สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 122
สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 122[1] (อังกฤษ: Franco–Siamese Treaty of 1904; ฝรั่งเศส: Traité français–siamois de 1904) เป็น อนุสัญญา (convention) หรือที่ในสมัยนั้นเรียกว่า "สัญญาน้อย" ระหว่าง ราชอาณาจักรสยาม (ต่อมาคือ ประเทศไทย) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ กับสาธารณรัฐฝรั่งเศส ในสมัยของประธานาธิบดีเอมีล ฟรังซัวส์ ลูแบ (Émile François Loubet) มีเนื้อหาสำคัญเป็นการกำหนดเขตแดนระหว่างราชอาณาจักรสยามกับดินแดนใกล้เคียงซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นของสาธารณรัฐฝรั่งเศสแล้ว กับทั้งยังให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ชาวฝรั่งเศสหรือผู้อยู่ในบังคับฝรั่งเศสด้วย
อนุสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส แก้ไขเพิ่มเติมข้อบทแห่งสนธิสัญญาฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112 ว่าด้วยดินแดนกับข้อตกลงอื่น ๆ ฉบับลงนาม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทรศก 122 | |
---|---|
สำเนาสนธิสัญญาฯ ฉบับภาษาไทย | |
ประเภท | อนุสัญญา |
บริบท |
|
วันร่าง | 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 |
วันลงนาม | 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2446 |
ที่ลงนาม | กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส |
ผู้ลงนาม | เกิด บุนนาค เตโอฟิล เดกาสเซ |
ภาคี | ราชอาณาจักรสยาม สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 |
ภาษา | ภาษาไทย ภาษาฝรั่งเศส |
หนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 122 ที่ วิกิซอร์ซ |
การลงนาม
ผู้มีอำนาจเต็มฝ่ายสยามซึ่งลงลายมือชื่อในสนธิสัญญา คือ มหาอำมาตย์เอก พระยาสุริยานุวัตร (เกิด บุนนาค) เอกอัครราชทูตสยามประจำประเทศฝรั่งเศส ส่วนฝ่ายฝรั่งเศส คือ เตโอฟิล เดกาสเซ (Théophile Delcassé) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ[2]
การเจรจามีขึ้น ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 122 (ตรงกับ ค.ศ. 1904 และ พ.ศ. 2446) และลงลายมือชื่อกันในอีกสองวันถัดมา[3]
เนื้อหา
การกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศสยามกับประเทศกัมพูชา
เนื้อหาสำคัญของสนธิสัญญานี้ ข้อ 1 เป็นการกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศสยามกับประเทศกัมพูชาซึ่งสมัยนั้นเป็นรัฐอารักขา (protectorate) ของประเทศฝรั่งเศส โดยให้ใช้สันปันน้ำ (watershed) หรือที่สมัยนั้นเรียกว่า "ภูเขาปันน้ำ" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเขาบรรทัดหรือที่ในภาษากัมพูชาเรียก "พนมดงรัก" (Pnom Dangrek) เป็นเส้นเขตแดน โดยกำหนดว่า[4]
"เขตแดนในระหว่างกรุงสยามกับกรุงกัมพูชานั้น ตั้งต้นแต่ปากคลองสดุงโรลูออสข้างฝั่งซ้ายทะเลสาบ เป็นเส้นเขตแดนตรงทิศตะวันออก ไปจนบรรจบถึงคลองกะพงจาม ตั้งแต่ที่นี้ต่อไป เขตแดนเป็นเส้นตรงทิศเหนือขึ้นไปจนบรรจบถึงภูเขาพนมดงรัก (คือ ภูเขาบรรทัด) ต่อนั้นไป เขตแดนเนื่องไปตามแนวยอดภูเขาปันน้ำในระหว่างดินแดนน้ำตกน้ำแสนแลดินแดนน้ำตกแม่โขงฝ่ายหนึ่ง กับดินแดนน้ำตกน้ำมูนอีกฝ่ายหนึ่ง จนบรรจบถึงภูเขาผาด่าง แล้วต่อเนื่องไปข้างทิศตะวันออกตามแนวยอดภูเขานี้จนบรรจบถึงแม่โขง ตั้งแต่ที่บรรจบนี้ขึ้นไปแม่โขง เป็นเขตแดนของกรุงสยามตามความข้อ 1 ในหนังสือสัญญาใหญ่ ณ วันที่ 3 ตุลาคม รัตนโกสินทรศก 112"
อนึ่ง ข้อ 3 ว่า ในการกำหนดเขตแดนตามข้อ 1 ให้ภาคีทั้งสองฝ่ายตั้ง "คณะกรรมาธิการร่วม" (Joint Commission) หรือที่ในสมัยนั้นเรียก "ข้าหลวงร่วม" ไปร่วมกันปักปันเขตแดนตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ในข้อ 1 นั้นเอง โดยการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมนี้ ให้รีบดำเนินการภายในสี่เดือนนับแต่สนธิสัญญามีผลใช้บังคับ[5]
ข้อ 5 ยังระบุว่า เมื่อกระบวนการปักปันเขตแดนเสร็จสิ้นแล้ว ฝ่ายประเทศฝรั่งเศสจะได้สั่งให้ถอนกองทหารของตนที่เข้าประจำการในจังหวัดจันทบุรีโดยอาศัยอำนาจตามสนธิสัญญา ลงวันที่ 2 ตุลาคม ร.ศ. 112 นั้น ออกจากจังหวัดดังกล่าวทันที[6]
การสละอำนาจอธิปไตยเหนือประเทศลาว
ในข้อ 4 แห่งสนธิสัญญาดังกล่าว รัฐบาลสยามยังยอมสละอำนาจอธิปไตยเหนือประเทศลาวให้แก่ประเทศฝรั่งเศส[7] นอกจากนี้ ข้อ 2 แห่งสนธิสัญญา ยังกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศสยามกับประเทศลาวด้วย ว่า[8]
"ฝ่ายเขตแดนในระหว่างเมืองหลวงพระบางข้างฝั่งขวาแม่น้ำโขง แลเมืองพิชัย กับเมืองน่านนั้น เขตแดนตั้งต้นแต่ปากน้ำเฮียงที่แยกจากแม่โขง เนื่องไปตามกลางลำน้ำแม่เฮียง จนถึงที่แยกปากน้ำตาง เลยขึ้นไปตามลำน้ำตางจนบรรจบถึงยอดภูเขาปันน้ำในระหว่างดินแดนน้ำตกแม่โขง แลดินแดนน้ำตกแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงที่แห่งหนึ่งที่ภูเขาแดนดิน ตั้งแต่ที่นี้ เขตแดนต่อเนื่องขึ้นไปทางทิศเหนือตามแนวยอดเขาปันน้ำในระหว่างดินแดนน้ำตกแม่โขงแลดินแดนน้ำตกแม่น้ำเจ้าพระยา จนบรรจบถึงปลายน้ำควบแล้ว เขตต่อแดนเนื่องไปตามลำน้ำควบจนบรรจบกับแม่น้ำโขง"
อื่น ๆ
ข้อ 12 แห่งสนธิสัญญา ว่า ประเทศสยามให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่ประเทศฝรั่งเศส โดยกำหนดว่า คนในบังคับฝรั่งเศสมีสิทธิที่จะไม่ขึ้นศาลสยามได้ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา[9]
ส่วนเนื้อหาอื่น ๆ เป็นการตกลงกันว่า
- สยามกับฝรั่งเศสจะร่วมมือกันพัฒนาการคมนาคมและการสื่อสารในบริเวณประเทศลาวและประเทศกัมพูชาซึ่งติดต่อกับประเทศสยาม
- ประเทศสยามจะอุทิศดินแดนบางส่วนในประเทศให้เป็นที่ตั้งที่ดำเนินงานของฝ่ายฝรั่งเศส[10]
- กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้าเป็นคนในบังคับของประเทศฝรั่งเศส[11]
- ทหารไทยที่จะเข้าไปในบริเวณแม่น้ำโขงต้องเป็นผู้ถือสัญชาติไทยเท่านั้น ยกเว้นตำรวจภูธรของไทยที่มีผู้บังคับบัญชาเป็นชาวเดนมาร์ก ถ้าสยามจะใช้คนสัญชาติอื่น ต้องแจ้งให้ฝรั่งเศสทราบก่อน
- ในมณฑลบูรพา สยามจะจัดให้มีแต่พลตระเวนเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยเท่านั้น
- สยามอนุญาตให้ฝรั่งเศสใช้ที่ดินบริเวณ เชียงคาน หนองคาย เมืองสนัยบุรี ปากแม่น้ำคาน มุกดาหาร เมืองเขมราฐ ปากแม่น้ำมูล ตามรายละเอียดในสนธิสัญญา พ.ศ. 2436
- ถ้าข้อความทั้งสองภาษามีความขัดแย้งกัน ให้ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก
การปักปันเขตแดนระหว่างประเทศสยามกับประเทศกัมพูชา
แผนที่ตามเอกสารแนบท้ายหมาย 1
ผลของสนธิสัญญา
สนธิสัญญานี้มีผลต่อการกำหนดเขตแดนระหว่างไทยกับลาวในปัจจุบัน และเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาบางส่วน โดยเมื่อสยามยกมณฑลบูรพาให้ฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2449 ได้มีสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส พ.ศ. 2449 เพื่อกำหนดเขตแดนระหว่างไทย-กับกัมพูชาบริเวณมณฑลบูรพาเดิมใหม่[ต้องการอ้างอิง] และยังได้รับการอ้างถึงในคำพิพากษาศาลโลกในกรณีพิพาทปราสาทพระวิหารไทย-กัมพูชา เมื่อ พ.ศ. 2505
เชิงอรรถ
ดูเพิ่ม
- สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 112
- สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 125
- ความสัมพันธ์ฝรั่งเศส–ไทย
- ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา
- ความขัดแย้งไทย–กัมพูชา
- สงครามสยาม–ฝรั่งเศส
- แถลงการณ์ร่วมไทย–กัมพูชา พ.ศ. 2551
- บันทึกความเข้าใจไทย–กัมพูชา พ.ศ. 2543
- เรื่องพิจารณาที่ 23-24/2551 (คดีของศาลรัฐธรรมนูญ)