พระเจ้าพระบิดา

พระเจ้าพระบิดา[1] (อังกฤษ: God the Father) เป็นคำที่ใช้เรียกพระเจ้าในศาสนาคริสต์ ศาสนายูดาห์เรียกพระเจ้าว่าพระบิดาเพราะเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้สร้าง ผู้บัญญัติธรรม และผู้ปกป้อง[2] ส่วนทางศาสนาคริสต์เรียกพระเจ้าว่าพระบิดาตามเหตุผลเดียวกับศาสนายูดาห์ แต่ก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดาและพระเยซูซึ่งเป็นพระบุตรของพระองค์ด้วย[3]

ภาพวาดพระเจ้าพระบิดาโดย Julius Schnorr ค.ศ. 1860

คำว่า พระบิดา บ่งบอกว่าพระองค์เป็นผู้ทรงสรรพานุภาพ เป็นผู้ปกป้องดูแล เป็นสัพพัญญู และทรงอยู่ทุกหนแห่ง ซึ่งเกินกว่าการที่มนุษย์ธรรมดาจะเข้าใจได้[4] เช่น นักบุญทอมัส อไควนัส นักปราชญ์แห่งคริสตจักรคนสำคัญเขียนสรุปไว้ว่าท่านเองก็ยังไม่เข้าใจพระบิดาเลย[5]

เพศของพระเจ้า

พระพักตร์ของพระเจ้าจากภาพเขียนฝาผนัง ทรงเนรมิตดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ โดยมีเกลันเจโล

มักเข้าใจกันผิดว่าในเมื่อเรียกว่าพระบิดาท่านก็เป็นผู้ชายตามชื่อ ทั้งนี้ก็ด้วยศิลปินนิยมวาดพระเจ้าให้เป็นผู้ชาย และในภาษาอังกฤษเองก็ใช้สรรพนามเรียกพระเจ้าว่า he (ถึงแม้ว่าคำดังกล่าวเป็นเพียงแค่การเรียกชื่อพระเจ้าให้กระชับก็ตาม) แต่ตามหลักเทววิทยาจริง ๆ แล้วถือว่าพระเจ้าไม่มีเพศเพราะทรงเป็นวิญญาณ[6] มนุษย์เท่านั้นที่จะมีเพศชายหญิง แต่พระเจ้าทรงอยู่เหนือกว่านั้นจึงจะทรงมีเพศมิได้ นอกจากนี้ยังมีกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลว่า พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามแบบพระฉายาของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงสร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง[7] ดังนั้นจึงไม่ได้เจาะจงเฉพาะเพศใดเพศหนึ่ง ทั้งในหนังสือคำสอนของคาทอลิก วรรค 239 ก็ระบุว่า "พระเจ้าไม่ใช่ผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง พระเจ้าคือพระเจ้า"[8] จึงสามารถเข้าใจได้ว่าพระบิดาเป็นการเรียกเปรียบเทียบคุณลักษณะของพระเจ้ากับมนุษย์ ดังที่อธิบายไว้ข้างต้นแล้ว

ศาสนาเอกเทวนิยม

ในศาสนาเอกเทวนิยม เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนายูดาห์ ศาสนาบาไฮ เรียกพระเจ้าว่า พระบิดา เพราะเชื่อว่าพระองค์ทรงสนพระทัยในกิจการของมนุษย์ เช่นเดียวกับการที่ผู้เป็นพ่อจะสนใจลูกของตน[9] และในฐานะที่เป็นพระบิดา พระเจ้าจะตอบรับคำวิงวอนของนุษย์ผ่านการอธิษฐาน เหมือนกับการที่พ่อช่วยเหลือลูก [10]

แต่ในบางครั้งพระเจ้าอาจลงโทษมนุษย์ได้ เช่นเดียวกับที่ผู้เป็นพ่อสามารถลงโทษลูกของตนได้เวลาทำผิด ตอนหนึ่งของคัมภีร์ไบเบิลว่า ถ้าท่านทั้งหลายทนเอาการตีสอน พระเจ้าย่อมทรงปฏิบัติต่อท่านเหมือนท่านเป็นบุตร ด้วยว่ามีบุตรคนใดเล่าที่บิดาไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนทั้งปวง ท่านก็ไม่ได้เป็นบุตร แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ [11]

ศาสนายูดาห์

ในศาสนายูดาห์นอกจากการที่เรียกพระเจ้าหรือพระยาห์เวห์ว่าพระบิดาเป็นเพราะทรงเนรมิตสรรพสิ่งแล้ว ยังเชื่อว่าชาวยิวเป็นผู้ถูกพระเจ้าเลือก ท่านเป็นผู้ช่วยให้ชาวอิสราเอลอพยพออกจากการเป็นทาสในอียิปต์และตั้งถิ่นฐานในดินแดนแห่งพันธสัญญา [12] จึงเกิดความสัมพันธ์ฉันพ่อลูก

ศาสนาคริสต์

พระเยซูทรงอธิษฐานต่อพระบิดาในสวนเกทเสมนี วาดโดย Heinrich Hofmann, ค.ศ. 1890

ในศาสนาคริสต์นอกจากพระบิดาจะหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกแล้ว เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ซึ่งก็คือพระเยซู ลงมาไถ่บาปมนุษย์ และเชื่อว่าพระบิดาและพระบุตรทรงมีความสัมพันธ์ชั่วนิรันดร์[13]

โดยพระเยซูเคยตรัสว่า "ไม่มีใครรู้จักพระบุตรนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้" [14] ซึ่งในพันธสัญญาใหม่เรียกพระเจ้าว่า พระบิดา 245 ครั้ง และในบทข้าพเจ้าเชื่อซึ่งเป็นบทอธิษฐานที่สำคัญมากบทหนึ่งของคริสต์ศาสนิกชน ส่วนหนึ่งว่า ข้าพเจ้าเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้า ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดาและพระบุตรไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใดเหตการณ์หนึ่งและไม่ได้อยู่ภายใต้กาลเวลา

ในศตวรรษที่ 3 นักปรัชญาชาวคาร์เทจนามเทอร์ทัลเลียน[15]ใช้คำว่า "ตรีเอกภาพ" เป็นครั้งแรก[16] และเขียนเกี่ยวกับการที่พระเจ้าเป็นพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในเวลาเดียวกันและเป็นบุคคลเดียวกัน[17] ซึ่งในปัจจุบันชาวคริสต์ที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก โปรเตสแตนต์สายหลัก และอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ยอมรับหลักดังกล่าว

ศาสนาอิสลาม

ส่วนศาสนาอิสลามซึ่งเป็นศาสนาเอกเทวนิยมที่ไม่เหมือนเอกเทวนิยมอื่น คือไม่แบ่งแยกระหว่างพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ปฏิเสธทฤษฎีตรีเอกภาพ) และมองว่าพระเจ้ามีเพียงพระองค์เดียว ไม่สามารถแบ่งภาคได้ [18]

ศาสนาพหุเทวนิยม

ในศาสนาพหุเทวนิยมเชื่อว่าจะมีผู้นำของเทพเจ้าต่าง ๆ เป็นบิดาของมวลมนุษย์หรือประมุขของบรรดาเทพ เช่น เทพซูสของชาวกรีกโบราณ เทพจูปิเตอร์ของชาวโรมันโบราณ เป็นต้น[19]

ในศิลปะตะวันตก

ไม่มีการพยายามในการเขียนภาพพระบิดาในรูปของมนุษย์ในคริสต์สหัสวรรษแรก เพราะชาวคริสต์ยุคแรกถือตามพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัดว่า พระองค์จึงตรัสว่า "เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะมนุษย์เห็นหน้าเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้" [20] และ ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย [21]

อย่างไรก็ดีความจำเป็นที่จะต้องสื่อสารแก่บรรดาคริสต์ศาสนิกชนผ่านทางภาพในภายหลัง จึงต้องวาดภาพพระบิดาในรูปมนษุย์ ซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 10[22] จนกระทั่งในศตวรรษที่ 12 สามารภพบภาพพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ในหนังสือภาษาฝรั่งเศสบางเล่ม และในงานกระจกสีตามโบสถ์บางแห่งในประเทศอังกฤษ และมีการวาดรูปพระบิดามาโดยตลอดนับแต่บัดนั้น

ตัวอย่างภาพวาด

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง