บาบิโลน Bābilim
ภาพซากเมืองบาบิโลนบางส่วน
แสดงที่ตั้งภายในประเทศอิรัก
ชื่ออื่น อาหรับ : بابل Babil แอกแคด : 𒆍𒀭𒊏𒆠 Bābili(m) [1] ซูเมอร์ : 𒆍𒀭𒊏𒆠 ká.dig̃ir.ra ki [1] แอราเมอิก : 𐡁𐡁𐡋 Bāḇel [1] ซีรีแอกคลาสสิก: ܒܒܠ Bāḇel กรีก : Βαβυλών Babylṓn ฮีบรู : בָּבֶל Bāvel เปอร์เซียเก่า: 𐎲𐎠𐎲𐎡𐎽𐎢 Bābiru Elamite: 𒀸𒁀𒉿𒇷 Babili Kassite: Karanduniash , Karduniash ที่ตั้ง อัลฮิลละฮ์ เขตผู้ว่าการบาบิล ประเทศอิรัก ภูมิภาค เมโสโปเตเมีย พิกัด 32°32′32″N 44°25′17″E / 32.542199°N 44.421435°E / 32.542199; 44.421435 ประเภท ที่อยู่อาศัย ส่วนหนึ่งของ บาบิโลเนีย พื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร (3.5 ตารางไมล์) ความเป็นมา สร้าง ป. 1894 ปีก่อน ค.ศ. ละทิ้ง ประมาณ ค.ศ. 1000 วัฒนธรรม ซูเมอร์, แอกแคด, อาโมไรต์, แคสไซต์, อัสซีเรีย, แคลเดีย, อะคีเมนิด, กรีก, พาร์เทีย, ซาเซเนียน, มุสลิม หมายเหตุเกี่ยวกับสถานที่ ผู้ขุดค้น ฮัรมุซ รัสซาม, Robert Koldewey, ฏอฮา บากิร, นักอัสซีเรียวิทยาชาวอิรักสมัยใหม่ สภาพ ซาก ผู้ถือกรรมสิทธิ์ สาธารณะ ชื่อที่ขึ้นทะเบียน บาบิโลน เกณฑ์ วัฒนธรรม: (iii), (vi) ขึ้นเมื่อ 2019 (ครั้งที่ 43) เลขอ้างอิง 278 ภูมิภาค รัฐอาหรับ
บาบิโลน เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิบาบิโลน โบราณ ซึ่งอาจสื่อถึงสองจักรวรรดิต่างหากในเมโสโปเตเมีย สมัยโบราณ จักรวรรดิทั้งสองนี้ประสบความสำเร็จในการครอบครองภูมิภาคในศตวรรษที่ 19 ถึง 15 ก่อน ค.ศ. และอีกครั้งในศตวรรษที่ 7 ถึง 6 ก่อน ค.ศ. นครนี้สร้างขึ้นริมแม่น้ำยูเฟรติส ทั้งสองฝั่งที่มีทำนบสูงชันเพื่อกั้นน้ำหลากตามฤดูกาล พื้นที่นครโบราณตั้งอยู่ใต้ของแบกแดด ในปัจจุบัน
บันทึกแรกสุดที่กล่าวถึงบาบิโลนในฐานะเมืองขนาดเล็กปรากฏในแผ่นดินเหนียวในรัชสมัย Shar-Kali-Sharri (2217–2193 ปีก่อน ค.ศ.) แห่งจักรวรรดิแอกแคด [2] บาบิโลนเป็นศูนย์กลางทั้งทางวัฒนธรรมและศาสนา และไม่ได้เป็นทั้งรัฐอิสระหรือนครใหญ่ โดยอยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิแอกแคดที่รวมดินแดนที่พูดภาษาแอกแคดและซูเมอร์ภายใต้การปกครองเดียวกัน เหมือนกับส่วนที่เหลือของเมโสโปเตเมีย หลังจักรวรรดิล่มสลาย ภูมิภาคเมโสโปเตเมียตอนล่างปกครองโดยชาวกูเทียมาหลายทศวรรษก่อนจุดรุ่งเรืองของราชวงศ์อูร์ที่สาม ซึ่งครอบคลุมทั้งเมโสโปเตเมีย (รวมเมืองบาบิโลน)
เมืองนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของนครรัฐ อิสระขนาดเล็กที่ภายหลังกลายเป็นจักรวรรดิบาบิโลนที่หนึ่ง (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ จักรวรรดิบาบิโลนเก่า) เมื่อศตวรรษที่ 19 ก่อนคริสต์ศักราช กษัตริย์ฮัมมูราบีแห่งอามูร์ ก่อตั้งจักรวรรดิบาบิโลนเก่าที่มีอายุสั้นในศตวรรษที่ 18 ก่อนคริสต์ศักราช พระองค์ทำให้บาบิโลนเป็นเมืองใหญ่และประกาศตนเองเป็นกษัตริย์ เมโสโปเตเมียตอนใต้มีชื่อใหม่้ป็นบาบิโลเนีย และเมืองบาบิโลนทำหน้าที่เป็นนครศักดิ์สิทธิ์ประจำภูมิภาคแทนนิปปูร์ จักรวรรดิเริ่มเสื่อมสลายในรัชสมัยซัมซู-อิลูนา พระราชโอรสในฮัมมูราบี และบาบิโลนก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอัสซีเรีย , แคสไซต์ และเอลาม เป็นเวลายาวนาน หลังฝ่ายอัสซีเรียทำลายและสร้างเมืองใหม่ บาบิโลนจึงกลายเป็นเมืองหลวงระยะสั้นของจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ใน 609 ถึง 539 ปีก่อน ค.ศ. สวนลอยบาบิโลน จัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก หลังจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ล่มสลาย ตัวเมืองจึงอยู่ภานใต้การปกครองของจักรวรรดิอะคีเมนิด , ซิลูซิด , พาร์เธีย , โรมัน , ซาเซเนียน และมุสลิม ข้อมูลบันทึกที่อยู่อาศัยในเมืองครั้งสุดท้ายปรากฏในคริสต์ศตรรษที่ 10 โดยมีชื่อเรียกว่า "หมู่บ้านขนาดเล็กแห่งบาเบล"
คาดกันว่าบาบิโลนเคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อ ป. 1770 – 1670 ปีก่อน ค.ศ. และอีกครั้งเมื่อประมาณ 612 – 320 ปีก่อน ค.ศ. โดยอาจเป็นเมืองแรกที่มีประชากรมากกว่า 200,000 คน[3] ส่วนจำนวนพื้นที่ในช่วงสูงสุดมีขนาด 890[4] ถึง 900 เฮกตาร์ (2,200 เอเคอร์)[5]
ส่วนหลงเหลือของนครปัจจุบันอยู่ในอัลฮิลละฮ์ เขตผู้ว่าการบาบิล ประเทศอิรัก ทางใต้ของแบกแดด ประมาณ 85 กิโลเมตร (53 ไมล์) และมีขอบเขตตามเส้นรอบรูปของกำแพงส่วนนอกโบราณ ซึ่งมีขนาดประมาณ 1,054.3 เฮกตาร์ (2,605 เอเคอร์)[6] ประกอบด้วย tell ของอาคารและซากที่ทำมาจากอิฐโคลนที่พังทลายขนาดใหญ่ แหล่งข้อมูลหลักเกี่ยวกับบาบิโลน (ในบริเวณที่มีการขุดค้น) มาจากช้อความอักษรรูปลิ่ม ที่พบในเมโสโปเตเมีย อ้างอิงในคัมภีร์ไบเบิล รายละเอียดในงานเขียนยุคคลาสสิก (โดยเฉพาะของเฮอรอโดทัส ) และงานเขียนทุติยภูมิ (อ้างอิงในผลงานของ Ctesias และ Berossus) นำเสนอภาพเมืองโบราณที่ไม่สมบูรณ์ และบางครั้งก็ขัดแย้งกันเอง แม้แต่ข้อมูลช่วงสูงสุดในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ยูเนสโก จัดให้บาบิโลนเป็นแหล่งมรดกโลก ใน ค.ศ. 2019 แหล่งโบราณสถานนี้รองรับผู้เข้าชมพันกว่าคนทุกปี ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นชาวอิรัก[8] [9] การก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เกิดการรุกล้ำซากปรักหักพัง[10] [11] [12]
ชื่อ รูปสะกด Babylon เป็นรูปอักษรละตินของภาษากรีก ว่า Babylṓn (Βαβυλών ) ซึ่งมาจากภาษาแม่ (บาบิโลน ) ว่า Bābilim หมายถึง "ประตูแห่งเทพเจ้า"โดยมีรูปสะกดตามอักษรรูปลิ่ม คือ 𒆍𒀭𒊏𒆠 (KA₂.DIG̃IR.RAKI ).[ไม่อยู่ในแหล่งอ้างอิง ] ซึ่งตรงกับวลีภาษาซูเมอร์ว่า kan dig̃irak .[14]
ในคัมภีร์ฮีบรู ชื่อนี้ปรากฏเป็น Babel (ฮีบรู : בָּבֶל Bavel , Tib. בָּבֶל Bāḇel ; ซีรีแอกคลาสสิก: ܒܒܠ Bāwēl , แอราเมอิก : בבל Bāḇel; อาหรับ : بَابِل Bābil ) ในหนังสือปฐมกาล ตีความว่าหมายถึง "ความสับสน"[15] โดยมาจากรูปกริยา bilbél (בלבל , "สับสน")[16]
ในวรรณกรรมภาษาบาลี และสันสกฤต ปรากฏชื่อเมืองเป็น Bāveru [17]
ในบางสถานการณ์ มีการบันทึกเมืองอื่นเป็น "บาบิโลน" ในบันทึกสมัยโบราณ เช่น บอร์ซิปปาที่อยู่ในเขตอิทธิพลของบาบิโลน และนิเนเวห์ ใช้ชื่อนี้เป็นระยะสั้นหลังฝ่ายอัสซีเรียปล้นสะดมบาบิโลน[18] [19]
ความสำคัญทางวัฒนธรรม ภาพพิมพ์แกะไม้ในพงศาวดารนูเร็มเบิร์ก เมื่อ ค.ศ. 1493 แสดงการล่มสลายของบาบิโลน "กำแพงบาบิโลนและวิหารแห่งเบล (หรือบาเบล)" ภาพวาดในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดย วิลเลียม ซิมป์สัน – ได้รับอิทธิพจากการสำรวจทางโบราณคดีในช่วงแรก ก่อนการขุดค้นทางโบราณคดีสมัยใหม่ในเมโสโปเตเมีย รูปลักษณ์ของบาบิโลนยังคงเป็นเรื่องลึกลับ และศิลปินชาวตะวันตกมักจินตนาการเมืองนี้ว่ามีส่วนผสมระหว่างวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ กรีกยุคคลาสสิค และออสโตมันร่วมสมัย[20]
พระคัมภีร์ ในหนังสือปฐมกาล [21] บาเบล (บาบิโลน) ได้รับการจัดตั้งโดยนิมโรด โดยก่อตั้งร่วมกับเอเรก, อัคคัด และอาจรวมคาลเนห์—ทั้งหมดอยู่ในชินาร์ (บางครั้งคำว่า "คาลเนห์" อทาจไม่แปลเป็นชื่อเฉพาะ แต่แปลเป็นวลี "ทั้งหมด") ส่วนอีกเรื่องราวหนึ่งปรากฏในปฐมกาล 11 ซึ่งกล่าวถึงประชาชาติมนุษย์ที่รวมเป็นหนึ่ง พูดภาษาเดียว อพบพไปที่ชินาร์เพื่อจัดตั้งเมืองและหอ (หอคอยบาเบล ) พระเจ้าหยุดการก่อสร้างหอด้วยการทำให้มนุษยชาติกระจายไปทั่วทุกทิศ และทำให้การสื่อสารระหว่างพวกเขาสับสนเพื่อให้พวกเขาไม่เข้าใจกัน
หลังจากเฮเซคียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ ทรงพระประชวร บาลาดัน กษัตริย์แห่งบาบิโลน ส่งจดหมายและทรัพย์สมบัติมาให้พระองค์ เฮเซคียาห์จึงอวดสมบัติทั้งหมดให้แก่คณะทูต ภายหลังผู้เผยพระวจนะอิสยาห์จึงกล่าวแก่พระองค์ว่า: "จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า เวลานั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน เมื่อทุกอย่างในวังของเจ้าและทุกสิ่งที่บรรพบุรุษของเจ้าได้สะสมไว้จวบจนบัดนี้จะถูกกวาดไปยังบาบิโลน จะไม่มีอะไรเหลือเลย"[22] ประมาณ 200 ต่อมา เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน ได้รุกรานยูดาห์ ล้อมเมืองเยรูซาเลม และกวาดล้างชาวยิวไปที่บาบิโลน[23]
ดาเนียลใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในบาบิโลน เนบูคัดเนสซาร์แต่งตั้งให้ดาเนียลปกครองทั้งแคว้นบาบิโลนหลังตีความความฝันของพะรองค์ได้ ปีต่อมา เบลชัสซาร์จัดงานเลี้ยงใหญ่ จากนั้นมีนิ้วมือหนึ่งปรากฏขึ้นและเขียนลงบนกำแพง จากนั้นจึงมีการเรียกตัวดาเนียวให้มาตีความข้อความนี้ โดยเขาอธิบายว่าพระเจ้าจะทำให้อาณาจักรของเบลชัสซาร์สิ้นสุดลง พระองค์ถูกปลงพระชนม์ในคืนนั้นและดาริอัสแห่งมีเดียจึงขึ้นครองอาณาจักรต่อ[24]
หนังสืออิสยาห์กล่าวถึงบาบิโลนไว้ว่า: "...จะถูกพระเจ้าล้มล้าง เหมือนเมืองโสโดมและโกโมราห์ ตลอดทุกชั่วอายุจะไม่มีใครมาตั้งรกรากอีกต่อไป ไม่มีใครมาอาศัยตลอดทุกชั่วอายุ ไม่มีชาวอาหรับมาตั้งเต็นท์ ไม่มีคนเลี้ยงแกะพาฝูงแกะมาพักอีก"[25] คันภีร์ไบเบิลได้ทำนายว่าดินแดนบาบิโลน, เอโดม, โบสราห์, โมอับ, ไทร์ , ฮาโซร์ และบรรดาบุตรแห่งอัมโมนจะกลายเป็นเมืองโสโดมและโกโมราห์หรือไม่มีผู้อยู่อาศัยตลอดกาล[26]
ในศาสนาคริสต์ บาบิโลนเป็นสัญลักษณ์ของทางโลกและความชั่วร้าย บางครั้งคำทำนายเชื่อมกษัตริย์บาบิโลนเข้ากับลูซิเฟอร์ พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 ปรากฏเป็นผู้ปกครองที่สำคัญที่สุดในเรื่องเล่านี้
หนังสือวิวรณ์ ในคัมภีร์ไบเบิล กล่าวถึงบาบิดลนหลังสูญเสียสถานะศูนย์กลางทางการเมืองมาหลายศตวรรษ เมืองนี้ถูกเรียกเป็น "โสเภณีแห่งบาบิโลน" ขี่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้มที่มีเจ็ดหัวและสิบเขา และเมาเหล้าด้วยเลือดของผู้ศรัทธา นักวิชาการวรรณกรรมพยากรณ์บางส่วนเชื่อว่า "บาบิโลน" ในพันธะสัญญาใหม่เป็นคำไม่สุภาพที่ใช้เรียกจักรวรรดิโรมัน [28] ส่วนนักวิชาการอีกกลุ่มกล่าวแนะว่าบาบิโลนในพันธะสัญญาใหม่มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ที่ขยายขอบเขตไปไกลกว่าจักรวรรดิโรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 1[29]
บาบิโลนในศิลปะ พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 มีพระราชดำรัสสั่งให้สร้างสวนลอยบาบิโลน แก่ Amytis มเหสีของพระองค์, R
ené-Antoine Houasse , 1676
งานศิลปะร่วมสมัยที่แสดงภาพบาบิโลนในช่วงสูงสุด
การล่มสลายของบาบิโลน , mezzotint โดย จอห์น มาร์ติน, 1831
บุตรีแห่งเยรูซาเล็มร่ำไห้ที่ริมน่านน้ำในบาบิโลน , โดย จอห์น มาร์ติน, 1834
อเล็กซานเดอร์มหาราช ได้รับกุญแจเมืองบาบิโลน, โดย Johann Georg Platzer, c. 1740
Figured Apocalypse of the Dukes of Savoy – Escorial E Vit.5 – การล่มสลายของบาบิโลน, คริสต์ศตวรรษที่ 15
กำแพงบาบิโลน โดย Antonio Tempesta, 1610
อ้างอิง ข้อมูล แหล่งข้อมูลอื่น วิกิพจนานุกรม มีความหมายของคำว่า
𒆍𒀭𒊏𒆠 วิกิท่องเที่ยว มีคำแนะนำการท่องเที่ยวสำหรับ
Babylon Iranian archaeologists to perform survey in Babylon - Tehran Times - January 29, 2023 Modern Wars and Ancient Governance: Archaeology and Textual Finds from First Millennium BCE Babylon – Odette Boivin – ANE Today – Nov 2022 เก็บถาวร 2023-03-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน – The Babylonian Akītu Festival and the Ritual Humiliation of the King – Sam Mirelman – ANE Today – Sep 2022 เก็บถาวร 2023-06-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน The Babylon Project – Freie Universität Berlin Babylon on In Our Time at the BBC . (listen now )Iraq Image – Babylon Satellite Observation Site Photographs of Babylon – Oriental Institute เก็บถาวร 2009-04-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 1901–1906 Jewish Encyclopedia, Babylon Beyond Babylon: art, trade, and diplomacy in the second millennium B.C. , Issued in connection with an exhibition held Nov. 18, 2008-Mar. 15, 2009, Metropolitan Museum of Art, New YorkOsama S. M. Amin, "Visiting the ancient city of Babylon ", Ancient History Et Cetera , 17 November 2014. Video of reconstructed palace: Iraq elections: The palace that Nebuchadnezzar built ที่ยูทูบ Babylon wrecked by war, The Guardian, January 15, 2005 "Experts: Iraq invasion harmed historic Babylon" . Associated Press. July 10, 2009.UNESCO Final Report on Damage Assessment in Babylon
นานาชาติ ประจำชาติ ภูมิศาสตร์ อื่น ๆ