สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล

สโมสรฟุตบอลอาชีพในอังกฤษ

สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล (อังกฤษ: Arsenal Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพซึ่งเล่นอยู่ในพรีเมียร์ลีก ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ ตั้งอยู่ในเขตอิสลิงทันในกรุงลอนดอน เป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเป็นอันดับสามของอังกฤษ โดยชนะเลิศลีกสูงสุด 13 สมัย (รวมแชมป์ไร้พ่าย 1 สมัย), เอฟเอคัพ 14 สมัย (สถิติสูงสุด), ลีกคัพ 2 สมัย, เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 17 สมัย, ยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพ 1 สมัย และ อินเตอร์-ซิตีส์แฟส์คัพ 1 สมัย อาร์เซนอลยังเป็นสโมสรที่เล่นในลีกสูงสุดของอังกฤษติดต่อกันยาวนานที่สุด (ค.ศ. 1920–ปัจจุบัน) มีสนามเหย้าคือเอมิเรตส์สเตเดียม

อาร์เซนอล
ชื่อเต็มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล
ฉายาThe Gunners
ไอ้ปืนใหญ่, ปืนใหญ่
ก่อตั้งตุลาคม 1886; 137 ปีที่แล้ว (1886-10) ในชื่อ ไดอัลสแควร์[1]
สนามเอมิเรตส์สเตเดียม
ความจุ60,260[2]
เจ้าของโครเอนเกสปอตส์แอนด์เอนเตอร์เทนเมนต์[3]
ประธานเซอร์ ชิปส์ เคสวิก
หัวหน้าผู้ฝึกสอนมิเกล อาร์เตตา
ลีกพรีเมียร์ลีก
2022–23อันดับที่ 2 จาก 20
เว็บไซต์เว็บไซต์สโมสร
สีชุดทีมเยือน
สีชุดที่สาม
ฤดูกาลปัจจุบัน

ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1886 โดยคนงานในเขตวูลิช ในชื่อ สโมสรฟุตบอลไดอัล สแควร์ และใน ค.ศ. 1893 พวกเขาเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนใต้ที่ได้ร่วมแข่งขันในฟุตบอลลีก ต่อมาใน ค.ศ. 1913 สโมสรได้ย้ายมายังลอนดอนเหนือ และย้ายสนามมายังอาร์เซนอลสเตเดียมในย่านไฮบรีก่อนจะเปลี่ยนชื่อสโมสรเป็น อาร์เซนอล ในฤดูกาล 1914–15[4] ต่อมา ในช่วงทศวรรษ 1930 สโมสรชนะเลิศฟุตบอลดิวิชันหนึ่ง 5 สมัย และเอฟเอคัพ 2 สมัย และภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาชนะเลิศดิวิชันหนึ่งอีก 2 สมัย และเอฟเอคัพอีก 1 สมัย ก่อนจะชนะเลิศฟุตบอลลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาลเดียวกันเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1970–71 และในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1989–2005 อาร์เซนอลชนะเลิศลีกสูงสุด 5 สมัย และเอฟเอคัพอีก 5 สมัย และผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ 19 ฤดูกาลติตต่อกันตั้งแต่ ค.ศ. 1998–2017[5]

เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นผู้จัดการทีมที่นำความสำเร็จมาสู่สโมสรในยุคแรก[6] โดยพาทีมชนะเลิศการแข่งรายการใหญ่ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 และเป็นผู้ปรับปรุงระบบต่าง ๆ ภายในสนาม เช่น ระบบไฟ รวมทั้งคิดค้นแผนการเล่นแบบดับเบิลยูเอ็มให้แก่วงการฟุตบอล[a] เขายังออกแบบชุดแข่งขันของทีมด้วยการปรับแขนเสื้อให้เป็นสีขาว และยังปรับโทนสีแดงบนตัวเสื้อให้ดูสว่างยิ่งขึ้น[7] และเป็นผู้กำหนดหมายเสื้อให้แก่ผู้เล่นในทีม[8] อาร์แซน แวงแกร์ เป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความเร็จมากที่สุดและคุมทีมยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร (ค.ศ. 1996–2018)[9][10] โดยชนะเลิศถ้วยรางวัล 17 รายการ และเป็นผู้จัดการทีมที่ชนะเลิศเอฟเอคัพมากที่สุด 7 สมัย[11] รวมทั้งพาทีมชนะเลิศพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003–04 ซึ่งพวกเขาไม่แพ้ทีมใดเลยตลอด 38 นัด โดยถือเป็นทีมที่สองที่จบการแข่งขันฤดูกาลในลีกสูงสุดของอังกฤษโดยไม่แพ้ทีมใด และเป็นทีมเดียวที่ทำได้ในยุคพรีเมียร์ลีก[12] ในช่วงเวลานั้น สโมสรยังทำสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกันนานที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษจำนวน 49 นัด[13][14] และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกครั้งแรกใน ค.ศ. 2006 ซึ่งถือเป็นสโมสรแรกจากลอนดอนที่เข้าชิงชนะเลิศได้

อาร์เซนอลมีสโมสรคู่ปรับที่ตั้งอยู่ในย่านเดียวกันคือ ทอตนัมฮอตสเปอร์ โดยการแข่งขันระหว่างทั้งสองทีมเรียกว่า ดาร์บีลอนดอนเหนือ อาร์เซนอลเป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าทีมมากเป็นอันดับ 8 ของโลกใน ค.ศ. 2020 ด้วยมูลค่า 2.7 พันล้านดอลลาร์[15] และยังเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก[16] สโมสรมีคำขวัญคือ "Victory Through Harmony" ซึ่งแปลว่า "ชัยชนะจากความเป็นหนึ่งเดียว"[17]

ประวัติ

ยุคแรก (ค.ศ. 1886–1919)

ผู้เล่นของสโมสรใน ค.ศ. 1888

สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลเริ่มต้นขึ้นเมื่อกลุ่มคนงานของโรงงานผลิตอาวุธรอยัลอาร์เซนอลในแขวงวูลิช กรุงลอนดอน ก่อตั้งทีมฟุตบอลขึ้นมาเมื่อปลาย ค.ศ. 1886 ในชื่อ ไดอัล สแควร์ การแข่งขันแรกของทีมคือเกมที่ชนะอีสเทิร์น วันเดอเรอร์ส 6–0 เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ. 1886 หลังจากนั้นไม่นานก็เปลี่ยนชื่อเป็น รอยัลอาร์เซนอล และยังคงแข่งขันรายการท้องถิ่นต่อไป ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพและเปลี่ยนชื่อเป็น วูลิชอาร์เซนอล ใน ค.ศ. 1891

อาร์เซนอลได้เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกครั้งแรกใน ค.ศ. 1893 ในดิวิชันสอง จากนั้นใน ค.ศ. 1904 ก็ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ดิวิชันหนึ่งเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม สโมสรตั้งอยู่ในพื้นที่ ๆ คับแคบ ส่งผลให้มีจำนวนผู้ชมน้อยจนทีมประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างหนัก นำไปสู่การประกาศขายทีมใน ค.ศ. 1910 โดยมี เฮนรี นอร์ริส นักธุรกิจเข้ามาเทคโอเวอร์[18] โดยในช่วงแรก นอร์ริสมีความคิดที่จะนำอาร์เซนอลรวบทีมกับสโมสรฟูลัม ซึ่งเขาเป็นเจ้าของทีมอยู่เช่นกัน แต่ไม่ได้รับการอนุมัติจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ทำให้นอร์ริสต้องหาที่ตั้งใหม่ให้กับอาร์เซนอล กระทั่งใน ค.ศ. 1913 หลังจากที่ตกชั้นลงสู่ดิวิชันสองนั้น อาร์เซนอลก็ได้ย้ายที่ตั้งไปอยู่ในย่านไฮบิวรี่บริเวณลอนดอนเหนือ และเปิดใช้สนามอาร์เซนอลสเตเดียมอย่างเป็นทางการ ในปีต่อมา สโมสรได้ตัดคำว่า "วูลิช" ออกจากชื่อสโมสรจนเหลือเพียง อาร์เซนอล มาจนถึงปัจจุบัน[19] หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และฟุตบอลลีกได้กลับมาแข่งขันอีกครั้ง ลีกสูงสุดอย่างดิวิชันหนึ่งก็เพิ่มจำนวนทีมเป็น 22 ทีม อาร์เซนอลซึ่งได้อันดับ 5 ของดิวิชันสองในฤดูกาล 1914–15 ได้รับการโหวตเลือกโดยสมาคมให้กลับขึ้นสู่ดิวิชันหนึ่งอีกครั้งในฤดูกาล 1919–20 แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความโปร่งใสของสมาคมในเหตุการณ์ดังกล่าว[b] และอาร์เซนอลไม่เคยตกชั้นจากลีกสูงสุดอีกเลย

เริ่มประสบความสำเร็จ (ค.ศ. 1925–1966)

รูปปั้นของเฮอร์เบิร์ต แชปแมน ตำนานผู้จัดการทีมของสโมสร

ต่อมาใน ค.ศ. 1925 อาร์เซนอลได้แต่งตั้งให้ เฮอร์เบิร์ต แชปแมน เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งเขาเคยพาฮัดเดอร์สฟิลด์ทาวน์คว้าแชมป์ลีกมาแล้ว 2 สมัย ในฤดูกาล 1923–24 และ 1924–25 และแชปแมนถือเป็นคนแรกที่พาอาร์เซนอลก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในยุคแรก[20][21] เขาจัดการเปลี่ยนระบบการซ้อมและนำแทคติคใหม่มาใช้ รวมถึงซื้อนักเตะชื่อดังมาร่วมทีม เช่น อเล็กซ์ เจมส์ และ คลิฟฟ์ บานติน และยังเป็นผู้ริเริ่มการปรับปรุงระบบไฟในสนามไฮบิวรี่ ทำให้อาร์เซนอลกลายเป็นมหาอำนาจในวงการฟุตบอลอังกฤษในช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยคว้าแชมป์รายการใหญ่ได้เป็นครั้งแรก เริ่มจากแชมป์เอฟเอคัพสมัยแรกในฤดูกาล 1929–30 และคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้ 2 สมัยในฤดูกาล 1930–31 และ 1932–33 นอกจากนี้ แชปแมนยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนชื่อสถานีรถไฟใต้ตินที่อยู่ในย่านนั้นคือ Gillespie Road เป็นสถานี "อาร์เซนอล" ซึ่งถือเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวในสหราชอาณาจักรที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอล[22]

แชปแมนเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยโรคปอดบวมในช่วงต้น ค.ศ. 1934[23] แต่หลังจากนั้น โจ ชอว์ และ จอร์จ อัลลิสัน ที่เข้ามารับตำแหน่งต่อก็ประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน พวกเขาพาอาร์เซนอลคว้าแชมป์ดิวิชันหนึ่งได้อีก 3 สมัย และเอฟเอคัพ 1 สมัย อย่างไรก็ตาม อาร์เซนอลก็เริ่มถดถอยลงเรื่อย ๆ ในช่วงปลายทศวรรษเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการแข่งขันฟุตบอลอาชีพทุกรายการในอังกฤษต้องยุติลงส่งผลให้สโมสรกลับไปประสบปัญหาการเงินอีกครั้ง

หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ทอม วิทเทคเกอร์ ผู้สืบทอดตำแหน่งของอัลลิสันได้เข้ามาคุมทีม อาร์เซนอลจึงกลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้งโดยได้แชมป์ดิวิชันหนึ่งอีก 2 สมัย ในฤดูกาล 1947 และ 1948 และแชมป์เอฟเอคัพอีก 1 สมัย ในฤดูกาล 1949–50 แต่หลังจากนั้น โชคก็เหมือนจะไม่เข้าข้างอาร์เซนอลเท่าไรนัก สโมสรไม่สามารถดึงดูดนักเตะชื่อดังเข้ามาร่วมทีมเหมือนที่เคยทำได้ในช่วงทศวรรษ 1930 โดยในช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 อาร์เซนอลกลายเป็นเพียงทีมกลางตารางและไม่สามารถคว้าแชมป์อะไรเพิ่มได้เลย แม้แต่บิลลี ไรท์ อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษที่ผันตัวเองมาเป็นผู้จัดการทีมก็ไม่สามารถนำความสำเร็จมาสู่สโมสรได้เลยในช่วง ค.ศ. 1962–66

การเปลี่ยนแปลง (ค.ศ. 1966–1986)

อาร์เซนอลเริ่มกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งหลังจากแต่งตั้ง เบอร์ตี มี นักกายภาพบำบัดให้มาคุมทีมใน ค.ศ. 1966 โดยพาทีมเข้าชิงชนะเลิศลีกคัพ 2 สมัยแต่ก็พลาดแชมป์ทั้งสองครั้ง แต่ก็ยังคว้าแชมป์อินเตอร์ซิตี้แฟร์สคัพ (ปัจจุบันยกเลิกการแข่งขันไปแล้ว) ได้ในฤดูกาล 1969–70 ซึ่งเป็นถ้วยยุโรปใบแรกของสโมสร ตามด้วยการคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งแรก นั่นคือแชมป์ลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาล 1970–71 แต่ในทศวรรษต่อมานั้น อาร์เซนอลทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์เป็นส่วนมาก โดยได้รองแชมป์ดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1972–73 ,รองแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 1971–72, 1977–78 และ 1979–80 และยังแพ้จุดโทษบาเลนเซียในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพรอบชิงชนะเลิศอีกด้วย สโมสรประสบความสำเร็จเพียงถ้วยเดียวในช่วงนี้ก็คือแชมป์เอฟเอคัพฤดูกาล 1978–79 ในยุคของ เทอร์รี นีล ซึ่งพวกเขาเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปได้ 3–2 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน และได้รับการกล่าวขวัญกันมากในเรื่องของความคลาสสิกและความตื่นเต้นของเกมนี้[24][25]

ยุคของ จอร์จ แกรแฮม (ค.ศ. 1986–1995)

รูปปั้นของโทนี แอดัมส์ ตำนานผู้เล่นสโมสรบริเวณหน้าสนามเอมิเรตส์ สเตเดียม

การกลับเข้ามาสู่วงการฟุตบอลอีกครั้งของ จอร์จ แกรแฮม อดีตนักเตะของสโมสรซึ่งเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 1986 ส่งผลให้สโมสรคว้าแชมป์ได้หลายรายการในยุคที่มี โทนี แอดัมส์ ตำนานกัปตันทีมเป็นผู้เล่นตัวหลัก เริ่มจากแชมป์ลีกคัพในฤดูกาล 1986–87 ตามด้วยแชมป์ดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1988–89 จากประตูในนาทีสุดท้ายในนัดที่พบกับลิเวอร์พูล และได้แชมป์อีกครั้งในฤดูกาล 1990–91 โดยแพ้ไปเพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาล และยังคว้าแชมป์ดับเบิลแชมป์ด้วยการเป็นแชมป์เอฟเอคัพพร้อมกับลีกคัพได้ในฤดูกาล 1992–93 และคว้าแชมป์ยุโรปใบที่ 2 ได้ในยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพฤดูกาล 1993–94 ด้วยการชนะปาร์มา 1–0 อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของแกรแฮมก็เสื่อมเสียเมื่อมีการเปิดเผยว่าเขาได้รับเงินสินบนจาก รูน ฮาวก์ เอเยนต์ของนักเตะในการซื้อตัวผู้เล่น[26] ส่งผลให้เขาถูกไล่ออกใน ค.ศ. 1995 และบรูซ ริออช เข้ามารับตำแหน่งแทนแต่คุมทีมได้เพียงฤดูกาลเดียวก็ลาออกไปเนื่องจากขัดแย้งกับบอร์ดบริหาร[27]

ยุคของ อาร์แซน แวงแกร์ (ค.ศ. 1996–2018)

ถ้วยพรีเมียร์ลีกสีทอง ซึ่งถูกจัดทำขึ้นในโอกาสพิเศษที่อาร์เซนอลคว้าแชมป์ได้โดยไม่แพ้ทีมใดตลอดฤดูกาล 2003–04

อาร์แซน แวงแกร์ เข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 1996–97 และถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นตำนานผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร โดยอาร์เซนอลจบฤดูกาลด้วยตำแหน่งแชมป์และรองแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 8 จาก 10 ฤดูกาลแรกที่แวงแกร์เข้ามาคุมทีม เขาเป็นผู้นำแทคติคใหม่ ๆ มาใช้[28] เปลี่ยนวิธีการซ้อมใหม่ และยังเข้มงวดเรื่องโภชนาการกับนักเตะ[29][30][31] รวมถึงมีนโยบายการสร้างทีมด้วยงบประมาณจำกัด อาร์เซนอลจึงคว้าดับเบิลแชมป์ (แชมป์ลีกและแชมป์เอฟเอคัพ) ได้อีกสองครั้ง ในฤดูกาล 1997–98 และ 2001–02 และยังเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพฤดูกาล 1999–00 แต่แพ้จุดโทษกาลาตาซาราย รวมทั้งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2003–04 โดยไม่แพ้ทีมใดเลยทั้งฤดูกาลจนได้รับฉายาว่า "ผู้ไร้เทียมทาน" (The Invincibles)[32] และทำสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกันครบ 49 นัดได้ในฤดูกาลต่อมาซึ่งเป็นสถิติตลอดกาลของประเทศ และยังได้แชมป์เอฟเอคัพเพิ่มใน ค.ศ. 2003 และ 2005 รวมทั้งแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์หลายสมัย โดยทีมชุดนั้นประกอบไปด้วยผู้เล่นชั้นนำ เช่น ตีแยรี อ็องรี, ปาทริก วีเยรา, แด็นนิส แบร์คกัมป์, แอชลีย์ โคล และ รอแบร์ ปีแร็ส

แวงเกอร์พาสโมสรเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 2006 โดยถือเป็นทีมแรกจากกรุงลอนดอนที่เข้าชิงชนะเลิศได้นับตั้งแต่มีการแข่งขันรายการนี้มา 50 ปี แต่พวกเขาแพ้บาร์เซโลนาด้วยผลประตู 1–2[33] จากนั้นในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2006 อาร์เซนอลก็ได้ยุติประวัติศาสตร์ 93 ปีที่ไฮบิวรีลง โดยการย้ายสนามเหย้ามาเป็นเอมิเรตส์สเตเดียม[34] และยังเข้าชิงลีกคัพได้สองครั้งใน ค.ศ. 2007 และ 2011 แต่แพ้เชลซี และเบอร์มิงแฮมด้วยผลประตู 1–2 ทั้งสองครั้ง และเมื่อสิ้นสุดพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 20 ปีการก่อตั้งพรีเมียร์ลีก ได้มีการโหวตจากแฟน ๆ ฟุตบอลปรากฏว่าทีมอาร์เซนอลในฤดูกาล 2002–03 ที่ไม่แพ้ทีมใดตลอดทั้งฤดูกาลได้รับเลือกให้เป็นทีมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ 20 ปีของฟุตบอลอังกฤษ

อาร์เซนอลยุติช่วงเวลาเลวร้ายที่ไม่สามารถชนะเลิศถ้วยรางวัลใดนับตั้งแต่ชนะเลิศเอฟเอคัพฤดูกาล 2004–05 ด้วยการเซ็นสัญญากับผู้เล่นคนสำคัญอย่างเมซุท เออซิล และ อาเลกซิส ซันเชซ ทำให้อาร์เซนอลคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้สองสมัยติดต่อกัน โดยในฤดูกาล 2013–14 พวกเขาชนะฮัลล์ซิตีด้วยผลประตู 3–2 แม้จะตามหลังไปก่อน 0–2 และป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาลถัดมาด้วยการชนะแอสตันวิลลา 4–0 ก่อนจะทำสถิติได้แชมป์รายการนี้มากที่สุดจำนวน 13 ครั้งในฤดูกาล 2016–17 ด้วยการชนะเชลซี 2–1 เวนแกร์ยังถือเป็นผู้จัดการทีมที่ได้แชมป์เอฟเอคัพมากที่สุด 7 สมัย แต่พวกเขาหลุดจากการจบสี่อันดับแรกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่แวงแกร์เข้ามาคุมทีมใน ค.ศ. 1996 แวงแกร์ประกาศอำลาสโมสรเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2017–18 โดยอาร์เซนอลจบอันดับหกและคว้าแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2017 แวงแกร์ถือเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด (คว้าแชมป์ 17 รายการ) และคุมทีมยาวนานที่สุด (22 ปี) ของสโมสร[35][36]

ยุคใหม่ (ค.ศ. 2018–ปัจจุบัน)

อูไน เอเมรี เข้ามาคุมทีมในฤดูกาล 2018–19 และถือเป็นผู้จัดการทีมคนที่สองในประวัติศาสตร์สโมสรที่ไม่ได้มาจากสหราชอาณาจักร[37][38] โดยพาทีมจบอันดับห้า และได้รองแชมป์ยูโรปาลีกโดยแพ้เชลซี 1–4[39] เอเมรีถูกปลดในฤดูกาล 2019–20[40] และ เฟรียดริก ยุงแบร์ยอดีตผู้เล่นของทีมเข้ามารักษาการแทน จากนั้น มิเกล อาร์เตตา เข้ามาคุมทีม[41] เขายังคงยึดแนวทางการสร้างทีมด้วยผู้เล่นอายุน้อยหลายราย เช่น บูกาโย ซากา, เอมีล สมิท ราว, แอรอน แรมส์เดล และ เอ็ดดี เอ็นเคเตียห์ ในฤดูกาลแรก อาร์เตตาพาทีมจบอันดับแปดซึ่งย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 1995 แต่ยังคว้าแชมป์เอฟเอคัพสมัยที่ 14 โดยเอาชนะเชลซี 2–1 ได้สิทธิ์แข่งขันยูฟ่ายูโรปาลีก ฤดูกาล 2020–21 รอบแบ่งกลุ่ม[42] และแม้จะคว้าแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2020 แต่ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020–21 ทีมยังคงทำผลงานย่ำแย่ต่อเนื่อง และจบอันดับแปดเป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน ไม่ได้ไปแข่งขันฟุตบอลยุโรปในฤดูกาล 2021–22 ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปีที่สโมสรไม่ได้ไปเล่นรายการยุโรป[43] ก่อนจะจบอันดับห้าในฤดูกาลต่อมา[44] แต่อาร์เตตาก็พาทีมทำผลงานดีขึ้นมากในฤดูกาล 2022–23 โดยอาร์เซนอลขึ้นเป็นทีมนำในตารางเกือบทั้งฤดูกาล ก่อนจะพลาดในช่วงท้ายและคว้าอันดับสองซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดในรอบ 7 ฤดูกาล ได้กลับไปแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี

เข้าสู่ฤดูกาล 2023–24 อาร์เซนอลทำการลงทุนครั้งใหญ่ในตลาดซื้อขายด้วยการเซ็นสัญญากับ เดคลัน ไรซ์ จากเวสต์แฮมยูไนเต็ดในราคาสูงถึง 100 ล้านปอนด์ ถือเป็นนักเตะที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร[45] และยังเป็นนักเตะอังกฤษที่มีค่าตัวสูงที่สุดเท่ากับแจ็ก กรีลิช[46] รวมถึงการเซ็นสัญญากับ ไค ฮาเวิทซ์ จากเชลซีในราคา 65 ล้านปอนด์ และ ยือร์รีเยิน ติมเบอร์จากอาเอฟเซ อายักซ์ สโมสรคว้าแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2023 จากการชนะจุดโทษแมนเชสเตอร์ซิตี[47]

สัญลักษณ์

สีประจำสโมสร

เมซุท เออซิล ในชุดเหย้าฤดูกาล 2013–14 อาร์เซนอลใช้สีแดงและสีขาวเป็นสีประจำสโมสร

ในหน้าประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของสโมสรอาร์เซนอล พวกเขาใช้เสื้อสีแดงสด แขนเสื้อสีขาว และกางเกงขาสั้นสีขาวเป็นชุดทีมเหย้า สีแดงเป็นการให้เกียรติสโมสรนอตทิงแฮมฟอเรสต์ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการบริจาคอุปกรณ์ให้แก่สโมสรหลังการก่อตั้งใน ค.ศ. 1886 โดยมีที่มาจาก เฟร็ด เบียร์ดสลีย์ และมอร์ริส เบตส์ สมาชิกผู้ก่อตั้งของสโมสร ไดอัล สแควร์ ซึ่งเป็นอดีตผู้เล่นของฟอเรสต์ที่ย้ายมาทำงานในย่านวูลวิช ในขณะที่พวกเขารวบรวมผู้เล่นทีมชุดใหญ่ในพื้นที่แต่ยังหาชุดแข่งไม่ได้ ทั้งคู่จึงเขียนจดหมายไปถึงสโมสรเก่าเพื่อขอความช่วยเหลือและได้รับชุดแข่งขัน และลูกฟุตบอล โดยมีเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีแดงเข้ม และสวมกางเกงขาสั้นสีขาว และถุงเท้าที่มีห่วงสีน้ำเงินและสีขาว[48]

ใน ค.ศ. 1933 เฮอร์เบิร์ต แชปแมน ต้องการให้ผู้เล่นแต่งกายให้โดดเด่นยิ่งขึ้น มีการปรับปรุงชุดแข่งโดยปรับแขนเสื้อเป็นสีขาว และเปลี่ยนสีเสื้อให้มีโทนแดงที่สว่างและสดขึ้น โดยที่มาของแขนเสื้อสีขาวนั้นมีการสันนิษฐานอยู่สองประการ คาดว่าแชปแมนสังเกตเห็นแฟนบอลคนหนึ่งสวมเสื้อสเวตเตอร์แขนกุดสีแดงทับเสื้อเชิ้ตสีขาวและดูสวยงาม เหมาะจะเป็นสีสโมสร อีกประการหนึ่งคือเขาอาจได้แรงบันดาลใจจากการแต่งกายที่คล้ายคลึงกันของนักเขียนการ์ตูน ทอม เว็บสเตอร์ ซึ่งแชปแมนมีความสนิทสนม และมักเล่นกอล์ฟด้วยกัน และแม้จะไม่แน่ชัดว่าข้อสันนิษฐานใดเป็นจริง แต่เสื้อแดงพร้อมแขนเสื้อสีขาวได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของอาร์เซนอลมาตั้งแต่นั้น และทีมได้สวมชุดนี้มาตลอด ยกเว้นสองฤดูกาล ครั้งแรกคือฤดูกาล 1966–67 เมื่อสโมสรสวมเสื้อสีแดงล้วนโดยไม่มีสีขาวที่แขนเสื้อ แต่ไม่เป็นที่นิยม แขนเสื้อสีขาวจึงถูกนำกลับมาใช้ในฤดูกาลถัดไป และในครั้งที่สองคือฤดูกาล 2005–06 ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่อาร์เซนอลเล่นที่สนามอาร์เซนอลสเตเดียมในย่านไฮบรี เมื่อทีมสวมเสื้อสีแดงเรดเคอแรนท์โดยไม่มีสีที่แขนเสื้อเช่นกัน เพื่อระลึกถึงสีเสื้อที่สโมสรสวมใน ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกในสนามแห่งนี้ และสโมสรกลับไปสวมชุดปกติโดยเป็นเสื้อสีแดงเข้มและแขนเสื้อสีขาวในฤดูกาลถัดไป และในฤดูกาล 2008–09 อาร์เซนอลได้เปลี่ยนจากแขนเสื้อสีขาวล้วนแบบดั้งเดิมด้วยการเพิ่มแถบสีแดงลงบนแขนเสื้อด้วย[49]

สีประจำสโมสรอาร์เซนอลเป็นต้นแบบให้แก่สีประจำสโมสรอื่น ๆ อย่างน้อยสามสโมสร ใน ค.ศ. 1909 สปาร์ตา ปราก ในเชกเกีย ได้เปิดตัวชุดสีแดงเข้มซึ่งคล้ายสีที่อาร์เซนอลใช้ในสมัยนั้น ต่อมาใน ค.ศ. 1920 สโมสรกีฬาบรากา ได้เปลี่ยนสีชุดแข่งทีมเหย้าจากสีเขียวทองมาเป็นสีแดงพร้อมแขนเสื้อสีขาว ภายหลังจากผู้จัดการทีมสโมสรได้กลับมาจากการชมเกมที่สนามอาร์เซนอลสเตเดียม นำไปสู่การเรียกชื่อเล่นของบรากาว่า Os Arsenalistas[50] ต่อมา ใน ค.ศ. 1938 สโมสรฮิเบอร์เนียน ในเมืองเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ นำการออกแบบแขนเสื้อของอาร์เซนอลมาใช้กับแถบสีเขียวและสีขาวบนเสื้อสโมสร[51] และทั้งสามสโมสรยังคงใช้ชุดเหล่านี้มาถึงปัจจุบัน

โรบิน ฟัน แปร์ซี และ ตีแยรี อ็องรี ในเสื้อทีมเยือนสีเหลืองฤดูกาล 2005–06

เป็นเวลาหลายปีที่เสื้อทีมเยือนของสโมสรเป็นสีขาวหรือสีกรมท่า อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1968 สมาคมฟุตบอลอังกฤษได้สั่งห้ามทุกสโมสรสวมชุดแข่งโทนสีกรมท่า เนื่องจากคล้ายกับสีดำของชุดผู้ตัดสิน อาร์เซนอลจึงได้เปิดตัวชุดทีมเยือนแบบใหม่ในฤดูกาล 1969–70 ด้วยเสื้อสีเหลืองและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน และชุดนี้ถูกใช้ครั้งแรกในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ค.ศ. 1971 ซึ่งอาร์เซนอลเอาชนะลิเวอร์พูล 2–1 และเป็นการชนะเลิศฟุตบอลลีกและเอฟเอคัพในฤดูกาลเดียวกันเป็นครั้งแรก (ดับเบิลแชมป์) ซึ่งในเวลาต่อมาเสื้อทีมเยือนสีเหลืองและกางเกงสีน้ำเงินนี้ได้รับความนิยมแทบจะเท่ากับชุดแข่งทีมเหย้าสีแดงขาว อาร์เซนอลเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกครั้งในฤดูกาลต่อมา ครั้งนี้พวกเขาสวมชุดทีมเหย้าตามปกติ และแพ้ลีดส์ยูไนเต็ด 0–1 อาร์เซนอลจึงกลับไปใช้ชุดทีมเยือนสีเหลืองในอีกสามครั้งต่อมาที่พวกเขาเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ตั้งแต่ ค.ศ. 1978–80 สโมสรยังใช้สีเหลืองและน้ำเงินเป็นชุดเยือนหลักกระทั่ง ค.ศ. 1982 ได้มีการเปิดตัวชุดทีมเยือนใหม่เป็นสีเขียวและสีกรมท่า แต่ไม่เป็นที่พอใจของแฟนบอล จึงกลับไปใช้สีเหลืองและน้ำเงินแต่มีการปรับโทนสีน้ำเงินให้เข้มขึ้น

เมื่อไนกี้รับช่วงต่อจากอาดิดาสในฐานะผู้ผลิตชุดแข่งของอาร์เซนอลใน ค.ศ. 1994 อาร์เซนอลได้ใช้เสื้อและกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเป็นชุดทีมเยือน และมีการเปลี่ยนสีชุดทีมเยือนหลายครั้งนับตั้งแต่นั้น รวมถึงในช่วงหลังที่สโมสรฟุตบอลทั่วโลกทำการขยายตลาดโดยการออกแบบชุดแข่งที่สาม โดยตลอดทศวรรษ 2000 อาร์เซนอลมีทั้งการใช้สีน้ำเงินล้วน, สีเหลืองและน้ำเงิน, สีกรมท่า สีทอง และสีขาวเป็นชุดทีมเยือน รวมถึงใช้แถบสีแดงมะรูนร่วมกับเสื้อสีเหลืองในช่วง ค.ศ. 2010–13 และนับตั้งแต่ ค.ศ. 2014 เป็นต้นมา ชุดทีมเยือนและชุดแข่งที่สามของสโมสรมีการเปลี่ยนแปลงทุกฤดูกาล ปัจจุบันผู้ผลิตชุดแข่งของสโมสรคืออาดิดาส[52]

สนามแข่งขัน

อาร์เซนอลสเตเดียม ในย่านไฮบรีสนามเหย้าของสโมสรอาร์เซนอลตั้งแต่ ค.ศ. 1913–2006

ในช่วงแรก อาร์เซนอลลงเล่นที่สนามย่านวูลิช บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน แต่เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ทำเลที่คับแคบ ไม่สะดวกต่อการเดินทางและจุผู้ชมได้น้อย เฮนรี่ นอร์ริส ผู้บริหารคนใหม่จึงนำทีมย้ายมาสู่ลอนดอนเหนือ และพวกเขาได้เปิดใช้สนาม อาร์เซนอลสเตเดียม ในย่านไฮบิวรี่ เป็นสนามเหย้าอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 1913 จนถึง 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2006 โดยมักจะเป็นที่รู้จักในชื่อ ไฮบิวรี่ เนื่องจากตั้งอยู่ในย่านไฮบิวรี่ และแฟน ๆ มักจะเรียกสนามแห่งนี้ด้วยฉายาน่ารัก ๆ ว่า "บ้านของฟุตบอล"[53][54]

อาร์เซนอลสเตเดียมเริ่มสร้างใน ค.ศ. 1913 บนสนามพักผ่อนของวิทยาลัยท้องถิ่นแห่งหนึ่ง และมีการปรับปรุงใหม่ครั้งสำคัญ ๆ สองครั้ง[55] ครั้งแรกในราวทศวรรษที่ 1930 คือการปรับปรุงอัฒจันทน์ด้านตะวันออกและตะวันตก และครั้งที่สองตอนปลายทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษที่ 1990 โดยมีการยกเลิกพื้นที่สำหรับการยืนชมเกมทั้งสองข้างสนามออกและทำเป็นที่นั่งทั้งหมดบนอัฒจันทน์ทั้งสี่ด้าน ทำให้สนามจุผู้ชมได้น้อยลงส่งผลให้มีรายได้จากการจำหน่ายตั๋วไม่มากพอ อาร์เซนอลจึงย้ายสนามเหย้าไปอยู่ที่เอมิเรตส์สเตเดียมใน ค.ศ. 2006 ในปัจจุบัน ไฮบิวรี่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นศูนย์รวมอพาร์ทเมนต์และคอนโดมิเนียม[56] ไฮบิวรี่ยังเคยเป็นสนามที่ใช้แข่งขันของทีมชาติอังกฤษและเอฟเอคัพนัดสำคัญ รวมไปถึงกีฬาชกมวย, เบสบอลและคริกเกต นอกจากนี้ สนามยังมีรถไฟใต้ดินผ่านจากสถานี Gillespie Road โดยใน ค.ศ. 1932 สถานีได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สถานีรถไฟใต้ดินอาร์เซนอล" ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแห่งเดียวของอังกฤษที่ตั้งชื่อตามสโมสรฟุตบอล[57][58][59]

สนามเหย้าในปัจจุบันของสโมสรคือ เอมิเรตส์สเตเดียม (Emirates Stadium) หรือ สนามกีฬาเอมิเรตส์ ตั้งอยู่ที่แอชเบอร์ตันโกรฟในฮอลโลเวย์ (Holloway) ลอนดอนเหนือ เปิดใช้งานเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2006 ความจุ 60,355 ที่นั่ง ถือเป็นสนามที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีกเป็นรองเพียงโอลด์แทรฟฟอร์ด และเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ในลอนดอนรองจากเวมบลีย์และทวิกเคนแฮม เดิมทีสนามนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ แอชเบอร์ตันโกรฟ ก่อนที่จะมีการใช้ชื่อตามข้อตกลงของสายการบินเอมิเรตส์ ผู้สนับสนุนหลักของสโมสร[60] มูลค่าการก่อสร้างของสนามอยู่ที่ 390 ล้านปอนด์[61]

สนามแห่งนี้มีอัฒจันทน์ที่มีหลังคารายล้อมทั้ง 4 ทิศ แต่ไม่มีหลังคาบริเวณพื้นสนาม ออกแบบโดยสถาปนิกจาก HOK Sport ตรวจสอบโครงสร้างทางวิศวกรรมโดยบริษัท Buro Happold ผู้ควบคุมการสร้างคือ เซอร์ โรเบิร์ต แมคอัลไพน์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของเขตอุตสาหกรรมแอชเบอร์ตันโกรฟเดิม ห่างจากไฮบิวรี สนามเดิมเพียงไม่กี่ร้อยเมตร นอกจากนี้ เอมิเรตส์สเตเดียมยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขันที่มีทัศนียภาพสวยงามที่สุดและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่สุดในบรรดาทีมกีฬาทุกประเภทของสหราชอาณาจักร[62][63][64]

บรรยากาศในสนามเอมิเรตส์สเตเดียม

แฟนคลับและความนิยม

แฟนฟุตบอลของสโมสรอาร์เซนอล

แฟนฟุตบอลของสโมสรมีชื่อเรียกว่า "Gooners" ซึ่งมาจากฉายา "Gunners" ของสโมสร ในฤดูกาล 2007–08 สโมสรมียอดผู้เข้าชมในสนามเฉลี่ยสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ในอังกฤษ โดยมียอดเฉลี่ย 60,000 คนต่อเกม (คิดเป็น 95.5% ของความจุทั้งหมด) และยังมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในฤดูกาล 2015 นอกจากนี้อาร์เซนอลยังมียอดผู้เข้าชมในสนามมากที่สุดเป็นอันดับ 7 ในทวีปยุโรป และเนื่องด้วยสภาพที่ตั้งของสโมสรซึ่งตั่งอยู่แถบลอนดอนเหนือติดกับย่าน Canonbury และ Barnsbury ซึ่งเป็นย่านของคนมีฐานะ และยังใกล้เคียงกับย่านของชนชั้นกลางอย่าง Islington, Holloway, Highbury และ London Borough of Camden รวมทั้งพื้นที่ชนชั้นแรงงานส่วนใหญ่เช่น Finsbury Park และ Stoke Newington ส่งผลให้แฟนฟุตบอลของสโมสรมาจากชนชั้นทางสังคมที่หลากหลาย[65][66][67]

ใน ค.ศ. 2015 มีการสำรวจความนิยมจากแฟนฟุตบอลทั่วทั้งโลก ผ่านโปรแกรมทวิตเตอร์พบว่า อาร์เซนอลเป็นสโมสรที่มีฐานผู้นิยมมากที่สุด โดยกระจายไปในหลายทวีปทั้งยุโรป, อเมริกาเหนือ และ แอฟริกาเหนือ และยังเป็นสโมสรแห่งแรกของอังกฤษที่มีผู้ติดตามทางทวิตเตอร์มากถึง 5 ล้านคน[68]

สโมสรคู่อริ

ดาร์บีลอนดอนเหนือใน ค.ศ. 2010
โรบิน ฟัน แปร์ซี กองหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังจะยิงลูกจุดโทษในนัดที่พบกับอาร์เซนอล สโมสรเก่า

อาร์เซนอลถือเป็นคู่ปรับสำคัญของ ทอตนัมฮอตสเปอร์ เนื่องด้วยทั้งสองสโมสรตั้งอยู่ในลอนดอนเหนือ การพบกันของทั้งสองทีมเรียกว่า “ศึกแห่งลอนดอนเหนือ(North London Derby)[69][70] โดยที่มาของการเป็นอริกันนั้นมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 1910[71] สโมสรอาร์เซนอลในขณะนั้นยังใช้ชื่อเดิมว่า “วูลวิช อาร์เซน่อล (Woolwich Arsenal)” เป็นทีมในลีกดิวิชันหนึ่ง มีสนามเหย้าอยู่ในย่าน วูลวิช ซึ่งอยู่ในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน ในเวลานั้นสโมสรกำลังประสบปัญหาทางด้านการเงินครั้งใหญ่จนเกือบจะล้มละลาย เจ้าของสโมสรเดิมต้องประกาศขายทีมเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งผู้ที่ได้เข้าเป็นเจ้าของทีมคนใหม่ ได้แก่ “เฮนรี นอร์ริสนักธุรกิจแห่งกรุงลอนดอน[72]

ความตั้งใจแรกของนอร์ริส ในการแก้ปัญหาทีมคือการควบรวมทีมวูลวิช อาร์เซนอล เข้ากับสโมสรฟูลัม ซึ่งเป็นอีกทีมในเมืองลอนดอนที่เฮนรี่เป็นเจ้าของอยู่เช่นกัน เพื่อเพิ่มฐานแฟนบอลและรายได้แก่สโมสร แต่เรื่องนี้ไม่ผ่านความเห็นชอบจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ นอร์ริสจึงต้องย้ายที่ตั้งทีมไปยังย่านที่มีคนอยู่อาศัยหนาแน่นกว่าเขตวูลวิช ซึ่งนอร์ริสได้เลือกย่าน “ไฮบรี” ทางตอนเหนือของลอนดอน และทำเรื่องย้ายสโมสรไปยังลอนดอนเหนือใน ค.ศ. 1913 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นอริระหว่างสองสโมสร เดิมทีนั้น สเปอร์เป็นเพียงสโมสรเดียวที่ตั้งอยู่ในย่านลอนดอนเหนือ พวกเขาเปรียบเสมือน “เจ้าถิ่น” และเป็นความภาคภูมิใจของคนในย่านนั้น การย้ายมาของ วูลวิช อาร์เซนอล จึงเหมือนการรุกล้ำเขตแดนของพวกเขา และเริ่มสร้างความไม่พอใจแก่แฟนบอลสเปอร์ที่โดนแย่งฐานแฟนคลับไป

และเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ที่ถือเป็นสาเหตุหลักแห่งความเกลียดชังของทั้งสองทีมนั้นเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1919[73][74] หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฟุตบอลลีกได้กลับมาแข่งขันอีกครั้งหลังจากหยุดพักไปตั้งแต่ ค.ศ. 1915 สมาคมฟุตบอลอังกฤษมีมติเพิ่มจำนวนทีมในดิวิชันหนึ่งจาก 20 ทีมเป็น 22 ทีม ในฤดูกาล 1919–20[75] โดยได้ตัดสินใจให้ทีมอันดับ 1 และ 2 ของดิวิชั่นสอง (ดาร์บีเคาน์ตี และ เพรสตันนอร์ทเอนด์) ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาในลีกสูงสุดอย่างดิวิชันหนึ่งโดยอัตโนมัติ[76] และในโควตาสุดท้ายอีกหนึ่งทีมนั้น สมาชิกได้ร่วมกันโหวตเลือกให้อาร์เซนอลซึ่งจบเพียงอันดับ 5 ในดิวิชันสองเลื่อนชั้นขึ้นมาแทน โดยตัดสิทธิ์ทีมอันดับ 20 ของดิวิชันหนึ่งในฤดูกาล 1914–15 อย่างสเปอร์[77] ส่งผลให้พวกเขาต้องตกชั้น ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้มีการกล่าวหาว่า เฮนรี นอร์ริส ได้ใช้วิธีวิ่งเต้นและให้ผลประโยชน์กับสมาคมเพื่อให้ทีมได้เลื่อนชั้น แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจน และทำให้ทั้งสองสโมสรเป็นอริกันมานับแต่นั้น โดยการพบกันของทั้งคู่ถือเป็นหนึ่งในนัดที่ดุเดือดที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลของยุโรป[78]

สโมสรอื่น ๆ ที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของอาร์เซนอลได้แก่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เชลซี[79] และ ลิเวอร์พูล[80] เนื่องจากเป็นสโมสรใหญ่ที่แย่งชิงความสำเร็จกันมายาวนาน โดยเฉพาะการเป็นอริกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 และต้นทศวรรษที่ 2000 ถือว่ามีความดุเดือดมาก[81][82][83] เนื่องจากอาร์เซนอลที่คุมทีมโดยอาร์แซน แวงแกร์ แย่งชิงการเป็นสโมสรอันดับหนึ่งของอังกฤษกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่คุมทีมโดย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยผลัดกันแพ้-ชนะ หลายครั้งในการแข่งขันพรีเมียร์ลีก และ เอฟเอคัพ[84][85] แต่บรรยากาศความเป็นอริของทั้งคู่ได้ลดลงพอสมควรภายหลังจาก ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา เนื่องจากมีเชลซี ลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ซิตี ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และในปัจจุบัน ทั้งแวงแกร์และเฟอร์กูสันต่างก็อำลาทีมไปแล้ว

ผู้ผลิตเสื้อและผู้สนับสนุน

ฤดูกาลผู้ผลิตเสื้อผู้สนับสนุนเสื้อ
1930s–1970บัคตาไม่มี
1971–1980อัมโบร
1981–1986เจวีซี
1986–1994อาดิดาส
1994–1999ไนกี้
1999–2002ดรีมแคสต์ / เซก้า1
2002–2006โอทู
2006–2014เอมิเรตส์แอร์ไลน์
2014–พูม่า

ผู้เล่น

ผู้เล่นทีมชุดแรก

ณ วันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2023[86][87][88]

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลขตำแหน่งสัญชาติผู้เล่น
1GK แอรอน แรมส์เดล
2DF วีลียาม ซาลีบา
4DF เบน ไวต์
5MF ทอมัส พาร์ทีย์
6DF กาบรีแยล
7MF บูกาโย ซากา
8MF มาร์ติน เออเดอโกร์ (กัปตันทีม)
9FW กาบรีแยล เฌซุส
10MF เอมีล สมิท ราว
11FW กาบรีแยล มาร์ชีแนลี
12DF ยือร์รีเยิน ติมเบอร์
14FW เอ็ดดี เอ็นเคเตียห์
15DF ยากุป กีวียอร์
เลขตำแหน่ง สัญชาติผู้เล่น
17DF แซดริก ซูวารึช
18DF ทาเกฮิโระ โทมิยาซุ
19MF เลอันโดร โตรสซาร์ด
20MF ฌอร์ฌิญญู
21MF ฟาบียู วีไยรา
22GK ดาบิด รายา
24FW รีสส์ เนลสัน
25MF มุฮัมมัด อันนินนี
29MF ไค ฮาเวิทซ์
31GK คาร์ล เฮน
35DF ออแลกซันดร์ ซินแชนกอ
41MF เดคลัน ไรซ์

ผู้เล่นที่ถูกปล่อยยืม

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

เลขตำแหน่งสัญชาติผู้เล่น
3DF คีแรน เทียร์นีย์ (ไป เรอัลโซซิเอดัด จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2024)
13GK รูนาร์ อาแลกส์ รูนาร์ซอน (ไป คาร์ดิฟฟ์ซิตี จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2024)
23MF อัลแบร์ ซัมบี โลกงกา (ไป สโมสรฟุตบอลลูตันทาวน์ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2024)
เลขตำแหน่ง สัญชาติผู้เล่น
27FW มาร์กิญญุส (ไป น็องต์ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2024)
33GK อาร์เทอร์ โอคองก์โว (ไป เรกซัม จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2024)
DF นูนู ตาวารึช (ไป นอตทิงแฮมฟอเรสต์ จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2024)

บุคลากร

ข้อมูล ณ กุมภาพันธ์ 2022
ตำแหน่งรายชื่อ
ผู้จัดการทีม มิเกล อาร์เตตา[89]
ผู้ช่วยผู้จัดการทีม สตีฟ ราวน์ด[90]
อัลเบิร์ต สตอยเฟนเบิร์ก[90]
คาร์ลอส คูเอสตา[91]
นีกอลา โจเวอร์[92]
มิเกล โมลินา[91]
ผู้ฝึกสอนผู้รักษาประตู กานา ปาร์วอน[90]
ผู้ดูแลทีมเยาวชน แพร์ แมร์เทิสอัคเคอร์[93]
ผู้จัดการทีมรุ่นต่ำกว่า 23 ปี เควิน เบสซี[94]
หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ ชัด ฟอร์ซิธ[95]
หัวหน้าทีมแพทย์ แกรี โอดริสโคลล์ [96]
ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค เอดู[97]

อดีตผู้เล่นที่มีชื่อเสียง

เรียงตามปีที่เริ่มเล่นในทีมอาร์เซนอลชุดใหญ่เป็นครั้งแรก (ในวงเล็บคือปี ค.ศ.) :

สถิติสำคัญ

ตีแยรี อ็องรี เจ้าของสถิติทำประตูมากที่สุดของสโมสร
  • อาร์เซนอลเป็น 1 ใน 4 สโมสรของอังกฤษที่ได้แชมป์ลีกติดต่อกันมากที่สุดจำนวน 3 ครั้ง (ฤดูกาล 1932–33, 1933–34 และ 1934–35)
  • เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่ 20 อาร์เซนอลได้รับการจัดลำดับจากสำนักข่าวบีบีซีให้เป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 100 ปี โดยพิจารณาจากสถิติ และปัจจัยต่าง ๆ โดยมีลิเวอร์พูล และเอฟเวอร์ตัน เป็นอันดับสองและอันดับสามตามลำดับ[98]
  • ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2001–02 อาร์เซนอลสามารถทำประตูได้ในทุกนัด เป็นสถิติสูงสุดของลีก
  • ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003–04 อาร์เซนอลไม่แพ้ใครตลอดฤดูกาล 38 นัด (ชนะ 26 และ เสมอ 12) เป็นครั้งแรกของพรีเมียร์ลีก และครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษต่อจาก เปรสตัน นอร์ธเอนด์ ในฤดูกาล 1888–89 ซึ่งขณะนั้นมีการแข่งขันเพียง 22 นัดต่อฤดูกาล[99]
  • อาร์เซนอลทำสถิติไม่แพ้ทีมใดในพรีเมียร์ลีกติดต่อกัน 49 นัด ระหว่างฤดูกาล 2002–03, 2003–04, 2004–05 ซึ่งเป็นสถิติการไม่แพ้ติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอังกฤษ[100]
  • ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2003–04 ทีมอาร์เซนอลชุดที่ไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งฤดูกาล ได้รับการโหวตจากแฟนฟุตบอลให้เป็นสโมสรฟุตบอลที่ดีที่สุดของอังกฤษในรอบ 20 ปี โดยมีแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 1998–99 ที่ได้ทริปเปิลแชมป์ หรือสามแชมป์ในฤดูกาลเดียวกัน เป็นอันดับสอง[101]
  • ผู้จัดการทีมที่คุมทีมยาวนานที่สุด: อาร์แซน แวงแกร์, 21 ปี 224 วัน (1 ตุลาคม ค.ศ. 1996 –13 พฤษภาคม 2018)
  • ผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด: อาร์แซน แวงแกร์, ชนะเลิศถ้วยรางวัล 17 รายการ (ค.ศ. 1996–2018)[102]
  • ผู้เล่นที่ลงสนามรวมทุกรายการมากที่สุด: เดวิด โอเลียรี (722 นัด ค.ศ. 1975–1993)
  • ผู้เล่นที่ทำประตูรวมทุกรายการมากที่สุด: ตีแยรี อ็องรี (228 ประตู ค.ศ. 1999–2007 และ 2012)[103]
  • การซื้อตัวผู้เล่นที่แพงที่สุด: นีกอลา เปเป (72 ล้านปอนด์ ย้ายจากล็อสก์ลีล ค.ศ. 2019)[104]
  • การขายผู้เล่นที่แพงที่สุด: อเล็กซ์ ออกซ์เลด-เชมเบอร์ลิน (40 ล้านปอนด์ ย้ายไปลิเวอร์พูล ค.ศ. 2017)
  • ชนะด้วยผลประตูมากที่สุด: ชนะ Loughborough 12–0 ในฟุตบอลดิวิชั่น 2 ค.ศ. 1900[105]
  • แพ้ด้วยผลประตูมากที่สุด: แพ้ Loughborough 0–8 ในฟุตบอลดิวิชั่น 2 ค.ศ. 1896[106]

ในวัฒนธรรมร่วมสมัย

อาร์เซนอล ถูกอ้างอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยหลายครั้ง เช่น เป็นคู่ชิงชนะเลิศในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ เรอัลมาดริด ของสเปน ในภาพยนตร์สัญชาติอังกฤษเรื่อง Goal II: Living the Dream ในปี 2007 โดยมีนักฟุตบอลตัวจริงของทั้งสองสโมสรร่วมแสดงหลายคน เช่น ตีแยรี อ็องรี, เดวิด เบคแคม, ซีเนดีน ซีดาน[107] และมีการอ้างถึงในซีรีส์เกาหลีเรื่อง Because This Is My First Life ในปี 2017 โดยกำหนดให้นางเอกของเรื่องเป็นแฟนอาร์เซนอลและได้ดูการแข่งขันของอาร์เซลนอลกับเชลซีคู่กับพระเอก[108]

เกียรติประวัติ

อาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมากเป็นอันดับ 3 ในอังกฤษจำนวน 13 สมัย (นับรวมฟุตบอลดิวิชันหนึ่งและพรีเมียร์ลีก)[109] และครองสถิติคว้าแชมป์เอฟเอคัพมากที่สุด 14 สมัย[110] และยังเป็นหนึ่งในสองสโมสรร่วมกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่คว้าดับเบิลแชมป์ได้ 3 ครั้ง (แชมป์ลีกและเอฟเอคัพในปีเดียวกัน) คือ ค.ศ. 1971, 1998 และ 2002[111] อาร์เซนอลยังเป็นทีมแรกของกรุงลอนดอนที่สามารถเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ (ปี 2006)[112]

อาร์เซนอลเคยจบฤดูกาลในลีกด้วยอันดับที่ต่ำกว่าอันดับ 14 เพียงแค่ 7 ครั้งเท่านั้น และยังเป็นทีมที่มีอันดับในลีกเฉลี่ยดีที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 20 (ช่วง ค.ศ. 1900–1999) อีกด้วย โดยอันดับเฉลี่ยคือ 8.5[113] นอกจากนี้ อาร์เซนอลยังเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่คว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ 2 สมัยติดต่อกัน (ฤดูกาล 2002–03 และ 2014–15)

ระดับประเทศ

  • ดิวิชันสอง[remark 2]
    • รองชนะเลิศ (1): 1903–04

ระดับทวีปยุโรป

รายการอื่น ๆ

กราฟแสดงอันดับในการแข่งขันฟุตบอลลีกของสโมสรอาร์เซนอล เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1893

ทีมฟุตบอลหญิง

ทีมฟุตบอลหญิงของอาร์เซนอลในฤดูกาล 2018–19

ทีมฟุตบอลหญิงของอาร์เซนอลก่อตั้งโดย วิค เอเคอรส์ อดีตนักฟุตบอลชาวอังกฤษใน ค.ศ. 1987 ในชื่อ Arsenal Ladies F.C และลงเล่นในฐานะสโมสรกึ่งอาชีพใน ค.ศ. 2002 และเอเคอร์ยังดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของสโมสรอีกด้วย ต่อมาใน ค.ศ. 2017 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 30 ปีการก่อตั้งสโมสร ได้มีการเปลี่ยนชื่อทีมเป็น Arsenal Women F.C[114][115] และโดยทั่วไปพวกเธอจะเรียกแทนตัวเองสั้น ๆ ว่า อาร์เซนอล (Arsenal) ยกเว้นในบางโอกาสที่อาจจะสับสนกับชื่ออาร์เซนอลของทีมชาย สโมสรจึงจะเลี่ยงไปใช้ชื่อเต็ม

สโมสรหญิงของอาร์เซนอลเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในบรรดาทีมฟุตบอลหญิงของอังกฤษ[116] พวกเธอชนะเลิศถ้วยรางวัลรวม 58 รายการและในฤดูกาล 2008–09 สโมสรทำสถิติชนะเลิศการแข่งขันสามรายการหลักในฤดูกาลเดียวกัน (FA Women's National League, Women's FA Cup และ FA Women's National League Cup) และเป็นสโมสรหญิงทีมแรกของอังกฤษที่รับรางวัลยูฟ่าวีเมนส์คัพ หรือ ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก โดยชนะเลิศในฤดูกาล 2006–07 ปัจจุบันสโมสรเล่นในสนามเหย้าที่ Meadow Park และมีผู้จัดการทีมคือ โยนัส ไอเดวอลล์

เชิงอรรถ

อ้างอิง

หนังสืออ่านเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง