รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก
โจน รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก (Joan Ruth Bader Ginsburg; /ˈbeɪdər ˈɡɪnzbɜːrɡ/; 15 มีนาคม 1933 – 18 กันยายน 2020)[1] เป็นนักนิติศาสตร์ชาวอเมริกันผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการสมทบในศาลสูงสุดสหรัฐตั้งแต่ปี 1993 จนกระทั่งเธอเสียชีวิตในปี 2020 ประธานาธิบดีบิล คลินตัน เสนอชื่อเธอเข้าเป็นตุลาการสบทบ และโดยทั่วไปมองว่า เธอเป็นผู้พิพากษาสายกลางซึ่งประสานให้เกิดฉันทามติในช่วงเวลาที่เธอได้รับการเสนอชื่อ ภายหลัง เธอเข้าเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายเสรีนิยมในศาลสูงสุดสหรัฐ ในขณะที่ศาลเองเปลี่ยนมุมมองไปทางฝ่ายขวา (อนุรักษนิยม) มากขึ้น กินส์เบิร์กเป็นสตรีคนที่สองที่ได้มีตำแหน่งในศาลสูงสุดสหรัฐ ต่อจากแซนดรา เดย์ โอคอนเนอร์ ระหว่างอยู่ในตำแหน่งนั้น กินส์เบิร์กเป็นผู้เขียนความเห็นเสียงข้างมากที่สำคัญหลายครั้ง เช่น ใน คดีระหว่างสหรัฐกับเวอร์จิเนีย (1996), คดีระหว่างโอล์มสเตดกับแอลซี (1999) และ คดีระหว่างเฟรนดส์ออฟดิเอิร์ธกับเลดลอว์เอนไวรอนเมนทัลเซอร์วิสเซสอิงก์ (2000)
รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก Ruth Bader Ginsburg | |
---|---|
ภาพทางการของรูธเมื่อ ปี 2016 | |
ตุลาการสมทบในศาลสูงสุดสหรัฐ | |
ดำรงตำแหน่ง 10 สิงหาคม 1993 – 18 กันยายน 2020 | |
เสนอชื่อโดย | บิล คลินตัน |
ก่อนหน้า | บีเริน ไวต์ |
ถัดไป | ยังไม่ประกาศ |
ผู้พิพากษาศาลแขวงคอลัมเบียดิสตริกต์ | |
ดำรงตำแหน่ง 30 มิถุนายน 1980 – 9 สิงหาคม 1993 | |
เสนอชื่อโดย | จิมมี คาร์เทอร์ |
ก่อนหน้า | เฮรอลด์ เลเวนธอล |
ถัดไป | เดวิด เอส. เทเทล |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | โจน รูธ เบเดอร์ (Joan Ruth Bader) 15 มีนาคม ค.ศ. 1933 บรูกลิน, นิวยอร์กซิตี, สหรัฐ |
เสียชีวิต | 18 กันยายน ค.ศ. 2020 วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ | (87 ปี)
สาเหตุการเสียชีวิต | อาการสืบเนื่องจากมะเร็งตับอ่อน |
ที่ไว้ศพ | สุสานแห่งชาติอาร์ลิงทัน (ตามที่วางแผนไว้) |
คู่สมรส | มาร์ทิน กินส์เบิร์ก (สมรส 1954; เสียชีวิต 2010) |
บุตร |
|
การศึกษา | มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (BA) มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด มหาวิทยาลัยคอลัมเบีย (LLB) |
ลายมือชื่อ | |
ในช่วงเวลาตั้งแต่โอคอนเนอร์เกษียณอายุในปี 2006 จนถึงซอนยา ซอทอแมร์ ได้รับแต่งตั้งเข้าแทนที่ในปี 2009 กินส์เบิร์กเป็นตุลาการสตรีคนเดียวในศาลสูงสุดสหรัฐ และในช่วงดังกล่าว กินส์เบิร์กแสดงความขึงขังต่อฝ่ายเห็นแย้งยิ่งกว่าที่ผ่านมา ที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือ คดีระหว่างเล็ดเบตเทอร์กับบริษัทกูดเยียร์ไทเออร์แอนด์รับเบอร์ (2007)
กินส์เบิร์กทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ในวิชาชีพทางกฎหมายของเธอไปกับการเป็นปากเสียงให้แก่ความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิสตรี และมีชัยชนะในข้อโต้แย้งหลายประการที่นำเสนอต่อศาลสูงสุดสหรัฐ เธอยังเคยเป็นทนายความอาสาให้แก่สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน และเคยเป็นกรรมการบริหารรวมถึงหัวหน้าที่ปรึกษาของสหภาพดังกล่าวในช่วงทศวรรษ 1970 ต่อมาในปี 1980 ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เทอร์ แต่งตั้งเธอเป็นผู้พิพากษาศาลแขวงดีซี เธอดำรงตำแหน่งนี้จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเข้าสู่ศาลสูงสุดสหรัฐ
กินส์เบิร์กได้รับความสนใจในวัฒนธรรมสมัยนิยมของอเมริกันเพราะแสดงความเห็นแย้งด้วยอารมณ์ลึกซึ้งในหลาย ๆ คดี ซึ่งมองกันอย่างกว้างขวางว่า สะท้อนมุมมองด้านเสรีนิยมของกฎหมายชนิดที่ใช้เป็นแบบอย่างได้ นักศึกษากฎหมายผู้หนึ่งเรียกขานเธอในเชิงหยอกล้อว่า "เดอะนอทอเรียส อาร์.บี.จี." (The Notorious R.B.G.; "อาร์.บี.จี. ผู้ดังกระฉ่อน") ตามอย่างเดอะนอทอเรียส บี.ไอ.จี. แรปเปอร์ชาวบรุกลินผู้ล่วงลับ และภายหลังเธอก็รับชื่อนั้นมาใช้เอง[2] เธอได้รับการยกย่องมากในฐานะนักสตรีนิยม (เฟมินิสต์)
กินส์เบิร์กเสียชีวิตที่บ้านในวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2020 ขณะอายุ 87 ปี จากอาการแทรกซ้อนของมะเร็งตับอ่อนระยะแพร่กระจาย[3][4]
ศาลอุทธรณ์สหรัฐ
ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ได้เสนอชื่อเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2523 ให้กินส์เบิร์กเข้าดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์สหรัฐ ภาคแขวงโคลัมเบีย ซึ่งว่างลงเนื่องจากการเสียชีวิตของผู้พิพากษาแฮโรวด์ เลเวนธาล[5] วุฒิสภาสหรัฐยืนยันให้กินส์เบิร์กเข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2523 และได้รับการตอบรับให้เข้าดำรงตำแหน่งในวันเดียวกันนั้น[5] กินส์เบิร์กยุติบทบาทในศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2536 เนื่องจากได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในศาลสูงสหรัฐ[5][6][7]
ในระหว่างที่กินส์เบิร์กเป็นผู้พิพากษาประจำแขวงโคลัมเบีย กินส์เบิร์กมักมีความเห็นพ้องกับผู้พิพากษาด้วยกัน เช่น ผู้พิพากษาโรเบิร์ด เอช. บอร์ก และผู้พิพากษาแอนโทนิน สกาเลีย ซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม [8][9] ในระหว่างวาระการดำรงตำแหน่ง กินส์เบิร์กได้ชื่อว่าเป็น "นักกฎหมายที่มีความระมัดระวัง" และมีความคิดไปในโทนกลาง [10] ผู้พิพากษาเดวิด เอส. ทาเทล ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนกินส์เบิร์กหลังจากกินส์เบิร์กได้รับการแต่งตั้งเป็นตุลาการศาลสูงสุดสหรัฐ[11]
ศาลสูงสุด
การเสนอชื่อและการออกเสียงยืนยัน
ประธานาธิบดีบิล คลินตันเสนอชื่อกินส์เบิร์กเป็นตุลาการสมทบในศาลสูงสุดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2536 เพื่อแทนที่ตำแหน่งที่ว่างลงของผู้พิพากษาไบรอน ไวท์ที่เกษียณอายุไป โดยแจเน็ต เรโน อัยการสูงสุดสหรัฐในขณะนั้นเป็นผู้แนะนำกินส์เบิร์กให้กับประธานาธิบดีคลินตัน[12] โดยคำแนะนำของวุฒิสมาชิกพรรครีพรับริกันรัฐยูทาร์ ออร์ริน แฺฮช[13] ในขณะที่มีการเสนอชื่อดังกล่าว กินส์เบิร์กถือว่าเป็นผู้มีลักษณะธรรมดา แต่ประธานาธิบดีคลินตันมุ่งเน้นที่จะทำให้ศาลสูงสุดมีองค์คณะที่มีความหลากหลาย ซึ่งกินส์เบิร์กทำให้เกิดความหลากหลายโดยเป็นผู้พิพากษายิวคนแรกตั้งแต่ปี 2512 หลังจากการลาออกของผู้พิพากษาอาเบ ฟอร์ทาส ผู้พิพากษายิวที่เป็นสตรีรายแรก และผู้พิพากษาที่เป็นสตรีรายที่สองของศาลสูงสุด[10][14][15] กินส์เบิร์กกลายเป็นผู้พิพากษายิวที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดที่เคยมีมา[16] และคณะทำงานด้านนิติกระบวนของรัฐบาลกลางประจำเนติบัณฑิตสหรัฐยังได้ให้ความเห็นว่ากินส์เบิร์ก "มีคุณสมบัติอย่างยิ่ง" ซึ่งเป็นระดับคุณสมบัติสูงสุดที่ให้ได้กับผู้ที่จะกลายเป็นผู้พิพากษาในอนาคตต่อไป[17]
ในระหว่างการไต่สวนต่อหน้าคณะกรรมาธิการวุฒิสมาชิกด้านนิติศาสตร์เพื่อประกอบการออกเสียงยืนยันของวุฒิสภา กินส์เบิรก์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามบางประการเกี่ยวกับประเด็นความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เช่น โทษประหารในสหรัฐ โดยเห็นว่าประเด็นดังกล่าวอาจเป็นประเด็นที่ตนต้องออกเสียงหากมีประเด็นดังกล่าวขึ้นมายังศาลสูงสุด[18]
ในขณะเดียวกัน กินส์เบิร์กได้ตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นที่น่าจะเป็นข้อถกเถียงบางประการ เป็นต้นว่า กินส์เบิร์กยืนยันความเชื่อของตนเรื่องสิทธิส่วนบุคคลภายใต้รัฐธรรมนูญ และยังได้อภิปรายหลักการนิติปรัชญาส่วนตัวและความเห็นเกี่ยวกับความเท่าเทียมกันทางเพศอีกด้วย[19]: 15–16 กินส์เบิร์กยังพร้อมที่จะหารือประเด็นต่าง ๆ ที่ตนได้เคยเขียนไว้แล้วอย่างเปิดเผยด้วย[18] วุฒิสภาสหรัฐออกเสียงยืนยันกินส์เบิร์กด้วยเสียง 96 ต่อ 3 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2536 [a][5] กินส์เบิร์กได้รับการตอบรับเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2536[5] และสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2536[21]
ชื่อกินส์เบิร์กได้รับการกล่าวถึงอีกครั้งในการออกเสียงยืนยันผู้พิพากษาจอห์น รอเบิตส์ แม้ว่ากินส์เบิร์กเองจะไม่ใช่ผู้ได้รับการเสนอชื่อรายแรกที่ไม่ตอบคำถามบางข้อในการไต่สวนต่อหน้าสภาคองเกรสก็ตาม[b] ในปี 2524 ในขณะที่รอเบิตส์ยังเป็นทนายความที่มีประสบการณ์ไม่มาก รอเบิตส์ได้แนะนำว่าผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการไม่ควรตอบคำถามใด ๆ อันมีลักษณะเป็นการเฉพาะทั้งสิ้น [22] อย่างไรก็ดี นักวิจารณ์หัวอนุรักษ์นิยมและวุฒิสมาชิกก็ได้ใช้ถ้อยคำว่า "วิธีแบบกินส์เบิร์ก" เพื่อแก้ต่างข้อโต้แย้งดังกล่าว[17][22] ในสุนทรพจน์ที่กินส์เบิร์กกล่าวที่มหาวิทยาลัยเวคฟอเรสต์เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2548 กินส์เบิร์กกล่าวว่าการที่รอเบิตส์ปฏิเสธไม่ตอบคำถามบางคำถามในการไต่สวนต่อหน้าวุฒิสภานั้นเป็นเรื่องที่ "ถูกต้องโดยไม่มีข้อกังขาใด ๆ"[23]
หลักกฎหมายในศาลสูงสุด
กินส์เบิร์กวิเคราะห์การปฏิบัติหน้าที่ของตนดังกล่าวว่าเป็นการใช้ความระมัดระวังในการวินิจฉัยคดี[24] และได้กล่าวในถ้อยแถลงก่อนได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลสูงสุดว่า "คำขอต่าง ๆ ที่ได้พิจารณาแล้วโดยหลักการถือว่ามีความถูกต้องทั้งในเชิงรัฐธรรมนูญและการวินิจฉัยตามกฎหมายคอมมอนลอว์ การยืดหยุ่นของหลักการที่กระทำขึ้นโดยเร็วเกินไปนั้น ประสบการณ์ก็ได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าย่อมอาจเกิดความไม่แน่นอน" "[25] คาส ซันสเตน นักกฎหมาย ได้ชี้ว่ากินส์เบิร์กเป็นบุคคลจำพวก "มีแนวคิดไม่ซับซ้อนที่มีเหตุผล" และเป็นนักกฎหมายที่สร้างหลักการบนรากฐานเดิมอย่างระมัดระวังโดยไม่ตีความรัฐธรรมนูญไปตามความเห็นของตน [26]: 10–11
จากการเกษียณอายุของผู้พิพากษาซานดรา เดย์ โอ'คอนนอร์ ในปี 2549 ทำให้กินส์เบิร์กกลายเป็นสตรีเพียงคนเดียวในศาลสูงสุด [27][c]ลินดา กรีนเฮาส์แห่งหนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทมส์ กล่าวว่าวาระการดำรงตำแหน่งปี 2549-2550 ของศาลเป็น "ระยะเวลาที่ผู้พิพากษารูธ แบเดอร์ กินส์เบิร์ก ได้มีปากเสียงมากที่สุดและได้ใช้ปากเสียงดังกล่าวนั้น[29] ในวาระดังกล่าวยังเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการปฏิบัติหน้าที่ในศาลของกินส์เบิร์กที่กินส์เบิร์กเป็นผู้อ่านคำวินิจฉัยแย้งหน้าบัลลังค์หลายคราว อันเป็นวิธีการที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับผู้พิพากษาเสียงข้างมาก[29]
จากการเกษียณอายุของผู้พิพากษาจอห์น พอล สตีเวนส์ กินส์เบิร์กกลายเป็นสมาชิกที่มีอายุมากที่สุดของฝั่งที่มักเรียกว่าฝั่ง "เสรีนิยม" ของศาล[30][31][32] และเมื่อศาลมีความเห็น 5-4 ตามแนวความคิดของตนและแนวความคิดเสรีนิยมเป็นแนวความคิดเสียงข้างน้อย กินส์เบิร์กมักได้รับอำนาจในการกำหนดให้ผู้พิพากษารายใดรายหนึ่งทำความเห็นแย้งได้เนื่องจากกินส์เบิร์กเป็นผู้พิพากษาที่อายุมากที่สุด[31][d] กินส์เบิร์กเป็นผู้สร้างหลักการของผู้พิพากษาเสรีนิยมเสียงข้างน้อยที่มีคำวินิจฉัย "รวมกันเสียงเดียว" และในกรณีที่จะเป็น สามารถทำคำวินิจฉัยแบบรวมข้อพิจารณาทั้งหมดที่ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยทั้งหมดเห็นพ้องร่วมกันได้ด้วย[30][31]
การทำแท้ง
กินส์เบิร์กให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับประเด็นการทำแท้งและความเท่าเทียมกันทางเพศในหนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทมส์ เมื่อปี 2552 โดยกล่าวถึงการทำแท้งว่า "หลักการพื้นฐานคือรัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับการตัดสินใจของสตรี"[34] แม้ว่ากินส์เบิร์กจะได้สนับสนุนสิทธิในการทำแท้งอย่างต่อเนื่อง และมีความเห็นพ้องในคำพิพากษาศาลสูงสุดในคดี Stenberg v. Carhart 530 U.S. 914 (2000) ที่วินิจฉัยว่ากฎหมายรัฐเนแบรสกาเกี่ยวกับการทำแท้งเมื่อลูกอ่อนเสียชีวิตก่อนออกจากครรภ์มารดานั้นไม่ชอบก็ตาม แต่เมื่อครบรอบ 40 ปีคำพิพากษาศาลสูงสุดในคดี Roe v. Wade 410 U.S. 113 (1973) กินส์เบิร์กวิจารณ์ว่าคำวินิจฉัยในคดีดังกล่าวเป็นการยุติการเคลื่อนไหวเชิงประชาธิปไตยที่เพิ่มเริ่มต้นในการยกเลิกกฎหมายเกี่ยวกับการทำแท้งซึ่งอาจก่อให้เกิดความเห็นพ้องที่หนักแน่นยิ่งขึ้นในการสนับสนุนให้มีสิทธิในการทำแท้งต่อไป[35] ในคดี Gonzales v. Carhart, 550 U.S. 124 (2007) กินส์เบิร์กเป็นผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยในคำวินิจฉัย 5-4 ที่ยืนหลักข้อจำกัดในการทำแท้งเมื่อลูกอ่อนเสียชีวิตก่อนออกจากครรภ์มารดา ในความเห็นแย้งดังกล่าว กินส์เบิร์กปฏิเสธคำวินิจฉัยเสียงข้างมากที่กลับไปใช้ข้อวินิจฉัยทางนิติบัญญัติว่ากระบวนการดังกล่าวไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง โดยกินส์เบิร์กมุ่งวิจารณ์กระบวนการที่ทำให้สภาคองเกรสได้ข้อสรุป และความถูกต้องของข้อสรุปดังกล่าว[36] กินส์เบิร์กยังมีความเห็นพ้องกับคำพิพากษาในคดี Whole Woman's Health v. Hellerstedt, 579 U.S. 15-274 (2016) ซี่งยกเลิกกฎหมายของรัฐเท็กซัสในปี 2556 บางส่วนเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ในเรื่องผู้ให้บริการทำแท้ง โดยกินส์เบิร์กมีความเห็นส่วนตนสั้น ๆ วิจารณ์กฎหมายที่กำลังเป็นประเด็นดังกล่าวยิ่งขึ้นไปอีก [37] กินส์เบิร์กอ้างว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสุขภาพของผู้หญิงอย่างที่รัฐเท็กซัสอ้าง แต่กลับเป็นการจำกัดไม่ให้ผู้หญิงสามารถเข้าถึงการทำแท้งได้[36][37]
การเลือกปฏิบัติทางเพศ
ในคดี United States v. Virginia, 518 U.S. 515 (1996) กินส์เบิร์กเป็นผู้ทำความเห็นของศาลที่วินิจฉัยว่านโยบายของสถาบันทหารเวอร์จิเนียซึ่งรับแต่เฉพาะเพศชาย เป็นการกระทำอันขัดข้อถ้อยคำว่าด้วยการคุ้มครองอย่างเท่าเทียมกันของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 14 สถาบันทหารดังกล่าวเป็นสถาบันที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการทหาร ดำเนินงานโดยรัฐบาล และเป็นสถาบันอันทรงเกียรติซึ่งมีนโยบายไม่รับผู้เข้าศึกษาเพศหญิง กินส์เบิร์กเห็นว่าตัวการระดับรัฐเช่นสถาบันทหารดังกล่าวจะใช้เพศมาเป็นเครื่องกีดกันไม่ให้เพศหญิงเข้าศึกษาในสถาบันทหารซึ่งมีกระบวนการศึกษาที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ได้[38] กินส์เบิร์กเน้นย้ำว่ารัฐบาลต้องแสดงให้เห็นถึง "เหตุผลที่ฟังขึ้นได้เป็นอย่างยิ่ง" ในการใช้เพศเป็นเครื่องมือทำนองดังกล่าว [39]
กินส์เบิร์กมีความเห็นแย้งคำพิพากษาศาลสูงสุดในคดี Ledbetter v. Goodyear, 550 U.S. 618 (2007) ซึ่งเป็นคดีที่ลิลลี่ เลดเบตเตอร์ ผู้เป็นโจทก์ ฟ้องคดีต่อนายจ้างโดยอ้างว่ามีการจ่ายค่าจ้างไม่เท่าเทียมกันด้วยเหตุทางเพศ โดยอาศัยกฎหมายในลักษณะ 7 ของรัฐบัญญัติว่าด้วยสิทธิพลเมืองปี 2507 โดยในคำวินิจฉัยด้วยเสียง 5-4 องค์คณะเสียงข้างมากตีความว่าอายุความเริ่มนับตั้งแต่ระยะเวลาที่ได้มีการจ่ายค่าจ้างทุกคราวไป แม้ว่าผู้หญิงจะไม่ทราบว่าตนได้รับการจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าผู้ร่วมงานที่เป็นผู้ชายจนกระทั่งเวลาผ่านไปบ้างแล้วก็ตาม กินส์เบิร์กเห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่สมเหตุผล โดยอ้างว่าปกติผู้หญิงมักไม่ทราบว่าตนได้รับค่าจ้างต่ำกว่า และย่อมไม่เป็นการยุติธรรมที่จะให้ผู้หญิงโต้แย้งใด ๆ เมื่อได้มีการจ่ายค่าจ้าง กินส์เบิร์กยังชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงอาจไม่กล้าดำเนินการใด ๆ เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมโดยฟ้องคดีเรียกเงินจำนวนเล็กน้อยท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เพศชายเป็นใหญ่ แต่กลับรอให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ [40] ในความเห็นแย้งดังกล่าว กินส์เบิร์กเรียกร้องให้สภาคองเกรสแก้ไขถ้อยคำในลักษณะ 7 เพื่อให้กฎหมายมีผลเป็นการลบล้างคำพิพากษาศาลต่อไป[41] เมื่อประธานาธิบดีบารัค โอบามาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในปี 2551 ได้มีการออกรัฐบัญญัติค่าจ้างเท่าเทียม ลิลลี่ เลดเบตเตอร์เป็นกฎหมาย ทำให้ลูกจ้างสามารถชนะคดีการจ่ายค่าจ้างไม่เท่าเทียมกันได้ง่ายขึ้น[42][43] กินส์เบิร์กได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นผู้จุดประกายให้มีกฎหมายดังกล่าวขึ้น[41][43]
การตรวจค้นและการยึดทรัพย์
แม้ว่ากินส์เบิร์กจะไม่ได้เป็นผู้ทำคำวินิจฉัยเสียงข้างมากในคดี Safford Unified School District v. Redding, 557 U.S. 364 (2009) แต่กินส์เบิร์กก็ได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอิทธิพลต่อผู้พิพากษารายอื่น ๆ ในคดีดังกล่าว [44] โดยศาลวินิจฉัยในคดีดังกล่าวว่า การที่โรงเรียนสั่งให้นักเรียนหญิงอายุ 13 ปีถอดบราและการเกงในเพื่อให้เจ้าหน้าที่หญิงตรวจค้นยาเสพติดเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ[44] ในคำให้สัมภาษณ์ที่เผยแพร่ก่อนศาลมีคำพิพากษา กินส์เบิร์กให้ความเห็นว่าองค์คณะตุลาการบางรายไม่ได้ตระหนักถึงการเปลื้องเครื่องแต่งกายเพื่อตรวจค้นเด็กหญิงอายุ 13 ปีอย่างเต็มที่ โดยกินส์เบิร์กกล่าวว่า "องค์คณะดังกล่าวไม่เคยอยู่ในฐานะของเด็กหญิงอายุ 13 ปีเลย"[45] ในคำพิพากษาเสียง 8-1 ในคดีดังกล่าว ศาลวินิจฉัยว่าการค้นตัวของโรงเรียนเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ ขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 4 และอนุญาตให้นักเรียนดำเนินการฟ้องคดีต่อโรงเรียนได้ โดยผู้พิพากษากินส์เบิร์กและผู้พิพากษาสตีเวนส์ยังได้อนุญาตให้นักเรียนฟ้องร้องเจ้าหน้าที่โรงเรียนเป็นรายบุคคลได้อีกด้วย[44]
ในคดี Herring v. United States, 555 U.S. 135 (2009) กินส์เบิร์กแสดงความไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลในการปฏิเสธที่จะไม่ยอมรับหลักฐานในการพิจารณาคดี เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่อัปเดตระบบคอมพิวเตอร์ ในขณะที่ผู้พิพากษารอเบิตส์เน้นย้ำว่าการไม่ยอมรับหลักฐานเป็นไปเพื่อป้องปรามการกระทำโดยมิชอบของตำรวจ กินส์เบิร์กกลับมีความเห็นอย่างรุนแรงในการไม่ยอมรับหลักฐานดังกล่าวเพื่อเยียวยาการละเมิดสิทธิจำเลยตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 4 กินส์เบิร์กเห็นว่าการไม่ยอมรับหลักฐานเป็นกระบวนการที่ห้ามไม่ให้รัฐบาลหาประโยชน์จากความผิดพลาด และมีลักษณะเป็นการเยียวยาเพื่อปกป้องบูรณภาพในทางตุลาการและการเคารพต่อสิทธิพลเมือง[46]: 308 กินส์เบิร์กยังไม่ยอมรับข้ออ้างของผู้พิพากษารอเบิตส์ว่าการไม่ยอมรับหลักฐานย่อมไม่สามารถป้องปรามการกระทำผิดพลาดได้ โดยกล่าวว่าการให้ตำรวจต้องรับผิดชอบอย่างสูงต่อความผิดพลาดของตนย่อมจะทำให้ตำรวจใช้ความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น[46]: 309
กฎหมายระหว่างประเทศ
ในความเห็นทางกฎหมายต่าง ๆ กินส์เบิร์กยังได้เรียกร้องให้มีการใช้กฎหมายและหลักการระหว่างประเทศเพื่อทำให้กฎหมายสหรัฐสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นมุมมองที่ตุลาการร่วมคณะหัวอนุรักษ์บางรายไม่เห็นพ้องด้วย กินส์เบิร์กสนับสนุนการอาศัยการตีความกฎหมายของต่างประเทศเพื่อให้เกิดเหตุผลจูงใจและปัญญามากขึ้น แต่ไม่ใช่ในฐานะเป็นหลักการเดิมที่ศาลจะต้องวินิจฉัยตาม[47] กินส์เบิร์กเห็นว่าการอาศัยกฎหมายระหว่างประเทศเป็นธรรมเนียมที่ฝังรากมาอย่างยาวนานในกฎหมายสหรัฐ และยกให้จอห์น เฮนรี วิกมอร์และประธานาธิบดีจอห์น แอดัมส์ เป็นบุคคลจำพวกต่างประเทศนิยม[48] การอาศัยหลักกฎหมายระหว่างประเทศของกินส์เบิร์กมีมาตั้งแต่สมัยที่กินส์เบิร์กเป็นทนายความ โดยในคดี Reed v. Reed, 404 U.S. 71 (1971) ซึ่งกินส์เบิร์กได้ว่าความในศาบเป็นครั้งแรก กินส์เบิร์กอ้างถึงคดีในกฎหมายเยอรมันสองคดี[49] และในความเห็นส่วนตนในคำวินิจฉัยคดี Grutter v. Bollinger, 539 U.S. 306 (2003) ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่วินิจฉัยยืนหลักการให้สิทธิกับบุคคลที่ถูกเลือกปฏิบัติมาก่อนในการรับเข้าศึกษาของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยมิชิแกน กินส์เบิร์กเห็นว่ามีความเห็นที่ชี้ให้เห็นว่านโยบายรับเข้าที่อาศัยการให้สิทธิกับผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติมาก่อนย่อมจะต้องมีจุดสิ้นสุด และเห็นพ้องกับสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีขึ้นเพื่อกำจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและทางเพศ[48]
แผนการในอนาคต
เมื่อผู้พิพากษาจอห์น พอล สตีเวนส์เกษียณอายุเมื่อปี 2553 กินส์เบิร์กด้วยวัย 77 ปี ได้กลายเป็นตุลาการศาลสูงสุดที่อายุมากที่สุด[50] และแม้ว่าจะมีข่าวลือว่ากินส์เบิร์กจะเกษียณอายุเนื้อด้วยวัยที่มากขึ้น สุขภาพที่ทรุดโทรม และการเสียชีวิตของสามีของกินส์เบิร์ก[51][52] กินส์เบิร์กก็ได้ปฏิเสธว่าจะเกษียณจากตำแหน่ง ในการสัมภาษณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2553 กินส์เบิร์กกล่าวว่าการปฏิบัติหน้าที่ในศาลสูงสุดทำให้เธอสามารถรับมือกับการเสียชีวิตของสามีได้ กินส์เบิร์กยังกล่าวด้วยว่าจะได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้มีการคืนรูปวาดที่ประดับห้องทำงานของเธอมาแล้วในปี 2555[50] นอกจากนี้ กินส์เบิร์กยังแสดงความประสงค์ที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นระยะเวลานานเท่ากับผู้พิพากษาหลุยส์ แบรนดีส ซึ่งปฏิบัติหน้าที่มาเป็นเวลาเกือบ 23 ปี ซึ่งกินส์เบิร์กสามารถปฏิบัติหน้าที่จนครบระยะเวลาดังกล่าวได้ในเดือนเมษายน 2559[50][53] กินส์เบิร์กยังกล่าวอีกว่าตนมี "เป้าหมาย" ใหม่ที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้ยาวนานเท่ากับอดีตผู้พิพากษาจอห์น พอล สตีเวนส์ ซึ่งเคยร่วมงานกันมาก่อนและเกษียณอายุเมื่ออายุ 90 ปี หลังจากได้ปฏิบัติหน้าที่มาแล้วเป็นเวลาเกือบ 35 ปี[53]
ในระหว่างวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของบารัค โอบามา นักกฎหมายและนักกิจกรรมหัวเก้าหน้าบางรายเรียกร้องให้กินส์เบิร์กเกษียณอายุ เพื่อให้ประธานาธิบดีโอบามาสามารถแต่งตั้งผู้สืบทอดตำแหน่งที่มีลักษณะทำนองเดียวกันได้ [54][55][56] โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพรรคเดโมแครตยังมีเสียงข้างมากอยู่ในวุฒิสภาสหรัฐอยู่[57] นักกิจกรรมดังกล่าวอ้างว่าอายุและปัญหาสุขภาพในอดีตของกินส์เบิร์กเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในการพยายามดำรงตำแหน่งหน้าที่เป็นเวลานาน [55] แต่กินส์เบิร์กได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว [31] และยังยืนยันว่าจะดำรงตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาต่อไปตราบเท่าที่จิตใจยังสมบูรณ์พร้อมในการปฏิบัติหน้าที่อยู่ [31] นอกจากนี้ กินส์เบิร์กยังให้ความเห็นว่าบรรยากาศการเมืองอาจทำให้ประธานาธิบดีโอบามาไม่สามารถแต่งตั้งนักกฎหมายที่มีลักษณะทำนองเดียวกับกินส์เบิร์กได้อีก[58]
อ้างอิง
แหล่งข้อมูล
- De Hart, Jane Sherron (2020). Ruth Bader Ginsburg: A Life (ภาษาอังกฤษ). Knopf Doubleday Publishing Group. ISBN 978-1-9848-9783-1.
- Ginsburg, Ruth Bader; Hartnett, Mary; Williams, Wendy W. (2016). My Own Words. New York, NY: Simon & Schuster. ISBN 978-1501145247.
- Scanlon, Jennifer (1999). Significant Contemporary American Feminists: A Biographical Sourcebook. Greenwood Press. ISBN 978-0313301254. OCLC 237329773.
ดูเพิ่ม
- Bayer, Linda N. Ruth Bader Ginsburg. Philadelphia: Chelsea House Publishers, 2000. ISBN 978-0791052877 OCLC 42771306
- Campbell, Amy Leigh, and Ruth Bader Ginsburg. Raising the Bar: Ruth Bader Ginsburg and the ACLU Women's Rights Project. Princeton, NJ: Xlibris Corporation, 2003. ISBN 978-1413427417 OCLC 56980906
- Carmon, Irin, and Shana Knizhnik. Notorious RBG: The Life and Times of Ruth Bader Ginsburg. New York, Dey Street, William Morrow Publishers, 2015. ISBN 978-0062415837 OCLC 913957624
- Clinton, Bill. My Life. New York: Vintage Books, 2005. pp. 524–25, 941. ISBN 978-1400043934 OCLC 233703142
- de Hart, Jane Sherron. Ruth Bader Ginsburg: A Life. New York: Knopf, 2018. ISBN 978-1400040483
- Dodson, Scott. The Legacy of Ruth Bader Ginsburg. Cambridge: Cambridge University Press, 2015. ISBN 978-1107062467 OCLC 897881843
- Garner, Bryan A. Garner on Language and Writing. Chicago: American Bar Association, 2009. Foreword by Ruth Bader Ginsburg. ISBN 978-1590315880 OCLC 310224965
- Ginsburg, Ruth Bader, et al. Essays in Honor of Justice Ruth Bader Ginsburg. Cambridge, MA: Harvard Law School, 2013. OCLC 839314921
- Hirshman, Linda R. Sisters in Law: How Sandra Day O'Connor and Ruth Bader Ginsburg Went to the Supreme Court and Changed the World. New York: HarperCollins, 2015. ISBN 978-0062238481 OCLC 907678612
- Moritz College of Law. 2009. "The Jurisprudence of Justice Ruth Bader Ginsburg: A Discussion of Fifteen Years on the U.S. Supreme Court: Symposium". Ohio State Law Journal. 70, no. 4: 797–1126. ISSN 0048-1572 OCLC 676694369
- Committee on the Judiciary United States Senate (July 20–23, 1993). Supreme Court Associate Justice Nomination Hearings on Ruth Bader Ginsburg (PDF) (Report). United States Government Publishing Office.
แหล่งข้อมูลอื่น
- ข้อมูลการออกสื่อ บน ซี-สแปน
- แม่แบบ:LoC-MSS OCLC 70984211
- แม่แบบ:Ballotpedia
- Issue positions and quotes at OnTheIssues
- Ruth Bader Ginsburg, video produced by Makers: Women Who Make America
ก่อนหน้า | รูธ เบเดอร์ กินส์เบิร์ก | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
ตำแหน่งทางนิติศาสตร์ | ||||
สมัยก่อนหน้า แฮรอลด์ เลเวนธอล | ผู้พิพากษาประจำศาลอุทรณ์ดีซี 1980–1993 | สมัยต่อมา เดวิด เอส. เทเทิล | ||
สมัยก่อนหน้า บีเริน ไวท์ | ตุลาการสมทบในศาลสูงสุดสหรัฐ 1993–2020 | สมัยต่อมา ยังไม่ประกาศ |
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/>
ที่สอดคล้องกัน