การปฏิวัติเขียว
การปฏิวัติเขียว หรือ การปฏิวัติเกษตรกรรมครั้งที่สาม เป็นชุดการริเริ่มการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นระหว่างค.ศ. 1950 ถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 ส่งผลให้หลายพื้นที่ในโลกมีผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้น ซึ่งปรากฏชัดช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1960[1] การปฏิวัติเขียวนำไปสู่การใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น ธัญพืชพันธุ์ให้ผลผลิตสูง (high-yielding varieties, HYVs) โดยเฉพาะข้าวสาลีพันธุ์แคระและข้าว ร่วมกับการใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมีทางการเกษตรและการใช้น้ำอย่างควบคุม (มักเกี่ยวข้องกับชลประทาน) และวิธีเพาะปลูกแบบใหม่ที่ใช้เครื่องจักร องค์ประกอบสำคัญของการปฏิวัติเขียวได้แก่ การใช้เทคโนโลยีล่าสุด, การใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของการเพาะปลูก, การใช้เมล็ดพันธุ์ให้ผลผลิตสูง, การใช้ปุ๋ยเคมีอย่างเหมาะสม และการจัดรูปที่ดิน คำว่า "การปฏิวัติเขียว" เริ่มใช้ครั้งแรกโดยวิลเลียม เอส. กอด ผู้บริหารหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐในค.ศ. 1968[2][3]
มูลนิธิฟอร์ดและมูลนิธิร็อกเกอะเฟลเลอร์มีส่วนอย่างมากในการพัฒนาการปฏิวัติเขียวช่วงแรกในประเทศเม็กซิโก[4][5] หนึ่งในผู้นำการปฏิวัติเขียวคนสำคัญคือ นอร์แมน บอร์ล็อก นักวิชาการเกษตรชาวอเมริกันผู้ได้รับการขนานนามว่า "บิดาแห่งการปฏิวัติเขียว"[6][7] และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำค.ศ. 1970[8] บอร์ล็อกได้รับการยกย่องว่าช่วยเหลือผู้คนกว่าพันล้านคนให้รอดพ้นจากความอดอยาก[9][10] โดยการพัฒนาธัญพืชพันธุ์ให้ผลผลิตสูง, การขยายโครงสร้างพื้นฐานทางชลประทาน, การปรับเทคนิคการจัดการให้เป็นสมัยใหม่ และการกระจายเมล็ดพันธุ์ผสม ปุ๋ยสังเคราะห์และสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์สู่เกษตรกร การปฏิวัติเขียวได้รับการตอบรับแบบผสม บอร์ล็อกโทษว่าความล้มเหลวเกิดจากการเมือง[11] ทั้งนี้เมื่อการพัฒนาพันธุ์ธัญพืชใหม่ผ่านการคัดเลือกพันธุ์มาถึงขีดจำกัด นักวิชาการเกษตรบางส่วนจึงหันมาใช้การสร้างสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่พบในธรรมชาติเรียกว่า สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม (genetically modified organism, GMO) บางครั้งปรากฏการณ์นี้เรียกว่า การปฏิวัติยีน (Gene Revolution)[12]