อุซามะฮ์ บิน ลาดิน
โอซามะฮ์ บิน โมฮัมเม็ด บิน อาวัด บิน ลาดิน[1][note 1] (อาหรับ: أسامة بن محمد بن عوض بن لادن; 10 มีนาคม ค.ศ. 1957[7] – 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2011)[8] เป็นผู้ก่อตั้งองค์กรทหารรวมอิสลาม อัลกออิดะฮ์ ซึ่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เนโท สหภาพยุโรป และอีกหลายประเทศที่ประกาศว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย
อุซามะฮ์ บิน ลาดิน أسامة بن لادن | |
---|---|
บิน ลาดิน ป. ค.ศ. 1997–98 | |
นายพลเอมีร์คนแรกของอัลกออิดะฮ์ | |
ดำรงตำแหน่ง 11 สิงหาคม ค.ศ. 1988 – 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 | |
ก่อนหน้า | ก่อตั้งตำแหน่ง |
ถัดไป | อัยมัน อัซเซาะวาฮิรี |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | อุซามะฮ์ บิน มุฮัมมัด บิน อะวัฎ บิน ลาดิน[1] 10 มีนาคม ค.ศ. 1957 ริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย |
เสียชีวิต | 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 เอบเฏอบอด, แคว้นแคบาร์ปัคตูนควา, ประเทศปากีสถาน | (54 ปี)
สาเหตุการเสียชีวิต | แผลจากการถูกยิง |
สัญชาติ | ซาอุดีอาระเบีย (ค.ศ. 1957–1994) |
ความสูง | 1.95 เมตร (6 ฟุต 5 นิ้ว)[6] |
คู่สมรส | นัจวา ฆอนิม (สมรส 1974; หย่า 2001) Khadijah Sharif (สมรส 1983; หย่า 1990) Khairiah Sabar (สมรส 1985) Siham Sabar (สมรส 1987) Amal Ahmed al-Sadah (สมรส 2000) |
บุตร | 20–26 คน; รวมอับดุลลอฮ์, ซะอัด, อุมัร และฮัมซะฮ์ |
บุพการี | มุฮัมมัด บิน อะวัฎ บิน ลาดิน ฮะมีดะฮ์ อัลอะฏอส |
ความสัมพันธ์ | ครอบครัวบิน ลาดิน |
ศาสนา | อิสลาม (วะฮาบีย์/ซะละฟี)[2][3][4][5] |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | มักตะบุลคิดมาต (ค.ศ. 1984–1988) อัลกออิดะฮ์ (1988–2011) |
ประจำการ | ค.ศ. 1984–2011 |
ยศ | นายพลเอมีร์คนแรกของอัลกออิดะฮ์ |
ผ่านศึก | สงครามโซเวียต–อัฟกานิสถาน
|
เขาเคยเป็นพลเมืองซาอุดีอาระเบียจนถึง ค.ศ. 1994 และเป็นสมาชิกของครอบครัวบิน ลาดินที่ร่ำรวย[9] มุฮัมมัด บิน อะวัฎ บิน ลาดิน พ่อของบิน ลาดิน เป็นเศรษฐีพันล้านชาวซาอุดีจากฮัฎเราะเมาต์ ประเทศเยเมน และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทก่อสร้าง ซาอุดีบินลาดินกรุ๊ป[10] ส่วนอาลิยะฮ์ ฆอนิม แม่ของเขา เป็นฆราวาสจากครอบครัวชนชั้นกลางในอัลลาษิกียะฮ์ ประเทศซีเรีย[11] เขาเกิดในประเทศซาอุดีอาระเบียและศึกษาที่มหาวิทยาลัยในประเทศจนถึง ค.ศ. 1979 เมื่อเขาไปเข้าร่วมกองกำลังมุญาฮิดีนที่ปากีสถานสู้รบกับสหภาพโซเวียตที่อัฟกานิสถาน เขาช่วยเหลือพวกมุญาฮิดีนด้วยการส่งอาวุธ เงิน และนักสู้จากโลกอาหรับไปยังอัฟกานิสถาน ทำให้ได้รับความนิยมในชาวอาหรับ[12] ใน ค.ศ. 1988 เขาก่อตั้งกลุ่มอัลกออิดะฮ์[13] จากนั้นจึงถูกเนรเทศออกจากประเทศซาอุดีอาระเบียใน ค.ศ. 1992 และย้ายฐานไปที่ประเทศซูดาน จนกระทั่งสหรัฐบังคับให้เข้าออกจากซูดานใน ค.ศ. 1996 หลังตั้งฐานทัพใหม่ที่อัฟกานิสถาน เขาประกาศสงครามต่อสหรัฐ และเริ่มภารกิจระเบิดกับการโจมตีที่คล้าย ๆ กัน[14] บิน ลาดินอยู่ในรายชื่อสิบผู้หลบหนีที่ต้องการตัวมากที่สุดและผู้ก่อการร้ายที่ต้องการตัวมากที่สุดของสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ) จากการระเบิดสถานทูตสหรัฐใน ค.ศ. 1998[15][16][17]
บิน ลาดินเป็นที่รู้จักจากการเป็นผู้ก่อเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน และทำให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุชเริ่มต้นสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ตั้งแต่ ค.ศ. 2001 ถึง 2011 บิน ลาดินกลายเป็นเป้าหมายหลักของสหรัฐ เพราะทางเอฟบีไอประกาศนำจับด้วยเงิน 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[18] ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2011[19] เนวีซีลของสหรัฐยิงบิน ลาดินจนเสียชีวิต[20]ที่บ้านพักส่วนตัวในเอบเฏอบอด ประเทศปากีสถาน ปฏิบัติการนี้ควบคุมตามคำสั่งของประธานาธิบดีบารัก โอบามา[21] ภายใต้การนำของบิน ลาดิน องค์กรอัลกออิดะฮ์มีส่วนในการโจมตีทั่วโลก[22][23][24]
ชีวิตช่วงต้นและการศึกษา
อุซามะฮ์ บิน มุฮัมมัด บิน อะวัฎ บิน ลาดิน[1][25]เกิดที่ริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นบุตรของมุฮัมมัด บิน อะวัฎ บิน ลาดิน เจ้าสัวโครงการก่อสร้างมหาเศรษฐีชาวเยเมนที่มีความใกล้ชิดกับราชวงศ์ซะอูด[26] กับฮะมีดะฮ์ อัลอะฏอส (ตอนนั้นมีชื่อว่าอาลิยะฮ์ ฆอนิม) ภรรยาคนที่ 10 ของมุฮัมมัด บิน ลาดินที่เป็นชาวซีเรีย[27] ในการสัมภาษณ์ ค.ศ. 1998 บิน ลาดินกล่าวว่าตนเกิดในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1957[28]
หลังจากที่เขาถือกำเนิด มุฮัมมัด บิน ลาดินหย่ากับฮามิดะฮ์ทันที แล้วแนะนำให้ไปแต่งงานกับมุฮัมมัด อัลอะฏอส ทั้งคู่แต่งงานในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1950 หรือต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 ปัจจุบันยังคงอยู่ด้วยกัน[29] ทั้งคู่มีลูก 4 คน และบิน ลาดินกลายเป็นสมาชิกใหม่ที่มีกึ่งพี่/น้องชาย 3 คนและกึ่งพี่/น้องสาวคนเดียว[27] ครอบครัวของบิน ลาดินมีรายได้ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในธุรกิจก่อสร้าง ต่อมาอุซามะฮ์ได้รับมรดกกว่า 25-30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[30]
บิน ลาดินถูกเลี้ยงมาให้นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนี[31] จาก ค.ศ. 1968 ถึง 1976 เขาเข้าศึกษาที่สถานศึกษาต้นแบบอัษษะฆิร[27][32] แล้วศึกษาต่อในด้านเศรษฐศาสตร์และปริญญาบริหารธุรกิจบัณฑิต[33]ที่มหาวิทยาลัยสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลอะซีซ บางรายงานกล่าวแนะว่า เขาได้รับปริญญาสาขาวิศวกรรมโยธาใน ค.ศ. 1979[34] หรือปริญญาในด้านการบริหารรัฐกิจใน ค.ศ. 1981[35] บิน ลาดินเคยเข้าเรียนภาษาอังกฤษที่ออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษใน ค.ศ. 1971[36] ข้อมูลหนึ่งกล่าวถึงเขาว่า "ทำงานหนัก"[37] บางส่วนกล่าวว่า เขาลาออกจากมหาวิทยาลัยในปี 3 โดยไม่ได้รับปริญญาใด ๆ[38] ตอนศึกษาที่มหาวิทยาลัย สิ่งที่บิน ลาดินสนใจคือศาสนา ซึ่งเขามีส่วนร่วมทั้ง "แปลอัลกุรอานกับญิฮาด" และทำงานจิตอาสา[39] ความสนใจอื่น ๆ ของเขาคือ การแต่งกวี[40] การอ่าน และเขาติดตามสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล[41]
ชีวิตส่วนตัว
ใน ค.ศ. 1974 ตอนอายุ 17 บิน ลาดินแต่งงานกับนัจวา ฆอนิมทีอัลลาษิกียะฮ์ ประเทศซีเรีย[42] ทั้งคู่แยกกันก่อนเกิดเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ภรรยาหลายคนเท่าที่รู้จักคือเคาะดีญะฮ์ ชะรีฟ (แต่งงาน ค.ศ. 1983, หย่าในคริสต์ทศวรรษ 1990); Khairiah Sabar (แต่งงานใน ค.ศ. 1985); Siham Sabar (แต่งงานใน ค.ศ. 1987) และ Amal al-Sadah (แต่งงานใน ค.ศ. 2000) บางรายงานกล่าวถึงภรรยาคนที่หก ซึ่งไม่ทราบชื่อ ผู้ที่แต่งงานกับบิน ลาดินจะถูกหย่าหลังพิธี[43] บิน ลาดินเป็นพ่อของลูก ๆ ระหว่าง 20 ถึง 26 คนจากภรรยาของเขา[44][45] หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยา ลูก ๆ ของบิน ลาดินหลายคนหนีไปยังประเทศอิหร่าน และข้อมูลเมื่อ 2010[update] เจ้าหน้าที่อิหร่านยังคงรายงานการเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้อยู่ตลอด[46]
นาศิร อัลบะห์รี ผู้เป็นคนคุ้มกันประจำตัวของบิน ลาดินใน ค.ศ. 1997–2001 กล่าวถึงบิน ลาดินในบันทึกว่า เขาเป็นคนประหยัด และเป็นพ่อที่เข้มงวด เขาชอบที่จะพาครอบครัวที่ใหญ่โตของเขาออกเดินทางไปยิงปืนและปิกนิกในทะเลทราย[47]
มุฮัมมัด พ่อของบิน ลาดินเสียชีวิตใน ค.ศ. 1967 จากเหตุการณ์เครื่องบินตกที่ซาอุดีอาระเบีย เมื่อจิม แฮร์ริงตัน นักบินชาวอเมริกัน[48]ตัดสินใจผิดพลาดขณะลงจอด[49] ซาลิม บิน ลาดิน กึ่งพี่ชายคนโตของบิน ลาดิน ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวคนต่อมาได้เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1988 ใกล้เมืองแซนแอนโทนีโอ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ในอุบัติเหตุขณะขับเครื่องบินไปชนสายไฟ[50]
ทางเอฟบีไอบรรยายถึงบิน ลาดินว่า เขาเป็นผู้ใหญ่ที่สูงและผอม มีส่วนสูงระหว่าง 1.93 เมตร (6 ฟุต 4 นิ้ว) ถึง 1.98 เมตร (6 ฟุต 6 นิ้ว) และน้ำหนักประมาณ 73 กิโลกรัม (160 ปอนด์) ถึงแม้ว่าลอว์เรนซ์ ไรต์ ผู้แต่งหนังสือเกี่ยวกับอัลกออิดะฮ์ในเดอะลูมมิงทาวเวอร์ ซึ่งชนะรางวัลพูลิตเซอร์ บันทึกจากข้อมูลคนใกล้ชิดกับบิน ลาดินว่า "เขาสูงมากกว่า 6 ฟุต (1.8 เมตร)"[51] หลังเสียชีวิต มีการวัดว่าเขาสูงประมาณ 1.93 เมตร (6 ฟุต 4 นิ้ว)[52] บิน ลาดินมีผิวสีมะกอกและถนัดมือข้างซ้าย ส่วนใหญ่มักเดินพร้อมกับไม้เท้า และสวมกูฟียะฮ์ขาว[53] มีการกล่าวถึงบิน ลาดินว่าพูดจาไพเราะอ่อนน้อมถ่อมตน[54]
บทบาททางการทหารและการเมือง
หลังสหภาพโซเวียตเข้ารุกรานอัฟกานิสถานในปี 1979[55][56] ได้ไม่นาน บิน ลาดิน ได้เดินทางไปพบกับผู้นำกลุ่มติดอาวุธชาวอัฟกันและช่วยหาเงินอุดหนุนการต่อต้านการยึดครองของสหภาพโซเวียต นับแต่ปี 1984 บิน ลาดิน ดำเนินกิจกรรมส่วนใหญ่ในอัฟกานิสถานและปากีสถาน มีส่วนสำคัญในการหาอาสาสมัครชาวอาหรับเพื่อต่อสู้กับทหารโซเวียต ด้วยเงินทุนและชื่อเสียงในความเคร่งศาสนา และความกล้าหาญในสนามรบช่วยเสริมสถานะของเขาในฐานะผู้นำทางทหาร ในปี 1988 เขาได้สร้างฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์รวบรวมรายชื่ออาสาสมัครผู้ร่วมรบในสงครามอัฟกานิสถาน ซึ่งกลายมาเป็นฐานข้อมูลของเครือข่ายทางทหารกลุ่มใหม่ในชื่อ “อัลกออิดะฮ์” (al-Qaeda, ในภาษาอาหรับแปลว่า ฐาน)[57] แม้ว่ากลุ่มติดอาวุธกลุ่มนี้จะยังไม่มีวัตถุประสงค์หรือวาระในการปฏิบัติการที่ชัดเจนเป็นเวลาหลายปีก็ตาม[58]
ในปี 1989 หลังสหภาพโซเวียตถอนทัพออกจากอัฟกานิสถาน บิน ลาดิน เดินทางกลับซาอุดีอาระเบียในฐานะวีรบุรุษ แต่ไม่นานก็ถูกรัฐบาลหมายหัวในฐานะพวกหัวรุนแรงและอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง ในปี 1990 รัฐบาลซาอุดีอาระเบียปฏิเสธคำร้องขอให้เครือข่ายนักรบของเขาร่วมปกป้องซาอุดีอาระเบียจากภัยคุกคามของ ซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำอิรักในสมัยนั้น เนื่องจากซาอุดีอาระเบียหวังพึ่งกองทัพสหรัฐฯ เป็นกำลังหลัก คำปฏิเสธสร้างความไม่พอใจให้กับ บิน ลาดินอย่างรุนแรง และนั่นเป็นสาเหตุหลักที่เขาหันหน้าให้กับประเทศบ้านเกิด เนื่องจากผิดหวังในความอ่อนแอของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เขาเดินทางออกจากซาอุดีอาระเบียไปตั้งหลักอยู่ที่ซูดานในปี 1991[59]
ช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 เขาและเครือข่ายอัลกออิดะฮ์เริ่มวางรูปแบบการต่อต้านด้วยความรุนแรงต่อภัยคุกคามจากอิทธิพลของสหรัฐฯ ในโลกมุสลิม เขาออกมาแสดงความชื่นชมอย่างเปิดเผยต่อการโจมตีสหรัฐฯของกลุ่มหัวรุนแรงต่าง ๆ รวมถึงเหตุโจมตีด้วยระเบิดต่ออาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์กเมื่อปี 1993[60][61] ปีถัดมา บิน ลาดิน เริ่มขยายโครงสร้างของกลุ่มในซูดานเพื่อรองรับการฝึกฝนนักรบอิสลามเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งทั่วโลก ไม่นานซาอุดีอาระเบียก็ประกาศถอนสัญชาติและยึดทรัพย์สินของเขาทำให้เขาจำเป็นต้องอาศัยแหล่งเงินทุนจากภายนอก[62]
ในปี 1996 หลังถูกกดดันจากนานาชาติอย่างหนัก ซูดานมีคำสั่งเนรเทศบิน ลาดิน[63] เขาจึงเดินทางไปยังอัฟกานิสถานอีกครั้งโดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลตอลิบาน ในปีเดียวกันเขาออก ฟัตวา (คำวินิจฉัยทางศาสนา) ชุดแรก ประกาศสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อสหรัฐฯ กล่าวหาว่าสหรัฐฯ ปล้นทรัพยากรธรรมชาติจากโลกมุสลิม ยึดครองคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งรวมถึงศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม เป้าหมายของบิน ลาดิน ค่อนข้างชัดเจนว่าต้องการยกระดับการทำสงครามของสหรัฐฯกับโลกมุสลิมและหวังให้ประเทศมุสลิมรวมตัวเป็นรัฐอิสลามหนึ่งเดียว[64][65][66] (รัฐเคาะลีฟะฮ์, Caliphate)
นับแต่นั้นมา บิน ลาดิน และอัลกออิดะฮ์ ได้ฝึกฝนนักรบและให้ทุนสนับสนุนการโจมตีในวงกว้างอย่างต่อเนื่อง พวกเขาถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตีสถานทูตสหรัฐฯหลายแห่ง ถึงปี 2001 กลุ่มติดอาวุธ 19 คน ซึ่งเชื่อว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มอัลกออิดะฮ์ได้วางแผนโจมตี “11 กันยายน” (การยึดเครื่องบินพานิชย์พุ่งชนอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์และเพนตากอน) ทำให้สหรัฐฯและชาติพันธมิตรตัดสินใจใช้กำลังเข้าล้มล้างรัฐบาลตาลีบันพร้อมกับตามล่าบิน ลาดิน
นับแต่ปลายปี 2001 บิน ลาดิน ได้หลบหนีการจับกุมของสหรัฐฯ และหายหน้าหายตาไปจากสาธารณะ จนถึงเดือนตุลาคม 2004 ก่อนหน้าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯเพียงสัปดาห์เดียว เขาได้ปรากฏตัวในบันทึกวิดีโออ้างตัวว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังวินาศกรรม 11 กันยายน อันนำไปสู่ สงครามต่อต้านการก่อการร้าย หลังจากนั้นเขาก็ได้ออกบันทึกเสียงและคลิปวิดีโอเพื่อปลุกใจเพื่อนร่วมอุดมการณ์เป็นระยะ ๆ[67] เป็นเวลาหลายปีที่มีข่าวลือต่าง ๆ นา ๆ ว่าเขาหลบซ่อนอยู่ที่สถานที่ลับตาในประเทศต่าง ๆ และได้รับการคุ้มครองอย่างดี อาทิ หมู่บ้านโทรา โบรา ซึ่งเป็นพื้นที่อันห่างไกลในหุบเขาของอัฟกานิสถาน รวมถึงบ้านพักในปากีสถาน หรือแม้แต่ข่าวลือว่าเขาใช้ชีวิตในถ้ำ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐและสำนักงานสอบสวนกลางประกาศนำจับเขาด้วยเงิน 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เสียชีวิตและผลที่ตามมา
หน่วยปฏิบัติการพิเศษทางทหารของสหรัฐได้ฆ่าอุซามะฮ์ บิน ลาดินที่เอบเฏอบอด ประเทศปากีสถานในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2011 เวลา 1:00 นาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น (16:00 นาฬิกาตามเขตเวลาตะวันออก)[note 2][68][69]
ปฏิบัติการนี้ มีชื่อรหัสว่าปฏิวัติการเนปจูนสเปียร์ เริ่มต้นตามคำสั่งของประธานาธิบดีบารัก โอบามา กับดำเนินการในสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) ด้วยทีมเนวีซีลสหรัฐจากกองพัฒนาสงครามพิเศษกองทัพเรือ (มีอีกชื่อว่าเดฟกรู (DEVGRU) หรือชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า ซีลทีมซิกซ์) ของกองบัญชาการร่วมปฏิบัติการพิเศษ[70]ด้วยการสนับสนุนจากปฏิบัติการซีไอเอในบริเวณนี้[71][72] แล้วเริ่มโจมตีที่หลบซ่อนของบิน ลาดินที่เอบเฏอบอดจากอัฟกานิสถาน[73] หลังการโจมตี มีรายงานว่ากองทัพสหรัฐนำร่างกายของบิน ลาดินไปอัฟกานิสถานเพื่อไประบุตัว (positive identification) แล้วนำไปฝังในทะเล ซึ่งตามกฎหมายอิสลาม จะต้องฝังภายใน 24 ชั่วโมงหลังเสียชีวิต[74] การรายงานที่ตามมาได้เรียกข้อมูลนี้ว่าเป็นปัญหา เช่น ไม่มีหลักฐานที่ว่ามีอิหม่ามอยู่บนเรือยูเอสเอส คาร์ลวินสัน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีการฝังศพ[75]
ต่อมาเจ้าหน้าที่ปากีสถานจึงทำลายสิ่งก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012[76] เพื่อไม่ให้มันกลายเป็นอนุสรณ์ของพวกลัทธินีโออิสลาม[77][78][79][80][81][82] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013 ในปากีสถานมีการวางแผนสร้างสวนสนุกในบริเวณนี้ ซึ่งรวมถึงที่หลบซ่อนในอดีต ด้วยเงิน 265 ล้านรูปีปากีสถาน (30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[83]
ในการสัมภาษณ์ใน ค.ศ. 2019 อิมราน ข่าน นายกรัฐมนตรีปากีสถานอ้างว่าหน่วยสืบราชการลับของปากีสถานเป็นกลุ่มที่นำซีไอเอไปหาอุซามะฮ์ บิน ลาดิน[84][85][86][87][88][89][90]
หมายเหตุ
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
บรรณานุกรม
- Bergen, Peter (2006). The Osama Bin Laden I Know: An Oral History of Al Qaeda's Leader. Simon & Schuster. ISBN 0-7432-9592-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 2, 2020. สืบค้นเมื่อ November 18, 2020.
- Bergen, Peter (2008). "Al Qaeda, the Organization: A Five-Year Forecast". Annals of the American Academy of Political and Social Science. 618: 14–30. doi:10.1177/0002716208317599. JSTOR 40375772. S2CID 145566133.
- Gutman, Roy (2008). How We Missed the Story: Osama Bin Laden, the Taliban, and the Hijacking of Afghanistan. US Institute of Peace Press. ISBN 978-1-60127-024-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 24, 2019. สืบค้นเมื่อ December 28, 2017.
- Scheuer, Michael (2002). Through Our Enemies' Eyes. Washington, D.C.: Brassey's. ISBN 1-57488-553-7.
- Stern, Jessica (2003). Terror in the Name of God (1 ed.). New York: HarperCollins. ISBN 0-06-050533-8.
- Wright, Lawrence (2006). The Looming Tower: Al-Qaeda and the Road to 9/11. New York: Knopf. ISBN 1-4000-3084-6.
อ่านเพิ่ม
- Al-Bahri, Nasser (2013). Guarding bin Laden: My Life in Al-Qaeda. Thin Man Press. ISBN 978-0-9562473-6-0.
- Atwan, Abdel Bari (2012). After Bin Laden: Al-Qaeda, the Next Generation. Saqi. ISBN 978-0-86356-419-2.
- Atwan, Abdel Bari (2006). The Secret History of Al-Qaeda. Saqi. ISBN 978-0-86356-760-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 19, 2020. สืบค้นเมื่อ May 14, 2020.
- Berner, Brad K. (2007). Quotations from Osama Bin Laden. Peacock Books. ISBN 978-81-248-0113-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 2, 2020. สืบค้นเมื่อ November 18, 2020.
- Bin Laden, Osama (2005). Lawrence, Bruce (บ.ก.). Messages to the World: the Statements of Osama Bin Laden. แปลโดย Howarth, James. Verso. ISBN 1-84467-045-7.
- Burke, Jason (2007). Al-Qaeda: The True Story of Radical Islam (2nd ed.). London: Penguin. ISBN 978-0-141-03136-1.
- Foreign Broadcast Information Service (2006) – Compilation of Usama Bin Laden Statements 1994 – January 2004 เก็บถาวร กรกฎาคม 11, 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Mura, Andrea (2015). The Symbolic Scenarios of Islamism: A Study in Islamic Political Thought. London: Routledge. ISBN 978-1-317-01450-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 7, 2020. สืบค้นเมื่อ August 22, 2017.
- Ibrahim, Raymond (2007). The Al Qaeda Reader. Broadway Books. p. 318. ISBN 978-0-7679-2262-3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 2, 2020. สืบค้นเมื่อ November 18, 2020.
- Scheuer, Michael (2011). Osama Bin Laden. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-973866-3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 2, 2020. สืบค้นเมื่อ November 18, 2020.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Osama bin Laden collected news and commentary at Dawn
- Full text: bin Laden's 'letter to America', The Observer, November 24, 2002
- Hunting Bin Laden, PBS Frontline, (November 2002)
- "5 Facts You Probably Didn't Know About Osama bin Laden", Dainik Bhaskar, (May 2016)
- Young Osama, Steve Coll, The New Yorker, December 12, 2005
- How the World Sees Osama bin Laden, slideshow by Life
- The Osama bin Laden File from the National Security Archive, posted May 2, 2011
- Letters from Abbottabad from Combating Terrorism Center
- FBI Records: The Vault - Osama Bin Laden