จังหวัดยะลา
ยะลา (มลายูปัตตานี: جالا; ยาลอ) เป็นจังหวัดหนึ่งตั้งอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย มีพื้นที่ 4,521.078 ตารางกิโลเมตร มีประชากร 542,314 คน มีอาณาเขตทางใต้ติดกับประเทศมาเลเซีย เป็นจังหวัดเดียวในภาคใต้ที่ไม่ติดทะเล[4] และเป็นจังหวัดที่อยู่ใต้สุดของประเทศไทย ดังปรากฏในคำขวัญประจำจังหวัดคือ "ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน"[5]
จังหวัดยะลา | |
---|---|
การถอดเสียงอักษรโรมัน | |
• อักษรโรมัน | Changwat Yala |
คำขวัญ: ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน | |
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดยะลาเน้นสีแดง | |
ประเทศ | ไทย |
การปกครอง | |
• ผู้ว่าราชการ | อำพล พงศ์สุวรรณ[1] (ตั้งแต่ พ.ศ. 2566) |
พื้นที่[2] | |
• ทั้งหมด | 4,521.078 ตร.กม. (1,745.598 ตร.ไมล์) |
อันดับพื้นที่ | อันดับที่ 47 |
ประชากร (พ.ศ. 2566)[3] | |
• ทั้งหมด | 549,946 คน |
• อันดับ | อันดับที่ 46 |
• ความหนาแน่น | 121.64 คน/ตร.กม. (315.0 คน/ตร.ไมล์) |
รหัส ISO 3166 | TH-95 |
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด | |
• ต้นไม้ | อโศกเหลือง |
• ดอกไม้ | พิกุล |
• สัตว์น้ำ | ปลาพลวงชมพู |
ศาลากลางจังหวัด | |
• ที่ตั้ง | ถนนสุขยางค์ ตำบลสะเตง อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา 95000 |
• โทรศัพท์ | 0 7322 1014 |
• โทรสาร | 0 7321 1586 |
เว็บไซต์ | http://www.yala.go.th |
จังหวัดยะลาเป็นหนึ่งในสี่จังหวัดที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม และเป็นหนึ่งในสามจังหวัดที่ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษามลายูปัตตานีในการสื่อสาร ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายมลายู รองลงมาคือชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวไทยพุทธ อย่างไรก็ตามยะลาถือเป็นจังหวัดที่ดำรงความเป็นพหุวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจน เพราะมีความแตกต่างกันทั้งด้านเชื้อชาติ ภาษา และศาสนา แต่ชนทุกกลุ่มยังคงรักษาวิถีชีวิตและประเพณีของตนไว้อย่างเหนียวแน่น[6]
ศัพทมูลวิทยา
เหตุที่เรียกชื่อว่ายะลานั้นเพราะพระยาเมืองคนแรกได้ตั้งที่ทำการขึ้นที่บ้านยะลา คำว่า ยะลา (มลายู: Jala, جالا) หรือสำเนียงภาษามลายูพื้นเมืองเรียกว่า ยาลอ (มลายู: Jalor, جالور, ญาโลร์) แปลว่า "แห" ซึ่งเป็นคำยืมมาจากภาษาบาลี-สันสกฤตว่า ชาละ หรือ ชาลี หมายถึง "แห" หรือ "ตาข่าย"[7] มีภูเขาลูกหนึ่งในเขตอำเภอเมืองยะลามีลักษณะเหมือนแหจับปลา โดยผูกจอมแหแล้วถ่างตีนแหไปโดยรอบ ผู้คนจึงเรียกภูเขานี้ว่า ยะลา หรือ ยาลอ แล้วนำมาตั้งนามเมือง[7]
แต่ตามประวัติศาสตร์ซึ่งได้เขียนไว้ในสมัยเจ็ดหัวเมือง โดยเจ้าผู้ครองเมืองเดิมได้เขียนไว้เป็นประวัติศาสตร์เป็นภาษามลายูว่า “เมืองยะลา” เป็นสำเนียงภาษาอาหรับ โดยชาวอินโดนีเซียที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาอิสลามในบริเวณเจ็ดหัวเมืองซึ่งอยู่ในแหลมมลายูเป็นผู้ตั้งชื่อเมืองไว้
เมืองยะลาเดิมตั้งอยู่ใกล้ภูเขายาลอ ห่างจากที่ว่าการอำเภอเมืองยะลาปัจจุบันไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12 กิโลเมตร ต่อมาเมืองยะลาได้ยกฐานะเป็นเมือง ๆ หนึ่งของบริเวณเจ็ดหัวเมือง คำว่าเมืองยะลาหรือยาลอ ยังคงเรียกกันจนถึงปัจจุบันนี้
ประวัติ
ยะลาเดิมเป็นท้องที่หนึ่งของเมืองปัตตานี ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้มีการปรับปรุงการปกครองใหม่เป็นการปกครองแบบเทศาภิบาลและได้ออกประกาศข้อบังคับสำหรับปกครอง 7 หัวเมือง รัตนโกสินทรศก 120 ซึ่งประกอบด้วยเมืองปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง สายบุรี ยะลา ระแงะ และรามัน ในแต่ละเมืองจะแบ่งเขตการปกครองเป็นอำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2447 ประกาศจัดตั้งมณฑลปัตตานีขึ้นดูแลหัวเมืองทั้ง 7 แทนมณฑลนครศรีธรรมราช และยุบเมืองเหลือ 4 เมือง ได้แก่ ปัตตานี ยะลา สายบุรี และระแงะ ต่อมา พ.ศ. 2450 เมืองยะลาแบ่งเขตการปกครองเป็น 2 อำเภอ ได้แก่อำเภอเมืองยะลาและอำเภอยะหา ต่อมา พ.ศ. 2475 ได้มีการยกเลิกมณฑลปัตตานี และในปี พ.ศ. 2476 เมืองยะลาได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะเป็นจังหวัดยะลาตามพระราชบัญญัติราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 เรื่อง การจัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาค ออกเป็นจังหวัด เป็นอำเภอ และให้มีข้าหลวงประจำจังหวัด และกรมการจังหวัดเป็นผู้บริหารราชการ
หน่วยการปกครอง
การปกครองส่วนภูมิภาค
การปกครองแบ่งออกเป็น 8 อำเภอ 58 ตำบล 341 หมู่บ้าน มีรายชื่อดังนี้
|
วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558 กระทรวงมหาดไทยประชุมเพื่อพิจารณาร่างกฤษฎีกาจัดตั้งอำเภอลำใหม่แยกจากอำเภอเมืองยะลา และอำเภอโกตาบารูแยกจากอำเภอรามันเป็นกรณีพิเศษ โดยอ้างความจำเป็นพิเศษด้านความมั่นคง และหากมีการจัดตั้งแล้ว อำเภอโกตาบารูจะมีการขอพระราชทานชื่อใหม่[9]
การปกครองส่วนท้องถิ่น
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประกอบด้วยองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง (องค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา) เทศบาลนคร 1 แห่ง (เทศบาลนครยะลา) เทศบาลเมือง 2 แห่ง เทศบาลตำบล 13 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 47 แห่ง รายชื่อเทศบาลทั้งหมดมีดังนี้
ลำดับ | ชื่อเทศบาล | พื้นที่ (ตร.กม.) | ตั้งเมื่อ (พ.ศ.)[# 1] | อำเภอ | ครอบคลุมตำบล | ประชากร สิ้นปี 2561 (คน)[3] | ||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ทั้งตำบล | บางส่วน | รวม | ||||||
เทศบาลนคร | ||||||||
1 | เทศบาลนครยะลา | 19.4[10] | 2538[11] | เมืองยะลา | 1 | – | 1 | 61,218 |
เทศบาลเมือง | ||||||||
1 | เทศบาลเมืองเบตง | 78[12] | 2547[13] | เบตง | 1 | – | 1 | 26,668 |
2 | เทศบาลเมืองสะเตงนอก | 34.78[14] | 2554[15] | เมืองยะลา | 1 | – | 1 | 32,353 |
เทศบาลตำบล | ||||||||
1 | เทศบาลตำบลโกตาบารู | 17[16] | 2542[17] | รามัน | 1 | – | 1 | 5,692 |
2 | เทศบาลตำบลเขื่อนบางลาง | 82.5[18] | 2550[19] | บันนังสตา | 1 | – | 1 | 4,422 |
3 | เทศบาลตำบลคอกช้าง | 2.44[20] | 2542[17] | ธารโต | – | 1 | 1 | 1,558 |
4 | เทศบาลตำบลท่าสาป | 16.11[21] | 2555[22] | เมืองยะลา | 1 | – | 1 | 7,984 |
5 | เทศบาลตำบลธารน้ำทิพย์ | 138.51[23] | 2555[24] | เบตง | 1 | – | 1 | 4,433 |
6 | เทศบาลตำบลบันนังสตา | 1.5[25] | 2542[17] | บันนังสตา | – | 1 | 1 | 2,721 |
7 | เทศบาลตำบลบาลอ | 26.41[26] | 2556[27] | รามัน | 1 | – | 1 | 5,582 |
8 | เทศบาลตำบลบุดี | 48.92[28] | 2551[28] | เมืองยะลา | 1 | – | 1 | 11,221 |
9 | เทศบาลตำบลปะแต | 208.31[29] | 2555[30] | ยะหา | 1 | – | 1 | 16,962 |
10 | เทศบาลตำบลเมืองรามันห์[31] | 8.24[32] | 2542[17] | รามัน | – | 1 | 1 | 5,120 |
11 | เทศบาลตำบลยะหา | 1.89[33] | 2542[17] | ยะหา | – | 1 | 1 | 2,618 |
12 | เทศบาลตำบลยุโป | 33.77[34] | 2555[35] | เมืองยะลา | 1 | – | 1 | 6,983 |
13 | เทศบาลตำบลลำใหม่ | 0.69[36] | 2542[17] | เมืองยะลา | – | 1 | 1 | 1,050 |
ประชากร
ชาติพันธุ์
ปี | ประชากร | ±% |
---|---|---|
2550 | 470,691 | — |
2551 | 475,527 | +1.0% |
2552 | 480,334 | +1.0% |
2553 | 487,380 | +1.5% |
2554 | 493,767 | +1.3% |
2555 | 500,814 | +1.4% |
2556 | 506,138 | +1.1% |
2557 | 511,911 | +1.1% |
2558 | 518,139 | +1.2% |
2559 | 522,279 | +0.8% |
2560 | 527,295 | +1.0% |
2561 | 532,326 | +1.0% |
2562 | 536,330 | +0.8% |
2563 | 538,598 | +0.4% |
2564 | 542,314 | +0.7% |
อ้างอิง: กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย[37] |
ประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดยะลาเป็นชาวไทยเชื้อสายมลายูเป็นพื้น ในอดีตจะถูกเรียกอย่างรวม ๆ กับชาวชวา-มลายูทั่วไปว่าคนยาวี (Orang Jawi)[38] แต่จะเรียกตัวเองว่าออแฆนายู และพึงใจที่ผู้อื่นเรียกว่าคนนายูมากกว่าคนยาวี[39] เมื่อ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2482 ในสมัยหลวงพิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยมฉบับที่ 3 เรื่องการเรียกชื่อชาวไทยโดยให้เรียกชาวมลายูมุสลิมว่าไทยอิสลาม[40] และปัจจุบันทางราชการของไทยยังคงเรียกคนเชื้อสายมลายูว่าคนไทยหรือไทยมุสลิมอยู่[41] นอกจากนั้นก็จะมีชาวไทยพุทธและชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นชนกลุ่มน้อย อาศัยอยู่ตามเมืองใหญ่ ๆ[42] โดยเฉพาะอำเภอเบตงถือเป็นชุมชนชาวจีนที่มีขนาดใหญ่และเข้มแข็ง สามารถคงอัตลักษณ์ความเป็นจีนไว้อย่างเหนียวแน่น[6] โดยมากเป็นชาวจีนกวางไส บรรพบุรุษอพยพจากเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง[43] ส่วนชาวไทยเชื้อสายจีนในเทศบาลนครยะลาโดยมากเป็นชาวฮกเกี้ยน[42][44] ขณะที่ชาวไทยพุทธมีอยู่หนาแน่นในเขตเทศบาลนครยะลา[45] ร้อยละ 51[46] พบไทยพุทธเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ในตำบลตาชี ร้อยละ 100[47] ตำบลลำพะยา ร้อยละ 75.4[48] ตำบลหน้าถ้ำ ร้อยละ 70[49] เทศบาลตำบลลำใหม่ ร้อยละ 60[50] เทศบาลตำบลยุโป ร้อยละ 44.4[51] ตำบลบาละ ร้อยละ 40[52] ตำบลตาเซะ ร้อยละ 23.5[48] และเทศบาลตำบลท่าสาป ร้อยละ 20[53] นอกจากนี้จะพบชาวไทยพุทธอาศัยอยู่เพียงประปรายในเขตสุขาภิบาลบางท้องที่[48] ซึ่งหลายชุมชนในจังหวัดยะลาเป็นชุมชนพหุวัฒนธรรม เพราะมีประชากรต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา และต่างศาสนา อาศัยอยู่ร่วมกัน อย่างเช่นบ้านแบหอ ตำบลกาลอ อำเภอรามัน ซึ่งเป็นชุมชนเชื้อสายจีนอาศัยอยู่ร่วมกับชาวมลายูมุสลิม ไทยพุทธ และอินเดียซิกข์[54]
แต่ระยะหลังเมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวไทยพุทธอพยพออกจากพื้นที่เป็นจำนวนมาก[55][56][57] เช่นชุมชนชาวจีนที่บ้านเนียง อำเภอเมืองยะลา และชุมชนจีนบ้านแบหอ อำเภอรามัน ที่ลูกหลานโยกย้ายออกจากถิ่นฐานเดิมจนสิ้น[58][59] ซึ่งใน พ.ศ. 2562 ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้จัดโครงการไทยพุทธคืนถิ่น จำนวน 12 หมู่บ้าน และกิจกรรมอาสาสมัครพัฒนาศาสนสถาน จำนวน 13 หมู่บ้าน เพื่อฟื้นฟูสังคมพหุวัฒนธรรมของจังหวัดยะลาขึ้นอีกครั้ง[60]
ขณะที่ชาวซาไกเผ่ากันซิวและจำนวนน้อยเป็นเผ่ากินตัก[61] ซึ่งเคยตั้งถิ่นฐานในเขตหมู่ 3 ตำบลบ้านแหร อำเภอธารโต แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่อพยพไปประเทศมาเลเซีย ด้วยเหตุผลด้านที่ทำกินและวิถีชีวิตที่ดีกว่า ประกอบกับเหตุผลด้านความไม่สงบ[62] นอกจากนี้ยังมีชาวพม่า ลาว และกัมพูชา เข้าเป็นแรงงานในยะลาเป็นจำนวนมากในเขตอำเภอเมืองยะลาและอำเภอเบตง โดยใน พ.ศ. 2552 มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 5,000 คน[63] และมีชาวเขาจากภาคเหนืออพยพมาลงหลักปักฐานที่ยะลาหลายเผ่าเพื่อเป็นแรงงาน เช่น เผ่าม้งเข้ามาอาศัยในอำเภอเบตงและอำเภอธารโตจำนวนหนึ่ง และพบว่าม้งส่วนหนึ่งอาศัยอยู่ร่วมนิคมกับเผ่าซาไกที่บ้านซาไก[64] ส่วนชุมชนมูเซอบ้านบ่อน้ำร้อนในอำเภอเบตง[65][66][67] มีประชากรมากถึงขั้นก่อตั้งโบสถ์คริสต์ในชุมชนของตัวเอง[68]
ภาษา
จังหวัดยะลาเป็นหนึ่งในสามจังหวัดของประเทศไทยที่ประชากรส่วนใหญ่ใช้ภาษามลายูปัตตานีในการสื่อสาร เป็นสำเนียงที่ใช้ในจังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และทางตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดสงขลา ภาษานี้มีการใช้อักษรยาวีซึ่งได้รับอิทธิพลจากอักษรอาหรับสำหรับการเขียน[38][69] สำหรับการเผยแผ่ศาสนาโดยเฉพาะ[70] ทว่าในยุคหลังมานี้มีการยืมคำไทยเข้าปะปนมากขึ้น[71] โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่พูดมลายูปนไทย[70] ปัจจุบันมีการส่งเสริมให้ติดป้ายประกาศของสถานที่ราชการเป็นภาษามลายูปัตตานีและอักษรยาวีทั่วไปในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้[72] ทั้งนี้ชาวไทยพุทธและชาวไทยเชื้อสายจีนบางส่วนสามารถพูดภาษามลายูเพื่อสื่อสารกับคนมลายูซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่[73][74][42]
ขณะที่ชาวไทยพุทธจะใช้ภาษาไทยถิ่นใต้ มีสำเนียงใกล้เคียงกับสำเนียงสงขลา[75] มีลักษณะเช่นเดียวกับภาษาใต้ถิ่นอื่นที่มีการรวบคำให้สั้นกระชับ ทว่ามีลักษณะเด่นคือการออกเสียงที่นุ่มนวลไม่หยาบกระด้างต่างจากภาคใต้ถิ่นอื่น[76] และมีการยืมคำมลายูมาก โดยมีความหนาแน่นของคำยืมจากมลายูมากถึงร้อยละ 75.75[77] เช่น ซะด๊ะ แปลว่า อร่อย มอแระ แปลว่า สวยงาม และลากู แปลว่า ขายดี[78]
ส่วนชาวไทยเชื้อสายจีน โดยเฉพาะอำเภอเบตงที่มีคนเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาธำรงอัตลักษณ์ความเป็นจีนคือการใช้ภาษาจีน[6] ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่มได้แก่ ภาษาจีนกลาง ภาษาจีนกวางไส ภาษาจีนฮกเกี้ยน ภาษาจีนแต้จิ๋ว และภาษาจีนแคะ[79][80] เช่นประชาชนในชุมชนวัดปิยมิตรที่สามารถสื่อสารภาษาจีนกลางได้[81] ปัจจุบันคนยุคหลังใช้ภาษาจีนน้อยลง[82] และลูกหลานจีนหลายคนนิยมใช้ภาษาไทยมาตรฐาน แต่บุคคลเชื้อสายจีนในเทศบาลนครยะลาที่อายุต่ำกว่า 50 ปีจะพูดจีนไม่ได้แต่พอฟังรู้ความ[42]
ปัจจุบันชาวไทยพุทธและชาวไทยเชื้อสายจีนในเทศบาลนครยะลาเกินครึ่งพูดภาษาไทยถิ่นใต้ไม่ได้เพราะหันไปพูดภาษาไทยมาตรฐาน ส่วนชาวไทยเชื้อสายมลายูนอกเขตเทศบาลจะพูดภาษาไทยไม่ชัดเจน และหากมีอายุ 70 ปีขึ้นไปจะไม่สามารถพูดภาษาไทยได้เลย[42]
ศาสนา
จังหวัดยะลาเป็นหนึ่งในสี่จังหวัดของไทยที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็เป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธมากที่สุดในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้[84] มีชุมชนชาวคริสต์ขนาดย่อมทั้งนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ในเขตเทศบาลนครยะลาและเทศบาลเมืองเบตง[85] นอกจากนี้ยังมีชุมชนของผู้นับถือศาสนาซิกข์ขนาดน้อย อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลนครยะลา[86] และพบได้ในบ้านแบหอ ตำบลกาลอ อำเภอรามัน[54] ส่วนชาวซาไกหันมานับถือศาสนาพุทธโดยให้เหตุผลว่านับถือตามสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี แต่ปัจจุบันยังปะปนไปด้วยความเชื่อพื้นเมือง[87] และแรงงานต่างด้าวชาวพม่าในยะลาที่นับถือศาสนาพุทธและร่วมปฏิบัติศาสนกิจร่วมกับชาวไทยพุทธในท้องถิ่น[88][89]
ศาสนา | 2503[90] | 2523[91] | 2542[92] | 2546[93] | 2550[94] | 2553[95] | 2554[96] | 2557[97] | 2559[98] | 2562[83] |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อิสลาม | 60.00% | 60.00% | 62.79% | 76.58% | 75.42% | 76.59% | 82.96% | 79.60% | 74.06% | 81.46% |
พุทธ | 22.00% | 22.00% | 36.40% | 22.74% | 24.25% | 22.74% | 16.98% | 20.13% | 21.16% | 18.45% |
คริสต์ | – | – | 0.14% | – | – | – | 0.06% | – | – | 0.08% |
ฮินดู | – | – | 0.01% | – | – | – | – | – | – | – |
พื้นบ้านจีน | – | 12.00% | 0.01% | – | – | – | – | – | – | – |
อื่น ๆ | 18.00% | 6.00% | 0.61% | 0.31% | 0.33% | 0.67% | – | 0.27% | 4.78% | 0.01% |
จากการสำรวจการนับถือศาสนาเมื่อ พ.ศ. 2542 พบว่า ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 62.79 ศาสนาพุทธร้อยละ 36.40 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 0.14 ศาสนาฮินดูร้อยละ 0.01 ศาสนาอื่น ๆ (เช่นศาสนาพื้นบ้านจีน) ร้อยละ 0.01 และไม่ได้ระบุร้อยละ 0.61[92] ต่อมาใน พ.ศ. 2550 พบว่า มีผู้นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 75.42 รองลงมาคือศาสนาพุทธร้อยละ 24.25 และศาสนาอื่น ๆ ร้อยละ 0.33[94] พ.ศ. 2553 พบว่า ประชากรนับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 76.59 ผู้นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 22.74[95] พ.ศ. 2557 พบว่า ประชากรนับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 79.60 ผู้นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 20.13 และผู้นับถือศาสนาคริสต์และอื่น ๆ ร้อยละ 0.27[97] และการสำรวจเมื่อ พ.ศ. 2559 พบว่า ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 74.06 ผู้นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 21.16 และผู้นับถือศาสนาคริสต์และอื่น ๆ ร้อยละ 4.78[98] และการสำรวจใน พ.ศ. 2562 พบว่าประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามร้อยละ 81.46 ศาสนาพุทธลดลงเหลือร้อยละ 18.45 ศาสนาคริสต์ร้อยละ 0.08 ศาสนาซิกข์และอื่น ๆ ร้อยละ 0.01[83] ชาวพุทธในพื้นที่รู้สึกว่าพวกตนเป็นพลเมืองชั้นสอง[99] หลังการก่อวินาศกรรมด้วยการวางระเบิดถนนสายหลักในปัตตานีเมื่อ พ.ศ. 2555 ส่งผลให้ชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวไทยพุทธจำนวนมากอพยพออกจากยะลา ประชากรที่นับถือศาสนาพุทธจึงหดตัวอย่างเฉียบพลัน[55][56][57] รวมทั้งวัดหลายแห่งกลายเป็นวัดร้างไม่มีพระสงฆ์เข้าไปจำพรรษา เช่น วัดหัวสะพาน อำเภอเมืองยะลา[100][101] วัดจินดาพลาราม อำเภอบันนังสตา[102] และวัดปูแหล อำเภอยะหา[103][104] ซึ่ง พ.ศ. 2563 ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พยายามฟื้นฟูวัดเหล่านี้ให้มีพระสงฆ์เข้าไปจำพรรษา เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่พุทธศาสนิกชนในพื้นที่[105] เพื่อสนองพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงว่า "จะปล่อยให้คนไทยอพยพทิ้งถิ่นฐานไม่ได้ จะต้องรักษาพระพุทธศาสนาให้มีความมั่นคง ให้มีความมั่นคงอยู่ในภาคใต้ เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจของราษฎรไทยพุทธสืบไป"[106]
สำนักงานสถิติจังหวัดยะลารายงานว่า ใน พ.ศ. 2560 จังหวัดยะลามีมัสยิด 508 แห่ง วัดพุทธ 52 แห่ง สำนักสงฆ์ 13 แห่ง โบสถ์คริสต์ 9 แห่ง[107] และคุรุดวารา 1 แห่ง[108]
วันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562 กลุ่มสมาพันธ์ไทยพุทธจังหวัดยะลา จำนวน 60 คน เรียกร้องให้โรงพยาบาลในจังหวัดยะลาและในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดทำห้องครัวสำหรับไทยพุทธและอาคารสำหรับพระสงฆ์อาพาธ[109]
อุทยาน
- อุทยานแห่งชาติบางลาง
- อุทยานน้ำตกธารโต
- น้ำตกละอองรุ้ง
- น้ำตกสุขทาลัย
- น้ำตกลาตอ
สถานที่ท่องเที่ยว
- อำเภอเบตง
- วัดคูหาภิมุข
- พระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ
- ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง
- อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์
- น้ำตกคอกช้าง
- น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9
- น้ำตกธารโต
- น้ำตกบูเก๊ะปิโล หรือ น้ำตกตะวันรัศมี
- น้ำตกผาแดง (จังหวัดยะลา)
- น้ำตกละอองรุ้ง
- น้ำตกวันวิสาข์
- น้ำตกสองขา
- น้ำตกสุขทาลัย หรือ น้ำตกกือลอง
- น้ำตกอินทรศร
- น้ำตกฮาลาซะห์
การศึกษา
ระดับอุดมศึกษา
- มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
- วิทยาลัยชุมชนยะลา
- ศูนย์วิทยพัฒนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จังหวัดยะลา
- มหาวิทยาลัยฟาฏอนี
- สถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตยะลา
- วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดยะลา
- วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ยะลา
- วิทยาลัยอาชีวศึกษายะลา ยะลา
- วิทยาลัยเทคนิคยะลา ยะลา
- วิทยาลัยสารพัดช่าง ยะลา
- วิทยาลัยการอาชีพรามัน ยะลา
- วิทยาลัยการอาชีพเบตง ยะลา
ระดับมัธยมศึกษา
- โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง จังหวัดยะลา
- โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง 2
- โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง 3
- โรงเรียนสตรียะลา
- โรงเรียนกาบังพิทยาคม
- โรงเรียนอาลาวียะห์วิทยา
- โรงเรียนพัฒนาวิทยา
- โรงเรียนคณะราษฎรบำรุง
- โรงเรียนจันทร์ประภัสสร์อนุสรณ์
- โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ยะลา
- โรงเรียนธารโตวัฑฒนวิทย์
- โรงเรียนนิคมพัฒนวิทย์
- โรงเรียนบันนังสตาวิทยา
- โรงเรียนเบตง (วีระราษฎร์ประสาน)
- โรงเรียนยะหาศิรยานุกูล
- โรงเรียนรามันห์ศิริวิทย์
- โรงเรียนยะลาวิทยาลัย
- โรงเรียนรังสีอนุสรณ์
- โรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ ยะลา
- โรงเรียนสตรีอิสลามวิทยามูลนิธิ ยะลา
- โรงเรียนสุขสวัสดิ์วิทยา
- โรงเรียนสมบูรณ์ศาสน์
- โรงเรียนธรรมอิสลามศึกษา
- โรงเรียนคุรุชนพัฒนา
บุคคลที่มีชื่อเสียง
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของจังหวัด, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2009
- แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดยะลา, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 ตุลาคม 2011
- สำนักงาน กศน.จังหวัดยะลา
- แผนที่ท่องเที่ยวจังหวัดยะลา, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 มีนาคม 2016
6°33′N 101°17′E / 6.55°N 101.29°E
- แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของ จังหวัดยะลา
- แผนที่ จาก มัลติแมป โกลบอลไกด์ หรือ กูเกิลแผนที่
- ภาพถ่ายทางอากาศ จาก เทอร์ราเซิร์ฟเวอร์
- ภาพถ่ายดาวเทียม จาก วิกิแมเปีย