พระบรมสารีริกธาตุ
พระบรมสารีริกธาตุ (สันสกฤต: शरीर; Śarīra) เรียกโดยย่อว่าพระบรมธาตุ คือ พระอัฐิของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงอธิษฐานไว้ก่อนปรินิพพาน ให้คงเหลือไว้หลังจากการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธบริษัท[1]
พระบรมสารีริกธาตุ | |||||||
พระบรมสารีริกธาตุ สัณฐานเมล็ดข้าวสาร | |||||||
ชื่อภาษาจีน | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
อักษรจีนตัวเต็ม | 舍利 หรือ 舍利子 | ||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 舍利 หรือ 舍利子 | ||||||
| |||||||
ชื่อภาษาทิเบต | |||||||
อักษรทิเบต | རིང་བསྲེལ། | ||||||
| |||||||
ชื่อภาษาเวียดนาม | |||||||
ภาษาเวียดนาม | Xá lợi | ||||||
ชื่อภาษาเกาหลี | |||||||
ฮันกึล | 사리 | ||||||
ฮันจา | 舍利 | ||||||
| |||||||
ชื่อภาษาญี่ปุ่น | |||||||
คันจิ | 仏舎利 | ||||||
ฮิรางานะ | ぶっしゃり | ||||||
| |||||||
ชื่อสันสกฤต | |||||||
สันสกฤต | śarīra | ||||||
ชื่อเบงกอล | |||||||
เบงกอล | শরীর | ||||||
ชื่อพม่า | |||||||
พม่า | သရီရဓာတ်တော် |
พระบรมธาตุมีสองลักษณะคือ พระบรมธาตุที่ไม่แตกกระจาย และที่แตกกระจาย มีขนาดเล็กสุดประมาณเมล็ดพันธุ์ผักกาด[2]
ชาวพุทธเชื่อว่าพระบรมสารีริกธาตุเป็นวัตถุแทนองค์พระบรมศาสดาที่ทรงคุณค่าสูงสุดในศาสนาพุทธ จึงนิยมกระทำการบูชาองค์พระบรมสารีริกธาตุโดยประการต่าง ๆ เช่น การสร้างเจดีย์ เพื่อประดิษฐานพระธาตุไว้สักการะ โดยเชื่อว่ามีอานิสงส์ประดุจได้กระทำการบูชาแด่พระพุทธเจ้าเมื่อยังทรงพระชนม์อยู่[3]
ทั้งนี้ คำว่า "พระบรมสารีริกธาตุ" เป็นศัพท์เฉพาะใช้เรียกเฉพาะพระธาตุของพระพุทธเจ้า หากเป็นของพระอรหันตสาวกจะเรียกว่า "พระธาตุ" เท่านั้น[4]
การเกิดพระบรมสารีริกธาตุ
ประวัติ
นับแต่พระโคตมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และเผยแผ่พระธรรมวินัยแก่ชาวชมพูทวีป เป็นเวลากว่า 45 ปี ทำให้พระพุทธศาสนาตั้งหลักฐานอย่างมั่นคง ณ ชมพูทวีปกว่าพันปี และพระพุทธศาสนาได้ขยายออกไปทั่วทวีปเอเชียนับแต่นั้นมา จวบจนพระพุทธองค์มีพระชนมายุใกล้ 80 พรรษา มีพระวรกายชราภาพลงเสมือนคนทั่วไป[5] และหลังจากวันที่ทรงทำการปลงพระชนมายุสังขารได้ 3 เดือน จึงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ระหว่างใต้ต้นสาละคู่ ณ สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ ในปัจฉิมยามแห่งราตรีวิสาขปรุณมีเพ็ญเดือน 6 ขณะมีพระชนมายุ 80 พรรษา
สถานที่ปรินิพพาน
สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธองค์ อยู่ในพระราชอุทยานของเจ้ามัลละฝ่ายเหนือแห่งกุสินารา ชื่อว่า "อุปวตฺตนสาลวนํ" หรือ อุปวัตตนะสาลวัน ซึ่งในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า สาลวโนทยาน แปลว่า สวนป่าไม้สาละ ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำหิรัญญวดี เป็นป่าไม้สาละร่มรื่น ซึ่งหลังการปรินิพพานของพระพุทธองค์แล้ว กษัตริย์แห่งมัลละก็ได้ประดิษฐานพระพุทธสรีระไว้ ณ เมืองกุสินาราเป็นเวลากว่า 7 วัน ก่อนที่จะประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ มกุฏพันธนเจดีย์ อันตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองกุสินารา ในวันที่ 8 แห่งพุทธปรินิพพาน[6]
การถวายพระเพลิง
โดยการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ คัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทกล่าวว่า เหล่ามัลลกษัตริย์แห่งแคว้นวัชชี ได้กระทำขึ้นตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีการถวายพระเพลิงพระจักรพรรดิราช โดยเหล่ามัลลกษัตริย์ห่อพระสรีระด้วยผ้าผืนใหม่ แล้วซับด้วยสำลี รวมจำนวน 500 ชั้น และห่อด้วยผ้าอัคคีโธวัน ซึ่งเป็นผ้าชนิดพิเศษซึ่งทอขึ้นด้วยใยโลหะไม่ไหม้ไฟ และเชิญประดิษฐานบนรางเหล็ก เติมน้ำมัน ปิดด้วยรางอื่นเป็นฝา แล้วจึงเชิญพระพุทธสรีระขึ้นประดิษฐานบนพระจิตกาธานซึ่งทำด้วยไม้หอม เตรียมการถวายพระเพลิง
จากความในมหาปรินิพพานสูตร พระไตรปิฎก กล่าวว่า เพลิงได้ลุกขึ้นเองจากภายใน ด้วยพระเตโชธาตุจากพระพุทธาธิษฐาน และเมื่อพระสรีระขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกเพลิงไหม้แล้ว สายธารทิพย์ก็ไหลมาจากอากาศ ลำต้นสาละ และจากพื้นดินโดยรอบเพื่อดับพระจิตกาธาน[7] และเมื่อดับจิตกาธานแล้ว สิ่งที่คงเหลืออยู่คือพระบรมสารีริกธาตุ (กระดูก) ทั้งที่คงลักษณะเดิม (ไม่แตกกระจายไป) จำนวน 7 พระองค์ (เรียกว่า นวิปฺปกิณฺณาธาตุ) และแบบกระจัดกระจาย มีสีดอกมะลิ สีแก้วมุกดา และสีเหมือนทองคำ ซึ่งมีขนาดต่าง ๆ กัน รวมจำนวนได้ 16 ทะนาน (เรียกว่า วิปฺปกิณฺณาธาตุ)[8]
จากนั้น เหล่ามัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราได้กระทำสัตติบัญชรในสัณฐาคาร แวดล้อมด้วยธนูปราการ ประกอบพิธีบูชาสมโภชพระบรมสารีริกธาตุตลอดเจ็ดวันหลังจากนั้น[9]
การแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ
ต่อมาไม่นาน เจ้าผู้ครองแคว้นต่าง ๆ ก็ได้ยกกองทัพหลวงของตน รวมจำนวน 8 กองทัพ มาล้อมเมืองกุสินาราเพื่อจะแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ แต่ด้วยความที่กุสินาราเป็นเมืองเล็ก จึงต้องยอมระงับศึกโดยแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้ทุกเมืองโดยไม่ต้องเกิดสงคราม โดยมีโทณพราหมณ์เป็นผู้เจรจาและประกอบพิธีแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้เป็น 8 ส่วน และพระอังคารธาตอีก 1 ส่วน คือ[10] พระเจ้าอชาตศัตรู กษัตริย์มคธเมืองราชคฤห์, กษัตริย์ลิจฉวีเมืองเวสาลี, กษัตริย์ศากยะเมืองกบิลพัสดุ์, กษัตริย์ถูลีเมืองอัลกัปปะ, กษัตริย์โกลิยะเมืองรามคาม, พราหมณ์ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปกะ, กษัตริย์มัลละเมืองปาวา, กษัตริย์มัลละเมืองกุสินารา และกษัตริย์โมลิยะเมืองปิปผลิวัน (พระอังคารธาตุ)[11]
พระพุทธประสงค์
ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มีพระพุทธประสงค์ให้พระพุทธสรีระของพระองค์แตกกระจายไปจำนวนมาก พระบรมสารีริกธาตุขนาดเล็กสุดแม้ประมาณเท่าเมล็ดผักกาด[12] ดังปรากฏความในคัมภีร์ปฐมสมันตาปาสาทิกาว่า
พระพุทธประสงค์ดังกล่าวนี้ เพื่อให้ศาสนาของพระองค์แพร่หลายไป และผู้ที่เกิดมาภายหลัง ไม่ทันเห็นพระองค์เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่ จักได้กระทำการสักการบูชาเพื่อเป็นกุศลแก่ตน ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้พระบรมสารีริกธาตุแพร่หลายไปยังดินแดนต่าง ๆ นับแต่หลังพุทธปรินิพพานเป็นต้นมา
จำนวนพระบรมสารีริกธาตุ
ลักษณะพระบรมสารีริกธาตุ
วรรณะ (สี) พระบรมสารีริกธาตุตามนัยอรรถกถาพระไตรปิฎกอธิบายว่า สีแห่งพระบรมสารีริกธาตุเสมือนดอกมะลิตูม เสมือนแก้วมุกดาที่เจียรนัยแล้ว และเสมือนจุณทองคำ[15]ส่วนสัณฐานพระบรมสารีริกธาตุ มี 3 สัณฐาน[16] คือ
- ขนาดเล็ก มีสัณฐานประมาณเมล็ดพันธุ์ผักกาด
- ขนาดเขื่อง มีสัณฐานประมาณเมล็ดข้าวสารหักกึ่ง
- ขนาดใหญ่ มีสัณฐานประมาณเมล็ดถั่วเขียวผ่ากลาง
- พระเขี้ยวแก้วจำลอง (พระบรมธาตุส่วนไม่แตกกระจาย) ในพิพิธภัณฑ์เมืองโคลอมโบ ศรีลังกา
- พระบรมธาตุสัณฐานเมล็ดพันธ์ผักกาด เป็นพระบรมธาตุส่วนแตกกระจายที่มีขนาดเล็กที่สุด
- พระบรมสารีริกธาตุลักษณะกระดูกมนุษย์ ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินเดีย กรุงนิวเดลี
ความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับพระบรมสารีริกธาตุ
ในดินแดนต่าง ๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนา ต่างนับถือว่าพระบรมสารีริกธาตุเป็นวัตถุสูงค่าสูงสุด เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งแห่งพระพุทธสรีระขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และด้วยความเชื่อเรื่องพระพุทธบารมีประดุจพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ จึงมีความเชื่อว่าพระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น พระบรมสารีริกธาตุลอยน้ำ[17], พระบรมสารีริกธาตุเสด็จเคลื่อยย้ายที่ประดิษฐานเองได้, พระบรมสารีริกธาตุแสดงปาฏิหาริย์ในลักษณะต่าง ๆ เช่น เปล่งแสงหรือรัศมีโอภาส หรือเพิ่มจำนวนได้ เป็นต้น ซึ่งยังไม่สามารถอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ แต่เมื่อนำเอาพระบรมสารีริกธาตุไปเทียบกับธาตุต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกแล้ว พบว่าไม่ตรงกับธาตุใดเลย[18]
ในประเทศไทยสมัยโบราณ ปรากฏหลักฐานความเชื่อปาฏิหาริย์ที่เกี่ยวเนื่องกับพระบรมสารีริกธาตุที่เก่าที่สุดในจารึกวัดศรีชุม ซึ่งเป็นศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 2 โดยพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีศรีรัตนลังกาทีปมหาสามีเป็นเจ้า ซึ่งเป็นพระโอรสของพระยากำแหงพระราม และเป็นพระนัดดาของพ่อขุนผาเมือง เป็นผู้จารึกขึ้นในระหว่างปี พ.ศ. 1890-พ.ศ. 1917 โดยมีส่วนหนึ่งของจารึกกล่าวถึงอิทธิปาฏิหาริย์ของพระบรมสารีริกธาตุที่วัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัยโดยละเอียดว่า
นอกจากนี้ ในสมัยอยุธยายังปรากฏหลักฐานความเชื่อปาฏิหาริย์ที่เกี่ยวเนื่องกับพระบรมสารีริกธาตุในพระราชพงศาวดารหลายแห่ง[20] เช่น ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1, สมเด็จพระนเรศวรมหาราช[21][22], สมเด็จพระเอกาทศรถ[23] เป็นต้น และในสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[24], พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และในเหตุการณ์ที่องค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์ที่องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นต้น[25]
ดูเพิ่ม
- สถูป (สิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ)
- วันอัฏฐมีบูชา (วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ และบังเกิดพระบรมสารีริกธาตุ)
อ้างอิง
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
- มูลนิธิพระบรมธาตุในพระสังฆราชูปถัมภ์. (2546). พระบรมสารีริกธาตุ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ศิริวัฒนาอินเตอร์พริ้นท์. ISBN 974-91474-0-5
- กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. (2555). คู่มือสักการะพระบรมสารีริกธาตุ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
แหล่งข้อมูลอื่น
- พระธาตุและพระบรมสารีริกธาตุกับคนไทย เก็บถาวร 2014-02-24 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย