กบฏโพกผ้าเหลือง

กบฏโพกผ้าเหลือง (จีนตัวย่อ: 黄巾之乱; จีนตัวเต็ม: 黃巾之亂; พินอิน: Huáng Jīn Zhī Luàn) เป็นการก่อการกำเริบของเหล่าชาวนาในช่วงปลายยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออกของจีน การก่อการกำเริบเกิดขึ้นในราวเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 184 ในรัชสมัยพระเจ้าเลนเต้ แม้ว่ากลุ่มกบฏหลักจะถูกปราบปรามในปี ค.ศ. 185 แต่ต้องใช้เวลาถึง 21 ปีในการปราบปรามพื้นที่ที่ยังต่อต้านและกลุ่มกบฏที่เกิดขึ้นใไม่ได้อย่างราบคาบในปี ค.ศ. 205[1]

กบฏโพกผ้าเหลือง
ส่วนหนึ่งของ สงครามช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น

แผนที่แสดงเขตกบฏโพกผ้าเหลืองในประเทศจีนใน ค.ศ. 184
วันที่ป. มีนาคม ค.ศ. 184 - 205[1]
สถานที่
หลายสถานที่ในประเทศจีน
ผล

ราชวงศ์ฮั่นชนะ กบฏถูกปราบปราม

  • ราชวงศ์ฮั่นเริ่มเสื่อมถอยอย่างหนัก
  • จุดเริ่มต้นสถานการณ์ความโกลาหลในจีน
คู่สงคราม
ราชวงศ์ฮั่น กบฏโพกผ้าเหลือง
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
พระเจ้าเลนเต้
โฮจิ๋น
ฮองฮูสง
โลติด
จูฮี
เตียวก๊ก
เตียวโป้  
เตียวเหลียง  
กำลัง
350,0002,000,000 (เป็นผู้ติดตามดั้งเดิมของเตียวก๊กจำนวน 360,000 คน)[2]
ความสูญเสีย
ไม่ทราบ
กบฏโพกผ้าเหลือง
อักษรจีนตัวเต็ม黃巾之亂
อักษรจีนตัวย่อ黄巾之乱
ความหมายตามตัวอักษร"กบฏโพกผ้าเหลือง"

กบฏโพกผ้าเหลืองซึ่งได้ชื่อมาจากสีของผ้าโพกศีรษะของกลุ่มกบฏ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ของลัทธิเต๋า อันเนื่องมาจากความเกี่ยวพันระหว่างผู้นำกลุ่มกบฏกับสมาคมลับของลัทธิเต๋าในเวลานั้น[3] การก่อการกำเริบครั้งนี้ยังถูกใช้เป็นเหตุการณ์เปิดเรื่องในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กในศตวรรษที่ 14

สาเหตุ

เมื่อถึงปี ค.ศ. 184 ราชสำนักของราชวงศ์ฮั่นอ่อนแอลงเนื่องจากขันทีในราชสำนักใช้อำนาจเหนือจักรพรรดิในทางที่ผิดเพื่อแสวงประโยชน์ให้ตนเอง ขันทีที่มีอำนาจมากที่สุด 12 คนถูกเรียกว่าสิบเสียงสี โดยที่ครั้งหนึ่งพระเจ้าเลนเต้เคยตรัสว่า "ขันทีเตียวเหยียงเป็นบิดาของข้า และขันทีเตียวต๋งเป็นมารดาของข้า"[4] การฉ้อราษฎร์บังหลวงของราชสำนักถูกมองว่าเป็นสาเหตุของโรคระบาด ภัยธรรมชาติ และผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ สะท้อนให้เห็นว่าจักรพรรดิสูญเสียอาณัติแห่งสวรรค์

เมื่อแม่น้ำฮวงโหท่วมท้นทำให้ชาวนาและทหารต้องย้ายถิ่นฐานลงใต้ แรงงานส่วนเกินกระตุ้นให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์ มีรายงานการระบาดของโรคในปี ค.ศ. 171, 173, 179, 182 และ 185 โดยสาเหตุอาจมาจากโรคระบาดแอนโทนิน ซึ่งแพร่ระบาดตั้งแต่ปี ค.ศ. 165 ถึง ค.ศ. 180 ฝีดาษและโรคหัดระบาดไปตามเส้นทางสายไหม[4]

ผู้นำลัทธิเต๋าเตียวก๊กจึงส่งสาวกของเขาไปทางตอนเหนือของจีนเพื่อเตรียมการก่อจลาจลโดยอ้างว่าจัดหาน้ำบำบัดรักษาผู้คน[4] การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของพวกเขานั้นไม่มีใครสังเกตเห็นจนกระทั่งพวกเขามีพลังอำนาจและกำลังคนเกินกว่าจะท้าทายได้ เตียวก๊กตั้งใจจะก่อการจลาจลทั่วจักรวรรดิ แต่แผนถูกเปิดโปงจากการทรยศก่อนที่เขาจะเริ่มต้น ผู้สมรู้ร่วมคิดในลั่วหยางซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ถูกจับและประหารชีวิต ทำให้ต้องเริ่มต้นก่อนกำหนดในเดือนมีนาคม ค.ศ. 184 แม้จะขาดการประสานงานและการเตรียมการทั้งหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ชายฉกรรจ์นับหมื่นคนก็ลุกฮือทำการก่อการกำเริบ สถานที่ราชการถูกปล้นและทำลาย กองทัพจักรวรรดิต้องเร่งรีบป้องกันโดยด่วน[5]

กลุ่มกบฏ

ผู้ก่อตั้ง

การก่อกบฏภายใต้การนำโดยเตียวก๊ก (ซึ่งเป็นรู้จักกันในเหล่าหมู่สาวกว่า "แม่ทัพแห่งสวรรค์") และน้องชายสองคนอย่างเตียวโป้ (張寶 จาง เป่า) และเตียวเหลียง (張梁 จาง เหลียง) ซึ่งเกิดในเมืองกิลกกุ๋น (巨鹿郡 จฺวี้ลู่จฺวิ้น) ทั้งสามพี่น้องได้ก่อตั้งลัทธิเต๋าในมณฑลซานตงปัจจุบัน พวกเขาได้ทำหน้าที่เป็นหมอรักษาโรค ซึ่งมักจะรับแต่ผู้ป่วยที่แทบจะไม่มีเงินจ่าย เมื่อเห็นว่าทางการในท้องถิ่นได้ทำร้ายชาวบ้านด้วยการใช้แรงงานที่โหดร้ายและภาษีที่หนักอึ้ง ทำให้พวกต้องแบกภาระหนักและหิวโหย

ลัทธิเต๋า

พวกกบฏเป็นสาวกกลุ่มแรกของวิถีแห่งสันติสุขอันสูงสุด (太平道; Tàipíng Dào) และกราบไหว้ต่อเทพเซียนนามว่า หวงเหลา ซึ่งเป็นคนที่เตียวก๊กได้กล่าวอ้างว่าได้มอบตำราอันศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขาที่ถูกเรียกว่า กุญแจสำคัญสู่วิถีแห่งสันติสุข (太平要術; Tàipíng Yàoshù) ซึ่งอิงมาจากลัทธิไทผิงจิ่ง เตียวก๊กได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้วิเศษ ได้เรียกตัวเองว่า "ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่"(大賢良師) เมื่อการก่อกบฏได้เป็นที่เปิดเผย เตียวก๊กได้สร้างคำขวัญ 16 คำ:

ฟ้าครามสิ้นแล้ว ฟ้าเหลืองขึ้นแทน

ปีชวดนี้แล ใต้ฟ้ารุ่งเรือง

(蒼天已死,黃天當立。歲在甲子,天下大吉。)

เนื่องจากทั้งสามพี่น้องเป็นหมอรักษาโรค เขาจึงเผยแพร่คำขวัญในท่ามกลางชาวนาที่กำลังเจ็บป่วยให้รับรู้อย่างง่ายดาย

การปฏิบัติศาสนกิจ

เตียวก๊กได้ใช้รูปแบบของลัทธิเต๋าเพื่อรักษาคนป่วยด้วยการสารภาพบาปและการรักษาโรคด้วยศรัทธา ศาสนาและการเมืองของพี่น้องสกุลจางนั้นมีพื้นฐานมาจากความเชื่อในการเปลี่ยนแปลงของโลกตามคติ พวกเขาได้บอกแก่เหล่าสาวกว่าในปีเจียจื่อ(ปีชวด) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแผนภูมิสวรรค์ใหม่ เมื่อยามท้องฟ้าสีครามจะกลายเป็นสีเหลืองและภายใต้สวรรค์ใหม่นี้ การปกครองของราชวงศ์ฮั่นจะสิ้นสุดลงและยุคของการปกครองใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น ลักษณะของปีเจี่ยจื่อกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และต่อมาเมื่อเหล่าสาวกของเตียวก๊กที่ต้องออกไปสู้รบ พวกเขาต่างนำผ้าสีเหลืองมาพันรอบศีรษะเป็นสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า โพกผ้าเหลือง

การปฏิบัติศาสนกิจเกือบทั้งหมดเป็นกิจกรรมของชุมชน (เช่น เข้าร่างทรง ถือศีลอด) พิธีบูชาโดยทั่วไปจะประกอบไปด้วยเสียงดนตรีและการสวดมนต์เป็นส่วนใหญ่ การเผาไหม้ของธูปหอมและกล่าวเทศนา หรือเกร็ดเล็กน้อยที่สมาชิกคนใดในชุมชมสามารถให้ได้ รวมทั้งสตรีและผู้ที่ถูกมองว่าป่าเถื่อน ผู้นำซฺยงหนูหลายคน เช่น อวี๋ฟู่หลัว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างน้อยที่ได้ให้การสนับสนุนนิกายและนักวิชาการจำนวนหนึ่งได้ตั้งทฤษฎีว่า เตียวก๊กอาจได้รับคำสอนบางอย่างจากผู้วิเศษ ในขณะที่เขาได้ปรากฏตัวเป็นหมอรักษาโรคที่ลึกลับที่เชื่อมโยงโดยตรงกับสวรรค์

แม้ว่าความเชื่อมากมายเกี่ยวกับวิถีแห่งสันติสุขอันสูงสุดในยุคแรกจะสาบสูญไป แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับวิถีของปรมาจาร์ย์แห่งสวรรค์ ซึ่งถือว่า เตียวก๊กได้อ้างว่าเป็นลูกหลานของจาง เต้าหลิง งานเขียนตำราจำนวนมากที่ถูกค้นพบในบทที่ 52 ของไทผิงจิงที่รอดมาได้ ซึ่งถูกพบใน Daozang ที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับวิถีของปรมาจาร์ย์แห่งสวรรค์ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงมากที่ความคลาดเคลื่อนใด ๆ ที่ถูกพบในวิถีนั้นได้ถูกระงับโดยลัทธิเต๋ายุคหลัง

แผนการของเตียวก๊กสำหรับก่อกบฎ

ก่อนที่การก่อกบฏจะเริ่มต้นขึ้น เตียวก๊กได้ส่งม้าอ้วนยี่ (馬元義) เพื่อรับสมัครเหล่าสาวกจากมณฑลเกงจิ๋ว และยังจิ๋ว และรวบรวมพวกเขาไว้ที่เย่ ในขณะที่ม้าอ้วนยี่ได้เดินทางไปลั่วหยาง ราชธานีของฮั่นบ่อยครั้ง เขาสามารถสร้างความสัมพันธ์กับฮองสี (封諝) และสฺวีเฟิ่ง (徐奉), สมาชิกสองคนของเหล่าขันทีผู้มีอิทธิพลในพระราชวัง และโน้มน้าวให้พวกเขาร่วมมือกับเตียวก๊กอย่างลับ ๆ พวกเขาได้กำหนดวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 184 เป็นวันก่อการกบฏ แต่ก่อนที่แผนการจะเริ่มต้น กลุ่มโพกผ้าเหลืองก็ถูกหักหลัง ตองจิ๋ว (唐周) หนึ่งในผู้ก่อตั้ง"วิถีแห่งสันติสุข" ถูกปลดจากแผนการเพิ่มเติมของพี่น้องสกุลจาง ดังนั้นเขาจึงไปแจ้งแก่ทางการว่า ม้าอ้วนยี่เป็นคนของกบฏโพกผ้าเหลือง ทำให้ม้าอ้วนยี่ถูกจับกุมและประหารชีวิตโดยการตัดแขนตัดขาในลั่วหยาง

หลังจากที่จักรพรรดิฮั่นหลิงทรงรับทราบว่า เตียวก๊กกำลังวางแผนก่อการกบฎ พระองค์ทรงมีพระบัญชาให้โจวบิน (周斌) เจ้าหน้าที่อุทยานพระราชวัง (鉤盾令) ทำการสืบสวนไปยังผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมด ผู้คนหลายร้อยคนจึงถูกจับกุมและถูกประหารชีวิตในเวลานั้น

การก่อกบฏ

เมื่อเตียวก๊กได้ทราบข่าวแล้วว่าราชสำนักรับรู้ถึงแผนการก่อกบฏของเขาได้ เขาจึงรีบส่งคนส่งสารไปติดต่อหาพันธมิตรของเขาทั่วแผ่นดินจีนและให้ดำเนินการทันที ในช่วงระหว่างวันที่ 29 กุมภาพันธ์ และ 29 มีนาคม ค.ศ. 184 เตียวก๊กได้เริ่มก่อกบฏโพกผ้าเหลืองโดยมีเหล่าสาวกจำนวน 360,000 คนภายใต้บัญชาของเขา ทุกคนล้วนสวมผ้าโพกคลุมศีรษะสีเหลืองกันหมด เขาได้เรียกตัวเองว่า "แม่ทัพแห่งสวรรค์" (天公將軍) ในขณะที่น้องชายคนกลาง เตียวโป้ จะถูกเรียกว่า "แม่ทัพแห่งพิภพ" (地公將軍) และน้องชายคนสุดท้าย จางเหลียง จะถูกเรียกว่า "แม่ทัพแห่งปวงประชา" (人公將軍) ตามลำดับ กลุ่มกบฏได้เข้าโจมตีหน่วยงานของรัฐ ทำการปล้นสะดมทั่วทั้งมณฑลและหมู่บ้าน และเข้ายึดครองเมือง เพียง 10 วัน การก่อกบฏได้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินจีน และทำให้ราชสำนักฮั่นในลั่วหยางต้องตื่นตระหนกอย่างมาก

กลุ่มกบฏส่วนใหญ่ต่างกระจุดรวมตัวกันอยู่ในมณฑลกิจิ๋ว, เกงจิ๋ว, อิ๋วจิ๋ว และอิจิ๋ว กลุ่มที่นำโดยเตียวก๊กและสองน้องชายได้ให้การสนับสนุนแก่พวกเขาในมณฑลกิจิ๋ว ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำฮวงโห ใกล้กับจังหวัดจูลู่ ดินแดนบ้านเกิดของเตียวก๊ก(บริเวณรอบอำเภอผิงเซียง มณฑลเหอเป่ย์ในปัจจุบัน) และจังหวัดเว่ย (บริเวณรอบหานตาน มณฑลเหอเป่ย์ในปัจจุบัน) การก่อการกำเริบครั้งใหญ่ครั้งที่สองซึ่งเกิดขึ้นในจังหวัดกวนหยาง(บริเวณรอบกรุงปักกิ่งในปัจจุบัน) และจังหวัดโจว (บริเวณรอบจูโจว มณฑลเหอเป่ย์ในปัจจุบัน) ในมณฑลอิ๋วจิ๋ว และศูนย์กลางที่สามของการก่อกบฎอยู่ในจังหวัดอิ่งชวน (บริเวณรอบสฺวี่ชาง มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) และจังหวัดลู่หนาน(บริเวณรอบซินหยาง มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) ในมณฑลอิจิ๋ว และจังหวัดหนานยาง (บริเวณรอบหนานยาง มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) ในทางตอนเหนือของมณฑลเกงจิ๋ว

เมื่อวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 184 พระเจ้าเลนเต้ทรงแต่งตั้งให้โฮจิ๋น ผู้เป็นพระเทวันของพระองค์ ข้าหลวงเมืองเหอหนาน (河南尹) เป็นแม่ทัพใหญ่(大將軍) และมีพระบัญชาให้คุมกองทัพจักรวรรดิเข้าปราบปรามกลุ่มกบฏ ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าเลนเต้ยังทรงแต่งตั้งแม่ทัพสามคน ได้แก่ โลติด ฮองฮูสง และจูฮี นำทั้งสามกองทัพแยกกันไปจัดการกับพวกกบฏ โลติดมุ่งหน้าไปยังค่ายของเตียวก๊กในกิจิ๋ว ในขณะที่ฮองฮูสงและจูฮี มุ่งหน้าไปยังจังหวัดอิ่งชวน พวกเขามีกองกำลังทหารทั้งหมด 40,000 นาย

มณฑลอิวจิ๋ว: เมืองกว่างหยางและตุ้นก้วน

ในมณฑลอิวจิ๋ว พวกกบฏได้สังหารกวนซุน(郭勳) ผู้ตรวจราชการมณฑล และเล่าอุน (劉衛) ผู้ว่าราชการเมืองกว่างหยาง

เจาเจ้ง ขุนพลนำกองทัพจักรวรรดิเข้าปราบปรามกบฏในมณฑลอิวจิ๋ว เล่าปี่ได้นำกองกำลังทหารอาสาสมัครเข้าช่วยเหลือแก่เขา

มณฑลอิจิ๋ว: เมืองยีหลำและเองฉวน

เมื่อพวกกบฏได้เข้าปะทะครั้งแรกในมณฑลอิจิ๋ว ราชสำนักฮั่นได้เลือกอองของเป็นพิเศษเพื่อแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจการมณฑลคอยดูแลกองทัพ

เตียวเขียน (趙謙) เจ้าเมืองยีหลำได้นำกองกำลังทหารเข้าโจมตีฝ่ายกบฏก่อนที่จูฮีจะมาถึง แต่ก็ต้องพบความปราชัยที่เส้าหลิง(邵陵; ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) เมืออำเภอเฉิน(陳縣; อำเภอหวยหยาง มณฑลเหอหนาน) ถูกพวกกบฏเข้าโจมตี ลูกน้องของเตียวเขียนทั้งเจ็ดคนซึ่งไม่ใช่ทหาร ต่างพากันจับดาบ และเข้าฟาดฟันพวกกบฏจนถูกรุมสังหารตายทั้งหมด ต่อมาภายหลังกบฏถูกปราบปราม พระเจ้าเลนเต้ทรงประกาศยกย่องทั้งเจ็ดคนว่า "ผู้ทรงธรรมทั้งเจ็ด"

รัฐเฉิน(陳國; บริเวณโจวโข่ว, มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) หนึ่งในจังหวัดของมณฑลอิจิ๋ว สามารถหลีกเลียงการนองเลือดของกบฎโพกผ้าเหลืองเพราะพวกกบฏต่างหวาดกลัวต่ออ๋องเล่าฉง ผู้มีชื่อเสียงในด้านความสามารถในการยิงธนู และเหล่าพลธนูชั้นยอดภายใต้บัญชาการของเขา

พวกกบฏในจังหวัดลู่หนานที่นำโดยโป ไฉ (波才), ได้เอาชนะจูฮีในการรบในช่วงแรก และขับไล่เขาไปได้ ราชสำนักจึงส่งเฉาเชา(โจโฉ) ผู้บัญชาการทหารม้าไปเสริมกำลังเพื่อช่วยเหลือแก่จูฮี ในช่วงระหว่างวันที่ 28 พฤษภาคม ถึง 25 มิถุนายน จูฮี ฮองจูสง และเฉาเชาได้รวมกองกำลังและเอาชนะโปไฉที่ฉางชี (長社; ทางด้านตะวันออกของฉางเก่อ, มณฑลเหอหนานในยุคปัจจุบัน) ในขณะที่โปไฉได้พยายามหลบหนี ฮองจูสงและจูฮีได้ไล่ล่าตามเขาไปที่อำเภอหยางเซี่ย(陽翟縣; ยูโจว, มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) และเอาชนะเขาได้อีกครั้งที่นั่น ทำให้พวกกบฏต่างพากระจัดกระจาย

ฮองจูสงและจูฮีได้เอาชนะพวกกบฏในจังหวัดลู่หนานที่นำโดยเผิง โต้ว (彭脫) ที่อำเภอซีหัว(西華縣; ทางตอนใต้ของเทศมณฑลซีหัว, มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) ราชสำนักจึงสั่งให้พวกเขาแยกย้ายกัน: ฮองจูสงจะเข้าโจมตีพวกกบฏที่จังหวัดต่ง (東郡;บริเวณรอบของเทศมณฑลผู่หยาง, มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) ในขณะที่จูฮีจะเข้าโจมตีพวกกบฏที่จังหวัดหนานยาง ในช่วงเวลานี้ อองของ ผู้ตรวจการมณฑลอิจิ๋วได้พบหลักฐานว่า พวกกบฏได้ติดต่ออย่างลับ ๆ กับเตียวเหยียง(張讓) หัวหน้ากลุ่มสิบขันทีผู้มีอิทธิพลในลั่วหยาง จึงกราบทูลแก่พระเจ้าเลนเต้ให้ทรงทราบ พระองค์ทรงกล่าวตำหนิเตียวหยียง แต่ไม่ได้รับสั่งให้ลงโทษเขาแต่อย่างใด

ในช่วงระหว่างวันที่ 7 พฤศจิกายน ถึง 6 ธันวาคม Bao Hong (鮑鴻) ขุนพลได้นำกองทัพจักรวรรดิเข้าโจมตีกลุ่มกบฏในจีเป่ย์ (葛陂; ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเทศมณฑลซินเซีย, มณฑลเหอหนาน) และเอาชนะพวกเขาได้

มณฑลกิจิ๋ว: เมืองเว่ย์และกิลกกุ๋น

ในเวลาเดียวกัน โลติดได้เอาชนะกองทัพกบฏของเตียวก๊กในเขตบัญชาการจูลู่ และปิดล้อมผู้นำกบฏในอำเภอกวนจง (廣宗縣; ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเทศมณฑลกวนจง , มณฑลเหอเป่ยในยุคปัจจุบัน) อย่างไรก็ตาม ภายหลังพวกขันทีได้กราบเพ็ดทูลด้วยความเท็จว่า โลติดคิดคดทรยศ พระเจ้าเลนเต้ทรงรับสั่งให้โลติดออกจากการบังคับบัญชากองทัพของเขาและพากลับไปที่ลั่วหยางในฐานะนักโทษ ทางราชสำนักจึงส่งแม่ทัพต่งจั่วเข้ามาบัญชากองทัพแทนที่โลติดและเข้าโจมตีเตียวก๊ก อย่างไรก็ตาม ต่งจั่วกลับล้มเหลวและล่าถอย

วันที่ 23 หรือ 24 กันยายน ฮองฮูสงและ Fu Xie (傅燮), แม่ทัพนายกองลูกน้องของเขา ได้เข้าปราบปรามกบฏที่ชางติ่ง (倉亭; ทางตอนเหนือของเทศมณฑลยางกู่, มณฑลซานตงในปัจจุบัน), ได้เข้าจับกุมผู้นำที่มีนามว่า Bu Ji (卜己) และสังหารพวกกบฏกว่า 7,000 คน รวมทั้งผู้นำรองคนอื่น ๆ อย่าง Zhang Bo (張伯) และ Liang Zhongning (梁仲寧) เมื่อวันที่ 25 กันยายน ทางราชสำนักได้ออกคำสั่งให้เขาเข้ามาแทนที่ต่งจั่วและนำกองทัพของเขาไปทางเหนือสู่อำเภอกวนจง และโจมตีเตียวก๊ก

เตียวก๊กได้ล้มป่วยตาย ในขณะที่ถูกฮองฮูสงเข้าโจมตีในอำเภอกวนจง ในระหว่างวันที่ 21 พฤศจิกายน ถึง 20 ธันวาคม ฮองฮูสงยังคงโจมตีจางเหลียง ซึ่งได้เข้ามาควบคุมเหล่าสาวกของพี่ชายที่อำเภอกวนจง แต่ไม่สามารถเอาชนะพวกกบฏได้ เนื่องจากจางเหลียงนั้นมีนักรบที่เก่งกาจมากในท่ามกลางกลุ่มโพกผ้าเหลืองของเขา จากนั้นฮองฮูสงก็ได้เปลี่ยนกลยุทธ์การป้องกันเพื่อหลอกล่อให้พวกกบฏลดการป้องกัน ซึ่งพวกเขาทำสำเร็จ เขาจึงฉวยโอกาสโจมตีตอบโต้กลับในเวลากลางคืนและปราบกบฏให้สิ้นซาก จางเหลียงได้ตายในสนามรบพร้อมกับกบฏ 30,000 คน ในขณะที่จำนวนกบฏอีก 50,000 คน ที่พยายามหลบหนีข้ามแม่น้ำก็ต้องจมน้ำตาย ฮองฮูสงยังเผาเกวียนจำนวนกว่า 30,000 คันที่บรรจุไปด้วยเสบียงสำหรับพวกกบฏและเข้าจับกุมสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่ของพวกเขา ฮองฮูสงได้สั่งให้ขุดหลุมศพเตียวก๊กขึ้นมา ทำการตัดและส่งศีรษะไปยังราชสำนักที่ลั่วหยาง

เมื่อทรงทราบถึงความสำเร็จของฮองฮูสง พระเจ้าเลนเต้ทรงเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นแม่ทัพฝ่ายซ้ายแห่งกองรถม้าศึกและทหารม้า(左車騎將軍) ในระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 184 ถึง 18 มกราคม ค.ศ. 185 ฮองฮูสงได้นำกองทัพเข้าร่วมกับ Guo Dian (郭典) ผู้ว่าราชการจังหวัดจูลู่ เพื่อเข้าโจมตีพวกกบฏที่หลงเหลือซึ่งนำโดยเตียวโป้ น้องชายอีกคนของเตียวก๊ก พวกเขาได้เอาชนะพวกกบฏที่อำเภอเซียคูหยาง (下曲陽縣; ทางตะวันตกของจิ่นโจว, มณฑลเหอเป่ยในยุคปัจจุบัน), สังหารเตียวโป้และพวกกบฏต่างพากันยอมจำนนจำนวนกว่า 100,000 คน

มณฑลเกงจิ๋ว: เมืองลำหยง

เมื่อวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 184 พวกกบฏที่นำโดยจาง ม่านเฉิง (張曼成) สังหาร Chu Gong (褚貢), ผู้ว่าราชการจังหวัดหนานยาง และเข้ายึดครองเมืองหลวงของจังหวัดคือ ว่านเฉิง (宛城; เขตว่านเฉิง , นครระดับจังหวัดหนานยาง, มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน). Qin Jie (秦頡) ทายาทของ Chu Gong ได้ระดมกำลังคนท้องถิ่นในหนานหยางเพื่อเข้าโจมตี จาง ม่านเฉิง จนเอาชนะและสังหารเข้าได้ในระหว่างวันที่ 26 มิถุนายน ถึง 25 กรกฎาคม ก่อนที่กองกำลังเสริมที่นำโดยจูฮีจะปรากฏตัวขึ้น

ภายหลังการเสียชีวิตของจาง ม่านเฉิง เตียวฮ่อง (趙弘) กลายเป็นผู้นำคนใหม่ในว่านเฉิง ประมาณเดือนตุลาคม ค.ศ. 184 หรือหลังจากนั้น Qin Jie และจูฮีได้เข้ารวมกองกำลังกับ Xu Qiu (徐璆), ผู้ตรวจการมณฑลเกงจิ๋วเพื่อเข้าโจมตีว่านเฉิงด้วยกองทัพจำนวนประมาณ 18,000 นาย พวกเขาสามารถเอาชนะและสังหาร เตียวฮ่อง ลงได้

หลังการเสียชีวิตของเตียวฮ่อง ฮั่นต๋ง (韓忠) และกลุ่มกบฏที่เหลือได้เข้าควบคุมว่านเฉิง และยังคงต่อต้านกองทัพจักรวรรดิต่อไป จูฮีได้ออกคำสั่งให้กองทหารของเขาให้แสร้งทำเป็นโจมตีจากทางตะวันตกเฉียงใต้ ในขณะที่เขาจะลักลอบชั้นยอดจำนวน 5,000 นายทำการแทรกซึมว่านเฉิง จากทางตะวันตกเฉียงเหนือ ฮั่นต๋ง ได้ถอยกลับเข้าไปในป้อมปราการและต้องการยอมสวามิภักดิ์แก่ Qin Jie, Xu Qiu และ Zhang Chao (張超), แม่ทัพนายกอง ภายใต้คำสั่งของจูฮีได้ยอมรับการยอมจำนนแต่กลับถูกปฏิเสธ ต่อมาจูฮีได้แสร้งทำเป็นยุติการล้อมเพื่อล่อให้ ฮั่นต๋ง ออกมาโจมตี ฮั่นต๋งหลงกลอุบาย พ่ายแพ้การต่อสู้ และพยายามหลบหนีไปทางเหนือ ในขณะที่คนของเขาจำนวน 10,000 นายล้วนถูกสังหารโดยกองทัพจักรวรรดิ ด้วยความสิ้นหวัง ฮั่นต๋ง จึงยอมสวามิภักดิ์ต่อจูฮี แต่ Qin Jie ที่รู้สึกเกลียดชังได้เข้าไปสังหารเขาเสีย

เมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 185 จูฮีได้เอาชนะกองกำลังกบฏอีกกลุ่มหนึ่งที่นำโดย Sun Xia (孫夏),ที่ได้หลบหนีไปยังอำเภอซีเอ๋ (西鄂縣; ทางตอนเหนือของนครระดับจังหวัดหนานยาง, มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) จูฮีได้ติดตามไล่ล่าเขาไปที่นั้น เอาชนะเขาได้ และทำให้กบฏที่เหลือต่างพากันหนีแตกกระเจิง

มณฑลชีจิ๋วและยังจิ๋ว

ในมณฑลชีจิ๋ว ผู้ตรวจการมณฑล โตเกี๋ยม พร้อมกับความช่วยเหลือของจงป้าและคนอื่น ๆ สามารถเอาชนะพวกกบฏและฟื้นฟูความสงบสุขในภูมิภาค[6][7]

ซุนเจียนซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยในอำเภอเซี่ยพีหรือแห้ฝือ (下邳縣; ทางตอนใต้ของปี่โจว, มณฑลเจียงซูในปัจจุบัน) ในมณฑลซีจิ๋ว เข้าร่วมกับกองทัพของจูฮีในฐานะเป็นแม่ทัพนายกอง เขาได้นำทัพที่มาพร้อมกับชายหนุ่มหลายคนจากเมืองเซี่ยปี่และทหารคนอื่น ๆ ที่เขารับสมัครมาจากภูมิภาคแม่น้ำห้วย[8]

ในมณฑลหยางจิ๋ว พวกกบฏได้เข้าโจมตีอำเภอฉู่(舒縣; ตอนกลางของมณฑลอานฮุยในปัจจุบัน), อำเภอหนึ่งในจังหวัดลู่เจียง(廬江郡; บริเวณรอบลู่อัน มณฑลอานฮุยในปัจจุบัน) และจุดไฟเผาอาคารต่าง ๆ หยาง ซุ (羊續) ผู้ว่าราชการจังหวัดลู่เจียง ได้รวบรวมชายฉกรรจ์ตั้งแต่อายุ 19 ปีขึ้นไปจำนวนหลายพันคนเพื่อช่วยเหลือเขาในการต่อสู้รบกับกลุ่มกบฏและดับเพลิง[9] เขาประสบความสำเร็จ ฟื้นฟูความสงบและความมั่นคงในภูมิภาค

จุดจบของการก่อกบฏ

ในช่วงต้นปี ค.ศ. 185 การก่อกบฏได้ถูกปราบปรามภายหลังจากจูฮีได้เข้ายึดครองว่านเฉิง ในจังหวัดหนานหยางกลับคืนมา และชัยชนะของฮองฮูสงต่อพี่น้องสกุลจางในมณฑลกิจิ๋ว กลุ่มกบฏแทบไม่เหลือผู้รอดชีวิตในสงคราง แม้สงครามจบลงกองทัพทางการไล่ติดตามในการดำเนินกวาดล้างต่าง ๆ เผื่อมีกบฏโพกผ้าเหลืองหลงเหลืออยู่ และในกลางเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 185 จักรพรรดิฮั่นหลิงได้ทรงประกาศเฉลิมฉลองโดยเปลี่ยนชื่อยุคสมัยของพระองค์จากกวางเหอ(光和) มาเป็น จงผิง (中平; "การบรรลุความสุขสงบ")[10]

ความเคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏโพกผ้าเหลืองที่ฟื้นคืนกลับมาในช่วงหลังต้นปี ค.ศ. 185

แม้ว่ากบฏโพกผ้าเหลืองจะจบสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 185 แต่การก่อกบฏขนาดเล็ก ๆ ของกลุ่มกบฏโพกผ้าเหลืองที่ยังหลงเหลือยังคงปะทุขึ้นทั่วแผ่นดินจีนตลอดหลายทศวรรษต่อมา แม้แต่ในจังหวัดซึ่งก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบ

โจรคลื่นขาว

ระหว่างวันที่ 16 มีนาคม และ 13 เมษายน ค.ศ. 188 Guo Tai (郭太) ได้นำกองกำลังโจรโพกผ้าเหลืองที่เหลืออยู่ จำนวน 100,000 นาย เพื่อเริ่มก่อกบฎในจังหวัดซีเหอ(บริเวณรอบเฟินหยาง, ชานซีในปัจจุบัน) เนื่องจากพวกเขามีต้นกำเนิดมาจากหุบเขาไป่โป (白波谷; "หุบเขาคลื่นขาว") ในจังหวัดซีเหอ ต่อมาพวกเขากลายเป็นที่รู้จักกันคือ "โจรคลื่นขาว"(白波賊) พวกเขาได้ร่วมมือกับอวี๋ฟู่หลัว ผู้นำชนเผ่าซยฺงหนู และเข้าโจมตีจังหวัดไท่หยวน(บริเวณรอบไท่หยวน, มณฑลชานซีในปัจจุบัน) และจังหวัดเหอตง(บริเวณรอบยฺวิ่นเฉิง มณฑลชานซีในปัจจุบัน)[11][12] ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม และ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 189 เมื่อพวกโจรเข้าโจมตีจังหวัดเหอตง ขุนศึกนามว่า ตั๋งโต๊ะ ได้พยายามที่จะส่งหนิวฝู่ (งิวฮู) ผู้เป็นลูกเขยของตนไปนำกองกำลังทหารเข้าโจมตีแต่ล้มเหลว[13][14]

ราวกลางปี ค.ศ. 195 พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงหลบหนีออกจากนครฉางอัน เมืองหลวงของจักรวรรดิที่ซึ่งพระองค์ทรงถูกจับเป็นตัวประกันโดยลูกน้องสมุนของตั๋งโต๊ะอย่างลิฉุยและกุยกี นับตั้งแต่ตั๋งโต๊ะถึงแก่กรรมใน ค.ศ. 192 พระองค์ทรงกลับมายังซากเมืองลั่วหยางที่เป็นเมืองหลวงเก่า ซึ่งตั๋งโต๊ะทำการเผาใน ค.ศ. 191 ในขณะที่ย้ายถิ่นฐานไปยังฉางอานโดยบังคับ ต่ง ฉง(ตังสิน อดีตลูกน้องของงิวฮู) และหยาง เฟิ่ง(เอียวฮอง อดีตโจรคลื่นขาว)[15] เข้าปกป้องพระเจ้าเหี้ยนเต้ในลั่วหยาง เมื่อลิฉุยและกุยกีพยายามที่จะไล่ติดตามและนำฮ่องเต้กลับไปที่ฉางอัน ตังสินและเอียวฮองได้เรียกกลุ่มโจรคลื่นขาวซึ่งนำโดย ลิงัก (李樂 หลี่ เล่อ), หันเซียม, โฮจ๋าย (胡才 หู ไฉ) และคนอื่น ๆ เพื่อเข้ามาช่วยเหลือพระเจ้าเหี้ยนเต้ กองกำลังของชนเผ่าซฺยงหนูที่นำโดยชวี่เปย์ (去卑) ก็ตอบรับคำเรียกเช่นกันแล้วยกมาช่วยเหลือพระเจ้าเหี้ยนเต้ ต่อต้านกองกำลังของลิฉุยและกุยกี[16] ระหว่างปี ค.ศ. 195 ขุนศึก โจโฉ ได้นำกองกำลังของตนเข้าสู่ลั่วหยางและและคุ้มกันพระเจ้าเหี้ยนเต้พาไปยังฐานที่มั่นของตนในเมืองสฺวี่ตู (許; สฺวี่ชาง, มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) และสถาปเมืองหลวงจักรวรรดิแห่งใหม่ที่นั่น

เอ๊กจิ๋ว: หม่า เซียง and Zhao Zhi

ใน ค.ศ. 188 หม่า เซียง (馬相) และ Zhao Zhi (趙祗) ได้นำกองกำลังโจรโพกผ้าเหลืองที่เหลืออยู่เพื่อเริ่มก่อกบฎในเอ๊กจิ๋ว (ครอบคลุมมณฑลเสฉวนและฉงชิ่งในปัจจุบัน) พวกเขาสังหาร Li Sheng (李升; นายอำเภอแห่งเมืองเมียนจู 緜竹縣), Zhao Bu (趙部; ผู้ว่าราชการจังหวัดปา 巴郡) และ Xi Jian (郗儉; ผู้ตรวจการมณฑลเอ็กจิ๋ว) หม่า เซียงได้ประกาศตั้งตนเองเป็นฮ่องเต้ ก่อนที่กลุ่มกบฎเหล่านี้จะถูกปราบปรามโดยกองกำลังท้องถิ่นที่นำโดย Jia Long (賈龍) อดีตลูกน้องของ Xi Jian[17][18]

เฉงจิ๋ว: Zhang Rao, กวนไฮ, Xu He และ Sima Ju

ราวปี ค.ศ. 189 Zhang Rao (張饒) ได้นำกองกำลังโจรโพกผ้าเหลืองที่เหลืออยู่จำนวน 200,000 นายเพื่อเข้าทำลายล้างชิงจิ๋ว เขาได้เอาชนะกองกำลังจักรวรรดิภายใต้การนำของข่งหรง (ขงหยง) เสนาบดีแห่งรัฐเป๋ยไห่ซึ่งราชสำนักฮั่นได้แต่งตั้ง (บริเวณรอบเหวย์ฟาง, ซานตงในปัจจุบัน) ในชิงจิ๋ว[19] ต่อมาขงหยงได้ถูกปิดล้อมในอำเภอตู้ชาง (都昌縣; บริเวณรอบ Changyi, ซานตง) โดยโจกโพกผ้าเหลืองหลายพันคนที่นำโดยก่วนไฮ่ (管亥) ไทสูจู้ แม่ทัพขุนพลภายใต้สังกัดขงหยงสามารถตีฝ่าวงล้อมและขอความช่วยเหลือจากเล่าปี่ ซึ่งได้รับตำแหน่งเป็นเสนาบดีแห่งรัฐผิงหยวนที่อยู่ใกล้เคียง เล่าปี่ได้นำกองกำลังทหารจำนวน 3,000 นาย เข้าโจมตีกวนไฮและช่วยเหลือขงหยงได้สำเร็จ[20]

ใน ค.ศ. 200 Xu He (徐和) และ Sima Ju (司馬俱) ได้นำกองกำลังโจรโพกผ้าเหลืองที่เหลืออยู่จากจังหวัดจี่หนาน (บริเวณรอบ Zhangqiu, ซานตงในปัจจุบัน) และจังหวัดเล่ออัน(บริเวณรอบจือปั๋ว, ซานตงในปัจจุบัน) เพื่อเข้าทำลายล้างชิงจิ๋วอีกครั้ง พวกเขากลับพ่ายแพ้และถูกสังหารโดยแฮหัวเอี๋ยน จงป้า และลิยอย ในระหว่างปี ค.ศ. 206 ถึง 209[a][21][22]

กุนจิ๋ว:กองทัพเฉงจิ๋วของโจโฉ

ราวเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 192 กองกำลังโจรโพกผ้าเหลืองที่เหลืออยู่จำนวนแสนนายจากมณฑลชิงจิ๋วได้บุกเข้าไปในมณฑลหยานและสังหาร Zheng Sui (鄭遂) เสนาบดีแห่งรัฐเหริ่นเชิง(任城國; บริเวณรอบโจวเฉิง, มณฑลซานตงในปัจจุบัน) ก่อนที่จะย้ายไปยังจังหวัดตงผิง (東平郡; บริเวณรอบอำเภอตงผิง, มณฑลซานตงในปัจจุบัน) เล่าต้าย ผู้ตรวจการแห่งมณฑลกุนจิ๋ว ต้องการที่จะนำกองกำลังเข้าโจมตีพวกกบฏแต่แม่ทัพขุนพลนามว่า เปาสิ้น ได้ให้คำแนะนำเขาว่าให้ตั้งรับ เล่าต้ายได้เมินเฉยต่อคำแนะนำและเสียชีวิตในการโจมตีพวกกบฏ เปาสิ้นและขุนพลอีกคนนามว่า ว่านเฉียน(萬潛) ได้ไปยังจังหวัดตง(東郡; บริเวณรอบผู่หยาง, มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) เพื่อเชิญโจโฉเป็นผู้ว่าราชการแห่งมณฑลกุนจิ๋วคนใหม่ จากนั้นเปาสิ้นได้นำกองกำลังฝ่ายรัฐบาลเข้าโจมตีพวกกบฎทางตะวันออกของอำเภอโชวจาง (壽張縣; ทางตอนใต้ของอำเภอตงผิง มณฑลซานตงในปัจจุบัน) แต่เสียชีวิตในการรบ[23] ต่อมาแม้จะมีกองกำลังที่น้อยกว่า แต่โจโฉก็สามารถเอาชนะพวกกบฏในรัฐจี้เป่ยได้ กลุ่มกบฎจำนวนกว่า 300,000 นายได้เข้ามายอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉพร้อมกับครอบครัว โจโฉได้คัดเลือกนักรบที่เก่งที่สุดและจัดตั้งหน่วยทหารชั้นเยี่ยมที่มีชื่อว่า กองทัพชิงโจว (青州兵; ยังแปลว่า "กองพลน้อยชิงโจว")[24][25]

เมืองยีหลำและเองฉวน: โฮงี, เล่าเพ็ก, ก๋งเต๋า และคนอื่น ๆ

ในเมืองยีหลำและเองฉวน กองกำลังโจรโพกผ้าเหลืองที่เหลืออยู่ยังคงประจำการภายใต้การนำของโฮงี (何儀), เล่าเพ็ก (劉辟), อุยเซียว (黃邵), และโฮปัน (何曼) ในตอนแรก พวกเขาเป็นพันธมิตรกับขุนศึก อ้วนสุดและซุนเกี๋ยน แต่กลายเป็นกองกำลังอิสระใน ค.ศ. 190 ระหว่างวันที่ 17 มีนาคม และ 15 เมษายน ค.ศ. 196 ขุนศึก โจโฉ ได้นำกองกำลังเข้าโจมตีพวกเขาและสังหารเล่าเพ็ก อุยเซียว และโฮปัน โฮงีนำกองกำลังที่เหลือเข้ามายอมสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ[26]

กองกำลังโจรโพกผ้าเหลืองที่เหลืออีกจำนวนหนึ่งในยีหลำที่นำโดย Wu Ba (吳霸) และก๋งเต๋า (龔都) Wu Ba พ่ายแพ้และถูกจับกุมโดยแม่ทัพขุนพลนามว่า ลิถอง ก๋งเต๋าได้กลายเป็นภัยคุกคามต่อโจโฉ เมื่อเขาได้ร่วมมือกับเล่าปี่ คู่ปรับของโจโฉ และยึดการควบคุมจังหวัดหรู่หนานใน ค.ศ. 201 ตอนแรก โจโฉได้ส่ง Cai Yang (蔡揚) ไปกำจัดพวกเขา แต่ Cai Yang กลับถูกสังหาร เขาจึงนำกองกำลังด้วยตนเองเข้าโจมตีและเอาชนะพวกเขาได้ เล่าปี่ต้องหลบหนีไปยังทางใต้เพื่อเข้าร่วมกับเล่าเปียว ในขณะที่ก๋งเต๋าและพวกกบฎที่เหลือต่างแยกย้ายกระจายกันไป[27]

มณฑลยังจิ๋วและเกาจิ๋ว

กองกำลังโจรโพกผ้าเหลืองที่เหลืออีกจำนวนหนึ่งในเมืองห้อยเข (บริเวณรอบเช่าซิง, มณฑลเจ้อเจียงในปัจจุบัน) จนกระทั่งเล่าจ้านได้สังหารผู้นำนามว่า อู๋หฺวาน (吳桓)[28]

ใน ค.ศ. 200 Chen Bai (陳敗) และ Wan Cheng (萬秉) ได้เริ่มก่อการกบฎในจังหวัดจิ่วเจิ้น (九真郡; จังหวัดทัญฮว้า ประเทศเวียดนามในปัจจุบัน) ใน ค.ศ. 202 พวกเขาได้พ่ายแพ้และถูกจับกุมโดย จูตี ผู้ว่าราชการของจังหวัด[29]

ผลพวงและผลกระทบ

กองทัพฮั่นได้รับชัยชนะ แม้ว่าสถานที่ทางราชการที่สำคัญได้ถูกทำลายไป การเสียชีวิตของข้าราชการระดับสูง และดินแดนของราชวงศ์ได้ถูกแตกแยกออกเป็นเสี่ยง ๆ พวกกบฏเสียชีวิตเป็นจำนวนหลายแสนคน ในขณะที่ประชาชนที่ไม่ได้เข้าร่วมสงครามได้ถูกทำให้กลายเป็นคนไร้บ้านหรือสิ้นเนื้อประดาตัวจากสงคราม ราชวงศ์ฮั่นอ่อนแอลงอย่างมากจนไม่สามารถปกครองได้อย่างเต็มที่ อำนาจได้ถูกกระจัดกระจายไปยังแม่ทัพขุนศึกและผู้นำท้องถิ่นจนกระทั่งล่มสลายอย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 220

ภายหลังพระเจ้าเลนเต้สวรรคตใน ค.ศ. 189 การแก่งแย่งชิงอำนาจระหว่างโฮจิ๋น ผู้เป็นพระเทวันและพวกขันทีซึ่งจบลงด้วยโฮจิ๋นถูกลอบสังหาร เมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 189 อ้วนเสี้ยวขุนศึกผู้ใต้บังคับบัญชาของโฮจิ๋นได้ทำการจุดไฟเผาพระราชวังและบุกเข้าไปเข่นฆ่าพวกขันที ขุนศึกตั๋งโต๊ะได้เข้าเมืองหลวง ปลดพระเจ้าฮั่นเช่าตี้ออกจากราชบังลังก์ แต่งตั้งหองจูเหียบซึ่งยังทรงพระเยาว์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ พระนามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ และตั้งตนเองเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทำให้มีอำนาจบาตรใหญ่คอยข่มเหงราษฏรอย่างโหดเหี้ยม จนกระทั่งถูกลอบสังหารใน ค.ศ. 192 ต่อมาแม่ทัพขุนศึกและผู้นำท้องถิ่นต่างตั้งตนเป็นใหญ่และทำสงครามกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่ จนกระทั่งเหลือขุนศึกสามคน ได้แก่ เล่าปี่ โจโฉ และซุนกวน

โจโฉได้ควบคุมพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นหุ่นเชิดคอยชักใยอำนาจอยู่เบื้องหลัง จนถูกเล่าปี่และซุนกวนต่อต้านทำให้ต้องส่งกองทัพไปปราบแต่ไม่สำเร็จ เมื่อโจโฉถึงแก่อสัญกรรม โจผี ทายาทของโจโฉได้บีบบังคับให้พระเจ้าเหี้ยนเต้สละราชบังลังก์และมอบให้แก่ตน โจผีได้แต่งตั้งตนเองเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่และก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ เล่าปี่ไม่ยอมรับและแต่งตั้งตนเองเป็นฮ่องเต้เพื่อกอบกู้ราชวงศ์ฮั่น และซุนกวนก็แต่งตั้งตนเองเป็นฮ่องเต้ตามพวกเขาเช่นกัน จนนำไปสู่ยุคสามก๊กในที่สุด

หมายเหตุ

อ้างอิง

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง