ลูกโซ่ความเย็น
ลูกโซ่ความเย็น (อังกฤษ: cold chain) หรือ โซ่เย็น เป็นห่วงโซ่อุปทานคือระบบการเคลื่อนย้ายสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิติดต่อกันเป็นลูกโซ่ลูกโซ่ความเย็นที่ไม่ขาดหมายถึงการมีลำดับการผลิต การเก็บ และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีการแช่เย็นโดยตลอดบวกกับการมีอุปกรณ์และโลจิสติกส์ที่เนื่องกันและจำเป็นเพื่อควบคุมสินค้าให้อยู่ในพิสัยอุณหภูมิที่ต้องการ[1]จุดประสงค์ก็เพื่อยืดและรักษาอายุคุณภาพของสินค้าต่าง ๆ เช่น ผักผลไม้สด[2]อาหารทะเล อาหารแช่แข็ง ฟิล์มถ่ายภาพ สารเคมี และเภสัชภัณฑ์[3]สินค้าในโซ่เย็นจะไม่เหมือนสินค้าทั่วไปเพราะเป็นของเสียได้ และถือเป็นสินค้าที่กำลังจัดส่งไปยังจุดบริโภคตลอดเวลาแม้เมื่อกำลังเก็บไว้อย่างชั่วคราวในห้องเย็น และดังนั้น จึงมักเรียกว่า "คาร์โก้" ตลอดทั้งวงจรโลจิสติกส์การมีที่เก็บซึ่งเย็นพออาจจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อป้องกันอาหารเสียทั้งโดยคุณภาพและโดยปริมาณ[4]
ประวัติ
ชาวแอฟริกัน-อเมริกัน เฟร็ดเดอริก โจนส์เป็นผู้ประดิษฐ์ตู้เย็นกลที่ช่วยรักษาความเย็นได้เป็นครั้งแรก และได้ก่อตั้งบริษัทเทอร์โมคิง (Thermo King) ร่วมกับนักลงทุนชาวอเมริกัน โจเซฟ นิวเมอโรผู้ในปี 1938 ได้ขายธุรกิจเครื่องเสียงภาพยนตร์ให้แก่บริษัทอาร์ซีเอ แล้วก่อตั้งบริษัทที่ต่อมามีชื่อว่าเทอร์โมคิงกับโจนส์โจนส์ได้ออกแบบตู้เย็น (แบบ air-cooling คือใช้อากาศทำให้เย็น) ที่สามารถบรรทุกบนรถแล้วใช้ขนส่งอาหารสดอันเสียได้[5] โดยได้สิทธิบัตรในปี 1940[6]
เทคโนโลยีเยี่ยงนี้ได้ใช้มาตลอดตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1950 โดยมักใช้รักษาสภาพเนื้อหรือเซลล์สัตว์ความต้องการระบบเยี่ยงนี้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะนวัตกรรมทางการแพทย์ซึ่งมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่นการรักษามะเร็ง โดยเฉพาะในเหตุการณ์ระบาดทั่วของโควิด-19 ซึ่งจำเป็นต้องฉีดวัคซีน จึงทำให้ระบบนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง[7]
การใช้
โซ่เย็นเป็นเรื่องสามัญในอุตสาหกรรมอาหารและยา แต่ก็ยังใช้ส่งสารเคมีด้วยแม้พิสัยอุณหภูมิสามัญสำหรับยาจะอยู่ระหว่าง 2-8 องศาสเซลเซียส แต่อุณหภูมิโดยเฉพาะ ๆ ที่จำเป็นและช่วงเวลาที่เก็บในอุณหภูมินั้นได้ ก็ยังขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์
ผักผลไม้
คาร์โกผักผลไม้สดมีลักษณะพิเศษคือ นอกจากต้องรักษาอุณหภูมิแล้ว ยังต้องรักษาลักษณะทางสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ โดยเฉพาะ ๆ[2]รวมทั้งคุณภาพอากาศ (เช่น ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน ความชื้น เป็นต้น)
วัคซีน
โซ่เย็นใช้เพื่อขนส่งวัคซีนไปยังสถานพยาบาลไกล ๆ ในภูมิอากาศร้อนที่อาจมีระบบการขนส่งที่ไม่ดีระบบที่ติดขัดเนื่องจากสงครามอาจมีผลเสียหายดังที่พบในเหตุการณ์ระบาดของโรคฝีดาษในฟิลิปปินส์ช่วงสงครามระหว่างสเปนกับสหรัฐ (ค.ศ. 1898) เพราะวัคซีนที่แจกจำหน่ายไม่มีประสิทธิผลเนื่องจากควบคุมอุณหภูมิไม่ได้ในระหว่างการขนส่ง[8]
วัคซีนต้องมีโซ่เย็นในระดับต่าง ๆ รวมทั้งโซ่เย็นอุณหภูมิต่ำเป็นพิเศษ (ultralow, deep freeze) สำหรับวัคซีนที่ต้องแช่แข็งที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส วัคซีนอีโบลาและวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์-ไบออนเทคต้องส่งแช่แข็งในระดับนี้ โดยเหมือนกับวัคซีนสัตว์บางชนิด เช่น ที่ให้แก่ไก่ยังมีโซ่เย็นที่อุณหภูมิ -20 องศาสเซลเซียส วัคซีนโรคอีสุกอีใสและวัคซีนงูสวัดต้องแช่แข็งในระดับนี้ยังมีโซ่เย็นในระดับ 2-8 องศาสเซลเซียส วัคซีนไข้หวัดใหญ่โดยมากต้องแช่เย็นในระดับนี้[9]ในช่วงการระบาดทั่วของโควิด-19 วัคซีนที่พัฒนาขึ้นต้องใช้ตู้แช่แข็งและการขนส่งที่เย็นถึง -70 องศาสเซลเซียส[10]ซึ่งเป็นปัญหาในการแจกจ่ายวัคซีนของไฟเซอร์ประเมินว่ามีประเทศเพียง 25-30 ประเทศทั่วโลกที่มีโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นในการขนส่งวัคซีนที่อุณหภูมิระดับนี้[9]
ความสมเหตุผล
กระบวนการขนส่งแบบโซ่เย็นเป็นส่วนเพิ่มของมาตรฐานการผลิตแบบ GMP ซึ่งยาและผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพทั้งหมดควรต้องใช้ โดยองค์กรของรัฐต่าง ๆ จะเป็นผู้ควบคุมดังนั้น ระบบเช่นนี้จึงต้องตรวจสอบความสมเหตุผลให้แน่ใจว่าไม่มีผลลบต่อความปลอดภัย ประสิทธิศักย์ หรือคุณภาพของยามาตรฐานของ GMP กำหนดว่า กระบวนการทั้งหมดที่อาจมีผลต่อความปลอดภัย ประสิทธิศักย์ หรือคุณภาพของยาต้องมีหลักฐานยืนยันเป็นเอกสารว่า ได้ทำตามขั้นตอนและได้ผลลัพธ์ตามที่กำหนด[10][1]โซ่เย็นอาจบริหารด้วยระบบบริหารคุณภาพ (quality management system, QMS)โดยอุปกรณ์บันทึกข้อมูลอุณหภูมิ (temperature data logger) และแท็กอาร์เอฟไอดีสามารถใช้ช่วยตรวสอบประวัติอุณหภูมิของรถบรรทุกและคลังสินค้าเป็นต้นรวมทั้งประวัติอุณหภูมิของผลิตภัณฑ์ที่กำลังส่ง[11]โดยยังช่วยกำหนดอายุคุณภาพสินค้า (shelf life) ที่เหลือได้อีกด้วย[12]