยูเครนภายใต้การนำของนาย Viktor Yanukovych อดีต นรม. ได้ลงนามความตกลงกับรัสเซียที่จะนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียในราคา 179.5 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1,000 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งขึ้นจาก 130 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2550

ความขัดแย้งบริเวณช่องแคบเคียร์ช

ช่องแคบ Kerch ตั้งอยู่ระหว่างเกาะ Tuzla ของยูเครนและ Taman Peninsula ของรัสเซีย และเป็นช่องทางผ่านจากทะเล Azov เข้าสู่ทะเลดำ ซึ่งนับตั้งแต่การประกาศเอกราชของยูเครนจากสหภาพโซเวียต ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถบรรลุการเจรจาปักปันเขตแดนในบริเวณนี้ แต่เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2003 รัสเซียได้เริ่มสร้างเขื่อนในบริเวณช่องแคบ Kerch เพื่อเชื่อมชายฝั่งบริเวณคาบสมุทร Taman ของรัสเซีย เข้ากับเกาะ Tuzla ของยูเครน โดยอ้างว่าเขื่อนดังกล่าวจะช่วยลดการพังทลายของพื้นที่ชายฝั่งของรัสเซีย แต่ยูเครนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอธิปไตยทางดินแดนของตน จึงได้ส่งกองทัพเข้าไปประจำการในเกาะ Tuzla และทำการซ้อมรบในบริเวณดังกล่าว รวมทั้งรัฐสภายูเครนได้ลงมติว่า การกระทำของรัสเซียถือได้ว่าเป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นมิตร ทำให้เกิดสถานการณ์การเผชิญหน้าที่ตึงเครียดระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายได้พยายามเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวในหลายระดับ โดยการเจรจาครั้งสำคัญมีขึ้นระหว่างประธานาธิบดี Kuchma ของยูเครน และประธานาธิบดี Vladimir Putin ของรัสเซีย ที่แหลมไครเมีย เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 2003 ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในกรอบความตกลงว่าด้วยการใช้ประโยชน์ร่วมกันบริเวณช่องแคบ Kerch และทะเล Azov และล่าสุดมีรายงานข่าวว่า การเจรจาระหว่างยูเครนและรัสเซียรอบแรกว่าด้วยการปักปันเขตแดนทางทะเลบริเวณช่องแคบ Kerch และทะเล Azov จะจัดขึ้นที่กรุงมอสโก ระหว่างวันที่ 29 - 30 มกราคม ค.ศ. 2004

ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มเครือรัฐเอกราช

ยูเครนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับโปแลนด์ และมีบทบาทสำคัญในกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) รองจากรัสเซีย รวมทั้งมีบทบาทนำในองค์กรในระดับอนุภูมิภาค เช่น กลุ่ม GUUAM (Georgia - Ukraine - Uzbekistan - Azerbaijan - Moldova) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศ CIS ที่นิยมตะวันตกและสนับสนุนให้ CIS รวมตัวเฉพาะทางเศรษฐกิจเท่านั้น กลุ่ม Organization for Black Sea Economic Cooperation และอยู่ในกลุ่มความร่วมมือ Common Economic Space (CES) ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อการจัดตั้งเขตการค้าเสรีระหว่างรัสเซีย ยูเครน เบลารุส และคาซัคสถาน นอกจากนี้ ยูเครนยังมีแผนที่จะร่วมมือกับอาเซอร์ไบจาน จอร์เจีย และมอลโดวา ในการสร้างท่อลำเลียงน้ำมันจากริมฝั่งทะเลสาบแคสเปียนโดยไม่ผ่านดินแดนของรัสเซียเพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจและอิทธิพลรัสเซียในภูมิภาคนี้ เนื่องจากปัจจุบันรัสเซียเป็นผู้ผูกขาดการขนส่งน้ำมันจากทะเลสาบแคสเปียนไปยังตลาดตะวันตกแต่เพียงผู้เดียว

ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตก

สหภาพยุโรป

ยูเครนและสหภาพยุโรปได้จัดทำความตกลงภายใต้ Partnership and Cooperation Agreement ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2541 อย่างไรก็ตาม ความตกลงดังกล่าวมิได้ขยายไปถึงการจัดทำ Association Agreement ตามที่ยูเครนแสดงความประสงค์ โดยสหภาพยุโรปได้แต่ยอมรับถึงความประสงค์ของยูเครนที่จะยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่การเป็น Association ระหว่างกันเท่านั้น ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการเข้าร่วมเป็นสมาชิก EU ของยูเครนคือ การที่ยูเครนยังไม่ได้รับการยอมรับว่ามีเศรษฐกิจระบบตลาดและยังมีปัญหาในเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอยู่มาก

รัฐบาลภายใต้การนำของนาง Tymoshenko น่าจะดำเนินนโยบายที่มุ่งกระชับความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรปมากกว่ารัฐบาลชุดก่อน โดยเน้นการรวมตัวกับสหภาพยุโรปเป็นหลัก โดยเฉพาะการจัดทำความตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป เพื่อทดแทน Parnership and Cooperation Agreement ซึ่งสิ้นอายุไปเมื่อปลายปี 2550 ทั้งนี้ คาดว่ายูเครนยังคงไม่สามารถเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปในรัฐบาลชุดนี้ได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่ายูเครนยังจะสามารถเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกได้ในปี 2551 ภายหลังจากที่ได้ดำเนินการเจรจาทวิภาคีกับประเทศที่เกี่ยวข้องเมื่อปี 2550 ซึ่งน่าจะปูทางไปสู่การเข้าเป็นสมาชิก EU ได้ต่อไปในอนาคต

สหรัฐ

ความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนกับสหรัฐดำเนินภายใต้โครงการความช่วยเหลือ Freedom for Russia and Emerging Eurasian Democracies and Open Markets Support Act ซึ่งผ่านการรับรองจากรัฐสภาสหรัฐเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1992 โดยมียอดเงินช่วยเหลือทั้งสิ้น 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยในบรรดาประเทศอดีตสหภาพโซเวียต ยูเครนได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากสหรัฐมากที่สุด โดยในปี ค.ศ. 2000 ยูเครนได้รับเงินช่วยเหลือ 168 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากยอดรวม 216 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกำหนดที่จะให้ประเทศ CIS ทั้งหมด นอกจากนี้ ยูเครนยังได้รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐอีก จำนวน 74 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใต้โครงการ Western NIS Enterprise Fund ซึ่งเป็นเงินช่วยเหลือแก่วิสาหกิจเอกชนของยูเครน แต่ภายหลังที่มีข่าวเรื่องยูเครนขายอาวุธให้แก่อิรักแล้ว มีรายงานข่าวว่า ในปี ค.ศ. 2003 รัฐบาลสหรัฐได้ปฏิเสธการให้เงินช่วยเหลือจำนวน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก่รัฐบาลยูเครน และจะโอนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่หน่วยงานหรือกลุ่มผู้รณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนในยูเครนแทน อย่างไรก็ดี ยูเครนได้ส่งทหารจำนวน 1,600 นาย เข้าไปร่วมกับกองกำลังของพันธมิตรในการฟื้นฟูบูรณะอิรัก เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2003 ซึ่งคาดว่า การกระทำดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐ อันจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนให้ยูเครนได้เข้าเป็นสมาชิก NATO ได้ในอนาคต อนึ่ง ยูเครนเข้าร่วมใน OSCE ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 เป็นสมาชิกของ North Atlantic Cooperation Council และเป็นสมาชิก Partnership for Peace ในกรอบนาโต อย่างไรก็ดี นโยบายที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิก NATO ของนาง Tymoshenko อาจถูกต่อต้านจากฝ่ายค้านและประชาชนจำนวนมากที่ให้การสนับสนุนพรรคฝ่ายค้าน

ความสัมพันธ์กับไทย

  • การทูต

ความสัมพันธ์ทวิภาคีดำเนินไปอย่างราบรื่น มีกลไกที่พร้อมสนับสนุนการพัฒนาความสัมพันธ์ในระดับหนึ่ง โดยไทยมอบหมายสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก มีเขตอาณาดูแลยูเครน ขณะที่ยูเครนจัดตั้งสถานเอกอัคราชทูตขึ้นที่ประเทศไทย มีความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission) ระหว่างไทยกับยูเครน ความตกลงระหว่างสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกับสภาหอการค้าและอุตสหกรรมยูเครน เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทสายการบิน Aerosvit ของยูเครนได้เปิดเส้นทางการบินตรงระหว่างไทยกับยูเครนสัปดาห์ละ 3 เที่ยวมาตั้งแต่ พ.ศ. 2546 ใน พ.ศ. 2549 มีนักท่องเที่ยวยูเครนมาไทยถึง 15,000 คน ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยไปยูเครนประมาณ 50 คน

  • การเมือง

ไทยมีความสัมพันธ์ทางการเมืองกับยูเครนตั้งแต่ยูเครนยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย และ สหภาพโซเวียตตามลำดับ หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ในช่วงปลาย พ.ศ. 2534 โดยสาธารณรัฐต่าง ๆ ซึ่งเคยรวมเป็นสหภาพโซเวียต ได้แยกตัวออกเป็นอิสระ และประกาศตัวเป็นเอกราชรวม 12 ประเทศ ไทยได้ให้การรับรองเอกราชของประเทศเหล่านี้ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ต่อมาไทยได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับยูเครน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 โดยให้อยู่ในเขตอาณาของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมอสโก และใน พ.ศ. 2550 ได้แต่งตั้งนายมิโคโล ราดุดสกี (Mykhajlo Radoutskyy) เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำยูเครน ส่วนยูเครนได้ตั้งสถานเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทยขึ้น เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2545 โดยมีนายอีกอร์ ฮูเมนนี (Ihor Humennyi) ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย และ มีนายปรีชา ถิรกิจพงศ์ ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ยูเครนประจำประเทศไทย

การแบ่งเขตการปกครอง

ยูเครนแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 24 แคว้น (о́бласть) 1 สาธารณรัฐปกครองตนเอง (автоно́мна респу́бліка) และ 2 นครสถานะพิเศษ (мі́сто зі спеціа́льним ста́тусом) ได้แก่

เขตการปกครองเมืองหลัก
แคว้น
กีรอวอฮรัดกรอปึวนึตสกึย
คแมลนึตสกึยคแมลนึตสกึย
คาร์กิวคาร์กิว
เคียฟเคียฟ
แคร์ซอนแคร์ซอน
แชร์กาซือแชร์กาซือ
แชร์นิวต์ซีแชร์นิวต์ซี
แชร์นีฮิวแชร์นีฮิว
ซาการ์ปัจจาอุฌฮอรอด
ซาปอริฌเฌียซาปอริฌเฌีย
ซูมือซูมือ
ฌือตอมือร์ฌือตอมือร์
ดนีปรอแปตร็อวสก์ดนีปรอ
ดอแนตสก์ดอแนตสก์
แตร์นอปิลแตร์นอปิล
ปอลตาวาปอลตาวา
มือกอลายิวมือกอลายิว
ริวแนริวแน
ลวิวลวิว
ลูฮันสก์ลูฮันสก์
วอลึญลุตสก์
วินนึตเซียวินนึตเซีย
ออแดซาออแดซา
อีวานอ-ฟรันกิวสก์อีวานอ-ฟรันกิวสก์
สาธารณรัฐปกครองตนเอง
ไครเมียซิมเฟโรปอล
นครสถานะพิเศษ
เคียฟ
เซวัสโตปอล

หมายเหตุ

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

รัฐบาล
🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง