เจนละ

อาณาจักรเจนละ, หรือภาษาจีนว่า เจินล่า (จีนตัวย่อ: 真腊; จีนตัวเต็ม: 真臘; พินอิน: Zhēnlà), ภาษาเขมรว่า เจนฬา (เขมร: ចេនឡា), และภาษาเวียดนามว่า เจินหลัป (เวียดนาม: Chân Lạp) เป็นชื่อที่เอกสารจีนใช้เรียกรัฐซึ่งมาทีหลังฟูนัน และมาก่อนอาณาจักรพระนคร ดำรงอยู่ในพื้นที่อินโดจีนช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 6 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 และในเอกสารที่โจว ต้ากวาน (周達觀) ขุนนางจีน เขียนขึ้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 13 ก็ยังปรากฏชื่อนี้อยู่[1]

อาณาจักรเจนละ

ចេនឡា
ค.ศ. 550–ค.ศ. 802
ที่ตั้งของ
สถานะรัฐอารักขาของอาณาจักรฟูนาน(ค.ศ. 550 - ?) อาณาจักร(? - ค.ศ. 802)
เมืองหลวงเศรษฐปุระ
ภวปุระ
อีศานปุระ
สัมภุปุระ
ภาษาทั่วไปเขมรเก่า, สันสกฤต
ศาสนา
พราหมณ์ฮินดู, พุทธ
การปกครองสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ยุคประวัติศาสตร์ยุคกลาง
• รัฐอารักขาของอาณาจักรฟูนาน
ค.ศ. 550
• ส่งทูตไปจีน
ค.ศ. 616/617
• แบ่งแยกเป็นเจนละบกกับเจนละน้ำ
หลัง ค.ศ. 706
ค.ศ. 802
ก่อนหน้า
ถัดไป
อาณาจักรฟูนัน
อาณาจักรพระนคร
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ กัมพูชา
 ไทย
 ลาว
 เวียดนาม

เอกสารของราชวงศ์สุย (隋朝) ระบุว่า ฟูนันซึ่งส่งทูตมาในช่วง ค.ศ. 616–617 นั้นมีเมืองขึ้นเมืองหนึ่งนามว่า "เจนละ" ภายหลัง ผู้นำเจนละยกทัพไปตีฟูนันได้สำเร็จ ไม่เป็นเมืองขึ้นอีกต่อไป[2] และเอกสารอื่น ๆ นำข้อความนี้ไปอ้างถึง ซึ่งก็เป็นที่โต้แย้งเรื่องความถูกต้องแม่นยำมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1970[3] นอกจากนี้ ที่เอกสารจีนว่า เจนละเป็นรัฐอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น ก็ถกเถียงกันมาช้านานว่า เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของผู้บันทึกเอกสารจีนหรือไม่ และนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันเห็นว่า เจนละเป็นรัฐต่าง ๆ ที่มารวมกลุ่มกันอย่างหลวม ๆ และชั่วคราว มากกว่าจะเป็นรัฐอันหนึ่งอันเดียว[4]

เจนละเหมือนฟูนันตรงที่มาได้ที่ตั้งอันเป็นจุดยุทธศาสตร์ตรงเส้นทางการค้าทางน้ำสายมณฑลอินโด (Indosphere) กับสายมณฑลวัฒนธรรมเอเชียตะวันออก (East Asian cultural sphere) ตัดกันพอดี ทำให้เจนละมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสังคมอยู่เป็นเวลานาน ทั้งเป็นเหตุให้เจนละรับระบบการเขียนจารึกของราชวงศ์ปัลลวะและราชวงศ์จาลุกยะแห่งอินเดียใต้มาใช้[5][6]

ชนชั้นปกครองในเจนละนั้น ที่มาที่ไปเป็นอย่างไรยังไม่แน่ชัด ไมเคิล วิกเกอรี (Michael Vickery) นักประวัติศาสตร์ ขนานนามพวกเขาว่า "ประมุขแห่งดงรัก" (Dângrêk Chieftains) เพราะอาศัยอยู่แถบเหนือและใต้ของพนมดงรัก และสร้างศิลาจารึกไว้หลายหลักซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคนี้ มีเนื้อหาว่าด้วยวงศ์วานของพวกเขาซึ่งแสดงให้เห็นถึงการแผ่อำนาจทางการเมือง[7] จารึกภาษาสันสกฤตหลักหนึ่งจาก Vãl Kantél ในสทึงแตรง (ស្ទឹងត្រែង สฺทึงแตฺรง) มีข้อความสื่อว่า ผู้นำคนหนึ่งนาม "วีรวรรมัน" (Vīravarman) ใช้แนวคิดเทวราชาและหริหระของศาสนาฮินดูในการปกครอง[8]

เอกสารจีนชื่อ ซินถังชู (新唐書) กล่าวว่า ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 8 รัฐเจนละแตกแยกออกเป็นเจนละบก (陸真臘) กับเจนละน้ำ (水真臘)[9] แล้วภายในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 เจนละน้ำก็ตกเป็นเมืองขึ้นของชวา ผู้ปกครองคนสุดท้ายของเจนละน้ำนั้นเชื่อว่าถูกประหาร ทำให้สิ้นราชวงศ์ แล้วเจนละน้ำก็ผนวกเข้ากับชวาในราว ค.ศ. 790 ส่วนชัยวรรมันที่ 2 (ជ័យវរ្ម័នទី២ ชัยวรฺมันที ๒) ผู้นำท้องถิ่น รวมรวบดินแดนทั้งหลายที่เหลือไปก่อตั้งเป็นจักรวรรดิเขมรใน ค.ศ. 802[10]

รากศัพท์

คำว่า "เจนละ" ปรากฏในเอกสารจีนว่า เป็นชื่อรัฐแห่งหนึ่งซึ่งส่งบรรณาการมาให้จักรพรรดิจีน[11] แต่คำนี้ไม่ปรากฏในภาษาเขมรเก่า (Old Khmer)[12]

มีผู้เห็นว่า "เจนละ" ในภาษาจีน แปลว่า "ขี้ผึ้งบริสุทธิ์" (pure beeswax) ซึ่งน่าจะมาจากการที่ภูมิภาคนี้มีสินค้าอย่างหนึ่งเป็นขี้ผึ้งบริสุทธิ์ ตามที่เอกสารจีนพรรณนาไว้[13][14] แต่ในสมัยราชวงศ์ถัง (唐朝) คำว่า "เจนละ" ออกเสียงว่า "Tsienliäp" จึงมีผู้เสนอแนวคิดอีกประการว่า "เจนละ" อาจเป็นคำเดียวกับ "เสียมเรียบ" หรือ "สยามราบ" (សៀមរាប เสียมราบ) ที่แปลว่า สยามแพ้ราบคาบ แต่ก็มีผู้ไม่เห็นด้วย[15][1]

ส่วนพีเทอร์ แฮร์ริส (Peter Harris) เห็นว่า "เจนละ" น่าจะแปลว่า "จามราบคาบ" มากกว่า "สยามราบคาบ" เพราะคำว่า "เจนละ" ในภาษาจีนเขียนได้อีกอย่างว่า "จั้นล่า" (占臘) และคำว่า "จั้น" นี้จีนใช้เรียกจาม แฮร์ริสยังอ้างถึงเอกสาร หมิงฉื่อ (明史) ที่ระบุว่า ในรัชศกชิ่ง-ยฺเหวียน (慶元) ของจักรพรรดิหนิงจง (寧宗) แห่งราชวงศ์ซ่ง (宋朝) ซึ่งตรงกับ ค.ศ. 1195–1200 นั้น กัมพูชาขับไล่ชาวจามออกไปจากดินแดน จึงได้ครองดินแดน เป็นเหตุให้ดินแดนนี้เปลี่ยนชื่อเรียกเป็น "จั้นล่า" แต่ในช่วงราชวงศ์ยฺเหวียน (元朝) คำนี้ก็กลายเป็น "เจินล่า" (เจนละ) ไป[1]

พระมหากษัตริย์เจนละซึ่งใช้ประเพณีปกครองแบบเทวราชาของฮินดูนั้น มักใช้พระนามที่มีคำว่า "วรรมัน/วรรมัม" (varman/varmam) อันแปลว่า มีเกราะ หรือมีเครื่องคุ้มกัน เช่น "ชัยวรรมัน" (่jayavarman) แปลว่า มีชัยชนะเป็นเกราะ ธรรมเนียมนี้เป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายมนุสัมฤติ (मनुस्मृति มนุสฺมฺฤติ) บัญญัติไว้สำหรับชนชั้นกษัตริย์[16]

ประวัติ

ความเป็นมาของเจนละค่อนข้างคลุมเครือ เจนละเดิมน่าจะเป็นหนึ่งในศูนย์อำนาจทางภูมิภาคของรัฐฟูนัน โดยมีอำนาจปกครองตนเองในระดับหนึ่ง แล้วแยกตัวออกจากฟูนันในราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 6 ส่วนประเด็นทางภูมิศาสตร์เกี่ยวกับเจนละ เช่น อาณาเขต, การขยายอาณาเขต, ศูนย์กลางทางศาสนา, และศูนย์กลางทางการเมือง รวมถึงประเด็นความเป็นรัฐเดี่ยวหรือเป็นรัฐต่าง ๆ ที่มารวมกลุ่มกันนั้น นักวิชาการยังไม่ลงรอยกัน[17][18]

เอกสารจีนระบุว่า เจนละเป็นรัฐหนึ่งรัฐ แต่ไมเคิล วิกเกอรี นักประวัติศาสตร์ สันนิษฐานว่า จีนน่าจะใช้คำว่า "เจนละ" เรียกรัฐหลาย ๆ รัฐรวมกันเหมือนเป็นรัฐอันหนึ่งอันเดียว เพื่อให้ง่ายต่อการจัดหมวดหมู่ผู้คนที่มีลักษณะบางประการร่วมกัน โดยมิได้สนใจว่า รัฐเหล่านี้แตกต่างกันประการใด[19]

สำหรับการแยกตัวของเจนละจากฟูนันนั้น ตามเอกสารจีนแล้ว ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 6 ผู้นำของเจนละ คือ ภววรรมันที่ 1 (ភវវរ្ម័នទី១ ภววรฺมันที ๑) และมเหนทรวรรมัน (មហេន្ទ្រវរ្ម័ន มเหนฺทฺรวรฺมัน) รวมกำลังกันไปตีฟูนัน และพิชิตฟูนันได้สำเร็จ[20][21]

เอกสาร ซินถังชู ของราชวงศ์ถังว่า เมื่อสิ้นรัชศกเฉินหลง (神龍) ของจักรพรรดิจงจง (中宗) แห่งราชวงศ์ถัง ซึ่งตรงกับ ค.ศ. 705–707 นั้น ปรากฏว่า เจนละแตกแยกออกเป็นสองส่วน คือ เจนละบกกับเจนละน้ำ เป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความวุ่นวายทางการเมืองเหมือนที่เคยเป็นมาก่อนบรรพกษัตริย์ฟูนันและเจนละจะหลอมรวมแผ่นดินเป็นอันหนึ่งอันเดียว ต่อมาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 8 ราชวงศ์ไศเลนทร์ (Shailendra dynasty) จากเกาะชวามาปล้นและยึดครองเจนละน้ำได้สำเร็จ แต่ไมเคิล วิกเกอรี เห็นว่า การที่จีนแบ่งเจนละออกเป็นเจนละบกกับเจนละน้ำนี้ชวนให้เข้าใจผิด เพราะเดิมทีก็ไม่มีรัฐอันหนึ่งอันเดียวอยู่แล้ว อย่างน้อยก็จนกว่าจะก่อตั้งจักรวรรดิเขมรใน ค.ศ. 802[22]

จำนวนจารึกที่เคยสร้างขึ้นอย่างมากในคริสต์ศตวรรษที่ 7 กลับลดลงอย่างยิ่งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 บ่งบอกว่า เวลานั้น เจนละเสื่อมโทรมลงเต็มทีแล้ว ซึ่งน่าจะเป็นเพราะความขัดแย้งภายใน และปัญหาภายนอกที่มาจากการโจมตีของราชวงศ์ไศเลนทร์ อย่างไรก็ดี ปรากฏว่า ผู้นำท้องถิ่นคนหนึ่ง คือ ชัยวรรมันที่ 2 สามารถก่อตั้งรัฐที่เรียกว่า "จักรวรรดิเขมร" ใน ค.ศ. 802 ทำให้ช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายยุติลง

ศูนย์กลางการเมือง

ในทางวิชาการนั้น ฌอร์ฌ เซแด็ส‎ (George Cœdès) และบุคคลอื่น ๆ ซึ่งร่วมสมัยกับเขา อ้างอิงเอกสารของราชวงศ์สุยที่กล่าวว่า พระมหากษัตริย์เจนละประทับอยู่ใกล้ภูเขานามว่า "Ling-jia-bo-po" และเห็นว่า "Ling-jia-bo-po" มาจากคำว่า "Lingaparvata" (ลิงคบรรพต; "ภูเขาลึงค์") และวัดภู (ວັດພູ) ในแขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ก็มีโบราณสถานเขมรที่สอดคล้องกับลักษณะที่เอกสารจีนพรรณนาไว้พอดี จึงสรุปว่า วัดภูก็คือศูนย์กลางของเจนละ[23][24][25] แต่นักวิชาการปัจจุบัน เช่น ไมเคิล วิกเกอรี และโกลด ฌัก (Claude Jacques) ไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่วัดภูแห่งเดียวที่มีลักษณะสอดคล้องกับความเป็น "ลิงคบรรพต" ทว่า หลักฐานต่าง ๆ ในยุคเจนละก็มีเหลือไม่มากพอจะให้ได้ข้อยุติ[26]

ส่วนตำนานกัมพูชาว่า นักบวชนาม "กัมวุสวยัมภุวะ" (កម្វុស្វយម្ភុវ กมฺวุสฺวยมฺภุว) ได้รับสตรีนาม "เมระ" (Mera) มาจากพระศิวะ นักบวชและสตรีดังกล่าวสมสู่กันจนเกิดบุตร คือ ศรุตวรรมัน (Śrutavarman) และศรุตวรรมันมีบุตรนาม "เศรษฐวรรมัน" (Sreshthavarman) ซึ่งเป็นที่มาของนครที่เรียกว่า "เศรษฐปุระ" (ស្រេស្ឋបុរ เสฺรสฺฐบุร) และมีผู้เชื่อมโยงว่า เศรษฐปุระเป็นศูนย์กลางของเจนละอันตั้งอยู่ ณ ลิงคบรรพตนั้น[27]

รายพระนามพระมหากษัตริย์เจนละ

พระมหากษัตริย์ครองราชย์
รัชกาลพระรูปพระนามระหว่างหมายเหตุ
อาณาจักรเจนละ
(พ.ศ. 1093 – 1345)
19 พระเจ้าภววรมันที่ 1พ.ศ. 1123 – 1143
(20 ปี)
เป็นเชษฐาของพระเจ้ามเหนทรวรมัน พระองค์เป็นเชื้อพระวงศ์ในอาณาจักรฟูนานที่ปกครองเมืองภวปุระ พระองค์ได้ร่วมมือกันกับเจ้าชายจิตรเสน ยกกองทัพเข้าชิงราชสมบัติจากพระเจ้ารุทรวรมัน เพราะเห็นว่าพระเจ้ารุทรวรมันขาดความชอบธรรมในการขึ้นครองราชสมบัติโดยหลังจากที่พระเจ้าเกาฑิณยะชัยวรมันที่ 3สวรรคต พระเจ้ารุทรวรมันก็ทำการสังหารรัชทายาทที่ชอบธรรมที่ประสูติจากพระอัครมเหสี แล้วขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฟูนาน ซึ่งพระเจ้าภววรมันที่ 1 ก็ได้รับชัยชนะเหนือพระเจ้ารุทรวรมันและยึดราชธานีวยาธปุระได้สำเร็จ}}
20 พระเจ้ามเหนทรวรมันพ.ศ. 1143 – 1159
(16 ปี)
เป็นอนุชาของพระเจ้าภววรมันที่ 1
21 พระเจ้าอิศานวรมันที่ 1พ.ศ. 1159 – 1178
(19 ปี)
เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามเหนทรวรมัน
22 พระเจ้าภววรมันที่ 2พ.ศ. 1182 – 1200
(18 ปี)
23 พระเจ้าชัยวรมันที่ 1พ.ศ. 1200 – 1224
(24 ปี)
สวรรคตโดยไม่มีรัชทายาทที่เป็นชายหลงเหลืออยู่เลย พระมเหสีของพระองค์ คือ พระนางเจ้าชัยเทวี จึงสืบราชสมบัติต่อ และทำให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนออกเป็นภาคส่วนต่าง ๆ [24][28]
24 พระนางเจ้าชัยเทวีพ.ศ. 1224 – 1256
(32 ปี)
เป็นพระมเหสีของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1
25 พระเจ้าพลาทิตย์พ.ศ. 1256 – 1256
(น้อยกว่า 1 ปี)
26 พระเจ้านรีประทินวรมันพ.ศ. 1256 – 1259
(3 ปี)
27 พระเจ้าบุษกรักษาพ.ศ. 1259 – 1273
(14 ปี)
28 พระเจ้าสัมภูวรมันพ.ศ. 1273 – 1303
(30 ปี)
29 พระเจ้าราเชนทรวรมันที่ 1พ.ศ. 1303 – 1323
(20 ปี)
30 พระเจ้ามหิปติวรมันพ.ศ. 1303 – 1345
(42 ปี)
อาณาจักรศรีวิชัย เข้ายึดครองอาณาจักรเจนละ (พ.ศ. 1345)

อ้างอิง


หมายเหตุ

อ้างอิง

บทความ

  • Barth, Aguste (1903). "Inscription sanskrite du Phou Lokhon (Laos)". Album Kern; Opstellen Geschreven Ter Eere van H[endrik] Kern: 37–40.
  • {{Cite journal|last=Coedes|first=Georges|date=1943|title=Études Cambodgiennes XXXVI: Quelques précisions sur la fin de Fou-nan|journal=Bulletin de l'École Française d'Extrême-Orient|volume=43|issue=|pages=1–8|doi=10.3406/befeo.1943.5733|jstor=|via=Persée
  • Dowling, Nancy (1994), What and Where was Chenla?, École française d'Extrême-Orient, Paris
  • Dowling, Nancy (2000). "New Light on Early Cambodian Buddhism". Journal of the Siam Society. 88 (1&2): 122–155.
  • {{Cite journal|last=Finot|first=Louis|date=1928|title=Nouvelles inscriptions du Cambodge|journal=Bulletin de l'École Française d'Extrême-Orient|volume=28|issue=1|pages=43–80|doi=10.3406/befeo.1928.3116|jstor=|via=Persée
  • {{Cite journal|last=Higham|first=Charles|date=2015|title=At the dawn of history: From Iron Age aggrandisers to Zhenla kings|journal=Journal of Southeast Asian Studies|volume=437|issue=3|pages=418–437|doi=10.1017/S0022463416000266|s2cid=163462810|via=Cambridge University Press
  • Lavy, Paul A. (2003). "As in Heaven, So on Earth: The Politics of Visnu Siva and Harihara Images in Preangkorian Khmer Civilisation". Journal of Southeast Asian Studies. National University of Singapore. 34 (1): 21–39. doi:10.1017/S002246340300002X. S2CID 154819912. สืบค้นเมื่อ 23 December 2015 – โดยทาง Academia.edu.
  • Lévy, Paul (1970). "Thala Bŏrivăt ou Stu'ṅ Trèṅ: sites de la capitale du souverain khmer Bhavavarman Ier". Journal Asiatique. 258: 113–129.
  • {{Cite journal|last=Pelliot|first=Paul|date=1903|title=Le Fou-nan|journal=Bulletin de l'École Française d'Extrême-Orient|volume=3|issue=|pages=248–303|doi=10.3406/befeo.1903.1216|jstor=|via=Persée
  • {{Cite journal|last=Pelliot|first=Paul|date=1904|title=Deux itinéraires de Chine en Inde à la fin du VIIIe siècle|journal=Bulletin de l'École Française d'Extrême-Orient|volume=4|issue=|pages=131–413|doi=10.3406/befeo.1904.1299|jstor=|via=Persée
  • {{Cite journal|last=Seidenfaden|first=Erik|date=1922|title=Complément à l'inventaire descriptif des Monuments du Cambodge pour les quatre provinces du Siam Oriental|journal=Bulletin de l'École Française d'Extrême-Orient|volume=22|issue=|pages=55–99|doi=10.3406/befeo.1922.2912|jstor=|via=Persée
  • Sternstein, Larry (1964). "An Historical Atlas Of Thailand". Journal of the Siam Society. 3 (1–2).
  • Vickery, Michael (1994), What and Where was Chenla?, École française d'Extrême-Orient, Paris
  • Wolters, O. W. (1974). "North-western Cambodia in the seventh century". Bulletin of the School of Oriental and African Studies. 37 (2): 355–384. doi:10.1017/S0041977X00136298. JSTOR 612583. S2CID 162613112.

หนังสือ

เว็บไซต์

11°33′N 104°55′E / 11.550°N 104.917°E / 11.550; 104.917

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง