บริติชราช
บริติชราช (อังกฤษ: British Raj) เป็นการปกครองของพระมหากษัตริย์อังกฤษในอนุทวีปอินเดีย[6] เรียกอีกอย่างว่า การปกครองส่วนพระองค์ในอินเดีย[7] (อังกฤษ: Crown rule in India) หรือ การปกครองโดยตรงในอินเดีย[8] (Direct rule in India) โดยดำรงอยู่ตั้งแต่ ค.ศ. 1858 จนถึง 1947[9] ภูมิภาคที่อยู่ภายใต้การปกครองของบริเตนแห่งนี้เรียกกันโดยทั่วไปว่า อินเดีย ตามการใช้งานในปัจจุบัน รวมถึงพื้นที่ในปกครองของสหราชอาณาจักรโดยตรง ซึ่งเรียกแบบโดยรวมว่าบริติชอินเดีย ตลอดจนรัฐในปกครองของเจ้าพื้นเมือง แต่เนื่องจากบรรดารัฐดังกล่าวอยู่ภายใต้อธิปไตยชั้นสูงสุดโดยบริเตน จึงทำให้พื้นที่ดังกล่าวเรียกว่ารัฐมหาราชา บางครั้งภูมิภาคแห่งนี้เรียกว่า บริติช-อินเดีย หรือ จักรวรรดิอินเดีย ถึงแม้ว่าจะเป็นชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการก็ตาม[10]
อินเดีย | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ. 1858–ค.ศ. 1947 | |||||||||||||
แผนที่ของอินเดียใน ค.ศ. 1909 โดยสีชมพูแสดงถึงอินเดียของบริเตนในทั้งสองระดับสี และสีเหลืองแสดงถึงรัฐของเหล่ามหาราชา | |||||||||||||
สถานะ | โครงสร้างทางการเมืองของจักรวรรดิบริติช (ซึ่งประกอบด้วยอินเดียของบริเตน[a] และรัฐมหาราชา[b])[1] | ||||||||||||
เมืองหลวง | กัลกัตตา[2][c] (ค.ศ. 1858–1911) นิวเดลี (ค.ศ. 1911/1931[d]–1947) | ||||||||||||
ภาษาราชการ | อังกฤษและอูรดู[4][5] | ||||||||||||
การปกครอง | รัฐบาลอาณานิคมของบริเตน | ||||||||||||
จักรพรรดิ | |||||||||||||
• ค.ศ. 1858–1901 | วิกตอเรีย | ||||||||||||
• ค.ศ. 1901–1910 | เอ็ดเวิร์ดที่ 7 | ||||||||||||
• ค.ศ. 1910–1936 | จอร์จที่ 5 | ||||||||||||
• ค.ศ. 1936 | เอ็ดเวิร์ดที่ 8 | ||||||||||||
• ค.ศ. 1936–1947 | จอร์จที่ 6 | ||||||||||||
อุปราช | |||||||||||||
• ค.ศ. 1858–1862 (คนแรก) | ชาร์ล แคนนิง | ||||||||||||
• ค.ศ. 1947 (คนสุดท้าย) | หลุยส์ เมานต์แบ็ตเทน | ||||||||||||
รัฐมนตรีว่าการอินเดีย | |||||||||||||
• ค.ศ. 1858–1859 (คนแรก) | เอ็ดเวิร์ด สแตนเลย์ | ||||||||||||
• ค.ศ. 1947 (คนสุดท้าย) | วิลเลียม แฮร์ | ||||||||||||
สภานิติบัญญัติ | สภานิติบัญญัติจักรวรรดิ | ||||||||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||||||||
10 พฤษภาคม ค.ศ. 1857 | |||||||||||||
2 สิงหาคม ค.ศ. 1858 | |||||||||||||
• พระราชบัญญัติอิสรภาพของอินเดีย | 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 | ||||||||||||
14 และ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1947 | |||||||||||||
สกุลเงิน | รูปีอินเดีย | ||||||||||||
| |||||||||||||
ก่อนหน้ายุคบริติชราช อังกฤษได้ปกครองบรรดาดินแดนในอนุทวีปอินเดียผ่านบริษัทอินเดียตะวันออกกว่าร้อยปี ซึ่งบริษัทนี้มีกองเรือและกองทหารเป็นของตนเอง การปกครองโดยบริษัทฯได้สิ้นสุดลงเมื่อมีการตราพระราชบัญญัติรัฐบาลอินเดีย ค.ศ. 1858 ในการนี้ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียได้สถาปนาพระองค์เป็นจักรพรรดินีนาถแห่งอินเดีย ทรงส่งขุนนางไปปกครองอินเดียในตำแหน่งอุปราชและข้าหลวงต่างพระองค์ ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ได้มีการแบ่งอินเดียแบ่งออกเป็นสองประเทศในเครือจักรภพคืออินเดีย (ประเทศอินเดียในปัจจุบัน) และปากีสถาน (ประเทศปากีสถานและประเทศบังกลาเทศในปัจจุบัน) ส่วนพม่านั้นได้แยกตัวออกจากรัฐบาลบริติชอินเดียในปี ค.ศ. 1937 และรัฐบาลสหราชอาณาจักรปกครองโดยตรงตั้งแต่บัดนั้น
บริติชราชประกอบไปด้วยดินแดนที่เป็นประเทศอินเดียและบังกลาเทศในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีเอเดน (1839-1937), พม่าตอนบน (1885-1937), และพม่าตอนล่าง (1853-1937), โซมาลิแลนด์ของบริเตน (1884-98), โอมานและมัสกัต (1892-1947), บาห์เรน (1861-1947), กาตาร์ (1916-47), คูเวต (1899-1947), รัฐทรูเชียล (1820-1947), และ สเตรตส์เซตเทิลเมนต์ (1826-67) นอกจากนี้ บริติชราชยังมีเขตอำนาจถึงดินแดนในปกครองอังกฤษในตะวันออกกลาง เงินตรารูปีอินเดียใช้กันอย่างแพร่หลายในอนุทวีปอินเดีย อย่างไรก็ตาม ในบรรดาดินแดนในบังคับของอังกฤษเหล่านี้ บริติชซีลอน (ประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน) มีฐานะเป็นคราวน์โคโลนีที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาลอุปราชแห่งอินเดีย
ราชอาณาจักรเนปาลและภูฏาน แม้มีความขัดแย้งกับสหราชอาณาจักร แต่ก็ลงนามทำสนธิสัญญากันและได้รับการยอมรับในฐานะรัฐเอกราชและไม่ใช่ส่วนหนึ่งของบริติชราช[11][12] ราชอาณาจักรสิกขิมได้รับการตั้งให้เป็นรัฐราชวงศ์หลังการลงนามในสนธิสัญญาอังกฤษ-สิกขิมในปี 1862 อย่างไรก็ตาม ไม่เคยมีการตกลงในประเด็นว่าด้วยความมีอธิปไตย มัลดีฟส์เป็นรัฐในอารักขาของบริเตนตั้งแต่ปี 1867 ถึงปี 1965 ซึ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งในบริติชราช
บริติชอินเดียและรัฐมหาราชา
อินเดียในยุคของบริติชราช ประกอบด้วยดินแดนสองประเภท คือ บริติชอินเดีย ปกครองและบริหารโดยรัฐบาลกลาง กับ รัฐพื้นเมือง (รัฐมหาราชา) ปกครองโดยเจ้าอินเดียแต่บริหารโดยรัฐบาลกลาง ทั้งนี้ในมาตรา 18 ของพระราชบัญญัติจำกัดความ ค.ศ. 1889 (Interpretation Act) บัญญัติไว้ว่า:
- (4.) คำว่า "บริติชอินเดีย" นั้นหมายถึงดินแดนและสถานที่ทั้งปวงในแผ่นดินแว่นแคว้นในสมเด็จฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ในปกครองโดยสมเด็จฯผ่านทางข้าหลวงต่างพระองค์แห่งอินเดีย หรือผ่านข้าหลวงหรือเจ้าพนักงานอื่นใดอันขึ้นกับข้าหลวงต่างพระองค์แห่งอินเดีย
- (5.) คำว่า "อินเดีย" นั้นหมายถึงบริติชอินเดียพร้อมด้วยดินแดนของบรรดาเจ้าหรือผู้นำพื้นเมืองภายใต้พระราชอำนาจในสมเด็จฯ ซึ่งทรงบริหารผ่านข้าหลวงต่างพระองค์แห่งอินเดีย หรือผ่านข้าหลวงหรือเจ้าพนักงานอื่นใดอันขึ้นกับข้าหลวงต่างพระองค์แห่งอินเดีย[1]
โดยทั่วไป คำว่า "บริติชอินเดีย" นั้นใช้เพื่อสื่อถึงอนุทวีปอินเดียภายใต้การปกครองของบริษัทอินเดียตะวันออกระหว่าง ค.ศ. 1600 ถึง 1858 นอกจากยังคำว่าบริติชอินเดีย ยังใช้สื่อถึงชาวอังกฤษในอินเดียด้วย ส่วนคำว่า "จักรวรรดิอินเดีย" นั้นเป็นคำที่ไม่ใช้ในสารบบกฎหมาย แต่เนื่องจากกษัตริย์อังกฤษทรงปกครองอินเดียในพระอิสริยยศ จักรพรรดิแห่งอินเดีย ดังนั้นเวลากษัตริย์อังกฤษมีพระราชดำรัสไปยังรัฐสภาจึงมักจะเรียกอินเดียว่า "จักรวรรดิอินเดีย" ทั้งนี้ หนังสือเดินทางที่ออกโดยรัฐบาลบริติชอินเดียนั้น ปรากฏคำว่า "Indian Empire" บนปก และปรากฏคำว่า "Empire of India" อยู่ด้านใน[13] นอกจากนี้ยังมีการสถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่มีชื่อว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันสูงส่งยิ่งแห่งจักรวรรดิอินเดีย ด้วย
มณฑลขนาดใหญ่
ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่คริสต์ศตวรรษที่ 20 บริติชอินเดียประกอบด้วยมณฑลทั้งสิ้น 8 มณฑล ซึ่งมณฑลเหล่านั้นได้รับการปกครองโดยผู้ว่าราชการ หรือรองผู้ว่าราชการ
มณฑล (และดินแดนในปัจจุบัน) | พื้นที่รวม | ประชากรปี 1901 (ล้านคน) |
---|---|---|
อัสสัม (รัฐอัสสัม, รัฐอรุณาจัลประเทศ, รัฐเมฆาลัย, รัฐมิโซรัม, รัฐนาคาแลนด์) | 130,000 ตารางกิโลเมตร 50,000 ตารางไมล์ | 6 |
เบงกอล (ประเทศบังกลาเทศ, รัฐเบงกอลตะวันตก, รัฐพิหาร, รัฐฌารขัณฑ์ และรัฐโอฑิศา) | 390,000 ตารางกิโลเมตร 150,000 ตารางไมล์ | 75 |
บอมเบย์ (แคว้นสินธ์ และบางส่วนของรัฐมหาราษฏระ, รัฐคุชราต และรัฐกรณาฏกะ) | 320,000 ตารางกิโลเมตร 120,000 ตารางไมล์ | 19 |
พม่า (ประเทศพม่า) | 440,000 ตารางกิโลเมตร 170,000 ตารางไมล์ | 9 |
มณฑลกลางและเบราร์ (รัฐมัธยประเทศ และบางส่วนของรัฐมหาราษฏระ, รัฐฉัตตีสครห์ และรัฐโอฑิศา) | 270,000 ตารางกิโลเมตร 100,000 ตารางไมล์ | 13 |
มัทราส (รัฐอานธรประเทศ, รัฐทมิฬนาฑู และบางส่วนของรัฐเกรละ, รัฐกรณาฏกะ, รัฐโอฑิศา และรัฐเตลังคานา) | 370,000 ตารางกิโลเมตร 140,000 ตารางไมล์ | 38 |
ปัญจาบ (แคว้นปัญจาบ, ดินแดนนครหลวงอิสลามาบาด, รัฐปัญจาบ, รัฐหรยาณา, รัฐหิมาจัลประเทศ, รัฐฉัตติสครห์ และดินแดนนครหลวงแห่งชาติเดลี) | 250,000 ตารางกิโลเมตร 97,000 ตารางไมล์ | 20 |
สหมณฑล (รัฐอุตตรประเทศและรัฐอุตตราขัณฑ์) | 280,000 ตารางกิโลเมตร 110,000 ตารางไมล์ | 48 |
ในช่วงของการแบ่งเบงกอล (ค.ศ. 1905–1913) มณฑลอัสสัมและเบงกอลตะวันออกได้รับการก่อตั้งขึ้นในฐานะเขตผู้แทนพระองค์ ใน ค.ศ. 1911 มณฑลเบงกอลตะวันออก ถูกรวมกับมณฑลเบงกอลอีกครั้ง และมณฑลใหม่ทางตะวันออกได้กลายไปเป็นมณฑลอัสสัม, เบงกอล, พิหาร และโอฑิศา[14]
ธงที่เกี่ยวข้อง
- ธงจักรวรรดิอินเดีย เป็นธงอย่างไม่เป็นทางการ
- ธงนาวี
- ธงข้าหลวงต่างพระองค์
หมายเหตุ
อ้างอิง
บรรณานุกรม
แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับด้านการสำรวจ
แหล่งอ้างอิงที่ได้รับการศึกษาเป็นพิเศษ
แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจและประวัติศาสตร์สังคม
แหล่งอ้างอิงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์นิพนธ์และความทรงจำ
- Andrews, C.F. (2017). India and the Simon Report. Routledge reprint of 1930 first edition. p. 11. ISBN 9781315444987.
- Durant, Will (2011, reprint). The case for India. New York: Simon and Schuster.
- Ellis, Catriona (2009). "Education for All: Reassessing the Historiography of Education in Colonial India". History Compass. 7 (2): 363–75. doi:10.1111/j.1478-0542.2008.00564.x.
- Gilmartin, David (2015). "The Historiography of India's Partition: Between Civilization and Modernity". The Journal of Asian Studies. 74 (1): 23–41. doi:10.1017/s0021911814001685. S2CID 67841003.
- Major, Andrea (2011). "Tall tales and true: India, historiography and British imperial imaginings". Contemporary South Asia. 19 (3): 331–32. doi:10.1080/09584935.2011.594257. S2CID 145802033.
- Mantena, Rama Sundari. The Origins of Modern Historiography in India: Antiquarianism and Philology (2012)
- Moor-Gilbert, Bart. Writing India, 1757–1990: The Literature of British India (1996) on fiction written in English
- Mukherjee, Soumyen. "Origins of Indian Nationalism: Some Questions on the Historiography of Modern India." Sydney Studies in Society and Culture 13 (2014). online
- Nawaz, Rafida, and Syed Hussain Murtaza. "Impact of Imperial Discourses on Changing Subjectivities in Core and Periphery: A Study of British India and British Nigeria." Perennial Journal of History 2.2 (2021): 114-130. online
- Nayak, Bhabani Shankar. "Colonial world of postcolonial historians: reification, theoreticism, and the neoliberal reinvention of tribal identity in India." Journal of Asian and African Studies 56.3 (2021): 511-532 online.
- Parkash, Jai. "Major trends of historiography of revolutionary movement in India – Phase II." (PhD dissertation, Maharshi Dayanand University, 2013). online
- Philips, Cyril H. ed. Historians of India, Pakistan and Ceylon (1961), reviews the older scholarship
- Stern, Philip J (2009). "History and Historiography of the English East India Company: Past, Present, and Future". History Compass. 7 (4): 1146–80. doi:10.1111/j.1478-0542.2009.00617.x.
- Stern, Philip J. "Early Eighteenth-Century British India: Antimeridian or antemeridiem?." 'Journal of Colonialism and Colonial History 21.2 (2020) pp 1–26, focus on C.A. Bayly, Imperial Meridian online.
- Whitehead, Clive (2005). "The historiography of British imperial education policy, Part I: India". History of Education. 34 (3): 315–329. doi:10.1080/00467600500065340. S2CID 144515505.
- Winks, Robin, ed. Historiography (1999) vol. 5 in William Roger Louis, eds. The Oxford History of the British Empire
- Winks, Robin W. The Historiography of the British Empire-Commonwealth: Trends, Interpretations and Resources (1966)
- Young, Richard Fox, ed. (2009). Indian Christian Historiography from Below, from Above, and in Between India and the Indianness of Christianity: Essays on Understanding – Historical, Theological, and Bibliographical – in Honor of Robert Eric Frykenberg
หนังสืออ่านเพิ่ม
- Malone, David M., C. Raja Mohan, and Srinath Raghavan, eds. The Oxford handbook of Indian foreign policy (2015) excerpt pp 55–79.
- Simon Report (1930) vol 1, wide-ranging survey of conditions
- Editors, Charles Rivers (2016). The British Raj: The History and Legacy of Great Britain's Imperialism in India and the Indian subcontinent.
- Keith, Arthur Berriedale (1912). Responsible government in the dominions. The Clarendon press., major primary source
หนังสือประจำรายปีและการบันทึกทางสถิติ
- Indian Year-book for 1862: A review of social, intellectual, and religious progress in India and Ceylon (1863), ed. by John Murdoch online edition 1861 edition
- The Year-book of the Imperial Institute of the United Kingdom, the colonies and India: a statistical record of the resources and trade of the colonial and Indian possessions of the British Empire (2nd ed.), India, 1893, pp. 375–462 – โดยทาง Google Books
- The Imperial Gazetteer of India (26 vol, 1908–31), highly detailed description of all of India in 1901. online edition
- Statistical abstract relating to British India, from 1895–96 to 1904–05 (London, 1906) full text online,
- The Cyclopedia of India: biographical, historical, administrative, commercial (1908) business history, biographies, illustrations
- The Indian Year Book: 1914 (1914)
- The Indian Annual Register: A digest of public affairs of India regarding the nation's activities in the matters, political, economic, industrial, educational, etc. during the period 1919–1947 online