เยือร์เกิน คล็อพ

ผู้จัดการทีมฟุตบอลชาวเยอรมัน

เยือร์เกิน นอร์แบร์ท คล็อพ (เยอรมัน: Jürgen Norbert Klopp; เกิดเมื่อ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1967) เป็นผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน และเป็นอดีตนักฟุตบอล ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดในปัจจุบัน[2][3][4][5]

เยือร์เกิน คล็อพ
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็มเยือร์เกิน นอร์แบร์ท คล็อพ
วันเกิด (1967-06-16) 16 มิถุนายน ค.ศ. 1967 (56 ปี)
สถานที่เกิดชตุทการ์ท ประเทศเยอรมนีตะวันตก
ส่วนสูง1.91 เมตร (6 ฟุต 3 นิ้ว)[1]
ตำแหน่ง
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
ลิเวอร์พูล (ผู้จัดการ)
สโมสรเยาวชน
1972–1983เอสเฟากลัทเทิน
1983–1987ทูสแอร์เกินซิงเงิน
สโมสรอาชีพ*
ปีทีมลงเล่น(ประตู)
19871. FC Pforzheim
1987–1988Eintracht Frankfurt II
1988–1989Viktoria Sindlingen
1989–1990Rot-Weiss Frankfurt0(0)
1990–2001ไมนทซ์ 05325(52)
จัดการทีม
2001–2008ไมนทซ์ 05
2008–2015โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์
2015–ลิเวอร์พูล
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น

คล็อพเคยเล่นให้กับไมนทซ์ 05 เป็นระยะเวลา 12 ปี โดยรับบทผู้เล่นกองหน้าก่อนที่จะย้ายมาเล่นกองหลัง หลังจากประกาศเลิกเล่นในปี 2001 ก็ผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมโดยได้รับแต่งตั้งใน ค.ศ. 2004 เพื่อนำสโมสรเลื่อนขั้นสู่บุนเดิสลีกาในปี 2004 แต่หลังจากทีมตกชั้นในฤดูกาล 2006–07 คล็อพจึงลาออกใน ค.ศ. 2008 ถือเป็นผู้จัดการทีมที่คุมทีมนานที่สุดของสโมสร จากนั้นเขาทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ และนำทีมได้แชมป์ลีกในฤดูกาล 2010–11 ก่อนที่จะนำดอร์ทมุนท์ชนะถ้วยรางวัลในประเทศสองรายการในฤดูกาล 2011–12 และนำทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2012–13 ก่อนจะออกจากสโมสรในปี 2015 และถือเป็นผู้จัดการทีมที่คุมทีมนานที่สุดของสโมสรอีกเช่นกัน

คล็อพได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลใน ค.ศ. 2015 นำทีมสู่นัดชิงชนะเลิศของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาล 2018 และ 2019 โดยในครั้งหลังทำให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ได้เป็นครั้งที่ 6 ของสโมสร และถือเป็นครั้งแรกในฐานะผู้จัดการทีมของเขา และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศอีกครั้งในฤดูกาล 2021–22 คล็อพพาทีมได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19 ด้วยคะแนนสูงถึง 97 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่มากที่สุดสำหรับทีมรองแชมป์ ในฤดูกาลถัดมา เขาพาทีมชนะเลิศยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก 2019 เป็นสมัยแรกของสโมสร และนำทีมไม่แพ้ติดต่อกันถึง 44 นัดในลีกซึ่งยาวนานเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ก่อนจะพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกโดยทำไปถึง 99 คะแนน และทำลายสถิติอีกหลายรายการในประเทศ จากความสำเร็จดังกล่าวทำให้คล็อพชนะรางวัลผู้ฝึกสอนฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่าสองสมัยติดต่อกันในปี 2019 และ 2020 ต่อมาใน ค.ศ. 2022 คล็อพพาทีมชนะเลิศฟุตบอลถ้วยในประเทศได้สองรายการ ได้แก่ อีเอฟแอลคัพ และ เอฟเอคัพ ถือเป็นการคว้าแชมป์ภายในประเทศครบทุกรายการตั้งแต่คุมทีม เขาประกาศอำลาทีมเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2023–24

คล็อพมีชื่อเสียงจากการคุมทีมด้วยสไตล์การเล่นแบบเกเกนเพรสซิง (Gegenpressing) หรือการแย่งลูกบอลกลับมาโดยเร็วที่สุดหลังจากสูญเสียการครองบอล และจะเน้นการเปิดเกมรุกใส่คู่ต่อสู้ คล็อพเคยอธิบายว่าสไตล์ดังกล่าวเป็นเหมือนการเล่นแบบเฮฟวีเมทัลโดยมีความดุดันเร้าใจ เน้นให้ผู้เล่นเติมเกมบุกรวมทั้งการดันไลน์กองหลังขึ้นสูงแม้จะเสี่ยงต่อการเสียประตูเมื่อถูกสวนกลับซึ่งเป็นแผนการเล่นที่อดีตผู้จัดการทีมอย่างอาร์ริโก ซาคคี และ ว็อล์ฟกัง ฟรังค์เคยใช้ คล็อพยังขึ้นชื่อในการมีอารมณ์ร่วมในการแข่งขันสูง โดยมักปรากฏภาพเขาฉลองการทำประตูของทีมอย่างเต็มที่บริเวณข้างสนาม

ชีวิตในช่วงแรก

เยือร์เกิน นอร์แบร์ท คล็อพ เกิดเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1967[6] ในเมืองชตุทการ์ท เมืองหลักและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค มารดาของเขามีชื่อว่าเอลิซาเบธ ส่วนบิดามีชื่อว่านอร์แบร์ทเป็นอดีตผู้รักษาประตูอาชีพ[7][8] คล็อพเติบโตในหมู่บ้านแถบชานเมืองไม่ไกลจากป่าดำ เขามีพี่สาวสองคน[9]

คล็อพเริ่มอาชีพนักฟุตด้วยการเป็นผู้เล่นเยาวชนให้แก่สโมสรท้องถิ่นซึ่งก็คือ SV Glatten ตามด้วยการฝึกกับสามสโมสรในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต[10] เขาได้รับการปลูกฝังให้มีใจรักฟุตบอลตามอย่างบิดา ในวัยเด็กคล็อพเคยใฝ่ฝันอยากเป็นแพทย์แต่ได้ล้มเลิกความคิดเนื่องจากไม่เชื่อว่าตนเองมีความสามารถพอ[11] เมื่อครั้งเป็นนักฟุตบอลระดับเยาวชน คล็อพเคยหารายได้พิเศษด้วยการทำงานเสริมหลายแห่ง เช่น ลูกจ้างร้านเช่าวิดีโอ ต่อมาใน ค.ศ. 1988 ในขณะที่เขาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเกอเทอแห่งแฟรงก์เฟิร์ตควบคู่ไปกับการเป็นนักฟุตบอลทีมสำรองให้แก่แฟรงก์เฟิร์ต เขารับหน้าที่พิเศษในการเป็นผู้ฝึกสอนทีมเยาวชนรุ่นเล็กที่สุดของสโมสร[12] ต่อมาในฤดูร้อน ค.ศ. 1990 คล็อพเซ็นสัญญาอาชีพกับสโมสรไมทซ์ 05 เขาใช้เวลาสิบปีในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่นั่น และจากทัศนคติที่ดีกอปรกับการวางตัวและบุคลิกภาพที่นอบน้อบ ทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนฟุตบอล[13] ในช่วงแรก คล็อพเล่นในตำแหน่งกองหน้าแต่เปลี่ยนมาเป็นกองหลังประมาณ ค.ศ. 1995[14] ในปีเดียวกันนั้นเอง คล็อพได้รับประกาศนียบัตรด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาจากมหาวิทยาลัยเกอเทอแห่งแฟรงก์เฟิร์ต (หลักสูตรเทียบเท่าปริญญาโท) โดยทำวิทยานิพนธ์หัวข้อ "การเดิน"[15]

คล็อพเกษียณตนเองจากการเป็นนักฟุตบอลใน ค.ศ. 2001 ด้วยการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของสโมสรจำนวน 56 ประตู ซึ่งจาก 52 ประตูเป็นการทำประตูในลีก คล็อพกล่าวว่าตลอดเวลาที่เป็นนักฟุตบอล ตนรู้สึกอยากเป็นผู้จัดการทีมอาชีพมากกว่า[16] คล็อปป์กล่าวถึงการทดลองเล่นที่ไอน์ทรัค แฟรงก์เฟิร์ตซึ่งเขาเล่นร่วมกับอันเดรียส โมลเลอร์ โดยเล่าว่าโมลเลอร์มีศักยภาพการเป็นนักฟุตบอลระดับโลกในขณะที่เขาไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ[17] ในฐานะผู้เล่น คล็อพติดตามวิธีการคุมทีมของผู้จัดการทีมในสนามฝึกซ้อมอย่างใกล้ชิด และเดินทางไปโคโลญทุกสัปดาห์เพื่อศึกษาการทำทีมกับเอริช รูท์เมิลเลอร์

อาชีพผู้จัดการทีม

ไมนทซ์ 05

ภายหลังเกษียณตนเองจากการเป็นนักฟุตบอลให้สโมสรไมนทซ์ 05 คล็อพได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2001 แทนที่เอ็คฮาร์ด เคราท์ซูนที่โดนปลด[18] การคุมทีมนัดแรกของเขาจบลงด้วยชัยชนะต่อเอ็มเอสเฟา ดุ๊ยส์บวร์กด้วยผลประตู 10[19] เขาพาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้ง โดยชนะได้ถึงหกจากเจ็ดนัดแรก และท้ายที่สุดจบในอันดับ 14 รอดพ้นการตกชั้นทั้งที่ยังไม่จบฤดูกาล[20] ในการคุมทีมเต็มฤดูกาลครั้งแรกในปี 200102 เขาพาทีมทำผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่องโดยจบอันดับสี่ และได้รับเสียงชื่นชมในด้านการวางแท็คติกและการครองบอลเหนือคู่ต่อสู้ และจบอันดับสี่อีกครั้งในฤดูกาลต่อมา แต่พลาดการแข่งเพลย์ออกเพื่อเลื่อนชั้นอย่างน่าเสียดาย เนื่องจากผลประตูได้เสียที่เป็นรองทีมอันดับสาม[21] หลังจากผิดหวังมาสองฤดูกาล คล็อพพาทีมจบอันดับสามในปีต่อมา เลื่อนชั้นได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร[22]

แม้จะคุมทีมด้วยงบประมาณทำทีมจำกัด และยังมีสนามขนาดเล็กหากเทียบกับทีมอื่นในลีกสูงสุด ไมนทซ์ยังจบในอันดับ 11 สองปีติดต่อกัน และได้สิทธิ์แข่งรอบคัดเลือกยูฟาคัพ 2005–06 แม้จะตกรอบแรกโดยแพ้ทีมแชมป์ในปีนั้นซึ่งก็คือเซบิยา แต่ทีมก็ต้องตกชั้นในฤดูกาลต่อมา และแม้คล็อพจะอยู่คุมทีมต่อ แต่จากการไม่ประสบความสำเร็จในการเลื่อนชั้น เขาจึงตัดสินใจลาออกเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2007–08[23] ผลงานการคุมทีมโดยรวมคือชนะ 109 นัด, เสมอ 78 นัด และแพ้ 83 นัด

โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์

คล็อพให้สัมภาษณ์สื่อภายหลังพาดอร์ทมุนท์คว้าแชมป์บุนเดิสลีกา ฤดูกาล 2010–11

2008–2013: แชมป์บุนเดิสลีกาสองสมัย และเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

คล็อพได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมดอร์ทมุนท์ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 แม้จะได้รับการทามทามจากไบเอิร์นมิวนิก โดยเซ็นสัญญาสองปี หลังจากสโมสรมีผลงานย่ำแย่จบอันดับ 13 ภายใต้การคุมทีมของโทมัส ดอลล์[24] การคุมทีมนัดแรกของเขาคือการเอาชนะร็อต-ไวส์ เอสเซ่นด้วยผลประตู 3–1 ในเดเอ็ฟเบ-โพคาล[25] คล็อพพาทีมชนะถ้วยรางวัลแรกด้วยการเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกในเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ ด้วยผลประตู 2–1[26] และพาทีมจบอันดับหก[27] ตามด้วยการจบอันดับห้าในฤดูกาล 2009–10 แม้จะมีอายุเฉลี่ยผู้เล่นที่น้อยที่สุดทีมหนึ่งในลีก[28]

แม้จะเริ่มต้นฤดูกาล 2010–11 ด้วยความพ่ายแพ้ต่อไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซินด้วยผลประตู 0–2 คล็อพพาทีมชนะได้ถึง 14 จาก 15 นัดต่อมา และขึ้นเป็นทีมนำในช่วงวันปีใหม่ ก่อนจะประสบความสำเร็จคว้าแชมป์บุนเดิสลีกาเป็นสมัยที่ 7 ของสโมสร แม้จะเหลือการแข่งขันอีกสองนัด โดยคว้าแชมป์อย่างเป็นทางการในเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 จากการเปิดบ้านเอาชนะแอร์สเทอ เอ็ฟเซ เนือร์นแบร์ค[29] และทีมดอร์ทมุนท์ชุดนั้นยังทำสถิติเป็นทีมแชมป์ที่มีอายุเฉลี่ยของผู้เล่นน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน และยังป้องกันแชมป์ได้ในฤดูกาลถัดมา โดยทำไปถึง 81 คะแนน[30][31] ทำสถิติเก็บคะแนนมากที่สุดในบุนเดิสลิกา และทำคะแนนในครึ่งฤดูกาลหลังได้มากที่สุดจำนวน 47 คะแนน[32] นอกจากนี้ ชัยชนะ 25 นัด จาก 34 นัด ถือเป็นสถิติเท่ากับไบเอิร์นมิวนิก ต่อมา พวกเขาแพ้คู่อริอย่างชัลเคอ 04 ในเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 2011 จากการดวลลูกโทษ[33] แต่ยังคว้าแชมป์เดเอ็ฟเบโพคาล โดยเอาชนะไบเอิร์นมิวนิกในรอบชิงชนะเลิศไปถึง 5–2 เป็นครั้งแรกที่คล็อพชนะเลิศสองถ้วยรางวัลในประเทศภายในฤดูกาลเดียวกัน[34]

ดอร์ทมุนท์มีผลงานในลีกไม่สู้ดีนักในฤดูกาล 2012–13 แต่คล็อพยังให้สัมภาษณ์ว่าทีมต้องการเน้นไปที่การทำผลงานในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกซึ่งเขายังไม่เคยพาทีมชนะเลิศ แม้ดอร์ทมุนท์จะถูกจับอยู่ร่วมกลุ่มกับทีมใหญ่อย่างเรอัลมาดริด, แมนเชสเตอร์ซิตี และ อาเอฟเซ อายักซ์ พวกเขาจบด้วยการเป็นอันดับหนึ่งโดยไม่แพ้ทีมใด[35] ดอร์ทมุนท์เข้าไปพบเรอัลมาดริดด้วยการคุมทีมของโชเซ มูรีนโย อีกครั้งในรอบรองชนะเลิศ ดอร์ทมุนท์เอาชนะในบ้านนัดแรกด้วยผลประตู 4–1 และแม้จะบุกไปแพ้ที่สเปน 0–2 ทีมยังเข้าชิงชนะเลิศได้[36] ต่อมา ในดือนเมษายน ค.ศ. 2013 มารีโอ เกิทเซอ ประกาศว่าจะย้ายไปร่วมทีมคู่แข่งอย่างไบเอิร์นมิวนิกในฤดูกาลหน้า[37] ซึ่งการประกาศดังกล่าวสร้างความผิดหวังให้แก่คล็อพอย่างมาก เขากล่าวว่าสโมสรไม่มีแม้แต่โอกาสในการ "เจรจาเพื่อรั้งตัวนักเตะ"[38] ดอร์ทมุนท์แพ้ไบเอิร์นด้วยผลประตู 1–2 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2013 จากประตูของอาร์เยิน โรบเบินในนาทีที่ 89[39] และจบอันดับสองในบุนเดิสลีกา[40] รวมทั้งแพ้ต่อไบเอิร์นมิวนิกอีกครั้งในเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ ด้วยผลประตู 1–2 ตามด้วยการตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายเดเอ็ฟเบ-โพคาลในฤดูกาลต่อมา[41]

2013–2015: อำลาทีม

คล็อพในการคุมทีมดอร์ทมุนท์ฤดูกาลสุดท้าย ค.ศ. 2015

ก่อนเปิดฤดูกาลบุนเดิสลีกา ฤดูกาล 2013–14 คล็อพขยายสัญญากับสโมสรออกไปอีกสี่ปีสิ้นสุดใน ค.ศ. 2018 ในวันที่ 17 มีนาคม ค.ศ. 2014 คล็อพถูกปรับเป็นเงินจำนวน 10,000 ยูโรจากการโดนไล่ออกในเกมลีกที่พบกับโบรุสซีอาเมินเชินกลัทบัค[42] จากการใช้คำพูดไม่สุภาพต่อผู้ตัดสิน[43] ดอร์ทมุนท์จบฤดูกาลด้วยรองแชมป์[44] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 มีการประกาศว่ากองหน้าคนสำคัญอย่างรอแบร์ต แลวันดอฟสกีปฏิเสธการต่อสัญญากับสโมสร และจะย้ายร่วมทีมไบเอิร์นมิวนิกโดยไม่มีค่าตัวในฤดูกาลหน้า[45] ดอร์ทมุนท์ชนะเลิศเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 2013 จากการชนะไบเอิร์นมิวนิกด้วยผลประตู 4–2[46] แต่ตกรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยฝีมือของทีมแชมป์ในปีนั้นซึ่งก็คือเรอัลมาดริด[47]

เข้าสู่ฤดูกาล 2014–15 คล็อพพาทีมคว้าถ้วยรางวัลได้อีกครั้งในรายการเดเอ็ฟเอ็ล-ซูเพอร์คัพ 2014 เอาชนะไบเอิร์นมิวนิกไปอีกครั้งด้วยผลประตู 2–0[48] อย่างไรก็ตาม ดอร์ทมุนท์มีผลงานย่ำแย่ในฤดูกาลนี้ โดยตกไปอยู่กลางตารางและท้ายตารางเป็นส่วนมาก ส่งผลให้คล็อพประกาศว่าเขาจะอำลาทีมเมื่อจบฤดูกาล โดยเป็นที่เข้าใจกันว่าหนึ่งในสาเหตุหลักคือการไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารในการทุ่มเงินซื้อตัวผู้เล่นมาทดแทนผู้เล่นคนสำคัญที่ย้ายออกจากสโมสรตลอดสองฤดูกาลหลังสุด[49] การคุมทีมนัดสุดท้ายของคล็อพคือนัดชิงชนะเลิศเดเอ็ฟเบ-โพคาล ซึ่งดอร์ทมุนท์แพ้ต่อเฟาเอ็ฟเอ็ล ว็อลฟส์บวร์ค 1–3[50] และดอร์ทมุนท์จบฤดูกาลด้วยอันดับ 7 ในตาราง และตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกโดยแพ้ยูเวนตุส[51] ผลงานโดยรวมตลอดการคุมทีมของคล็อพคือการชนะ 180 นัด, เสมอ 69 นัด และแพ้ 70 นัด[52]

ลิเวอร์พูล

2015–2019: รองแชมป์สามรายการ และ แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

คล็อพในนัดที่ลิเวอร์พูลเอาชนะมิดเดิลส์เบรอในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017

คล็อพเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกวันที่ 8 ตุลาคม ค.ศ. 2015 โดยเซ็นสัญญาสามปี มาแทนที่เบรนดัน ร็อดเจอส์ คล็อพให้สัมภาษณ์ว่านี่คือก้าวที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพผู้จัดการทีมของเขา หลังจากมีช่วงเวลาที่ดีในบุนเดิสลีกา และให้คำมั่นแก่แฟนบอลว่าจะพาลิเวอร์พูลคว้าถ้วยรางวัลใหญ่ให้ได้ภายในสี่ปี่[53] คล็อพยังตั้งฉายาตนเองอย่างติดตลกว่าจากนี้ตนจะเป็น "The Normal one" เพื่อสอดคล้องกับฉายา "Special One" ของมูรีนโยตั้งแต่ปี 2004[54] การคุมทีมนัดแรกของเขาคือการบุกไปเสมอทอตนัมฮอตสเปอร์ด้วยผลประตู 0–0 วันที่ 17 ตุลาคม[55] สัปดาห์ถัดมา คล็อพคว้าชัยชนะนัดแรกกับทีมในการแข่งขันลีกคัพโดยเอาชนะบอร์นมัท 1–0[56] ตามด้วยการเอาชนะเชลซี 3–1 ในพรีเมียร์ลีกสามวันถัดมา[57] คล็อพพาทีมคว้าชัยชนะนัดแรกในยูโรปาลีก 1–0 เหนือรูบินคาซัน ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2016 ลิเวอร์พูลพ่ายต่อแมนเชสเตอร์ซิตีในฟุตบอลลีกคัพ 2016 นัดชิงชนะเลิศจากการดวลลูกโทษ[58] แต่คล็อพพาทีมเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยผลประตูรวม 3–1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายรายการยูโรปาลีกได้[59] และในรอบต่อมา ในการแข่งขันนัดที่สอง ลิเวอร์พูลเอาชนะดอร์ทมุนท์สโมสรเก่าของคล็อพแม้จะตามหลังไปก่อน 1–3 แต่สามารถแซงกลับมาชนะ 4–3 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศด้วยผลประตูรวม 5–4[60] และพาทีมผ่านเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรกในรอบเก้าปีโดยเอาชนะบิยาร์เรอัล แต่พวกเขาแพ้ในนัดชิงชนะเลิศ 2016 ต่อเซบิยา 1–3[61] และจบเพียงอันดับแปดในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16[62] ถัดมา ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2022 คล็อพและทีมงานผู้ฝึกสอนทุกคนขยายสัญญากับสโมสรออกไปอีกหกปีจนถึงปี 2022[63]

ลิเวอร์พูลทำอันดับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบสองฤดูกาลในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 2017 จากการเปิดบ้านเอาชนะมิดเดิลส์เบรอด้วยผลประตู 3–0 จบอันดับสี่ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2016–17[64] ต่อมา ลิเวอร์พูลจบอันดับสี่ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2017–18 ผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน[65] ในช่วงเวลาดังกล่าว คล็อพเริ่มสร้างทีมตามแบบฉบับตนเองด้วยผู้เล่นดาวรุ่งชื่อดังชาวอังกฤษ ผสานกับผู้เล่นต่างชาติ เช่น แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สองผู้เล่นซึ่งก้าวขึ้นมาเป็นฟูลแบคตัวหลักในเวลาอันสั้น พร้อมด้วยสองผู้เล่นกองหลังตัวกลางก็คือเฟอร์จิล ฟัน ไดก์ ซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดของโลกถึงปัจจุบัน และ เดยัน ลอวเร็น ทำให้ลิเวอร์พูลมีเกมรับที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา[66][67][68] คล็อพพาทีมเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี หลังเอาชนะคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ซิตีในรอบก่อนรองชนะเลิศขาดลอยด้วยผลประตูรวม 5–1[69] ตามด้วยการชนะโรมาด้วยผลรวม 7–6 แต่ไปแพ้เรอัลมาดริดในนัดชิงชนะเลิศ 2018 ด้วยผลประตู 1–3[70] นี่ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งที่หกจากเจ็ดครั้งในการคุมทีมในนัดชิงชนะเลิศการแข่งขันรายการใหญ่ของเขา[71] ส่งผลให้ทีมลงทุนในตลาดซื้อขายอีกครั้งด้วยการเซ็นสัญญากับผู้เล่นหลายราย ไม่ว่าจะเป็น นาบี เกอีตา, ฟาบิญญู, แจร์ดัน ชาชีรี และ อาลีซง แบเกร์[72][73][74][75]

คล็อพฉลองแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2019 โดยเป็นแชมป์สมัยที่หกของลิเวอร์พูล

ในฤดูกาล 2018–19 ลิเวอร์พูลทำผลงานในช่วงต้นฤดูกาลได้ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ด้วยผลงานของผู้เล่นตัวหลักหน้าใหม่หลายราย พวกเขาเอาชนะในหกนัดแรก[76] ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2018 คล็อพถูกปรับเงินจากการวิ่งลงไปในสนามเพื่อฉลองประตูชัย 1–0 ในนาทีสุดท้ายของการแข่งขันซึ่งทีมเอาชนะคู่ปรับอย่างเอฟเวอร์ตัน[77] จากประตูของดีว็อก โอรีกี และหลังจากชัยชนะ 2–0 เหนือวุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมนำในช่วงวันหยุดคริสต์มาส และมีคะแนนเหนือทีมอันดับสองสี่คะแนน[78] ตามด้วยการเอาชนะนิวคาสเซิล 4–0 เพิ่มระยะห่างเป็นหกคะแนน ถือเป็นชัยชนะนัดที่ 100 จากจำนวน 181 นัดของคล็อพในการคุมทีมลิเวอร์พูล[79] ทีมยังมีเกมรับที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องโดยเสียไปเพียงเจ็ดประตูใน 19 นัดแรกและไม่เสียประตูถึง 12 นัด[80] ในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 2018 ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะอาร์เซนอลไปด้วยผลประตู 5–1 ทำสถิติไม่แพ้ทีมใดในบ้าน 31 นัดติดต่อกัน และเพิ่มระยะห่างในตารางคะแนนเป็นเก้าคะแนน และยังชนะรวดแปดนัดรวมทุกรายการในเดือนธันวาคม[81] ส่งผลให้เขาคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือน[82]

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูลทำได้เพียงรองแชมป์โดยมีคะแนนน้อยกว่าแมนเชสเตอร์ซิตีเพียงคะแนนเดียว ซึ่งทีมของเขาแพ้ซิตีเพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาลรวมทั้งชนะรวดเก้านัดติดต่อกันในช่วงสุดท้ายของการลุ้นแชมป์ คล็อพพาทีมทำคะแนนไปถึง 97 คะแนน เป็นสถิติสูงสุดอันดับสามในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ และเป็นคะแนนที่มากที่สุดสำหรับทีมรองแชมป์ และชัยชนะจำนวน 30 นัดในฤดูกาลนี้ถือเป็นสถิติร่วมที่พวกเขาเคยทำได้[83][84] ในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2018 ลิเวอร์พูลตกรอบลีกคัพโดยแพ้เชลซี 1–2[85] ตามด้วยการตกรอบที่สามเอฟเอคัพด้วยการแพ้ต่อวุลเวอร์แฮมป์ตัน[86] แม้จะล้มเหลวในฟุตบอลถ้วยในประเทศ แต่ในปีนี้พวกเขามีช่วงเวลาที่ดีในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2018–19 พวกเขาเอาชนะทีมเต็งจากเยอรมนีอย่างไบเอิร์นมิวนิกด้วยผลประตูรวม 3–1[87] และเอาชนะทีมดังจากโปรตุเกสและอดีตแชมป์ปี 2004 คือปอร์ตูด้วยผลประตูรวมถึง 6–1[88] เข้าไปพบทีมเต็งแชมป์อย่างบาร์เซโลนา ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายบุกไปแพ้ที่สเปนด้วยผลประตูถึง 0–3 แต่พวกเขาสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการกลับมาชนะสี่ประตู ณ สนามแอนฟีลด์ แม้จะขาดสองผู้เล่นตัวหลักในแนวรุกทั้งมุฮัมมัด เศาะลาห์ และ โรแบร์ตู ฟีร์มีนู ในนัดนี้ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในการกลับมาชนะอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์รายการนี้[89][90] ในนัดชิงชนะเลิศ ณ เอสตาดิโอเมโตรโปลิตาโน (มาดริด) ลิเวอร์พูลเอาชนะสเปอร์สทีมจากพรีเมียร์ลีกไปด้วยผลประตู 2–0 แม้จะครองบอลไปเพียง 39% ถือเป็นถ้วยรางวัลแรกของคล็อพกับสโมสร และเป็นถ้วยยูโรเปียนคัพ/ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่หกของทีม[91]

2019–2020: แชมป์พรีเมียร์ลีก, แชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก

คล็อพฉลองชัยชนะหลังพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019

เข้าสู่ฤดูกาล 2019–20 ลิเวอร์พูลประเดิมด้วยการแพ้จุดโทษแมนเชสเตอร์ซิตีในเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2019[92] พวกเขาคว้าถ้วยใบแรกในฤดูกาลจากการเอาชนะจุดโทษเชลซีในยูฟ่าซูเปอร์คัพ 2019 หลังจากเสมอกันในเวลาปกติ 2–2 เป็นถ้วยรางวัลใบที่สองของคล็อพกับสโมสร และเป็นแชมป์สมัยที่สี่ของสโมสร เป็นรองเพียงเอซีมิลาน และบาร์เซโลนา[93] ในส่วนของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 คล็อพพาทีมชนะรวดในหกนัดแรกได้เป็นครั้งที่สองตั้งแต่คุมสโมสรมา ขึ้นเป็นทีมนำในตารางโดยมีคะแนนมากกว่าทีมอันดับสองห้าคะแนน คล็อพยังได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนสิงหาคม[94] จากการบุกไปชนะเชลซีด้วยผลประตู 2–1 สโมสรสร้างสถิติใหม่ในการชนะเกมเยือนในลีกเจ็ดนัดติดต่อกัน และเป็นทีมแรกในยุคพรีเมียร์ลีกที่ชนะการแข่งขันหกนัดแรกของฤดูกาลสองปีติดต่อกัน[95] ในวันที่ 23 กันยายน คล็อพชนะรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมของฟีฟ่าประจำปี 2019 มีคะแนนโหวตเหนือผู้จัดการทีมคู่แข่งอย่างเปบ กวาร์ดิโอลา[96] ตามด้วยการชนะรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกเป็นเดือนที่สองติตด่อกัน[97]

ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 หลังจากเอาชนะไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียนด้วยผลประตู 2–1 ลิเวอร์พูลทาบสถิติไม่แพ้ในลีกติดต่อกัน 31 นัดที่ตนเองเคยทำไว้ตั้งแต่ปี 1988[98] และทำลายสถิติได้ในสัปดาห์ต่อมาด้วยการเอาชนะเอฟเวอร์ตัน 5–2[99] และยังผ่านเข้ารอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฐานะแชมป์กลุ่มด้วยการเอาชนะซัลทซ์บวร์ค[100] คล็อพขยายสัญญากับทีมออกไปจนถึง ค.ศ. 2024[101] ในเดือนธันวาคม คล็อพชนะรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนเป็นครั้งที่สามตั้งแต่เปิดฤดูกาล หลังพาทีมเอาชนะรวดสี่นัดในเดือนนี้[102] ตามด้วยการพาทีมชนะเลิศรายการฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกสมัยแรกจากการเอาชนะฟลาเม็งกูจากบราซิลด้วยผลประตู 1–0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ[103] ลิเวอร์พูลทำสถิติเป็นสโมสรแรกในสหราชอาณาจักรที่ชนะเลิศการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก, ยูฟ่าซูเปอร์คัพ และชิงแชมป์สโมสรโลกภายในปีเดียวกัน[104][105] ลิเวอร์พูลยังทำสถิติไม่แพ้ในบ้านจำนวน 50 นัดติดต่อกัน และขึ้นเป็นทีมนำด้วยช่องว่างห่างถึง 13 คะแนน[106] คล็อพคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนเป็นครั้งที่สี่[107] จากการบุกไปชนะสเปอร์สในวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2020 ลิเวอร์พูลขยายสถิติไม่แพ้ในลีกเพิ่มเป็น 38 เกม ทำคะแนนได้ถึง 61 คะแนนจากการแข่งขันเพียง 21 นัด เป็นสถิติมากที่สุดตลอดการในการแข่งขันห้าลีกใหญ่ของทวีปยุโรป[108] ต่อมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ลิเวอร์พูลชนะเซาท์แธมป์ตัน 4–0 เพิ่มระยะห่างเป็น 22 คะแนน ตามด้วยรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่ห้าของคล็อพในฤดูกาลนี้ ทำสถิติคว้ารางวัลมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล แม้จะเหลือการแข่งขันมากถึง 4 เดือน[109]

ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ลิเวอร์พูลเอาชนะเวสต์แฮมยูไนเต็ดด้วยผลประตู 3–2 ทำสถิติชนะรวดในลีก 18 นัด และชนะรวดในบ้าน 21 นัด[110] และชัยชนะต่อบอร์นมัธในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 2020 เป็นสถิติใหม่ในลีกสูงสุดของอังกฤษในการชนะในบ้าน 22 นัดติดต่อกัน[111] ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นสมัยแรกในวันที่ 25 มิถุนายน ทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันถึงเจ็ดนัด และเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 19 และทำลายสถิติหลายรายการในฤดูกาลนี้ ได้แก่ การชนะในบ้านมากที่สุด (23), การทำคะแนนเหนือทีมอันดับสองประจำสัปดาห์มากที่สุด (22)[112], คว้าแชมป์เร็วที่สุด (เหลือการแข่งขัน 7 นัด) และเป็นทีมเดียวที่คว้าแชมป์ในเดือนมิถุนายน[113][114] พวกเขายังไม่แพ้ทีมใดติดต่อกัน 44 นัดนับตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาล ก่อนที่สถิติจะจบลงด้วยการแพ้ต่อวอตฟอร์ด[115] คล็อพยังได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล[116]

2020–2022: คว้าแชมป์ครบทุกรายการในอังกฤษ

ในฤดูกาล 2020–21 สโมสรพบความยากลำบากอย่างเห็นได้ชัดและมีผลงานตกลงไป รวมถึงแพ้ต่อแอสตันวิลลาขาดลอยถึง 2–7 เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเสียถึงเจ็ดประตูนับตั้งแต่ ค.ศ. 1963[117] ลิเวอร์พูลยังต้องสูญเสียกองหลังคนสำคัญอย่างฟัน ไดก์ ที่ได้รับบาดเจ็บพักทั้งฤดูกาลในนัดที่เสมอเอฟเวอร์ตัน และพวกเขาเอาชนะอตาลันตาได้ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 5–0[118] ในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 2020 คล็อพทำลายสถิติในการพาลิเวอร์พูลไม่แพ้ในบ้านติดต่อกัน 64 นัด ทำลายสถิติเดิมของบ็อบ เพสลีย์ ระหว่างปี 1978 ถึง 1981[119] ถัดมา ในเดือนธันวาคม คล็อพชนะรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมประจำปีของฟีฟ่าสองสมัยติดต่อกัน จากผลงานพาทีมชนะเลิศฟุตบอลลีกสูงสุดในรอบ 30 ปี ตามด้วยรางวัลผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยมจากบีบีซี[120] ทว่าลิเวอร์พูลยังมีผลงานไม่ดีในช่วงต้นปี 2021 โดยปราศจากผู้เล่นกองหลังตัวหลักถึงสามคนจนถึงช่วงท้ายฤดูกาล พวกเขาตกลงไปอยู่อันดับแปดในเดือนมีนาคม และแม้จะกลับมาทำผลงานดีขึ้นโดยไม่แพ้ทีมใดในช่วงสิบนัดสุดท้าย แต่ทำได้เพียงจบอันดับสาม[121] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 ลิเวอร์พูลบุกไปชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้ถึงโอลด์แทรฟฟอร์ดเป็นครั้งแรกในยุคของคล็อพด้วยผลประตู 4–2 ทั้งนี้ การปราศจากกองหลังคนสำคัญ ทำให้คล็อพต้องดันผู้เล่นสำรองอย่างนาธาเนียล ฟิลลิปส์ และ รีส วิลเลียมส์ ลงเล่นในช่วงท้ายฤดูกาลซึ่งทั้งคู่ไม่เคยลงเล่นในพรีเมียร์ลีกมาก่อน จากผลงานชนะห้านัดในเดือนพฤษภาคม ทำให้คล็อพได้รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนไปครองเป็นครั้งที่เก้า ลิเวอร์พูลไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลถ้วยทุกรายการ โดยแพ้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเอฟเอคัพรอบที่สี่ด้วยผลประตู 2–3 และแพ้อาร์เซนอลในการดวลจุดโทษอีเอฟแอลคัพรอบที่สี่ รวมทั้งแพ้เรอัลมาดริดในรอบก่อนรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกด้วยผลรวมสองนัด 1–3

คล็อพในการฉลองแชมป์เอฟเอคัพ และ อีเอฟแอลคัพ ค.ศ. 2022

ลิเวอร์พูลฤดูกาล 2021–22 พวกเขาเริ่มต้นด้วยการชนะ 5 นัดและเสมอ 3 นัดใน 8 นัดแรก ต่อมาในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2021 ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะยูไนเต็ดถึง 5–0[122] เป็นชัยชนะนัดที่ 200 จากจำนวน 331 นัดในการคุมทีมลิเวอร์พูล ทำให้คล็อพเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของสโมสรที่ทำสถิตินี้ได้เร็วที่สุด[123] และในวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 2021 หลังจากชนะเอฟเวอร์ตัน 4–1 ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ทำอย่างน้อยสองประตูในการแข่งขัน 18 นัดติดต่อกันรวมทุกรายการ[124] ถัดมา ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะเอซีมิลาน 2–1 ทำสถิติเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ชนะครบทั้งหกนัดในรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก[125] ต่อมา ในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2021 คล็อพกลายเป็นผู้จัดการทีมที่ชนะครบ 150 นัดในลีกได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากเปิดบ้านชนะนิวคาสเซิล 3–1 และเป็นการชนะในฟุตบอลลีกสูงสุดครบ 2,000 นัดของสโมสร[126]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 คล็อพพาทีมชนะเลิศฟุตบอลถ้วยในประเทศได้เป็นครั้งแรกในรอบหกปี พวกเขาเอาชนะจุดโทษเชลซีในอีเอฟแอลคัพ 2022 นัดชิงชนะเลิศหลังเสมอกัน 0–0[127] ทำสถิติคว้าแชมป์สมัยที่เก้าและถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ ค.ศ. 2012[128] หลังจากชอน ไดช์ ถูกปลดจากการเป็นผู้จัดการทีมเบิร์นลีย์ วันที่ 15 เมษายน ส่งผลให้คล็อพเป็นผู้จัดการทีมปัจจุบันที่คุมทีมในพรีเมียร์ลีกยาวนานที่สุด[129] เขาขยายสัญญากับสโมสรออกไปอีกสองปีจนสิ้นสุดในปี 2026[130][131] ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์รายการที่สองจากการเอาชนะจุดโทษเชลซีไปได้อีกครั้งในเอฟเอคัพ รอบชิงชนะเลิศ 2022 และทั้งสองทีมเสมอกันในเวลาปกติด้วยผลประตู 0–0 เช่นเดียวกับรอบชิงชนะเลิศอีเอฟแอลคัพ ส่งผลให้คล็อพเป็นผู้จัดการทีมชาวเยอรมันคนแรกที่คว้าแชมป์เอฟเอคัพ[132] ในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลมีลุ้นแชมป์ถึงสี่รายการ แต่พวกเขาพลาดในพรีเมียร์ลีกด้วยการมีคะแนนน้อยกว่าแมนเชสเตอร์ซิตีเพียงคะแนนเดียว นับเป็นครั้งที่สองที่ทีมของคล็อพพลาดแชมป์ลีก โดยมีแต้มน้อยกว่าซิตีที่คุมทีมโดยกวาร์ดีโอลาหนึ่งคะแนน และแพ้เรอัลมาดริด 0–1 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ 2022[133]

2022–2024: ฤดูกาลสุดท้าย

เข้าสู่ฤดูกาล 2022–23 ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2022 เอาชนะแมนเชสเตอร์ซิตี 3–1 นับเป็นแชมป์ครั้งแรกในรายการนี้ของคล็อพ[134] ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 2022 ลิเวอร์พูลเอาชนะบอร์นมัทไปถึง 9–0 เป็นสถิติร่วมในการชนะมากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก[135] ในวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2022 ลิเวอร์พูลบุกไปเอาชนะสโมสรฟุตบอลเรนเจอส์ 7–1 ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2022–23 โดยมุฮัมมัด เศาะลาห์ ทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ยิงแฮตทริกได้เร็วที่สุดในรายการนี้ ต่อมา วันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2023 ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 7–0 เป็นสถิติชนะที่มากที่สุดที่มีต่อยูไนเต็ด[136][137] จากการบาดเจ็บยาวของเตียโก อัลกันตารา ทำให้เป็นโอกาสของเคอร์ติส โจนส์ในการก้าวขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่[138][139][140] ลิเวอร์พูลจบเพียงอันดับห้าในลีกไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 2023–24 ในปีนี้ทีมประสบปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บหลายราย[141] โดยเชื่อว่าเป็นผลมาจากการลงเล่นครบทุกนัดทุกรายการในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งลิเวอร์พูลเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยทุกรายการ และมีลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกถึงนัดสุดท้าย[142][143][144]

ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2024 คล็อพประกาศว่าเขาจะอำลาทีมเมื่อจบฤดูกาล 2023–24 โดยให้เหตุผลว่าตนเองหมดความท้าทาย และต้องการพักจากการคุมทีมโดยไม่มีกำหนด[145] คล็อพยังกล่าวว่าเขาจะไม่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมให้แก่สโมสรอื่นในอังกฤษนอกจากลิเวอร์พูล[146] ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024 คล็อพพาทีมชนะเลิศรายการอีเอฟแอลคัพ ฤดูกาล 2023–24 ด้วยการเอาชนะเชลซี 1–0 และเป็นแชมป์สมัยที่สิบของลิเวอร์พูล[147]

รูปแบบการเล่น

คล็อพได้รับการยอมรับในด้านการเล่นแบบเกเกนเพรสซิง (Gegenpressing) หรือการแย่งลูกบอลกลับมาโดยเร็วที่สุดหลังจากสูญเสียการครองบอล แนวทางการเล่นดังกล่าวต้องอาศัยความเข้าใจในเกมและพละกำลังที่สูงตลอดการแข่งขัน คล็อพเคยกล่าวว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการแย่งลูกบอลกลับมาก็คือ "ทันทีที่คุณเพิ่งสูญเสียการครองบอล" เนื่องจากผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจะใช้เวลากับการครองบอลที่เพิ่งแย่งมาได้ และอยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะส่งบอลไปทิศทางใดต่อ จึงเป็นโอกาสที่เราจะรบกวนสมาธิพวกเขาเพื่อแย่งบอลกลับมา[148] อย่างไรก็ตาม แท็คติกดังกล่าวมีข้อเสียคือต้องอาศัยพละกำลังในการวิ่งตลอด 90 นาทีและต้องมีความแข็งแกร่งทางสรีระในการเข้าปะทะ และต้องชำนาญในการเล่นเกมสวนกลับ[149] นอกจากนี้ ผู้เล่นของคล็อพยังต้องเข้าใจว่าเมื่อใดที่ควรหยุดการเพรสซิงเพื่อถนอมแรง และยังช่วยป้องกันการโดนจ่ายบอลยาวทะลุแนวกองหลังจนอาจเสียประตูได้เช่นกัน คล็อพยังขึ้นชื่อในปรัชญาฟุตบอลเกมรุกตั้งแต่ยังคุมทีมอยู่ในเยอรมนี โดยเน้นให้ทีมของเขาเปิดเกมบุกใส่คู่ต่อสู้และดันไลน์ขึ้นสูงถึงกลางสนามแทนที่จะส่งบอลคืนหลังเพื่อตั้งเกมขึ้นมาใหม่[150][151]

คล็อพยังเป็นที่จดจำในฐานะผู้จัดการทีมที่มีอารมณ์ร่วมกับการแข่งขันตลอดเวลา มักปรากฏภาพเขาแสดงความดีใจเต็มที่บริเวณข้างสนามเมื่อนักฟุตบอลทำประตูได้ เขาเคยกล่าวว่า "แท็คติกเป็นสิ่งสำคัญในการแข่งขัน แต่อารมณ์ช่วยสร้างความแตกต่างให้ผลการแข่งขันได้" โดยหลายครั้งที่การแสดงออกดังกล่าวช่วยกระตุ้นและปลุกใจผู้เล่นของเขาให้ฮึกเหิม จากการตกเป็นรองก็สามารถกลับมาพลิกชนะได้[152] เช่น ในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายบุกไปแพ้บาร์เซโลนาก่อนถึง 0–3 แต่กลับมาเอาชนะคืนได้ 4–0 ที่บ้านตนเองแม้จะปราศจากผู้เล่นตัวหลักบางราย

ในสองฤดูกาลแรกที่คุมทีมลิเวอร์พูล คล็อพเน้นการวางระบบการเล่นแบบ 4–3–3 มีผู้เล่นตัวรีมเส้นอย่างซาดีโย มาเน และเศาะลาห์ และโรแบร์ตู ฟีร์มีนู เป็นผู้เล่นกองหน้าตัวหลอกหรือ False 9 และได้รับการสนับสนุนจากฟีลีปี โกชิญญูซึ่งทำหน้าที่เชื่อมเกมและพาบอลไปข้างหน้า ซึ่งทำให้เกมรุกของทีมมีประสิทธิภาพมาก แม้โกชิญญูจะอำลาทีมใน ค.ศ. 2018 แต่ด้วยผู้เล่นที่เข้าใจระบบการเล่น กอปรกับการเสริมตัวผู้เล่นใหม่ที่ปรับตัวเข้ากับระบบคล็อพได้ ลิเวอร์พูลจึงเป็นทีมที่มีเกมรุกที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในยุโรปมาถึงปัจจุบัน สองผู้เล่นคนสำคัญในเกมรุกอย่างมาเน และ เซาะลาห์คว้ารางวัลผู้ทำประตูสูงสุดประจำฤดูกาลสองปีติดต่อกันใน ค.ศ. 2018 และ 2019 ตามลำดับ[153] ถัดมา ในช่วงแรกของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018–19 คล็อพใช้แผนการเล่นแบบ 4–2–3–1 ซึ่งเคยประสบความสำเร็จกับดอร์ทมุนท์มาแล้ว และยังช่วยให้เศาะลาห์มีพื้นที่ในการเล่นอย่างเป็นอิสระมากขึ้น โดยในบางครั้งคล็อพอาจถอยฟีร์มีนูลงต่ำเพื่อเชื่อมเกมและแบ่งเบาภาระของสองผู้เล่นริมเส้น[154] ก่อนที่คล็อพจะกลับไปใช้ระบบการเล่น 4–3–3 ซึ่งพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งที่สองและคว้าแชมป์ได้[155]

สถิติการคุมทีม

ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2024
ทีมตั้งแต่ถึงบันทึก
เกมชนะเสมอแพ้% ชนะ
ไมนทซ์ 0527 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 200130 มิถุนายน ค.ศ. 20082701097883040.37
โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์1 กรกฎาคม ค.ศ. 200830 พฤษภาคม ค.ศ. 20153191806970056.43
ลิเวอร์พูล8 ตุลาคม ค.ศ. 2015[156]ปัจจุบัน46928510579060.77
ทั้งหมด1,058574252232054.3

เกียรติประวัติ

คล็อพ (ที่สองจากซ้าย) กับการฉลองแชมป์บุนเดิสลีกาของโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ฤดูกาล 2010–11

ผู้จัดการทีม

โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์[157]

ลิเวอร์พูล[165][157]

ส่วนบุคคล

  • ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันแห่งปี: 2011,[176] 2012,[176] 2019[177]
  • ผู้ฝึกสอนฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า: 2019,[178] 2020[179]
  • ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมโดยสหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ: 2019[180]
  • ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก: 2019–20, 2021–22
  • รางวัลบีบีซี สปอร์ตส์ เพอร์ซันนอลลิตี ออฟ เดอะ เยียร์ สาขาผู้ฝึกสอนยอดเยี่ยม: 2020
  • รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมโดยนิตยสารเวิลด์ซอคเกอร์: 2019[181]
  • รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมโดยนิตยสาร Onze Mondial: 2019[182]
  • การเสนอชื่อเข้าสู่หอเกียรติยศสมาคมฟุตบอลอังกฤษ และสหภาพการค้าพรีเมียร์ลีก: 2019
  • รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมโดยสมาคมฟุตบอลอังกฤษ และสหภาพการค้าพรีเมียร์ลีก: 2019–20[183], 2021–22
  • รางวัลเสรีภาพแห่งเมืองลิเวอร์พูล: 2022[184]

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง