พรรคพลังประชารัฐ
พรรคพลังประชารัฐ (ย่อ: พปชร.) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2561 ภายในพรรคประกอบด้วยอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ 1 รวมทั้งมีการรับนักการเมืองหลายกลุ่มเข้าสังกัด ทั้งอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อดีตนักการเมืองท้องถิ่น อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย, พรรคเพื่อไทย และอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึงอดีตแกนนำ กปปส. ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2562 พรรคเสนอชื่อ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปในสมัยที่ 2
พรรคพลังประชารัฐ | |
---|---|
หัวหน้า | ประวิตร วงษ์สุวรรณ |
รองหัวหน้า | |
เลขาธิการ | ธรรมนัส พรหมเผ่า |
นายทะเบียนสมาชิก | กฤษณ์โยธิน ศศิพัฒนวงษ์ |
โฆษก | อรรถกร ศิริลัทธยากร |
กรรมการบริหาร |
|
ประธานที่ปรึกษาพรรค | พัชรวาท วงษ์สุวรรณ |
คำขวัญ | ปกป้องสถาบัน ทันสมัยเศรษฐกิจ มีชีวิตที่สดใส |
ก่อตั้ง | 2 มีนาคม 2018[1] |
แยกจาก | พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ |
ก่อนหน้า | คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (แกนนำ) |
ที่ทำการ | 547 ถ.รัชดาภิเษก แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กทม. 10900 |
จำนวนสมาชิก (ปี 2565) | 57,375 คน[2] |
อุดมการณ์ | กษัตริย์นิยม[3] อนุรักษนิยม[4] ทหารนิยม[5] อำนาจนิยม ประชานิยม |
จุดยืน | ขวา[6] |
สี | สีน้ำเงิน |
เพลง | เพลงพรรคพลังประชารัฐ |
สภาผู้แทนราษฎร | 40 / 500 |
สภากรุงเทพมหานคร | 2 / 50 |
เว็บไซต์ | |
www | |
การเมืองไทย รายชื่อพรรคการเมือง การเลือกตั้ง |
ประวัติ
ชวน ชูจันทร์ ประธานประชาคมตลาดน้ำคลองลัดมะยม และ สุชาติ จันทรโชติกุล อดีต ส.ส. สงขลา พรรคความหวังใหม่ และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศเป็นผู้จดจองชื่อพรรคพลังประชารัฐต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561[7] ชื่อพรรค "พลังประชารัฐ" เป็นชื่อนโยบายช่วยเหลือคนยากจนที่สำคัญของรัฐบาลประยุทธ์[8] พรรคได้รับการสนับสนุนจากกลุ่ม "สามมิตร" ซึ่งมีแกนนำเป็นอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ ได้แก่ สมศักดิ์ เทพสุทิน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งยังดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอยู่ กลุ่มดังกล่าวพยายามดึงตัวสมาชิกรัฐสภาทั้งจากพรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มดังกล่าวสามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ขณะที่ยังมีคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ห้ามดำเนินกิจกรรมทางการเมืองอยู่ในขณะนั้น
พรรคจัดประชุมสามัญใหญ่ของพรรคเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561 เพื่อเลือก หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดแรกจำนวน 25 คนปรากฏว่า อุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในรัฐบาลประยุทธ์ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก และสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลประยุทธ์ 1 เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2561 อุตตมพร้อมคณะได้เดินทางมายัง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อจดทะเบียนจัดตั้งพรรคอย่างเป็นทางการ [9]
ในวันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 มีบุคคลกว่า 150 คนเข้าร่วมพรรคพลังประชารัฐ โดยมีทั้งอดีตสมาชิกรัฐสภา อดีตรัฐมนตรีและบุคคลที่มีชื่อเสียง ซึ่งในจำนวนนี้มีสมาชิกพรรคเพื่อไทย อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยและพลังประชาชน สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ สมาชิกพรรคภูมิใจไทย และสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา[10] นักการเมืองท้องถิ่น รวมถึงอดีตแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ[11]
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ 4 คนที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่งเพื่อมาหาเสียงเต็มเวลา หลังถูกวิจารณ์มาหลายเดือน[12]
การเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2562
พรรคพลังประชารัฐเสนอชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรีก่อนการเลือกตั้ง เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แม้มีพรรคการเมืองหลายพรรคสนับสนุนประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี แต่พรรคพลังประชารัฐถูกมองว่าเป็น "พรรคนิยมประยุทธ์อย่างเป็นทางการ" เพราะแกนนำพรรคหลายคนเป็นรัฐมนตรีและที่ปรึกษาในรัฐบาลประยุทธ์[13][14]
ในการเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และให้คำมั่นขยายโครงการสวัสดิการ[15] ต่อมาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 พรรคพลังประชารัฐเสนอปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 425 บาท ทำให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นนโยบายประชานิยม ทำไม่ได้จริง หรือทำให้ผู้ประกอบการเดือดร้อน แต่พรรคยืนยันว่าสามารถทำได้จริง[16]
พรรคพลังประชารัฐถูกร้องเรียนว่าได้รับการสนับสนุนอย่างลำเอียงจากเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐ[17][18] ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2561 รัฐบาลประยุทธ์อนุมัติงบประมาณอัดฉีดเงินสด 86,700 ล้านบาท[19] ทำให้ถูกกล่าวหาว่าเป็นการใช้เงินภาษีซื้อเสียง[20] นอกจากนี้ พรรคพลังประชารัฐยังถูกกล่าวหาว่ามีการให้ประชาชนสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเพื่อแลกกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นนโยบายช่วยเหลือคนยากจนของรัฐบาล[21]
ประยุทธ์ใช้อำนาจเต็มที่ตาม มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว สั่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งวาดเขตเลือกตั้งใหม่[22][23][24] นักวิจารณ์ระบุว่า การวาดเขตเลือกตั้งใหม่นี้เอื้อประโยชน์ต่อพรรคพลังประชารัฐ โดยบางคนให้ความเห็นว่า พรรคพลังประชารัฐชนะการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว[25]
วันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2561 พรรคพลังประชารัฐจัดโต๊ะจีนระดมทุนมูลค่า 600 ล้านบาท โดยมีแผนที่ซึ่งมีชื่อหน่วยงานของรัฐ เช่น กระทรวงการคลัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมด้วย ทำให้มีข้อกังขาว่ามีการใช้เงินภาษีหรือหาผู้บริจาคหรือผู้ซื้อที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหน่วยงานดังกล่าวซึ่งอาจต้องมีการตอบแทนในอนาคต[26] ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2562 พรรคเปิดเผยชื่อผู้บริจาคในงานดังกล่าวตามระเบียบ 90 ล้านบาท โดยเป็นชื่อผู้ได้รับสัมปทานจากรัฐเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม พรรคไม่ได้เปิดเผยแหล่งที่มาของเงินบริจาคที่เหลือ[27] วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2562 กกต. เปิดเผยว่า ไม่พบความผิดที่พรรคพลังประชารัฐจัดโต๊ะจีนระดมทุน เนื่องจากไม่พบบุคคลต่างชาติบริจาคเงิน จึงไม่มีความผิดและไม่ต้องยุบพรรค[28] ทว่าต่อมาสำนักข่าวอิศราพบว่า มีกลุ่มทุนจากประเทศไอซ์แลนด์ถือหุ้นในบริษัทที่บริจาคเงินให้พรรคพลังประชารัฐ[29]
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 พรรคพลังประชารัฐถูกยื่นคำร้องไต่สวนยุบพรรค เนื่องจากเสนอชื่อประยุทธ์ซึ่งถือว่ามีคุณสมบัติต้องห้ามเพราะดำรงตำแหน่งทางการเมือง[30] ต่อมา ผู้ตรวจการแผ่นดินแถลงว่าประยุทธ์ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ และจะไม่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองต่อ[31] วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2562 พรรคพลังประชารัฐถูกยื่นเอาผิดจากกรณีปราศรัยนำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาหาเสียง เข้าข่ายความผิดฐานเตรียมทรัพย์สินเพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามกฎหมายเลือกตั้ง[32]
ผลการเลือกตั้งเบื้องต้นพบว่าพรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส. มากเกินคาด โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครสามารถแย่งที่นั่งจากพรรคประชาธิปัตย์ได้ทั้งหมด ทำให้ใบตองแห้ง คอลัมนิสต์ข่าวหุ้น เขียนว่า คนชั้นกลางเก่าอนุรักษนิยมที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์หันไปเลือกพรรคพลังประชารัฐแทน แสดงให้เห็นว่าคนเหล่านี้เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์เพราะเกลียดทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ ใบตองแห้งยังเขียนว่า พรรคพลังประชารัฐใช้ปัจจัยในการเมืองแบบเก่าเพื่อเอาชนะ คือ นโยบายประชานิยม ส.ส.ที่ดูดจากพรรคอื่น ประกอบกับอำนาจรัฐราชการ นอกเหนือจากฐานเสียงอนุรักษนิยมในต่างจังหวัด องค์ประกอบของรัฐบาลที่อาจเกิดจากพรรคพลังประชารัฐตั้งจะมีองค์ประกอบจะเป็นนักการเมืองทุนท้องถิ่น ย้อนกลับไปเหมือนสมัยประชาธิปไตยครึ่งใบ[33]
ครม. ประยุทธ์ 2
ก่อนมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2562 มีข่าวแย่งตำแหน่งภายในพรรคพลังประชารัฐ โดยกลุ่มสามมิตรซึ่งประกอบด้วยสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, สมศักดิ์ เทพสุทิน และอนุชา นาคาศัยแถลงยืนยันว่าตนต้องได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีตามโผในวันที่ 11 มิถุนายน ซึ่งหากไม่ตรงก็จะแสดงจุดยืนอีกครั้ง และมีข่าวกลุ่มสามมิตรพยายามเสนอญัตติขับไล่สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ออกจากตำแหน่ง เพราะ "เป็นภัยต่อความมั่นคงของพรรคและของรัฐบาลเป็นอย่างสูง ... ไม่ยึดโยงกับ ส.ส. ในพรรค ไม่เห็นหัว ส.ส. ในพรรคแม้แต่คนเดียว ... ท่านทำให้พรรคเราแตกแยก"[34] ก่อนที่ต่อมากลุ่มสามมิตรจะยอมล้มข้อเรียกร้องของตนเองและยอมรับให้ประยุทธ์จัดสรรคณะรัฐมนตรี[35] โดยก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าจะมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคจากอุตตม เป็นประยุทธ์[36]
ต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 พรรคพลังประชารัฐออกมายอมรับว่าต้องชะลอนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาทต่อวัน แม้ก่อนหน้านี้จะยืนยันว่าจะนำนโยบายไปปฏิบัติในระหว่างหาเสียง[37]
1 มิถุนายน พ.ศ. 2563 กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐจำนวน 18 คนลาออกจากตำแหน่ง ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคชุดเดิมที่ทำหน้าที่อยู่พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะตามข้อบังคับพรรค[38] ต่อมาในวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563 พรรคพลังประชารัฐได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ. 2563 ที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี โดยมีการแก้ไขเพื่อปรับเปลี่ยนรูปเครื่องหมายพรรคการเมือง และย้ายที่ทำการพรรคแห่งใหม่ไปยังอาคารรัชดาวัน ถนนรัชดาภิเษก ตรงข้ามศาลอาญา และมีการแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค อนุชา นาคาศัย เป็นเลขาธิการพรรค และพัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ เป็นโฆษกพรรค[39]
ความขัดแย้งกับธรรมนัส
19 มกราคม พ.ศ. 2565 ผู้สื่อข่าวการเมืองรวมถึงสายทหารหลายราย ได้ออกรายงานตรงกันว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรจังหวัดพะเยา พร้อมด้วยสมาชิกในสังกัดอีก 20 คน ได้พร้อมใจกันยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทั้งหมดถูกเรียกประชุมด่วนที่มูลนิธิป่ารอยต่อหลังจากประชุมสภาล่มเมื่อเวลา 17.45 น.[40] จนในเวลา 20.21 น. มีรายงานว่า ร.อ.ธรรมนัส พร้อม ส.ส. ในสังกัดอีก 20 คน ได้เปลี่ยนไปยื่นขอมติขับออกจากพรรคแทนการลาออก เพื่อให้ตนและ ส.ส. สามารถสังกัดพรรคการเมืองใหม่ได้ใน 60 วัน ตามกฎหมาย และคณะกรรมการพร้อมสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ มีมติ 78 เสียง ให้ขับ ร.อ.ธรรมนัส พร้อม ส.ส. ในสังกัดอีก 20 คน ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคทันที ฐานสร้างความขัดแย้งและแตกแยกในพรรค[41] ความตอนหนึ่ง พลเอกประวิตร กล่าวว่า "ยอม ๆ ไปเหอะ ถ้าอยากออกก็ให้ออกไป จะได้สงบ พรรคจะได้เดินต่อ"[42]
เอกรัฐ ตะเคียนนุช ผู้สื่อข่าวช่องวัน 31 ณ ขณะนั้น คาดการณ์บนแฟนเพจส่วนตัวว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นชนวนความขัดแย้งตั้งแต่ครั้งที่พลเอกประยุทธ์ ใช้คำสั่งปลดออกจากตำแหน่ง ทำให้ฝ่ายร้อยเอกธรรมนัสกับฝ่ายพลเอกประยุทธ์ไม่ลงรอยกันนับตั้งแต่นั้น และใจจริง ธรรมนัส และสมาชิกทั้งหมด "จะลาออก" เพื่อให้ตัวเองขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. ซึ่งจะเป็นผลให้รัฐบาลขาดความเสถียรภาพจากที่ไม่ค่อยเสถียรภาพอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประวิตรไม่มีทางเลือก นอกจากต้องเจรจากับธรรมนัสให้อยู่ต่อเพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาล ผลสุดท้าย ธรรมนัสขอเปลี่ยนจากลาออกเป็นขอมติขับออกจากพรรคแทน[43] หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ ร.อ.ธรรมนัส พร้อม ส.ส. ทั้ง 20 คน จะย้ายไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจไทย โดยมีข่าวลือที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าจะมี วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ซึ่งเป็นคนสนิทใกล้ชิดของประวิตร เป็นหัวหน้าพรรค[44]
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 เกิดความขัดแย้งระหว่างพลเอกประวิตรและพลเอกประยุทธ์ในพรรคพลังประชารัฐ[45] และต่อมาพลเอกประยุทธ์ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในช่วงต้นเดือนมกราคม พ.ศ. 2566 [46] เวลาต่อมาธรรมนัสได้กลับเข้าพรรคพลังประชารัฐ[47]
การเลือกตั้ง พ.ศ. 2566
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2565 มีการปรับกระบวนทัศน์การทำงานด้านสื่อสารของ พปชร. โดยปรับภาพลักษณ์ของ พล.อ. ประวิตร หัวหน้าพรรค ให้เป็นนายทหารประชาธิปไตย เข้าถึงได้กับทุกกลุ่ม[48] เดือนมกราคมปีถัดมาอุตตมและสนธิรัตน์ได้กลับเข้าพรรคพลังประชารัฐ เดือนมีนาคมปีเดียวกันมีภาพพลเอกประวิตรพบกับภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หนึ่งในแกนนำกลุ่มราษฎร เขากล่าวว่าจะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นอีก[49] เดือนถัดมาพลเอกประวิตรสมัครเป็น ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่หนึ่ง และเขายังเป็นบุคคลที่ได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีไทยเพียงคนเดียวของพรรคด้วย โดยพรรคมีนโยบายไม่แก้ไขและไม่ร่วมกับพรรคที่มีนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112[50]
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 พลเอกประวิตรได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ในวันเดียวกัน ทางพรรคพลังประชารัฐได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ครั้งที่ 3/2566 เพื่อเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ซึ่งอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส. ฉะเชิงเทรา ได้เสนอชื่อ พลเอกประวิตร เป็นหัวหน้าพรรคเพียงชื่อเดียว ทำให้พลเอกประวิตรได้เป็นหัวหน้าพรรคอีกสมัย ส่วนตำแหน่งเลขาธิการพรรคได้มีการเสนอชื่อ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส. พะเยา เป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่เพียงชื่อเดียวเช่นเดียวกัน ทำให้ร้อยเอกธรรมนัสได้เป็นเลขาธิการพรรคสมัยที่ 2 นอกจากนี้ พลเอกประวิตรได้มีคำสั่งแต่งตั้งพลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ น้องชายของพลเอกประวิตรเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค และวราเทพ รัตนากร อดีต ส.ส. กำแพงเพชร เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพรรค[51]
ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2566 นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากสมาชิกพรรคและทุกตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงเหรัญญิกพรรคด้วย โดยให้เหตุผลว่าตนได้ทำหน้าที่เหรัญญิกพรรคครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว[52]
บุคลากร
รายชื่อหัวหน้าพรรค
ลำดับ | รูป | ชื่อ | เริ่มวาระ | สิ้นสุดวาระ |
---|---|---|---|---|
1 | อุตตม สาวนายน | 29 กันยายน พ.ศ. 2561 | 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563 | |
2 | พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ | 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563 | ปัจจุบัน |
รายชื่อเลขาธิการพรรค
ลำดับ | รูป | ชื่อ | เริ่มวาระ | สิ้นสุดวาระ |
---|---|---|---|---|
1 | สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ | 29 กันยายน พ.ศ. 2561 | 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563 | |
2 | อนุชา นาคาศัย | 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563 | 18 มิถุนายน พ.ศ. 2564 | |
3 (ครั้งที่ 1) | ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า | 18 มิถุนายน พ.ศ. 2564 | 19 มกราคม พ.ศ. 2565 | |
4 | สันติ พร้อมพัฒน์ | 3 เมษายน พ.ศ. 2565 | 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 | |
3 (ครั้งที่ 2) | ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า | 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 | ปัจจุบัน |
กลุ่มย่อยในพรรค
- กลุ่ม กปปส. นำโดย ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และ สกลธี ภัททิยกุล
- กลุ่มชลบุรี นำโดย สนธยา คุณปลื้ม (ต่อมาย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย)
- กลุ่มบ้านริมน้ำ นำโดย สุชาติ ตันเจริญ (ต่อมาย้ายกลับไปสังกัดพรรคเพื่อไทย)
- กลุ่มเพชรบูรณ์ นำโดย สันติ พร้อมพัฒน์
- กลุ่มสามมิตร นำโดย สมศักดิ์ เทพสุทิน (ต่อมาย้ายกลับไปสังกัดพรรคเพื่อไทย)
- กลุ่มอัศวเหม นำโดย วัฒนา อัศวเหม[53]
การเลือกตั้ง
ผลการเลือกตั้งทั่วไป
การเลือกตั้ง | จำนวนที่นั่ง | คะแนนเสียงทั้งหมด | สัดส่วนคะแนนเสียง | ที่นั่งเปลี่ยน | ผลการเลือกตั้ง | ผู้นำเลือกตั้ง |
---|---|---|---|---|---|---|
2562 | 116 / 500 | 8,441,274 | 23.74% | 116 | แกนนำจัดตั้งรัฐบาล | ประยุทธ์ จันทร์โอชา |
2566 | 40 / 500 | 537,625 | 1.36% | 76 | ร่วมรัฐบาล | ประวิตร วงษ์สุวรรณ |
ข้อวิจารณ์
คำร้องคัดค้านการเป็น สส.
15 มิถุนายน พ.ศ. 2566 มีเอกสารที่นำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ประกาศผลการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ครั้งที่ 1 ปรากฏว่ามี ว่าที่ ส.ส. ที่ประกาศผลรับรอง 329 คน ขณะที่มี 71 เขต ที่มีเรื่องร้องคัดค้าน มีรายงานว่า เอกสารดังกล่าวอาจเป็นเอกสารสรุปของฝ่ายปฏิบัติการ แจ้งเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ที่ยังไม่ได้นำเสนอต่อที่ประชุม กกต.[54] โดยพรรคพลังประชารัฐถูกร้องคัดค้านทั้งสิ้น 14 คน ดังนี้
ลำดับ | รายชื่อ สส. | เขตที่ลงเลือกตั้ง |
---|---|---|
1 | ไผ่ ลิกค์ | กำแพงเพชร เขต 1 |
2 | สะถิระ เผือกประพันธุ์ | ชลบุรี เขต 10 |
3 | อัครแสนคีรี โล่ห์วีระ | ชัยภูมิ เขต 7 |
4 | นเรศ ธำรงค์ทิพยคุณ | เชียงใหม่ เขต 9 |
5 | ทวี สุระบาล | ตรัง เขต 2 |
6 | ฉกาจ พัฒนกิจวิบูลย์ | พังงา เขต 2 |
7 | จักรัตน์ พั้วช่วย | เพชรบูรณ์ เขต 2 |
8 | วันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ | เพชรบูรณ์ เขต 5 |
9 | อัคร ทองใจสด | เพชรบูรณ์ เขต 6 |
10 | วิริยะ ทองผา | มุกดาหาร เขต 1 |
11 | รัชนี พลซื่อ | ร้อยเอ็ด เขต 3 |
12 | ชัยมงคล ไชยรบ | สกลนคร เขต 5 |
13 | ขวัญเรือน เทียนทอง | สระแก้ว เขต 1 |
14 | โชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ | สิงห์บุรี เขต 1 |
แต่ถึงกระนั้น กกต. ก็ประกาศรับรอง สส. ทั้ง 500 คนก่อน โดยได้ชี้แจงว่าจะดำเนินการพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันเลือกตั้ง
การแยกไปตั้งพรรค
พรรคพลังประชารัฐเคยมีสมาชิกพรรคที่ย้ายไปร่วมงานกับพรรคอื่น ดังนี้
- พรรคเศรษฐกิจไทย นำโดย ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า (ต่อมาได้นำสมาชิกกลับเข้าพรรคในปี พ.ศ. 2566)
- พรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับเสนอชื่อโดยพรรคพลังประชารัฐเมื่อปี พ.ศ. 2562
- พรรคสร้างอนาคตไทย นำโดย อุตตม สาวนายน (ต่อมาได้นำสมาชิกกลับเข้าพรรคในปี พ.ศ. 2566)
- พรรคเพื่อประชาชน นำโดย ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข (ปัจจุบันปรีชาได้ย้ายไปเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ)
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
- พรรคพลังประชารัฐ ที่เฟซบุ๊ก
- พรรคพลังประชารัฐ ที่อินสตาแกรม
- พรรคพลังประชารัฐ ที่เอกซ์ (ชื่อเก่า: ทวิตเตอร์)