ภาษาไทย

ภาษาราชการในประเทศไทย

ภาษาไทย หรือ ภาษาไทยกลาง เป็นภาษาในกลุ่มภาษาไท ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของตระกูลภาษาขร้า-ไท และเป็นภาษาราชการ และภาษาประจำชาติของประเทศไทย[3][4] มีการสันนิษฐานว่าภาษาในตระกูลนี้มีถิ่นกำเนิดจากทางตอนใต้ของประเทศจีน และนักภาษาศาสตร์บางส่วนเสนอว่า ภาษาไทยน่าจะมีความเชื่อมโยงกับตระกูลภาษาออสโตร-เอเชียติก ตระกูลภาษาออสโตรนีเซียน และตระกูลภาษาจีน-ทิเบต

ภาษาไทย
ภาษาไทยกลาง
ออกเสียง/pʰāːsǎːtʰāj/
ภูมิภาค
ชาติพันธุ์ชาวไทย, จีน, มลายู
จำนวนผู้พูด70 ล้านคน  (2566)[1]
ผู้พูดภาษาที่สอง 20 ล้านคน ซึ่งรวมคำเมือง, อีสาน, ไทยถิ่นใต้, เขมรเหนือ[1]
ตระกูลภาษา
ระบบการเขียน
สถานภาพทางการ
ภาษาทางการ ไทย
 อาเซียน[2]
ภาษาชนกลุ่มน้อยที่รับรองใน กัมพูชา (เกาะกง)
 มาเลเซีย (รัฐเกอดะฮ์, รัฐปะลิส, รัฐกลันตัน และอำเภอฮูลูเปรัก)
 พม่า (ตะนาวศรี)
ผู้วางระเบียบสำนักงานราชบัณฑิตยสภา
รหัสภาษา
ISO 639-1th
ISO 639-2tha
ISO 639-3tha
Linguasphere47-AAA-b
ผู้พูดภาษาไทย บันทึกในกรุงเทพมหานคร

ภาษาไทยเป็นภาษาที่มีระดับเสียงของคำแน่นอนหรือวรรณยุกต์เช่นเดียวกับภาษาจีน และออกเสียงแยกคำต่อคำ

ภาษาไทยปรากฏครั้งแรกในพุทธศักราช 1826 โดยพ่อขุนรามคำแหง และปรากฏอย่างสากลและใช้ในงานของราชการ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม พุทธศักราช 2476 ด้วยการก่อตั้งสำนักงานราชบัณฑิตยสภาขึ้น และปฏิรูปภาษาไทย พุทธศักราช 2485

การจำแนก

ขร้า-ไท 

กลุ่มภาษาไหล



กลุ่มภาษากำ-สุย



กลุ่มภาษาขร้า



ภาษาเบ


 กลุ่มภาษาไท 

กลุ่มภาษาไทเหนือ



กลุ่มภาษาไทกลาง


กลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้
กลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงเหนือ

ภาษาคำตี้



ภาษาไทลื้อ



ภาษาไทใหญ่



อื่น ๆ



กลุ่มภาษาเชียงแสน

ภาษาไทยถิ่นเหนือ


ภาษาสุโขทัย

ภาษาไทย



ภาษาไทยถิ่นใต้




กลุ่มภาษาลาว-ผู้ไท

ภาษาญ้อ



ภาษาผู้ไท



ภาษาลาว (ภาษาอีสาน)







ประวัติ

ภาษาไทยจัดอยู่ในกลุ่มภาษาไท (Tai languages) ภาษาหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาย่อยของตระกูลภาษาขร้า-ไท ภาษาไทยมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับภาษาในกลุ่มภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ภาษาอื่น ๆ เช่น ภาษาลาว ภาษาผู้ไท ภาษาคำเมือง ภาษาไทใหญ่ เป็นต้น รวมถึงภาษาตระกูลไทอื่น ๆ เช่น ภาษาจ้วง ภาษาเหมาหนาน ภาษาปู้อี ภาษาไหล ที่พูดโดยชนพื้นเมืองบริเวณไหหนาน กวางสี กวางตุ้ง กุ้ยโจว ตลอดจนยูนนาน ไปจนถึงเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งสันนิษฐานว่าจุดกำเนิดของภาษาไทยน่าจะมาจากบริเวณดังกล่าว

ราวพุทธศตวรรษที่ 13-15 ได้มีการอพยพของผู้พูดภาษากลุ่มไทลงมาจากจีนตอนใต้ มายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำพาภาษากลุ่มไทลงมาด้วย ภาษาที่ชนกลุ่มไทกลุ่มนี้พูดได้รับการสืบสร้างเป็นภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ดั้งเดิม ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับอิทธิพลจากภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก ที่พูดโดยชาวออสโตรเอเชียติก และอยู่อาศัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่เดิม รวมถึงได้รับอิทธิพลจากภาษาทางวรรณกรรม คือ ภาษาสันสกฤต และ ภาษาบาลี จนพัฒนามาเป็นภาษาไทยในปัจจุบัน

ภาษาไทยเก่า

ภาษาไทยในอดีตมีระบบเสียงที่แตกต่างไปจากภาษาไทยปัจจุบันอย่างชัดเจน ซึ่งมีประเด็นสำคัญต่อไปนี้[5]

  • มีการแบ่งแยกระหว่างเสียงก้องและเสียงไม่ก้องในแทบทุกฐานกรณ์ และทุก ๆ ลักษณะการเกิดเสียง (manner of articulation) นั่นคือ มีเสียงพยัญชนะ /b d d͡ʑ g/ ซึ่งแบ่งแยกจาก /p t t͡ɕ k/ อย่างชัดเจน รวมถึงมีการแบ่งแยกระหว่างเสียงนาสิกแบบก้องและแบบไม่ก้องด้วย (/m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊/ หรือ /ʰm ʰn ʰɲ ʰŋ/ กับ /m n ɲ ŋ/ → ตัวอย่าง 1) รวมถึงเสียงเปิด (/ʍ l̥/ กับ /w l/) ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้ได้สูญหายไปในภาษาไทยปัจจุบัน
→ ตัวอย่าง 1
ไท-กะไดเก่าไทยเก่าไทยปัจจุบันลาวปัจจุบันจ้วงใต้ปัจจุบันจ้วงเหนือปัจจุบัน
ʰma:ʰma:หมา /ma:/ໝາ /ma:/ma /ma:/ma /ma:/
ʰmi:ʰmi:หมี /mi:/ໝີ /mi:/mi /mi:/mwi /mɯi/
ʰmu:ʰmu:หมู /mu:/ໝູ /mu:/mu /mu:/mou /mou/
ʰnu:ʰnu:หนู /nu:/ໜູ /nu:/nu /nu:/nou /nou/
ʰna:ʰna:หนา /na:/ໜາ /na:/na /na:/na /na:/
  • มีเสียงกักเส้นเสียงนำมาก่อน (pre-glottalized) หรือเสียงกักเส้นเสียงลมเข้า (implosive) ได้แก่ /ʔb/, /ʔd/,/ʔj/ → ตัวอย่าง 2
→ ตัวอย่าง 2
ไท-กะไดเก่าไทยเก่าไทยปัจจุบันลาวปัจจุบันจ้วงใต้ปัจจุบันจ้วงเหนือปัจจุบัน
ʔba:ʔba:บ่า /ba:/ບ່າ /ba:/mbaj /ba:/mbaj /ʔba:/
ʔbɯ:aʔbɯ:aเบื่อ /bɯ:a/ເບື່ອ /bɯ:a/mbwaq /bɯ:a/mbwq /ʔbɯ:/
ʔbaɯʔbaɯใบ /bai/ໃບ /bai/mbaw /baɯ/mbaw /ʔbaɯ/
ʔbauʔbauเบา /bau/ເບົາ /bau/mbau /bau/mbau /ʔbau/
ʔba:nʔba:nบ้าน /ba:n/ບ້ານ /ba:n/mbanj /ba:n/mbanj /ʔba:n/
ʔda:ʔda:ด่า /da:/ດ່າ /da:/ndaq /da:/ndaq /ʔda:/
ʔdaiʔdaiได้ /dai/ໄດ້ /dai/ndaej /dai/ndaej /ʔdai/
  • มีเสียงเสียดแทรกเพดานอ่อน ( /x/ และ /ɣ/) ซึ่งต่างจากเสียงกักเพดานอ่อนอย่างชัดเจน ( /kʰ/ และ /g/) → ตัวอย่าง 3
→ ตัวอย่าง 3
ไท-กะไดเก่าไทยเก่าไทยปัจจุบันลาวปัจจุบันจ้วงใต้ปัจจุบันจ้วงเหนือปัจจุบัน
xo:nฆ้อน /xo:n/ค้อน /kho:n/ຄ້ອນ /kho:n/*honj /ho:n/*ronj /ɣo:n/
xa:ฆ่า /xa:/ฆ่า /kha:/ຂ້າ /kha:/kaj /kha/haj /ha:/
ɣonฅน /ɣon/คน /khon/ຄົນ /khon/koenz /khən//khon/vunz /wun/
ɣwa:mฅวาม /ɣwa:m/ความ /khwa:m/ຄວາມ /khwa:m/vamz /wa:m/vamz /wa:m/
ɣamฅำ /ɣam/คำ /kham/ຄຳ /kham/kaemz /kham/*gaemz /kam/
ɣa:ฅา /ɣa:/หญ้าคา /kha/ຄາ /kha/haz /ha:/raz /ɣa:/
ɣlamฅ่ำ /ɣam/ค่ำ /kham/ຄ່ຳ /kham/hamq /ham/hamq /ham/
ɣɯnฅืน /ɣɯn/คืน /khɯn/ຄືນ /khɯn/hwn /hən/hwn /hən/
  • มีเสียงพยัญชนะ /ɲ/ ซึ่งเขียนแทนด้วย เสียงพยัญชนะนี้ได้สูญหายไปจากภาษาไทยปัจจุบัน โดยกลายเป็นเสียง [j] ซึ่งเป็นเสียงเดียวกันกับ → ตัวอย่าง 4
→ ตัวอย่าง 4
ไท-กะไดเก่าไทยเก่าไทยปัจจุบันลาวปัจจุบันจ้วงใต้ปัจจุบันจ้วงเหนือปัจจุบัน
ɲi:ɲi:ญี่ (สอง)ญี่ /ji:/ (โบราณ), ยี่ɲi: ຍີ່yih /ji:/ (สอง)nyeih /ɲei/ (ngeih)
ʰɲa:ɲa:หญ้า /ja:/ຫຍ້າ /ɲa:/yaj /่ja:/nywj /ɲa:/
ʰɲaɯɲaɯใหญ่ /jai/ໃຫຍ່ /ɲai/yawq /่jaɯ/-
ʰɲiŋɲiŋหญิง /jiŋ/ຍິງ /ɲiŋ/*ying /jiŋ/nyingz /ɲiŋ/
ɲinɲinยิน /jin/ຍິນ /ɲin/yinz /jin/nyi /ɲi/
ɲo:tɲo:tยอด /jo:t/ຍອດ /ɲo:t/yod /jo:t/nyod /ɲo:t/
  • มีวรรณยุกต์เพียงสามเสียงเท่านั้น ได้แก่ เสียงสามัญ เสียงเอก และเสียงโท (หรือเขียนแทนด้วย *A, *B และ *C ตามลำดับ) ในพยางค์เป็น (unchecked syllable) จะมีเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นไปได้ 3 เสียง ส่วนพยางค์ตาย (checked syllable) มีเสียงวรรณยุกต์ที่เป็นไปได้เพียงเสียงเดียว คือเสียงเอก
  • นอกจากอักษรควบกล้ำทั่วไป (อย่าง กร-ฅร-ขร-คร-ตร-ปร-พร/กล-ฅล-ขล-คล-ปล-พล/กว-คว-ฅว) แล้วยังมีอักษรควบกล้ำพิเศษอีก 4 ตัว ก็คือ (*bd บด, *pt ผต, *mr/ml มร/มล, *thr ถร) ตามผลการวิจัยของนักภาษาศาสตร์ภาษาไทกะได เช่น André-Georges Haudricourt และ Li Fang-Kuei ปัจจุบันสามารถหาหลักฐาน จากภาษาไทกะไดต่าง ๆ ได้ → ตัวอย่าง 5
→ ตัวอย่าง 5
ไท-กะไดเก่าไทยปัจจุบันภาษาแสกลาวปัจจุบันจ้วงใต้ปัจจุบันจ้วงเหนือปัจจุบัน
*bdi: บดี/di:/ ดี/di://di://bi:/
*bdo:k บดอก/do:k/ ดอก/do:k//bjo:k/*/bjo:k/
*bdɯ:an เบดือน/dɯ:an/ เดือน/dɯ:an//bɯ:an//dɯ:an/
*pta:k ผตาก/ta:k/ ตาก/pra:k//ta:k//phja:k//ta:k/
*pte:ŋ แผตง/te:ŋ/ แตง/preŋ//te:ŋ//phe:ŋ//te:ŋ/
*pte:n แผตน/te:n/ แตน/pren//te:n//phe:n//te:n/
*pte:k แผตก/te:k/ แตก/prek//te:k//phe:k//te:k/
*pto:k ผตอก/to:k/ ตอก/pruk//to:k//phjo:k//to:k/
*ptak ผตัก/tak/ ตั๊ก/prak//tak//rak//tak/
*pta: ผตา/ta:/ ตา/pra//ta://tha://ta:/
*pta:i ผตาย/ta:i/ ตาย/prai//ta:i//tha:i//ta:i/
  • มีเสียงสระประสม /aɰ/ ซึ่งเขียนแทนด้วยไม้ม้วน (ใ) เสียงสระนี้ได้สูญหายไปจากภาษาไทยปัจจุบัน โดยกลายเป็นเสียง [aj] สำหรับสระอื่น ๆ โดยหลัก ๆ ไม่มีความแตกต่างจากภาษาไทยปัจจุบัน → ตัวอย่าง 6
→ ตัวอย่าง 6
ไท-กะไดเก่าไทยเก่าไทยปัจจุบันลาวปัจจุบันจ้วงใต้ปัจจุบันจ้วงเหนือปัจจุบัน
klaɯklaɯใกล้ /klai/ໄກ້, ໃກ້ /kai/gyawj (cawj) /kjaɯ//tsaɯ/gyawj /kjaɯ/
glaɯkhlaɯใคร /khrai/ไม่มีkaw /kaɯ/ (ใคร/ไหน)lawz /laɯ/
graɯkhraɯใคร่ /khrai/ໃຄ່ /khai/--
gaɯ*khaɯ*ใค่ /khai/(บวม)ໃຄ່ (บวม) /khai/kawq /khaɯ/gawq /kaɯ/
gaɯ*khaɯ*ใค่ /khai/ (แห้ง)ໃຄ່ (แห้ง) /khai/kawh /khaɯ/gawh /kaɯ/
tɕaɯtsaɯใจ /tsai/ໃຈ /tsai/*jaw /tsaɯ/*cawz /saɯ/
dʑaɯtshaɯใช่ /tshai/ໃຊ່ /sai/cwh /sɯ/cawh /saɯ/

สามารถสรุประบบเสียงพยัญชนะภาษาไทยเก่าได้ดังนี้

ระบบเสียงพยัญชนะ (35-37 หน่วยเสียง)
ริมฝีปากปุ่มเหงือกเพดานแข็งเพดานอ่อนเส้นเสียง
กักไม่ก้อง ไม่มีลมป /p/ต /t/จ /c/ (หรือ /t͡ɕ/)ก /k/
ไม่ก้อง มีลมผ /pʰ/ถ /tʰ/ฉ /cʰ/ (หรือ /t͡ɕʰ/)ข /kʰ/
ก้องพ /b/ท /d/ช /ɟ/ (หรือ /d͡ʑ/)ค /ɡ/
กักเส้นเสียงบ /ʔb/ (หรือ /ɓ/)ด /ʔd/ (หรือ /ɗ/)อย /ʔj/อ /ʔ/
เสียดแทรกไม่ก้องฝ /f/ส /s/ฃ /x/ห /h/
ก้องฟ /v/ซ /z/ฅ /ɣ/
นาสิกไม่ก้องหม /hm/หน /hn/หญ /hɲ/(หง /hŋ/)
ก้องม /m/น /n/ญ /ɲ/ง /ŋ/
เสียงไหลและกึ่งสระไม่ก้องหว /hw/(หร /hr/)
หล /hl/
ก้องว /w/ร /r/
ล /l/
ย /j/
  • สีเขียว สีชมพู และสีฟ้า คือหน่วยเสียงพยัญชนะที่จะพัฒนาไปเป็นอักษรกลาง อักษรสูง และอักษรต่ำ ในอนาคต ตามลำดับ

ระบบเสียงข้างต้นมีความสอดคล้องกันกับอักษรในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง นั่นคือ มีการใช้อักษร และ แยกกับ และ อย่างชัดเจน บ่งบอกว่าภาษาไทยในสมัยที่มีการสร้างจารึกดังกล่าว หน่วยเสียงพยัญชนะเหล่านี้ต้องแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังอธิบายได้ว่า เหตุใดวรรณยุกต์ในภาษาไทยในจารึกสมัยสุโขทัยจึงมีวรรณยุกต์เพียง 2 รูป (เอกและโท) เท่านั้น เป็นเพราะว่าภาษาไทยเก่ามีวรรณยุกต์เพียงสามเสียงเท่านั้น (เสียงสามัญไม่เขียนรูปวรรณยุกต์)

อย่างไรก็ตาม หน่วยเสียง /x/ และ /ɣ/ น่าจะมีการสูญหายไปในอย่างรวดเร็วในสมัยพระยาลิไท โดยเกิดการรวมกับหน่วยเสียง /kʰ/ และ /g/ โดยสังเกตได้จากการใช้รูปพยัญชนะ ฃ สลับกับ ข และ ฅ สลับกับ ค ในศิลาจารึกสมัยพระยาลิไท บ่งบอกว่าหน่วยเสียงทั้งสองคู่ไม่มีความแตกต่างกันอีกต่อไป ปัจจุบันจึงมีการเลิกใช้ตัวอักษร และ

ระบบเสียงวรรณยุกต์สามเสียงสอดคล้องกับฉันทลักษณ์ในสมัยอยุธยาตอนต้น เช่นการบังคับเอกโทในโคลงสี่สุภาพ ในวรรณกรรมสมัยอยุธยาตอนต้นที่เขียนในโคลงสี่สุภาพ ยังไม่ปรากฏว่ามีการใช้คำเอกโทษหรือโทโทษเกิดขึ้น จึงสันนิษฐานได้ว่าระบบเสียงของภาษาไทยที่ใช้ในสมัยอยุธยาตอนต้นยังคงเป็นระบบเสียงแบบเก่าอยู่ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงภาษาไทยต่อไปในสมัยอยุธยาตอนกลาง อนึ่ง เสียงสระ /aɰ/ และ /aj/ ในสมัยอยุธยาตอนต้นยังคงรักษาความแตกต่างไว้ได้เช่นกัน โดยสังเกตได้จากการที่คำที่มีรูปสระ ไ และ ใ จะไม่สัมผัสกัน

การเปลี่ยนแปลงระบบเสียงที่สำคัญ

ในสมัยอยุธยาตอนต้น (พุทธศตวรรษที่ 21) ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงภาษาไทยเก่าขึ้น[5] นับเป็นจุดเปลี่ยนผ่านจากภาษาไทยเก่าไปเป็นภาษาไทยสมัยใหม่ โดยมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงดังนี้

  1. หน่วยเสียงวรรณยุกต์ทั้ง 3 เสียง (*A, *B และ *C) ได้แตกตัวออกเป็นเสียงละ 2 เสียง รวมทั้งหมดเป็น 6 เสียง (*A1, *A2, *B1, *B2, *C1 และ *C2) ขึ้นอยู่กับความก้องของเสียงพยัญชนะต้น แต่หน่วยเสียงที่แตกตัวออกมาเป็นคู่ ๆ เหล่านั้นยังคงมีความแตกต่างกันเพียงในระดับหน่วยเสียงย่อย เท่านั้น
    • เสียงวรรณยุกต์ชุดแรก *A1, *B1 และ *C1 จะปรากฏในคำที่มีพยัญชนะต้นเป็นเสียงไม่ก้อง และเสียงกักเสีนเสียง ได้แก่ /p pʰ t tʰ t͡ɕ t͡ɕʰ k kʰ ʔ h f s x m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/
    • เสียงวรรณยุกต์ชุดที่สอง *A2, *B2 และ *C2 จะปรากฏในคำที่มีพยัญชนะต้นเป็นเสียงก้อง ได้แก่ /b d d͡ʑ g v z ɣ m n ɲ ŋ r w l j/
  2. เกิดการยุบรวม (merger) ของหน่วยเสียงพยัญชนะต่อไปนี้
    • เสียงกัก ก้อง (/b d d͡ʑ g/) ได้ยุบรวมกับเสียงกัก มีลม ไม่ก้อง (/pʰ tʰ t͡ɕʰ kʰ/)
    • เสียงเสียดแทรก ก้อง (/v z/) ได้ยุบรวมกับเสียงเสียดแทรก ไม่ก้อง (/f s/)
    • เสียงกังวาน (sonorant) ไม่ก้อง (/m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/) ยุบรวมกับเสียงกังวาน ก้อง (/m n ɲ ŋ w l/)
  3. คู่ของเสียงวรรณยุกต์ทั้ง 3 คู่ มีการแบ่งแยกความแตกต่างมากขึ้น จนไปถึงระดับหน่วยเสียง (phoneme)
  4. มีการแตกตัวและการรวมของเสียงวรรณยุกต์ต่อไป

ภาษาไทยถิ่นกลางมีการแตกตัวและการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ที่มีลักษณะเฉพาะ แบ่งแยกได้จากภาษาถิ่นภาคอื่น ๆ ได้แก่ การแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์ *A ออกเป็นสองเสียงที่ต่างกันระหว่างพยัญชนะเสียงไม่ก้องที่มีลม (/pʰ tʰ t͡ɕʰ kʰ h f s x m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/) กับเสียงไม่ก้องที่ไม่มีลม (/p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/) และมีการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ *B2 (เอก-ก้อง) และ *C1 (โท-ไม่ก้อง) อีกด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคำว่า ค่า กับ ข้า หรือคำว่า น่า กับ หน้า จึงออกเสียงวรรณยุกต์เป็นเสียงเดียวกันในภาษาไทยถิ่นกลาง แตกต่างจากภาษาไทยถิ่นเหนือและอีสานที่มีการแตกตัวและยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ที่ต่างไปจากนี้ จึงออกเสียงวรรณยุกต์ของทั้งสองคำนี้ต่างกันไปด้วย

สำหรับภาษาไทยถิ่นกลางบางสำเนียง เช่น สำเนียงกรุงเทพ และสำเนียงอยุธยา เป็นต้น มีการยุบรวมเสียงวรรณยุกต์ *A1 ของพยัญชนะเสียงไม่ก้อง ไม่มีลม (/p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/) กับเสียงวรรณยุกต์ *A2 ของพยัญชนะเสียงก้อง (/b d d͡ʑ g v z ɣ m n ɲ ŋ r w l j/) ด้วย จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคำว่า กา กับ คา จึงออกเสียงวรรณยุกต์เหมือนกัน (เสียงสามัญ) แต่ออกเสียงวรรณยุกต์ต่างจากคำว่า ขา ซึ่งเป็นเสียงจัตวา ในขณะที่ภาษาไทยถิ่นกลางบางสำเนียง เช่น สำเนียงสุพรรณ (ในผู้พูดบางราย) มีการออกเสียงวรรณยุกต์ของคำว่า กา กับ คา ที่ต่างกันอยู่ นั่นคือยังไม่มีการยุบรวมของเสียงวรรณยุกต์ *A1 และ *A2 ดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้ภาษาไทยกรุงเทพปัจจุบันมีเสียงวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน 5 หน่วยเสียง และสำเนียงสุพรรณ (ในผู้พูดบางราย) มีเสียงวรรณยุกต์ 6 หน่วยเสียง

รูปแบบการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์ที่แตกต่างกัน ของภาษาไทยสำเนียงกรุงเทพ และสำเนียงสุพรรณบุรี สรุปได้ตามตารางต่อไปนี้ (ให้เสียงวรรณยุกต์เดียวกันมีสีเดียวกัน และวรรณยุกต์ที่ปรากฏในตารางเป็นเสียงวรรณยุกต์ในปัจจุบัน)

สำเนียงอยุธยา, สำเนียงกาญจนบุรี
คำเป็นคำตาย
กลุ่มพยัญชนะเสียงพยัญชนะเดิมสามัญเดิม
(*A)
เอกเดิม
(*B)
โทเดิม
(*C)
สระยาว
(*DL)
สระสั้น
(*DS)
พยัญชนะไม่ก้อง มีลม (อักษรสุง)/pʰ tʰ t͡ɕʰ kʰ h f s x m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/52322
พยัญชนะไม่ก้อง ไม่มีลม (อักษรกลาง)/p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/1
พยัญชนะก้อง (อักษรต่ำ)/b d d͡ʑ g v z ɣ m n ɲ ŋ r w l j/3434
สำเนียงสุพรรณบุรี
คำเป็นคำตาย
กลุ่มพยัญชนะเสียงพยัญชนะเดิมสามัญเดิม
(*A)
เอกเดิม
(*B)
โทเดิม
(*C)
สระยาว
(*DL)
สระสั้น
(*DS)
พยัญชนะไม่ก้อง มีลม (อักษรสุง)/pʰ tʰ t͡ɕʰ kʰ h f s x m̥ n̥ ɲ̊ ŋ̊ ʍ l̥/52322
พยัญชนะไม่ก้อง ไม่มีลม (อักษรกลาง)/p t t͡ɕ k ʔb ʔd ʔj ʔ/1.1
พยัญชนะก้อง (อักษรต่ำ)/b d d͡ʑ g v z ɣ m n ɲ ŋ r w l j/1.23434

วรรณยุกต์ที่ 1–5 ในภาษาไทยสำเนียงกรุงเทพในตาราง คือวรรณยุกต์ สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ตามลำดับ

แม้ว่าจะมีการการเปลี่ยนแปลงของระบบเสียงวรรณยุกต์จากภาษาไทยเก่ามาเป็นภาษาไทยสมัยใหม่ แต่อักขรวิธีของภาษาไทยยังคงรูปเขียนเช่นเดิม ทำให้รูปเขียนและเสียงอ่านมีความไม่สอดคล้องกันขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คำว่า ข้า กับ ค้า ที่ออกเสียงวรรณยุกต์ต่างกัน ทั้ง ๆ ที่มีรูปวรรณยุกต์โทเช่นเดียวกัน เกิดจากการที่ทั้งสองคำนี้เคยมีเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน แต่มีเสียงพยัญชนะต้นที่แตกต่างกัน คือเสียง /kʰ/ และ /g/ ในภาษาไทยเก่า ความไม่สอดคล้องกันระหว่างรูปเขียนและเสียงอ่าน ทำให้เกิดระบบไตรยางศ์ ขึ้น โดยเป็นระบบการจัดหมวดหมู่รูปพยัญชนะอักษรไทยที่จัดให้รูปวรรณยุกต์หนึ่ง ๆ มีการออกเสียงที่แตกต่างกันได้เป็น 2 เสียง ขึ้นอยู่กับรูปพยัญชนะต้นของคำนั้น ๆ ซึ่งเป็นไปตามรูปแบบการแตกตัวและยุบรวมของหน่วยเสียงพยัญชนะและสระข้างต้น

เสียงวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยา

หลักฐานที่บ่งบอกถึงเสียงวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยามีน้อยมาก ระบบไตรยางศ์แบบเดียวกันกับภาษาไทยปัจจุบันนี้ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างช้าสุดในตำราจินดามณี จากการสืบสร้างเสียงวรรณยุกต์จากตำราจินดามณี พบว่ามีหน่วยเสียงวรรณยุกต์ 5 เสียง และมีการแตกตัวของเสียงวรรณยุกต์คล้ายคลึงกับภาษาไทยปัจจุบัน แต่ระดับเสียงและรูปร่างเสียงวรรณยุกต์ (contour) ยังคงมีความแตกต่างจากภาษาไทยปัจจุบันอยู่พอสมควร เสียงวรรณยุกต์สมัยนี้อาจมีความคล้ายคลึงกับสำเนียงพากย์โขน (วริษา กมลนาวิน, 2546)[6]

พิทยาวัฒน์ พิทยาภรณ์ (2559) ได้เสนอการสืบสร้างระบบเสียงวรรณยุกต์จากตำราจินดามณีดังต่อไปนี้[7]

หน่วยเสียงระดับเสียงจากจินดามณีเทียบระดับเสียงปัจจุบัน
สามัญกลางกลาง
เอกกลาง ถึง สูง*กึ่งต่ำ หรือ ต่ำอย่างเดียว
โทกลาง-ตกสูง-ตก
ตรีสูง**กึ่งสูง-ขึ้น หรือ สูงอย่างเดียว
จัตวาสูง**ต่ำ-ขึ้น
  • * ระบุระดับเสียงไม่ได้ชัดเจน
  • ** ระบุความแตกต่างของสองเสียงนี้ไม่ได้ชัดเจน

และได้เสนอว่าระบบวรรณยุกต์ในสมัยอยุธยามีรูปแบบการแตกตัวที่ต่างไปจากภาษาไทยปัจจุบัน คือ เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์ที่มีอักษรต่ำ คำตาย เสียงสระสั้น กับ พยางค์ที่มีอักษรต่อ คำตาย เสียงยาว มีเสียงเดียวกัน (ตัวอย่างเช่น คำว่า คัด กับ คาด เคยมีเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน) ซึ่งสรุปการแตกตัวได้ดังนี้

คำเป็นคำตาย
สามัญเดิม
(*A)
เอกเดิม
(*B)
โทเดิม
(*C)
สระยาว
(*DL)
สระสั้น
(*DS)
อักษรสุง5232
อักษรกลาง1
อักษรต่ำ343

สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการปฏิรูปภาษาไทยโดยสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2485 มีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย การเปลี่ยนแปลงหลัก ๆ ที่สังเกตได้มีดังนี้

  • ตัดพยัญชนะ ออก แล้วใช้ แทน
  • ตัดพยัญชนะ และ ออก แล้วใช้ แทน
  • ตัดพยัญชนะ ออก แล้วใช้ แทน
  • ตัดพยัญชนะ ออก แล้วใช้ แทน
  • ตัดพยัญชนะ ออก แล้วใช้ แทน
  • ตัดพยัญชนะ ออก แล้วใช้ แทน
  • ตัดพยัญชนะ ออก แล้วใช้ แทน
  • ตัดพยัญชนะ ออก แล้วใช้ แทน
  • ตัดพยัญชนะ ออก แล้วใช้ แทน
  • ตัดพยัญชนะ และ ออก แล้วใช้ แทน
  • ตัดพยัญชนะ ออก แล้วใช้ แทน
  • พยัญชนะ ถูกตัดเชิงออกกลายเป็น
  • พยัญชนะสะกดของคำที่ไม่ได้มีรากมาจาก คำบาลี-สันสกฤต เปลี่ยนเป็นพยัญชนะสะกดตามแม่โดยตรง เช่น อาจ เปลี่ยนเป็น อาด, สมควร เปลี่ยนเป็น สมควน
  • เปลี่ยน อย เป็น หย เช่น อยาก เปลี่ยนเป็น หยาก
  • เลิกใช้คำควบไม่แท้ เช่น จริง เขียนเป็น จิง, ทรง เขียนเป็น ซง
  • ร หัน ที่มิได้ออกเสียง /อัน/ ส่วนใหญ่ถูกเปลี่ยนเป็นสระอะตามด้วยตัวสะกด เช่น อุปสรรค เปลี่ยนเป็น อุปสัค, ธรรม เปลี่ยนเป็น ธัม
  • เลิกใช้สระใอ (ไม้ม้วน) เปลี่ยนเป็นสระไอ (ไม้มลาย) ทั้งหมด
  • เลิกใช้ ฤๅ ฦๅ เปลี่ยนไปใช้การสะกดตามเสียง เช่น พฤกษ์ ก็เปลี่ยนเป็น พรึกส์, ทฤษฎี ก็เปลี่ยนเป็น ทริสดี
  • ใช้เครื่องหมายวรรคตอนอย่างภาษาต่างประเทศ เช่น มหัพภาค (.) เมื่อจบประโยค จุลภาค (,) เมื่อจบประโยคย่อยหรือวลี อัฒภาค (;) เชื่อมประโยค และจะไม่เว้นวรรคถ้ายังไม่จบประโยคโดยไม่จำเป็น

หลังจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม หลุดจากอำนาจหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ รัฐนิยมก็ถูกยกเลิกไปโดยปริยาย อักขรวิธีภาษาไทยได้กลับไปใช้แบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง[8]

สัทวิทยา

ภาษาไทยประกอบด้วยหน่วยเสียงสำคัญ 3 ประเภท[9] คือ

  1. หน่วยเสียงพยัญชนะ
  2. หน่วยเสียงสระ
  3. หน่วยเสียงวรรณยุกต์

พยัญชนะ

พยัญชนะต้น

ภาษาไทยมาตรฐานแบ่งแยกรูปแบบเสียงพยัญชนะก้องและพ่นลม ในส่วนของเสียงกักและเสียงผสมเสียงแทรก เป็นสามประเภทดังนี้

  • เสียงไม่ก้อง ไม่พ่นลม
  • เสียงไม่ก้อง พ่นลม
  • เสียงก้อง ไม่พ่นลม

หากเทียบกับภาษาอังกฤษ โดยทั่วไปมีเสียงแบบที่สองกับสามเท่านั้น เสียงแบบที่หนึ่งพบได้เฉพาะเมื่ออยู่หลัง เอส (S) ซึ่งเป็นเสียงแปรของเสียงที่สอง

เสียงพยัญชนะต้นมี 21 เสียง ตารางด้านล่างนี้บรรทัดบนคือสัทอักษรสากล บรรทัดล่างคืออักษรไทยในตำแหน่งพยัญชนะต้น

ริมฝีปากทั้งสองปุ่มเหงือกเพดานแข็งเพดานอ่อนเส้นเสียง
เสียงนาสิก[m]
[n]
ณ, น
[ŋ]
เสียงกักก้อง[b]
[d]
ฎ, ด, ฑ**
ไม่ก้อง ไม่มีลม[p]
[t]
ฏ, ต
[tɕ]
[k]
[ʔ]
ไม่ก้อง มีลม[pʰ]
ผ, พ, ภ
[tʰ]
ฐ, ฑ**, ฒ, ถ, ท, ธ
[tɕʰ]
ฉ, ช, ฌ
[kʰ]
ข, ฃ*, ค, ฅ*, ฆ
เสียงเสียดแทรก[f]
ฝ, ฟ
[s]
ซ, ศ, ษ, ส
[h]
ห, ฮ
เสียงเปิด[w]
[l]
ล, ฬ
[j]
ญ, ย
เสียงรัวลิ้น[r]

* และ เลิกใช้แล้ว ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าภาษาไทยสมัยใหม่มีพยัญชนะเพียง 42 ตัวอักษร

** มีอยู่สองเสียง คือ [tʰ] เมื่อเป็นคำเป็น และ [d] เมื่อเป็นคำตาย

พยัญชนะสะกด

ถึงแม้ว่าพยัญชนะไทยมี 44 รูป 21 เสียงในกรณีของพยัญชนะต้น แต่ในกรณีพยัญชนะสะกดแตกต่างออกไป สำหรับเสียงสะกดมีเพียง 8 เสียง เรียกว่า มาตรา เสียงพยัญชนะก้องเมื่ออยู่ในตำแหน่งตัวสะกด ความก้องจะหายไป

ในบรรดาพยัญชนะไทย นอกจาก และ ที่เลิกใช้แล้ว ยังมีพยัญชนะอีก 6 ตัวที่ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้คือ ดังนั้นตัวสะกดจึงเหลือเพียง 36

ริมฝีปาก
ทั้งสอง
ปุ่มเหงือกเพดานแข็งเพดานอ่อนเส้นเสียง
เสียงนาสิก[m]
[n]
ญ, ณ, น, ร, ล, ฬ
[ŋ]
เสียงกัก[p̚]
บ, ป, พ, ฟ, ภ
[t̚]
จ, ช, ซ, ฌ, ฎ, ฏ, ฐ, ฑ,
ฒ, ด, ต, ถ, ท, ธ, ศ, ษ,
[k̚]
ก, ข, ค, ฆ
[ʔ]*
-
เสียงเปิด[w]
[j]

* เสียงพยัญชนะกัก เส้นเสียง [ʔ] จะปรากฏเฉพาะหลังสระเสียงสั้นเมื่อไม่มีพยัญชนะสะกด

กลุ่มพยัญชนะ

แต่ละพยางค์ในคำหนึ่ง ๆ ของภาษาไทยแยกออกจากกันอย่างชัดเจน (ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่พยัญชนะสะกด อาจกลายเป็นพยัญชนะต้นในพยางค์ถัดไป หรือในทางกลับกัน) ดังนั้นพยัญชนะหลายตัวของพยางค์ที่อยู่ติดกัน จะไม่รวมกันเป็นกลุ่มพยัญชนะเลย

ภาษาไทยมีกลุ่มพยัญชนะเพียงไม่กี่กลุ่ม ประมวลคำศัพท์ภาษาไทยดั้งเดิมระบุว่ามีกลุ่มพยัญชนะ (ที่ออกเสียงรวมกันโดยไม่มีสระอะ) เพียง 11 แบบเท่านั้น เรียกว่า พยัญชนะควบกล้ำ หรือ อักษรควบกล้ำ

ริมฝีปากปุ่มเหงือกเพดานอ่อน
พยัญชนะเดี่ยว[p]
[pʰ]
ผ, พ
[t]
[k]
[kʰ]
ข, ฃ, ค, ฅ
เสียงรัว[r]
[pr]
ปร
[pʰr]
พร
[tr]
ตร
[kr]
กร
[kʰr]
ขร, ฃร, คร
เสียงเปิด[l]
[pl]
ปล
[pʰl]
ผล, พล
[kl]
กล
[kʰl]
ขล, คล
[w]
[kw]
กว
[kʰw]
ขว, ฃว, คว, ฅว

พยัญชนะควบกล้ำมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกหกเสียงจากคำยืมภาษาต่างประเทศ ได้แก่

เราสามารถสังเกตได้ว่า กลุ่มพยัญชนะเหล่านี้ถูกใช้เป็นพยัญชนะต้นเท่านั้น ซึ่งมีเสียงพยัญชนะตัวที่สองเป็น หรือ และกลุ่มพยัญชนะจะมีเสียงไม่เกินสองเสียงในคราวเดียว การผันวรรณยุกต์ของคำขึ้นอยู่กับไตรยางศ์ของพยัญชนะตัวแรก

สระ

เสียงสระในภาษาไทยมาตรฐานแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ สระเดี่ยว สระประสม และสระเกิน สะกดด้วยรูปสระพื้นฐานหนึ่งตัวหรือหลายตัวร่วมกัน (ดูที่ อักษรไทย)

สระเดี่ยว หรือ สระแท้ คือสระที่เกิดจากฐานเพียงฐานเดียว มีทั้งสิ้น 18 เสียง

ลิ้นส่วนหน้าลิ้นส่วนหลัง
ปากเหยียดปากเหยียดปากห่อ
สั้นยาวสั้นยาวสั้นยาว
ลิ้นยกสูง[i]
–ิ
[iː]
–ี
[ɯ]
–ึ
[ɯː]
–ื
[u]
–ุ
[uː]
–ู
ลิ้นกึ่งสูง[e]
เ–ะ
[eː]
เ–
[ɤ]
เ–อะ
[ɤː]
เ–อ
[o]
โ–ะ
[oː]
โ–
ลิ้นกึ่งต่ำ[ɛ]
แ–ะ
[ɛː]
แ–
[ɔ]
เ–าะ
[ɔː]
–อ
ลิ้นลดต่ำ[a]
–ะ
[aː]
–า

สระเดี่ยว

สระประสม

สระประสม คือสระที่เกิดจากสระเดี่ยวสองเสียงมาประสมกัน เกิดการเลื่อนของลิ้นในระดับสูงลดลงสู่ระดับต่ำ ดังนั้นจึงสามารถเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "สระเลื่อน" มี 3 เสียงดังนี้

  • เ–ีย [iːa] ประสมจากสระ อี และ อา ia
  • เ–ือ [ɯːa] ประสมจากสระ อือ และ อา uea
  • –ัว [uːa] ประสมจากสระ อู และ อา ua

ในบางตำราจะเพิ่มสระสระประสมเสียงสั้น คือ เ–ียะ เ–ือะ –ัวะ ด้วย แต่ในปัจจุบันสระเหล่านี้ปรากฏเฉพาะคำเลียนเสียงเท่านั้น เช่น เพียะ เปรี๊ยะ ผัวะ เป็นต้น

สระเสียงสั้นสระเสียงยาวสระเกิน
ไม่มีตัวสะกดมีตัวสะกดไม่มีตัวสะกดมีตัวสะกดไม่มีตัวสะกดมีตัวสะกด
–ะ–ั–1, -รร, -รร-–า–า––ำ(ไม่มี)
–ิ–ิ––ี–ี–ใ–(ไม่มี)
–ึ–ึ––ือ–ื–ไ–(ไม่มี)
–ุ–ุ––ู–ู–เ–า(ไม่มี)
เ–ะเ–็–, เ––2เ–เ––ฤ, –ฤฤ–, –ฤ–
แ–ะแ–็–, แ––2แ–แ––ฤๅ, –ฤๅ(ไม่มี)
โ–ะ––โ–โ––ฦ, –ฦฦ–, –ฦ–
เ–าะ–็อ–, -อ-2–อ–อ–, ––3ฦๅ, –ฦๅ(ไม่มี)
–ัวะ–็ว––ัว–ว–
เ–ียะ(ไม่มี)เ–ียเ–ีย–
เ–ือะ(ไม่มี)เ–ือเ–ือ–
เ–อะเ–ิ–4,
เ––4
เ–อเ–ิ–,
เ––5,
เ–อ–6

สระเกิน คือสระที่มีเสียงของพยัญชนะปนอยู่ มี 8 เสียงดังนี้

  • –ำ [am, aːm] am ประสมจาก อะ + ม (อัม) เช่น ขำ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาม) เช่น น้ำ
  • ใ– [aj, aːj] ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ใจ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ใต้
  • ไ– [aj, aːj] ai ประสมจาก อะ + ย (อัย) เช่น ไหม้ บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาย) เช่น ไม้
  • เ–า [aw, aːw] ao ประสมจาก อะ + ว (เอา) เช่น เกา บางสำเนียงถิ่นออกเสียงยาวเวลาพูด (อาว) เช่น เก้า
  • [rɯ] rue, ri, roe ประสมจาก ร + อึ (รึ) เช่น ฤกษ์ บางคำเปลี่ยนเป็น [ri] (ริ) เช่น กฤษณะ หรือ [rɤː] (เรอ) เช่น ฤกษ์
  • ฤๅ [rɯː] rue ประสมจาก ร + อือ (รือ)
  • [lɯ] lue ประสมจาก ล + อึ (ลึ)
  • ฦๅ [lɯː] lue ประสมจาก ล + อือ (ลือ)

บางตำราก็ว่าสระเกินเป็นพยางค์ ไม่ถูกจัดว่าเป็นสระ

สระบางรูปเมื่อมีพยัญชนะสะกด จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปสระ สามารถสรุปได้ตามตารางด้านขวา

  1. คำที่สะกดด้วย –ั (สระ -ะ) + ว นั้นไม่มี เพราะซ้ำกับ –ัว แต่เปลี่ยนไปใช้ เ–า แทน
  2. สระ เ-ะ แ-ะ เ-าะ ที่มีวรรณยุกต์ ใช้รูปเดียวกับสระ เ– แ- -อ ตามลำดับ เช่น เผ่น เล่น แล่น แว่น ผ่อน กร่อน
  3. คำที่สะกดด้วย –อ (สระ -อ) + ร จะลดรูปเป็น –ร ไม่มีตัวออ เช่น พร ศร จร ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ โ–ะ ดังนั้นคำที่สะกดด้วย โ–ะ + ร จึงไม่มี
  4. สระ เ–อะ ที่มีตัวสะกดใช้รูปเดียวกับสระ เ–อ[10] เช่น เงิน เปิ่น เห่ย
  5. คำที่สะกดด้วย เ–อ + ย จะลดรูปเป็น เ–ย ไม่มีพินทุ์อิ เช่น เคย เนย เลย ซึ่งก็จะไปซ้ำกับสระ เ– อย่างไรก็ตาม คำที่สะกดด้วย เ– + ย จะไม่มีในภาษาไทย
  6. พบได้น้อยคำ เช่น เทอญ เทอม

วรรณยุกต์

เสียงวรรณยุกต์

คำเป็น

เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมาตรฐานจำแนกออกได้เป็น 5 เสียง ได้แก่

เสียงวรรณยุกต์ตัวอย่าง
เสียงระดับเสียงอักษรไทยสัทอักษรสากล
หน่วยเสียงเสียง
สามัญกลางนา/nāː/[naː˧]
เอกกึ่งต่ำ-ต่ำ หรือ ต่ำอย่างเดียวหน่า/nàː/[naː˨˩]
โทสูง-ต่ำน่า/หน้า/nâː/[naː˥˩]
ตรีกึ่งสูง-สูง หรือ สูงอย่างเดียวน้า/náː/[naː˦˥]
จัตวาต่ำ-กึ่งสูงหนา/nǎː/[naː˩˩˦]
คำตาย

เสียงวรรณยุกต์ในคำตายสามารถมีได้แค่เพียง 3 เสียงวรรณยุกต์ คือ เสียงเอก เสียงโท และ เสียงตรี โดยขึ้นอยู่กับความสั้นความยาวของสระ เสียงเอกสามารถออกเสียงควบคู่กับได้สระสั้นหรือยาว เสียงตรีสามารถออกเสียงควบคู่กับสระสั้น และ เสียงโทสามารถออกเสียงควบคู่กับสระยาว เช่น

เสียงสระตัวอย่าง
อักษรไทยหน่วยเสียงเสียง
เอกสั้นหมัก/màk/[mak̚˨˩]
ยาวหมาก/màːk/[maːk̚˨˩]
ตรีสั้นมัก/mák/[mak̚˦˥]
โทยาวมาก/mâːk/[maːk̚˥˩]

แต่อย่างใดก็ดี ในคำยืมบางคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษ คำตายสามารถมีเสียงตรีควบคู่กับสระยาว และเสียงโทควบคู่กับสระสั้นได้ด้วย เช่น

เสียงสระตัวอย่าง
อักษรไทยหน่วยเสียงเสียงอังกฤษ
ตรียาวมาร์ก/máːk/[maːk̚˦˥]Marc, Mark
สตาร์ต/sa.táːt/[sa.taːt̚˦˥]start
บาส (เกตบอล)/báːt (.kêt.bɔ̄n) /[baːt̚˦˥ (.ket̚˥˩.bɔn˧)]basketball
โทสั้นเมคอัพ/méːk.ʔâp/[meːk̚˦˥.ʔap̚˥˩]make-up

รูปวรรณยุกต์

ส่วน รูปวรรณยุกต์ มี 4 รูป ได้แก่

รูปวรรณยุกต์ชื่อ
ไทยสัทอักษร
-่ไม้เอก/máːj.ʔèːk/
-้ไม้โท/máːj.tʰōː/
-๊ไม้ตรี/máːj.trīː/
-๋ไม้จัตวา/máːj.t͡ɕàt.ta.wāː/

การเขียนเสียงวรรณยุกต์

ทั้งนี้คำที่มีรูปวรรณยุกต์เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีระดับเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ขึ้นอยู่กับระดับเสียงของอักษรนำด้วย เช่น ข้า (ไม้โท) ออกเสียงโทเหมือน ค่า (ไม้เอก) เป็นต้น

รูปวรรณยุกต์
ไม่เขียน-่-้-๊-๋
อักษรสูงเสียงจัตวาเสียงเอกเสียงโท--
ตัวอย่างขาข่าข้า--
กลางเสียงสามัญเสียงเอกเสียงโทเสียงตรีเสียงจัตวา
ตัวอย่างปาป่าป้าป๊าป๋า
ต่ำเสียงสามัญเสียงโทเสียงตรี--
ตัวอย่างคาค่าค้า--

คำควบกล้ำ

คำควบกล้ำ หรือ อักษรควบ หมายถึง พยัญชนะสองตัวเขียนเรียงกันอยู่ต้นพยางค์ และใช้สระเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงกล้ำเป็นพยางค์เดียวกัน เสียงวรรณยุกต์ของพยางค์นั้นจะผันเป็นไปตามเสียงพยัญชนะตัวหน้าคำควบกล้ำ (อักษรควบ) มี 2 ชนิด คือ

คำควบแท้ ได้แก่ พยัญชนะ ควบกับพยัญชนะตัวหน้า ประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านออกเสียงพยัญชนะทั้งสองตัวพร้อมกัน

คำควบไม่แท้ ได้แก่ พยัญชนะ ควบกับพยัญชนะตัวหน้าประสมสระตัวเดียวกัน เวลาอ่านไม่ออกเสียง ร ออกเสียงเฉพาะตัวหน้า หรือมิฉะนั้น ก็ออกเสียง เป็นเสียงอื่นไป

  • คำควบไม่แท้ที่ออกเสียงเฉพาะพยัญชนะตัวหน้า ได้แก่พยัญชนะ ควบกับ ร
  • คำควบไม่แท้ ควบกับ ร จะออกเสียงกลายเป็น

ไวยากรณ์

ภาษาไทยเป็นภาษาคำโดด คำในภาษาไทยจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป ไม่ว่าจะอยู่ในกาล (tense) การก (case) มาลา (mood) วาจก (voice) หรือบุรุษ (person) ใดก็ตาม คำในภาษาไทยไม่มีลิงค์ (gender) ไม่มีพจน์ (number) ไม่มีวิภัตติปัจจัย แม้เป็นคำที่รับมาจากภาษาผันคำ (ภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย) เช่น ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต เมื่อนำคำที่รับมานั้นมาใช้ในภาษาไทย ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูป

คำในภาษาไทยหลายคำไม่สามารถกำหนดหน้าที่ของคำได้อย่างตายตัว จำเป็นต้องอาศัยบริบทเข้าช่วยในการพิจารณา เมื่อต้องการจะผูกประโยค ก็นำเอาคำแต่ละคำมาเรียงติดต่อกันเข้า ภาษาไทยมีโครงสร้างแตกกิ่งไปทางขวา คำคุณศัพท์จะวางไว้หลังคำนาม ลักษณะทางวากยสัมพันธ์ โดยรวมแล้วจะเป็นแบบ 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO)

วากยสัมพันธ์

ลักษณะทางวากยสัมพันธ์ หรือการเรียงลำดับคำในประโยค โดยรวมแล้วจะเรียงเป็น 'ประธาน-กริยา-กรรม' (subject-verb-object หรือ SVO) อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เช่น ในกรณีที่มีการเน้นความหมายของกรรม (topicalization) สามารถเรียงประโยคเป็น 'กรรม-ประธาน-กริยา' (object-subject-verb หรือ OSV) ได้ด้วย แต่ต้องใช้คำชี้เฉพาะเติมหลังคำที่เป็นกรรมคำนั้น เช่น

กรณีลำดับคำตัวอย่าง
ธรรมดา
(unmarked)
ประธาน-กริยา-กรรมวัวกินหญ้าแล้ว
เน้นกรรม
(object topicalization)
กรรม-ประธาน-กริยาหญ้านี้ วัวกินแล้ว
หรือ
หญ้าเนี้ย วัวกินแล้ว

การยืมคำจากภาษาอื่น

ภาษาไทยเป็นภาษาหนึ่งที่มีการยืมคำมาจากภาษาอื่น ๆ ค่อนข้างสูงมาก มีทั้งแบบยืมมาจากภาษาในตระกูลภาษาขร้า-ไท ด้วยกันเอง และข้ามตระกูลภาษา โดยส่วนมากจะยืมมาจากภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และภาษาเขมร ซึ่งมีทั้งรักษาคำเดิม ออกเสียงใหม่ สะกดใหม่ หรือเปลี่ยนความหมายใหม่ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน

บางครั้งเป็นการยืมมาซ้อนคำ เกิดเป็นคำซ้อน คือ คำย่อยในคำหลัก มีความหมายเดียวกันทั้งสอง เช่น

  • ดั้งจมูก โดยมีคำว่าดั้ง เป็นคำในภาษาไท ส่วนจมูก เป็นคำในภาษาเขมร
  • อิทธิฤทธิ์ มาจาก อิทฺธิ (iddhi) ในภาษาบาลี ซ้อนกับคำว่า ฤทฺธิ ऋद्धि (ṛddhi) ในภาษาสันสกฤต โดยทั้งสองคำมีความหมายเดียวกัน

คำจำนวนมากในภาษาไทย ไม่ใช้คำในกลุ่มภาษาไท แต่เป็นคำที่ยืมมาจากกลุ่มภาษาสันสกฤต-ปรากฤต โดยมีตัวอย่างดังนี้

รักษารูปเดิม หรือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
  • วชิระ (บาลี: วชิร [vajira]), วัชระ (สันส: วชฺร वज्र [vajra])
  • ศัพท์ (สันส: ศพฺท शब्द [śabda]), สัท (เช่น สัทอักษร) (บาลี: สทฺท [sadda])
  • อัคนี และ อัคคี (สันส: อคฺนิ अग्नि [agni] บาลี: อคฺคิ [aggi])
  • โลก (โลก) – บาลี: โลก [loka] (สันสกฤต: लोक โลก)
  • ญาติ (ยาด) – บาลี: ญาติ (ยา-ติ) [ñāti]
เสียง พ มักแผลงมาจาก ว
  • เพียร (มาจาก พิริย และมาจาก วิริย อีกทีหนึ่ง) (สันส:วีรฺย वीर्य [vīrya], บาลี:วิริย [viriya])
  • พฤกษา หรือ พฤกษ์ (สันส:วฺฤกฺษ वृक्ष [vṛkṣa])
  • พัสดุ (สันส: वस्तु [vastu] (วสฺตุ); บาลี: [vatthu] (วตฺถุ) )
เสียง -อระ เปลี่ยนมาจาก -ะระ
  • หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หรติ))
เสียง ด มักแผลงมาจาก ต
  • หรดี (หอ-ระ-ดี) (บาลี:หรติ [harati] (หะระติ))
  • เทวดา (บาลี:เทวตา [devatā])
  • วัสดุ และ วัตถุ (สันส: [vastu] वस्तु (วสฺตุ); บาลี: [vatthu] (วตฺถุ))
  • กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: कपिलवस्तु [kapilavastu] (กปิลวสฺตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวตฺถุ))
เสียง บ มักแผลงมาจาก ป
  • กบิลพัสดุ์ (กะ-บิน-ละ-พัด) (สันส: कपिलवस्तु [kapilavastu] (กปิลวสฺตุ); บาลี: [kapilavatthu] (กปิลวตฺถุ))
  • บุพเพ และ บูรพ (บาลี: [pubba] (ปุพฺพ))

ภาษาอังกฤษ

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีวิวัฒนาการต่าง ๆ ทางเทคโนโลยีมากมาย ซึ่งทำให้มีการใช้ภาษาอังกฤษกันอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ก็ได้มีการบัญญัติศัพท์จากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เช่น[11]

  • ประปา จากคำว่า วอเตอร์ซัปพลาย (water supply)
  • สถานี จากคำว่า สเตชัน (station)
  • รถยนต์ จากคำว่า รถมอเตอร์คาร์ (motorcar)
  • เรือยนต์ จากคำว่า เรือมอเตอร์ (motorboat)
  • ประมวล จากคำว่า โค้ด (code)[12]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  • กำชัย ทองหล่อ. หลักภาษาไทย. กรุงเทพฯ: บำรุงสาส์น, 2533.
  • นันทนา รณเกียรติ. สัทศาสตร์ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2548. ISBN 978-974-571-929-3.
  • อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล และ กัลยารัตน์ ฐิติกานต์นารา. 2549.“การเน้นพยางค์กับทำนองเสียงภาษาไทย” (Stress and Intonation in Thai) วารสารภาษาและภาษาศาสตร์ ปีที่ 24 ฉบับที่ 2 (มกราคม – มิถุนายน 2549) หน้า 59-76
  • สัทวิทยา: การวิเคราะห์ระบบเสียงในภาษา. 2547. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
  • Gandour, Jack, Tumtavitikul, Apiluck and Satthamnuwong, Nakarin.1999. “Effects of Speaking Rate on the Thai Tones.” Phonetica 56, pp.123-134.
  • Tumtavitikul, Apiluck, 1998. “The Metrical Structure of Thai in a Non-Linear Perspective”. Papers presentd to the Fourth Annual Meeting of the Southeast Asian Linguistics Society 1994, pp. 53-71. Udom Warotamasikkhadit and Thanyarat Panakul, eds. Temple, Arizona: Program for Southeast Asian Studies, Arizona State University.
  • Apiluck Tumtavitikul. 1997. “The Reflection on the X’ category in Thai”. Mon-Khmer Studies XXVII, pp. 307-316.
  • อภิลักษณ์ ธรรมทวีธิกุล. 2539. “ข้อคิดเกี่ยวกับหน่วยวากยสัมพันธ์ในภาษาไทย” วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ. 4.57-66.
  • Tumtavitikul, Appi. 1995. “Tonal Movements in Thai”. The Proceedings of the XIIIth International Congress of Phonetic Sciences, Vol. I, pp. 188-121. Stockholm: Royal Institute of Technology and Stockholm University.
  • Tumtavitikul, Apiluck. 1994. “Thai Contour Tones”. Current Issues in Sino-Tibetan Linguistics, pp.869-875. Hajime Kitamura et al, eds, Ozaka: The Organization Committee of the 26th Sino-Tibetan Languages and Linguistics, National Museum of Ethnology.
  • Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “FO – Induced VOT Variants in Thai”. Journal of Languages and Linguistics, 12.1.34 – 56.
  • Tumtavitikul, Apiluck. 1993. “Perhaps, the Tones are in the Consonants?” Mon-Khmer Studies XXIII, pp.11-41.

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง