ปืนกลเอ็ม1919 บราวนิง
เอ็ม1919 บราวนิง เป็นปืนกลกลางที่มีขนาด .30 คาลิเบอร์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม เอ็ม1919 ได้ถูกพบเห็นในการเข้าประจำการในฐานะปืนประจำตัวของทหารราบเบา, ปืนกลติดตั้งใกล้กับกระบอกปืนใหญ่รถถัง(coaxial), อาวุธติดตั้งบนยานพาหนะ(mounted) เครื่องบินรบ และปืนกลต่อต้านอากาศยานโดยสหรัฐและประเทศอื่นๆอีกมากมาย เอ็ม1919 หลายกระบอกได้ถูกบรรจุด้วยกระสุนขนาด 7.62×51มม. เนโท และยังคงใช้งานอยู่จนถึงทุกวันนี้
ปืนกล คาลิเบอร์.30, บราวนิง, เอ็ม1919 | |
---|---|
ชนิด | ปืนกลขนาดกลาง ปืนกลอเนกประสงค์ (M1919A6) |
แหล่งกำเนิด | สหรัฐอเมริกา |
บทบาท | |
ประจำการ | 1919–ปัจจุบัน |
ผู้ใช้งาน | ดู ผู้ใช้ |
สงคราม | สงครามบานานา สมัยขุนศึก สงครามโลกครั้งที่สอง การปฏิวัติชาติอินโดนีเซีย สงครามเกาหลี การก่อการกำเริบฮุกบาลาฮับ สงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่ง[1] วิกฤตการณ์คองโก สงครามเวียดนาม สงครามแอลจีเรีย[2] การบุกครองอ่าวหมู สงครามโรดีเซีย สงครามหกวัน The Troubles in Northern Ireland สงครามกลางเมืองไนจีเรีย สงครามกลางเมืองโซมาเลีย สงครามกลางเมืองลาว สงครามกลางเมืองเอลซัลวาดอร์ สงครามกลางเมืองเลบานอน[3] สงครามกลางเมืองกัมพูชา ความขัดแย้งที่กีวู[4] สงครามกลางเมืองลิเบียครั้งที่หนึ่ง สงครามกลางเมืองลิเบียครั้งที่สอง สงครามกลางเมืองซีเรีย[5] ความขัดแย้งอื่นๆ |
ประวัติการผลิต | |
ผู้ออกแบบ | จอห์น เอ็ม บราวนิง |
ช่วงการออกแบบ | 1919 |
บริษัทผู้ผลิต | Buffalo Arms Corporation Rock Island Arsenal Saginaw Steering Gear division of General Motors |
ช่วงการผลิต | 1919–1945 |
จำนวนที่ผลิต | 438,971[6] |
แบบอื่น | A1; A2; A3; A4; A5; A6; M37 และ AN/M2 |
ข้อมูลจำเพาะ | |
มวล | 31 ปอนด์ (14 กิโลกรัม) (M1919A4) |
ความยาว |
|
ความยาวลำกล้อง | 24 นิ้ว (610 มิลลิเมตร) |
กระสุน |
|
การทำงาน | Recoil-operated/short-recoil operation. Closed bolt. |
อัตราการยิง | 400–600 round/min (1200–1500 for AN/M2 variant) |
ความเร็วปากกระบอก | 2,800 ฟุตต่อวินาที (850 เมตรต่อวินาที) |
ระยะหวังผล | 1,500 หลา (1,400 เมตร) (ช่วงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด) |
ระบบป้อนกระสุน | 250-round belt |
เอ็ม1919 เป็นรุ่นที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นด้วยการระบายความร้อนด้วยอากาศจากปืนกลแบบมาตรฐานของสหรัฐในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เอ็ม1917 ที่มีการระบายความร้อนด้วยน้ำที่ถูกออกแบบโดยจอห์น เอ็ม บราวนิง การก่อกำเนิดของปืนกลอเนกประสงค์ในปี ค.ศ. 1950 ได้ผลักดัน เอ็ม1919 ให้เข้ามามีบทบาทรองในหลายๆกรณี โดยเฉพาะภายหลังจากการเข้ามาของเอ็ม 60 ในการประจำการในกองทัพสหรัฐ กองทัพเรือสหรัฐได้ดัดแปลงปืนหลายกระบอกด้วยกระสุนขนาด 7.62มม. เนโท และถูกกำหนดให้กลายเป็นปืนกลติดตั้งประจำเรือที่ชื่อว่า เอ็มเค21 มอด 0 พวกมันได้ถูกใช้งานโดยทั่วไปบนเรือแม่น้ำในปี ค.ศ. 1960 และ 1970 ในเวียดนาม หลายประเทศในองค์กรเนโทก็ได้ดัดแปลงตัวอย่างให้มีขนาด 7.62 และสิ่งเหล่านี้ยังคงใช้งานได้ดีในปี ค.ศ. 1990 เช่นเดียวกับปัจจุบันในบางประเทศ
การดัดแปลงที่มีความคล้ายคลึงกับเอ็ม1917 ยังได้มีการผลิตปืนกล เอ็ม2 ที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งใช้หลักการทำงานบนพื้นฐานและโครงสร้างเดียวกัน แต่ยิงกระสุนขนาด .50 คาลิเบอร์ที่ทรงพลังยิ่งกว่า เอ็ม 1919 นั้นมีความโดดเด่นด้วยขนาดที่เล็กกว่าและทั่วบริเวณลำกล้องจะมีหลุมเล็กๆหลายหลุมที่ถูกใช้ในรุ่นส่วนใหญ่
ผู้ใช้จากอดีตและปัจจุบัน
- แอลจีเรีย[ต้องการอ้างอิง]
- แองโกลา
- อาร์เจนตินา[7]
- ออสเตรเลีย[8]
- ออสเตรีย: 1,605 M1919A4s, known as MG-A4. Used into the 1970s.[9]
- บังกลาเทศ
- บราซิล
- โบลิเวีย
- บอตสวานา[10]
- บุรุนดี[11]
- แคนาดา[11]
- สาธารณรัฐแอฟริกากลาง[12]
- ชิลี[13]
- สาธารณรัฐจีน: imported and copied in various arsenals during the warlord era[14]
- โคลอมเบีย[15][11]
- คอสตาริกา[11]
- Brigade 2506[16]
- เดนมาร์ก: 7.62 MG M/52[17][11]
- สาธารณรัฐโดมินิกัน[18][11]
- อียิปต์
- เอลซัลวาดอร์[11]
- เอสโตเนีย
- เอธิโอเปีย[19]
- ฟินแลนด์[ต้องการอ้างอิง]
- ฝรั่งเศส[20]
- Democratic Forces for the Liberation of Rwanda[4]
- กาบอง[11]
- กรีซ[11]
- กัวเตมาลา[11]
- เฮติ[11]
- บริติชฮ่องกง: Royal Hong Kong Regiment
- ฮ่องกง
- อินเดีย
- อินโดนีเซีย
- อิหร่าน[11]
- ไอร์แลนด์[21]
- อิสราเอล[11][22]
- อิตาลี[11]
- ญี่ปุ่น: used post-war[23]
- แม่แบบ:Country data Katanga[24]
- เกาหลีใต้[11]
- ลาว: Received M1919A4 and M1919A6 from US Government during Vietnam War and Laotian Civil War.[25]
- ไลบีเรีย[11]
- ลิเบีย
- ลักเซมเบิร์ก[ต้องการอ้างอิง]
- มาดากัสการ์
- มอลตา
- มอริเตเนีย[11]
- เม็กซิโก[11]
- มองโกเลีย
- โมร็อกโก[ต้องการอ้างอิง]
- พม่า
- เนปาล[ต้องการอ้างอิง]
- เนเธอร์แลนด์
- นิวซีแลนด์[26]
- นิการากัว[ต้องการอ้างอิง]
- ไนจีเรีย[27]
- ปานามา[11]
- ฟิลิปปินส์[28]
- โปรตุเกส[29]
- โรมาเนีย
- โรดีเชีย[30][31]
- เซียร์ราลีโอน[32]
- โซมาเลีย[33]
- แอฟริกาใต้[11][34]
- สหภาพโซเวียต
- สเปน[11]
- สวีเดน[35]
- ซีเรีย[5]
- ไต้หวัน[11]
- ไทย[11]
- ตูนิเซีย[11]
- ตุรกี[36]
- สหราชอาณาจักร[37]
- สหรัฐ[38]
- อุรุกวัย[11]
- เวียดนามใต้[39]
- เวียดนาม[40]
- ซาอีร์[4]
อ้างอิง
บรรณานุกรม
- Dolf L. Goldsmith, The Browning Machine Gun, Vol I & II
- Drabkin, Artem. The Red Air Force at War: Barbarossa & the retreat to Moscow – Recollections of Fighter Pilots on the Eastern Front. Barnsley (South Yorkshire), Pen & Sword Military, 2007. ISBN 1-84415-563-3
- Rottman, Gordon L. (20 Feb 2014). Browning .30-caliber Machine Guns. Weapon 32. Osprey Publishing. p. 68. ISBN 9781780969213.
- Smith, Joseph E. (1969). Small Arms of the World (11 ed.). Harrisburg, Pennsylvania: The Stackpole Company. ISBN 9780811715669.