เหตุโจมตีโครคุสซีตีฮอลล์
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2024 เวลาประมาณ 20:00 MSK (UTC+3) เกิดเหตุโจมตีที่สถานแสดงดนตรีโครคุสซีตีฮอลล์ในนครครัสโนกอร์สค์ ทางเหนือของนครมอสโก ผู้ก่อเหตุจำนวนมากเข้าก่อเหตุกราดยิงผู้คนที่รวมตัวกันภายในสถานแสดงดนตรีและจุดอุปกรณ์วางเพลิงทำให้ตัวอาคารเกิดการลุกไหม้[8] การโจมตีเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 150[9][10]
เหตุโจมตีโครคุสซีตีฮอลล์ | |
---|---|
เป็นส่วนหนึ่งของการก่อการร้ายในรัสเซีย, การก่อการร้ายอิสลามในยุโรป | |
ภายในโถงแสดงดนตรีของโครคุสซีตีฮอลล์หลังเกิดเหตุ | |
สถานที่ | โครคุสซีตีฮอลล์ ครัสนอกอร์สก์ แคว้นมอสโก ประเทศรัสเซีย |
พิกัด | 55°49′33″N 37°23′25″E / 55.82583°N 37.39028°E |
วันที่ | 22 มีนาคม 2024 20:00 MSK (UTC+3) |
ประเภท | |
ตาย | 150+[1][2] |
เจ็บ | 145+[3] |
ผู้ก่อเหตุ | รัฐอิสลาม-แคว้นฮอราซัน (อ้างความรับผิดชอบ)[4][5] |
จำนวนก่อเหตุ | 4[6][7] |
เหตุจูงใจ | ยังไม่ทราบ |
ราย[11] บาดเจ็บมากกว่า 145 คน ถือเป็นการก่อการร้ายครั้งที่เลวร้ายที่สุดในรัสเซียในรอบสองทศวรรษ นับตั้งแต่เหตุโจมตีที่โรงเรียนในเบสลันเมื่อปี 2004[12][13]
รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียเรียกเหตุนี้ว่าเป็นการก่อการร้าย[14] ในประกาศที่เปิดเผยทางเทเลแกรมของสำนักข่าวอามักไม่นานหลังเกิดเหตุ รัฐอิสลาม-แคว้นฮอราซัน (IS-KP หรือ ISIS-K) องค์การก่อการร้ายส่วนภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียกลาง ส่วนย่อยของรัฐอิสลาม ประกาศอ้างความรับผิดชอบ[15][4][16] ก่อนหน้านี้ สื่อทางการของรัสเซีย ตลอดจนทางการและประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ได้กล่าวหาว่ายูเครนมีส่วนในการโจมตีนี้ ในขณะที่ยูเครนปฏิเสธความรู้เห็น[11]
ในวันที่เกิดเหตุนั้น วงดนตรี ปิกนิก กำลังจะขึ้นแสดงที่โถงแสดงดนตรีของโครคุสซีตีฮอลล์ การแสดงดนตรีครั้งนี้มียอดจำหน่ายตั๋วเต็มทุกที่นั่ง[17][18] ที่เวลาราว 20:00 MSK (UTC+3)[19] ก่อนที่วงดนตรีจะเริ่มการแสดง ผู้ก่อเหตุถือปืนและสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าในชุดสู้รบเดินเข้ามาภายในและทำการกราดยิงใส่ผู้ที่รอชมการแสดงโดยใช้ปืนไรเฟิล[20] ขณะเกิดเหตุยังมีเด็กและวัยรุ่นอยู่ในอาคารเดียวกันนี้เพื่อเข้าร่วมการแข่งเต้นบอล[21] เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโครคุสซีตีไม่ได้มีอาวุธประจำตัว และบางส่วนเชื่อว่าเสียชีวิตในเหตุโจมตีครั้งนี้[22]
ภูมิหลังเหตุการณ์
รัสเซียเป็นเป้าหมายของการก่อการร้ายใหญ่มาตั้งแต่อดีต ได้แก่ เหตุระเบิดหลายครั้งที่ตึกอพาร์ตเมนต์ในกรุงมอสโกเมื่อปี ค.ศ. 1999 วิกฤตการณ์ตัวประกันโรงละครในกรุงมอสโกเมื่อปี 2002 และการปิดล้อมโรงเรียนในเบสลันเมื่อปี 2004[23][24] หลังจากนั้นหลายปีในเดือนตุลาคม 2015 กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (IS) ได้ยิงเครื่องบินโดยสารของรัสเซียตกเหนืออียิปต์ ทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือ 224 คนบนเครื่องทั้งหมดเสียชีวิต[23] กลุ่มรัฐอิสลามได้ก่อการโจมตีขนาดใหญ่อย่างเป็นระบบต่อสถานที่จัดแสดงดนตรีทั่วยุโรปมาตั้งแต่ปี 2010 เช่นการโจมตีระหว่างคอนเสิร์ตร็อคในโรงมหรสพบาตากล็องในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 2015 และการวางระเบิดที่เกิดขึ้นหลังจบการแสดงดนตรีป๊อปในแมนเชสเตอร์อะรีนา ประเทศอังกฤษ เมื่อปี 2017 กลุ่มรัฐอิสลามยังได้ก่อเหตุระเบิดสถานทูตรัสเซียในกรุงคาบูล เมื่อปี 2022[25]
หลังจากที่เหตุการณ์ค่อนข้างเงียบสงบมาหลายปี กลุ่มรัฐอิสลามได้พยายามเพิ่มการโจมตีนอกพื้นที่อีกครั้ง[5] วันที่ 3 มกราคม 2024 กลุ่มรัฐอิสลามสาขาแคว้นฮอราซัน (IS–KP) ได้ก่อเหตุระเบิดในอิหร่าน คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 103 คน โดยก่อนหน้านี้สหรัฐได้เตือนอิหร่านถึงการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น[5] คอลิน คลาร์ก คลังสมองจากองค์การอิสระศูนย์ Soufan กล่าวว่ากลุ่ม IS–KP "จับจ้องไปยังรัสเซียในช่วงสองปีที่ผ่านมา และมักวิพากษ์วิจารณ์ปูตินในโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มตน"[23] นอกจากนี้ กลุ่มรัฐอิสลามยังเคยเป็นเป้าหมายของรัสเซียในช่วงที่รัสเซียแทรกแซงในสงครามกลางเมืองซีเรียและสนับสนุนรัฐบาลบัชชาร อัลอะซัด ประธานาธิบดีซีเรีย[26]
วันที่ 7 มีนาคม 2024 หน่วยความมั่นคงกลางแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย (FSB) แถลงว่าได้ปราบกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งในมอสโกที่เชื่อมโยงกับ IS และได้วางแผนการโจมตีโบสถ์ยิวแห่งหนึ่งในเมือง[27] ถัดมาอีกไม่กี่ชั่วโมง สถานทูตสหรัฐประจำกรุงมอสโกได้ออกคำเตือนว่า "กลุ่มหัวรุนแรงมีแผนมุ่งเป้าไปที่การชุมนุมใหญ่ในมอสโก รวมถึงคอนเสิร์ต" และแนะนำให้พลเมืองสหรัฐ "หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนรวมตัวเป็นจำนวนมากในช่วง 48 ชั่วโมงข้างหน้า"[28][29] ในวันนั้นเอง สหรัฐยังได้เตือนเจ้าหน้าที่รัสเซียเป็นการส่วนตัวถึงอันตรายจากการโจมตีที่กำลังจะเกิดขึ้นจากกลุ่ม IS-KP จากข่าวกรองที่รวบรวมมาเมื่อต้นเดือนมีนาคม ซึ่งอยู่ภายใต้ข้อกำหนด "หน้าที่ในการเตือน" (duty to warn) ของชุมชนข่าวกรองสหรัฐ[5]
ต่อมาในวันที่ 19 มีนาคม ปูตินออกมากล่าวว่าคำเตือนของสถานทูตสหรัฐ "มีลักษณะคล้ายกับการแบล็กเมล์อย่างโจ่งแจ้งและคล้ายกับตั้งใจข่มขวัญและสั่นคลอนเสถียรภาพทางสังคมของพวกเรา"[30][29][31] ก่อนหน้านี้ในปี 2017 และ 2019 ปูตินเคยขอบคุณสหรัฐและซีไอเอที่ได้ให้คำเตือนที่ทำให้สามารถระงับเหตุก่อการร้ายในรัสเซียได้[32][33] เจ้าหน้าที่สหรัฐยืนยันกับ เดอะนิวยอร์กไทมส์ ว่าการโจมตีดังกล่าวเกี่ยวข้องกับคำเตือนของสหรัฐก่อนหน้านี้[29] และยังระบุด้วยว่ารายงานข่าวกรองที่มีพื้นฐานมาจากคำเตือนนั้นได้มีการส่งต่อให้เจ้าหน้าที่รัสเซียก่อนเกิดการโจมตี[23]