พม่าภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร
การปกครองของบริเตนในพม่า คือช่วงที่พม่าอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษระหว่าง พ.ศ. 2367 – 2491 โดยเริ่มต้นจากสงครามพม่า-อังกฤษ ซึ่งนำไปสู่การทำให้พม่ากลายเป็นมณฑลหนึ่งของบริติชอินเดีย ขึ้นตรงกับรัฐบาลอุปราชในกัลกัตตา พื้นที่หลายส่วนของพม่า เช่น ยะไข่ ตะนาวศรี ถูกผนวกเข้ากับอังกฤษหลังสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่ 1 พม่าตอนล่างถูกผนวกหลังสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่ 2 ส่วนที่ถูกผนวกนี้กลายเป็นมณฑลขนาดเล็กที่เรียกบริติชพม่าในบริติชอินเดีย ส่วนพม่าตอนบนถูกผนวกหลังสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่ 3 และพม่าทั้งหมดกลายเป็นมณฑลหนึ่งของบริติชอินเดียใน พ.ศ. 2380 ต่อมา พม่าได้แยกการบริหารออกมาต่างหาก และได้รับเอกราชในวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491
อาณานิคมพม่า Colony of Burma မြန်မာကိုလိုနီ | |||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ. 1824–1942 ค.ศ. 1945–1948 | |||||||||||||||||
บริติชเบอร์ม่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขียวเข้ม: พม่าส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นปกครอง เทาอ่อน: ส่วนของอังกฤษที่ญี่ปุ่นยึดไม่ได้ เขียวอ่อน: ส่วนที่ถูกผนวกโดยประเทศไทย | |||||||||||||||||
สถานะ | มณฑลของบริติชอินเดีย (1824–1942) อาณานิคมของสหราชอาณาจักร (1948-1974) | ||||||||||||||||
เมืองหลวง | เมาะลำเลิง (ค.ศ. 1826–1852)ย่างกุ้ง (ค.ศ. 1853–1948) | ||||||||||||||||
ภาษาราชการ | อังกฤษ | ||||||||||||||||
ภาษาทั่วไป | พม่า | ||||||||||||||||
ศาสนา | พุทธ, คริสต์, ฮินดู, อิสลาม | ||||||||||||||||
พระเจ้าแผ่นดิน | |||||||||||||||||
• 1862–1901 | พระนางเจ้าวิกตอเรีย | ||||||||||||||||
• 1901–1910 | พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 | ||||||||||||||||
• 1910–1936 | พระเจ้าจอร์จที่ 5 | ||||||||||||||||
• 1936 | พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 | ||||||||||||||||
• 1936–1947 | พระเจ้าจอร์จที่ 6 | ||||||||||||||||
สภานิติบัญญัติ | รัฐบาลข้าหลวง | ||||||||||||||||
• สภาสูง | วุฒิสภา | ||||||||||||||||
• สภาล่าง | สภาผู้แทนราษฎร | ||||||||||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | ยุคอาณานิคม | ||||||||||||||||
5 มีนาคม 1824 | |||||||||||||||||
• สงครามอังกฤษ-พม่า | 1824–1826, 1852, 1885 | ||||||||||||||||
• ขบวนการเรียกร้องเอกราช | 1918–1942 | ||||||||||||||||
• แยกการปกครองจากบริติชอินเดีย | ค.ศ. 1937 | ||||||||||||||||
• ถูกยึดครองโดยญี่ปุ่นและไทย | ค.ศ. 1942–1945 | ||||||||||||||||
• ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักร | 4 มกราคม 1948 | ||||||||||||||||
สกุลเงิน | รูปีพม่า, รูปีอินเดีย, ปอนด์สเตอร์ลิง | ||||||||||||||||
| |||||||||||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | พม่า |
การแบ่งเขตการปกครองในพม่าของอังกฤษ
มณฑลพม่ามีการแบ่งเขตการปกครองใน พ.ศ. 2428 ได้แก่ พม่าส่วนกลาง ประกอบด้วยเขตตะนาวศรี เขตยะไข่ เขตพะโค เขตอิรวดี และพื้นที่ตามแนวชายแดน ได้แก่ รัฐชาน เขตภูเขาชีน รัฐกะชีน และรัฐกะเหรี่ยงแดง (กะยา)
ภูมิหลัง
พม่าเป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างจีนกับอินเดีย อยู่บนเส้นทางการค้าและเกษตรกรรมเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจ พ่อค้าจากอินเดียมาถึงทางทะเลและเข้าไปค้าขายภายในประเทศผ่านทางแม่น้ำอิรวดี พม่าได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอินเดียมาก โดยเฉพาะศาสนาพุทธ ก่อนที่อังกฤษจะเข้ามา ราชวงศ์คองบองเป็นรัฐบาลที่ปกครองพม่า โดยพระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาด
สงครามพม่า-อังกฤษครั้งแรกเริ่มจากการแตกแยกของยะไข่ และอังกฤษเข้ามาควบคุมจิตตะกองทางตอนเหนือ หลังจากพม่ารบชนะราชอาณาจักรยะไข่เมื่อ พ.ศ. 2327 – 2328 ต่อมา ใน พ.ศ. 2366 กองทัพพม่าได้ข้ามชายแดนขยายอำนาจของพม่าจากยะไข่เข้าสู่อัสสัม[1]ซึ่งเป็นดินแดนใกล้เคียงกับบริติชอินเดีย ทำให้เกิดสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่หนึ่ง อังกฤษเป็นฝ่ายชนะ ได้ครอบครองอัสสัม ยะไข่ ตะนาวศรี และส่งกองเรือเข้ายึดครองย่างกุ้งโดยไม่มีการต่อต้าน ใน พ.ศ. 2367 พม่าได้ยกทัพมาขับไล่อังกฤษแต่แม่ทัพพม่าเสียชีวิตในการสู้รบ ในที่สุด สงครามยุติลงด้วยการทำสนธิสัญญารานตะโบ ในอีก 25 ปีต่อมา เกิดสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่ 2 เพราะอังกฤษต้องการไม้สักในพม่าตอนล่าง และต้องการท่าเรือใหม่ระหว่างจิตตะกองและสิงคโปร์ แม้อังกฤษจะเป็นฝ่ายชนะ ได้ครอบครองพม่าตอนล่างทั้งหมด แต่ไม้สัก แร่ธาตุและน้ำมันในพม่าตอนบนก็ยังเป็นที่ต้องการของอังกฤษ ทำให้เกิดสงครามครั้งที่สามขึ้นอีก ผลของสงครามทำให้อังกฤษยึดพม่าได้ทั้งประเทศ ปลดพระเจ้าธีบอออกจากกษัตริย์ ด้วยข้อหาที่พยายามชักนำให้ฝรั่งเศสเข้ามามีอิทธิพลในพม่าแข่งกับอังกฤษ ในที่สุด อังกฤษก็ผนวกพม่าเข้ากับอินเดีย
การปกครองของอังกฤษช่วงแรก
การบริหาร
อังกฤษเริ่มปกครองพม่าในฐานะมณฑลหนึ่งของอินเดียเมื่อ พ.ศ. 2429 โดยมีเมืองหลวงที่ย่างกุ้ง และกลายเป็นยุคใหม่ทางด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจของพม่า ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐบาล ราชวงศ์ถูกล้มเลิก พระเจ้าธีบอถูกเนรเทศไปอินเดีย แยกการเมืองและศาสนาออกจากกัน ซึ่งแต่เดิม พระสงฆ์จะขึ้นกับการสนับสนุนจากราชวงศ์ และราชวงศ์จะรับรองสถานะทางกฎหมายของพุทธศาสนา ทำให้องค์กรทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองระดับชาติ นอกจากนั้น อังกฤษยังเข้ามาจัดการศึกษาในระบบโรงเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา โดยจัดตั้งโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาพม่า และสนับสนุนให้มิชชันนารีเข้ามาสร้างโรงเรียน โดยในโรงเรียนทั้งสองระบบนี้พุทธศาสนาและวัฒนธรรมดั้งเดิมของพม่าไม่ถูกกล่าวถึง เพื่อทำลายความเป็นเอกภาพทางวัฒนธรรมของพม่าที่ต่างจากอังกฤษ ทำให้เกิดการต่อต้านทั่วไปในพม่าตอนเหนือจนถึง ปีพ.ศ. 2433 ซึ่งเป็นปีที่อังกฤษเข้าไปปราบปรามในระดับหมู่บ้านโดยเผาทำลายหมู่บ้านที่ต่อต้านอังกฤษ สั่งให้ผู้คนอพยพลงไปพม่าภาคใต้และปลดเจ้าหน้าที่ที่สนับสนุนฝ่ายกบฏออก นำกลุ่มคนที่สนับสนุนอังกฤษเข้ามาแทนจึงทำให้การต่อต้านสิ้นสุดลง
สภาพเศรษฐกิจในอาณานิคม
สภาพเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมของพม่านั้นจะกำหนดราคาโดยภาครัฐ อุปสงค์และอุปทานไม่มีความจำเป็น การค้าไม่ใช่เศรษฐกิจหลักของประเทศ แต่ตำแหน่งของพม่าอยู่ในตำแหน่งสำคัญทางการค้าระหว่างจีนกับบอินเดีย เมื่ออังกฤษมาถึง เศรษฐกิจของพม่าถูกบีบคั้นด้วยเศรษฐกิจโลกและกลายเป็นส่วนหนึ่งของการส่งออกของอาณานิคม มีการส่งเสริมให้ปลูกข้าวในที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี เนื่องจากขณะนั้น ข้าวเป็นที่ต้องการของยุโรป และมีการอพยพผู้คนจากที่สูงลงมายังที่ลุ่มเพื่อปลูกข้าว ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจของประชากร
การปกครองของอังกฤษทำให้เกิดกลุ่มชนลูกผสมระหว่างชาวยุโรปและชาวพม่า ซึ่งมีความโดดเด่นในสังคมยุคอาณานิคม สภาพทางเศรษฐกิจค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง หลังจากมีการเปิดคลองสุเอซ ความต้องการข้าวจากพม่าเพิ่มมากขึ้น มีการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกมากขึ้น ในการเตรียมที่ดินเพื่อการปลูกข้าว ชาวนาพม่ามักจะยืมเงินจากพ่อค้าอินเดียในอัตราดอกเบี้ยที่สูง เกิดการขูดรีด มีการนำแรงงานชาวอินเดียเข้ามาเป็นปัจจัยการผลิตเนื่องจากได้ค่าแรงต่ำ และได้เข้ามาแทนที่ชาวนาพม่า มีการพัฒนาอุตสาหกรรมมากขึ้น มีการสร้างทางรถไฟผ่านที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี และมีเรือเครื่องจักรไอน้ำแล่นขึ้นล่องระหว่างแม่น้ำ บริการสาธารณะจัดขึ้นเพื่อชาวพม่าเชื้อสายอังกฤษและชาวอินเดีย สิ่งเหล่านี้มีอังกฤษเป็นเจ้าของ และชาวพม่าต้องจ่ายเงินจำนวนมากในการใช้บริการเหล่านี้ หลายหมู่บ้านกลายเป็นหมู่บ้านนอกกฎหมายเนื่องจากมีกองโจรติดอาวุธ เศรษฐกิจของพม่าเติบโตขึ้นโดยอำนาจทั้งหมดอยู่ในมือหุ้นส่วนชาวอังกฤษและผู้อพยพจากอินเดีย การเติบโตทางเศรษฐกิจในสมัยอาณานิคมส่งผลร้ายต่อพม่า เพราะได้ใช้ทรัพยากรของพม่าไปเพื่อผลกำไรของอังกฤษ ชาวพม่าถูกห้ามเป็นทหาร โดยทหารส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย ชาวพม่าเชื้อสายอังกฤษ ชาวกะเหรี่ยง และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในพม่า หลังจากที่อังกฤษยึดครองพม่า พม่ายังคงส่งบรรณาการไปปักกิ่ง[2]ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงในการประชุมเรื่องพม่า พ.ศ. 2429 ที่จีนยอมรับการยึดครองพม่าของอังกฤษ แต่อังกฤษต้องยอมให้พม่าส่งบรรณาการให้จีนทุกสิบปี[3]
ขบวนการชาตินิยม
ขบวนการชาตินิยมในพม่าเริ่มต้นขึ้นในรูปยุวพุทธิกสมาคม (YMBA) ที่ก่อตั้งเลียนแบบ YMCA องค์กรทางศาสนาที่ก่อตั้งโดยอังกฤษ ต่อมาได้รับการสนับสนุนจากสมาคมสภาทั่วไปแห่งพม่า (GCBA) ซึ่งมีการเชื่อมโยงกับสมาคมแห่งชาติที่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวพม่า[4] ระหว่าง พ.ศ. 2443 – 2454 อู ธรรมโลกได้ท้าทายอำนาจของจักรวรรดินิยมและศาสนาคริสต์ ผู้นำพม่ารุ่นใหม่ในช่วงดังกล่าวที่ได้รับการศึกษาโดยได้เดินทางไปเรียนด้านกฎหมายที่ลอนดอน คนกลุ่มนี้กลับมายังพม่าพร้อมกับความคิดที่ว่าต้องปฏิรูปพม่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วง พ.ศ. 2463 ทำให้มีสภานิติบัญญัติซึ่งมีอำนาจจำกัด มีมหาวิทยาลัย และมีการปกครองตัวเองมากขึ้นแม้จะอยู่ภายใต้การบริหารรวมกับอินเดีย มีความพยายามที่จะเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นชาวพม่า มีการประท้วงของนักศึกษาเพื่อต่อต้านกฏใหม่ของมหาวิทยาลัยใน พ.ศ. 2463 นักเรียนในโรงเรียนออกมาประท้วงเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของระบบอาณานิคม ต่อมามีการประท้วงเพื่อต่อต้านการจัดเก็บภาษี ผู้นำในการประท้วงส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ เช่น อู โอตมะ และอู เสนทะ ในยะไข่ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหัวหน้ากองกำลังติดอาวุธต่อต้านอังกฤษและได้เข้าร่วมกับรัฐบาลชาตินิยมหลังได้รับเอกราชและอู วิสะระที่เสียชีวิตจากการอดอาหารประท้วงในคุก
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2473 มีการประท้วงเกี่ยวกับภาษีโดยซยาซานและได้ลุกลามกลายเป็นจลาจลต่อต้านรัฐบาล อีกสองปีต่อมาเกิดกบฏกาลนซึ่งตั้งชื่อตามครุฑที่เป็นศัตรูของพญานาค การกบฏนี้ต้องใช้ทหารอังกฤษร่วมพันคนในการปราบปราม ซยาซานถูกประหารชีวิต แต่ก็มีผู้นำชาตินิยมอีกหลายคนเช่น บามอว์และอูซอที่ขึ้นมามีบทบาทแทน ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2473 ได้จัดตั้งสมาคมเราชาวพม่าโดยสมาชิกขององค์กรเรียกทะขิ่น การประท้วงของนักศึกษาพม่าใน พ.ศ. 2479 นำโดยออง ซาน และโกนุ ผู้นำสหภาพนักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ได้ลุกลามไปยังมัณฑะเลย์ ต่อมา อองซานและโก นุ ได้เข้าร่วมในขบวนการทะขิ่น
การแยกพม่าออกจากอินเดีย
อังกฤษได้แยกมณฑลพม่าออกจากบริติชอินเดียใน พ.ศ. 2480[5] และตั้งเป็นหน่วยการปกครองที่มีสภาเป็นของตนเองซึ่งเป็นผลในทางบวกสำหรับชาวพม่า บามอว์ได้เป็นรัฐมนตรี แต่เขาถูกบังคับให้ลาออกโดยอูซอใน พ.ศ. 2482 อูซอได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อมาใน พ.ศ. 2483 จนกระทั่งถูกอังกฤษจับกุมเมื่อ 19 มกราคม พ.ศ. 2485 เนื่องจากมีการติดต่อกับญี่ปุ่น
เกิดการนัดหยุดงานและการประท้วงเริ่มจากพม่าตอนกลางใน พ.ศ. 2481 และกลายเป็นการนัดหยุดงานทั่วประเทศ ในย่างกุ้งมีการประท้วงของนักศึกษา อังกฤษได้ส่งตำรวจเข้าปราบปราม และมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้งเสียชีวิต 1 คนคืออ่องจ่อ ในมัณฑะเลย์ ตำรวจได้ยิงเข้าไปในกลุ่มผู้ประท้วงที่นำโดยพระสงฆ์และมีผู้เสียชีวิต 17 คน ผลจากเหตุการณ์นี้ วันที่ 20 ธันวาคมได้กลายเป็นวันเพื่อระลึกถึงอ่องจ่อผู้เสียชีวิต[6]
สงครามโลกครั้งที่ 2
จักรวรรดิญี่ปุ่นได้แผ่ขยายเข้ามาในพม่าเมื่อ พ.ศ. 2485 จนมีการก่อตั้งรัฐพม่าใน พ.ศ. 2486 หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม กองทหารอังกฤษได้กลับเข้าไปในพม่าเพื่อสถาปนาการปกครองระบอบอาณานิคมอีกครั้งใน พ.ศ. 2488
การลอบสังหารอองซาน
หลังจากที่อังกฤษกลับเข้ามาปกครองพม่าอีกครั้งได้มีการเจรจาเกี่ยวกับเอกราชของพม่าจนบรรลุในข้อตกลงอองซาน-แอตลี เมื่อ 27 มกราคม พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างอังกฤษกับกลุ่มการเมืองของอองซาน โดยตัดกลุ่มนิยมคอมมิวนิสต์ออกไปทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ธงแดงของทะขิ่นโสกลายเป็นกลุ่มใต้ดิน นอกจากนั้น อองซานยังประสบความสำเร็จในการรวมชนกลุ่มน้อยต่างเข้ากับพม่าในการประชุมที่ปางโหลงเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ซึ่งกลายเป็นวันสหภาพ[7] ไม่นานหลังจากนั้น เกิดกบฏขึ้นในยะไข่นำโดยพระภิกษุ อูเซนดาและได้แพร่กระจายออกไป กลุ่มสันนิบาตเสรีชนของอองซานได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2490
ในการประชุมเมื่อ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 ได้มีการลอบสังหารอองซานและคณะรัฐมนตรีรวมทั้งบะวิน ซึ่งผู้ที่ถูกสอบสวนและพบว่าเป็นผู้สั่งการคืออูซอ[8] ทะขิ่นนุ ผู้นำกลุ่มสังคมนิยมได้จัดตั้งคณะรัฐมนตรีและเป็นผู้นำรัฐบาลพม่าจนได้รับเอกราชเมื่อ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 กลุ่มต่อต้านอังกฤษในพม่ายังคงมีบทบาทมากจนพม่าตัดสินใจไม่เข้าร่วมเครือจักรภพอังกฤษ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
- นินิเมียนต์. พม่ากับการต่อต้านจักรวรรดินิยมอังกฤษ ค.ศ. 1885-1895. แปลโดย ฉลอง สุนทราวาณิชย์. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2543.
- Chaiwat Pasuna. "British Colonial Regime: Considering the Administration of British Colony in Burma and Malay Peninsular between the 19th and 20th Centuries." Political Science and Public Administration Journal, 13(1), 175–198. Retrieved from https://so05.tci-thaijo.org/index.php/polscicmujournal/article/view/247427
- Lalita Hingkanonta. “The Police in Colonial Burma.” Ph.D. Thesis, Department of History, School of Oriental and African Studies, University of London, 2013. <https://eprints.soas.ac.uk/17360/1/Hingkanonta_3529.pdf>
- J. S. Furnivall, "Burma, Past and Present", Far Eastern Survey, Vol. 22, No. 3 (25 February 1953), pp. 21–26, Institute of Pacific Relations. <http://jstor.org/stable/3024126>
- Ernest Chew, "The Withdrawal of the Last British Residency from Upper Burma in 1879", Journal of Southeast Asian History, Vol. 10, No. 2 (Sep. 1969), pp. 253–278, Cambridge University Press. <http://jstor.org/stable/20067745>
- Michael W. Charney: Burma, in: 1914-1918-online. International Encyclopedia of the First World War.
- Rachatapong Malithong. “News from “Burmah”: The Role of the English Press in the Making of the British Empire in Burma.” Ph.D. Thesis, Faculty of Humanities, The University of Manchester, 2018. <https://www.research.manchester.ac.uk/portal/files/102592359/FULL_TEXT.PDF>