จังหวัดพิษณุโลก

จังหวัดในภาคกลางของประเทศไทย
(เปลี่ยนทางจาก พิษณุโลก)

พิษณุโลก เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย[a] มีประชากรในปี พ.ศ. 2561 จำนวน 866,891 คน[2] มีพื้นที่ 10,815.854 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็น 9 อำเภอ มีเทศบาลนครพิษณุโลกเป็นเขตเมืองศูนย์กลางของจังหวัดและเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับแขวงไชยบุรี ประเทศลาว ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด เป็นจังหวัดเดียวของภาคกลางที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาว

จังหวัดพิษณุโลก
การถอดเสียงอักษรโรมัน
 • อักษรโรมันChangwat Phitsanulok
จากซ้ายไปขวา บนลงล่าง:
คำขวัญ: 
พระพุทธชินราชงามเลิศ ถิ่นกำเนิดพระนเรศวร สองฝั่งน่านล้วนเรือนแพ หวานฉ่ำแท้กล้วยตาก ถ้ำและน้ำตกหลากตระการตา
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดพิษณุโลกเน้นสีแดงประเทศมาเลเซียประเทศพม่าประเทศลาวประเทศเวียดนามประเทศกัมพูชาจังหวัดนราธิวาสจังหวัดยะลาจังหวัดปัตตานีจังหวัดสงขลาจังหวัดสตูลจังหวัดตรังจังหวัดพัทลุงจังหวัดกระบี่จังหวัดภูเก็ตจังหวัดพังงาจังหวัดนครศรีธรรมราชจังหวัดสุราษฎร์ธานีจังหวัดระนองจังหวัดชุมพรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์จังหวัดเพชรบุรีจังหวัดราชบุรีจังหวัดสมุทรสงครามจังหวัดสมุทรสาครกรุงเทพมหานครจังหวัดสมุทรปราการจังหวัดฉะเชิงเทราจังหวัดชลบุรีจังหวัดระยองจังหวัดจันทบุรีจังหวัดตราดจังหวัดสระแก้วจังหวัดปราจีนบุรีจังหวัดนครนายกจังหวัดปทุมธานีจังหวัดนนทบุรีจังหวัดนครปฐมจังหวัดกาญจนบุรีจังหวัดสุพรรณบุรีจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจังหวัดอ่างทองจังหวัดสิงห์บุรีจังหวัดสระบุรีจังหวัดลพบุรีจังหวัดนครราชสีมาจังหวัดบุรีรัมย์จังหวัดสุรินทร์จังหวัดศรีสะเกษจังหวัดอุบลราชธานีจังหวัดอุทัยธานีจังหวัดชัยนาทจังหวัดอำนาจเจริญจังหวัดยโสธรจังหวัดร้อยเอ็ดจังหวัดมหาสารคามจังหวัดขอนแก่นจังหวัดชัยภูมิจังหวัดเพชรบูรณ์จังหวัดนครสวรรค์จังหวัดพิจิตรจังหวัดกำแพงเพชรจังหวัดตากจังหวัดมุกดาหารจังหวัดกาฬสินธุ์จังหวัดเลยจังหวัดหนองบัวลำภูจังหวัดหนองคายจังหวัดอุดรธานีจังหวัดบึงกาฬจังหวัดสกลนครจังหวัดนครพนมจังหวัดพิษณุโลกจังหวัดอุตรดิตถ์จังหวัดสุโขทัยจังหวัดน่านจังหวัดพะเยาจังหวัดแพร่จังหวัดเชียงรายจังหวัดลำปางจังหวัดลำพูนจังหวัดเชียงใหม่จังหวัดแม่ฮ่องสอน
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดพิษณุโลกเน้นสีแดง
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดพิษณุโลกเน้นสีแดง
ประเทศ ไทย
การปกครอง
 • ผู้ว่าราชการ ภูสิต สมจิตต์
(ตั้งแต่ พ.ศ. 2565)
พื้นที่[1]
 • ทั้งหมด10,815.854 ตร.กม. (4,176.025 ตร.ไมล์)
อันดับพื้นที่อันดับที่ 16
ประชากร
 (พ.ศ. 2566)[2]
 • ทั้งหมด841,729 คน
 • อันดับอันดับที่ 27
 • ความหนาแน่น77.82 คน/ตร.กม. (201.6 คน/ตร.ไมล์)
 • อันดับความหนาแน่นอันดับที่ 62
รหัส ISO 3166TH-65
ชื่อไทยอื่น ๆนครพระพิษณุโลกสองแคว, สระหลวงสองแคว, สรลวงสองแคว, สองแคว, สองคญี, โอฆะบุรี, จันทบูร, ชัยนาท (ชื่อโบราณ), ไทวยนที, ทวิสาขะนคร, พิดสีโลก
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
 • ต้นไม้ปีบ
 • ดอกไม้นนทรี
 • สัตว์น้ำปลากดคัง
ศาลากลางจังหวัด
 • ที่ตั้งถนนวังจันทน์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก 65000
 • โทรศัพท์0 5525 8947
 • โทรสาร0 5525 8559
เว็บไซต์www.phitsanulok.go.th
สารานุกรมประเทศไทย ส่วนหนึ่งของสารานุกรมประเทศไทย

ศัพทมูลวิทยา

ชื่อของจังหวัดมาจากคำว่า พิษณุ หมายถึง "พระวิษณุ" เทพตามความเชื่อของชาวฮินดู รวมกับคำว่า โลก ทำให้มีความหมายเป็น "โลกแห่งพระวิษณุ" ในสมัยที่ยังปกครองด้วยระบบมณฑลเทศาภิบาล ชื่อของจังหวัดนั้นสะกดว่า พิศณุโลก[5] ชื่อ เมืองพิษณุโลก มาจากเรื่องการสร้างเมืองพิษณุโลกในพงศาวดารเหนือว่าเมืองฝั่งตะวันออกและชื่อ จันทบูร เป็นเมืองฝั่งตะวันตก หรือมาจากแผนที่เก่าบางฉบับสมัยรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ซึ่งเขียนชื่อเมืองสองแควว่า พิดสีโลก ส่วนสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าชื่อเมืองพิษณุโลกเปลี่ยนมาจากเมืองสองแควสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จขึ้นไปเสวยราชย์ ณ เมืองพิษณุโลก

ชื่อ เมืองสองแคว เป็นชื่อเก่าแก่ที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก[6]: 5 [7]: 196  พบในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักที่ ๑ (จารึกพ่อขุนรามคำแหง) และศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักที่ ๘ (จารึกวัดเขาสุมนกูฏ) ส่วนชื่อ สรลวงสองแคว โดยคำ "สรลวง" (ไม่ใช่สระหลวง) มาจากคำเขมรว่า "ชฺรลวง" แปลว่า "ลำน้ำ" รวมกันจึงมีความหมายว่า "ลำน้ำสองแคว" หรือ "ลำน้ำสองกระแส" สอดคล้องกับชื่อในภาษาบาลีว่า "ไทวยนทีศรียมนา" แปลว่า "ลำน้ำอันเป็นสิริที่มีสองสาย"[8] ส่วนจิตร ภูมิศักดิ์ เข้าใจว่า "สรลวง" คือคำว่า "สรวง" ที่แปลว่าสวรรค์[9] ในพระราชพงศาวดารพม่าและพงศาวดารไทยใหญ่ พระนิพนธ์ของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ปรากฏชื่อเมืองพิษณุโลกว่า เมืองสองคญี[10][11][12] และพระอิสริยยศ เจ้าฟ้าสรวงคญี คำว่า "คญี" พม่าแปลว่า "มหา" จึงเขียนว่า "เจ้าฟ้ามหาสรวง" กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงดำริอีกว่า "สหายข้าพเจ้าแนะว่าน่าจะเป็นเจ้าฟ้าสองแคว เพราะสองแควเป็นนามเมืองพิศณุโลก ดังปรากฏในตำนานพระแก่นจันทร์"[13] หมายถึง พระมหาธรรมราชา เจ้าผู้ครองเมืองพิษณุโลก[14]

ชื่อ เมืองทวิสาขะนคร และชื่อ เมืองไทวยนที เป็นชื่อเมืองสองแควในภาษาบาลีแปลมาจากภาษามคธในพงศาวดารเหนือมาจากสภาพภูมิศาสตร์เดิมของจังหวัดพิษณุโลกซึ่งพระโพธิรังสีได้นำชื่อเมืองพิษณุโลกไปแปลว่า ทวิสาขะ และแปลชื่อเมืองสรหลวงว่า โอฆบุรี พบในสิหิงคนิทาน[6]: 7 [7]: 196  ชื่อ เมืองชัยนาทบุรี พบในหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑๒ หลักศิลาจารึกหลักที่ ๙๗ ศิลาจารึกวัดพระบรมธาตุวรวิหารจังหวัดชัยนาท ลิลิตยวนพ่าย บทที่ ๖๖ และชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่ง ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร ได้ชี้หลักฐานให้เห็นจนเป็นที่ยอมรับว่าเมืองชัยนาทบุรีคือชื่อหนึ่งของเมืองพิษณุโลก[15]: 148 [6]: 7  ชื่อ เมืองอกแตก เป็นชื่อเรียกเมืองที่มีแนวลำน้ำไหลผ่านกำแพงเมืองเมืองซึ่งเดิมตั้งอยู่ที่วัดจุฬามณี (จังหวัดพิษณุโลก) สันนิฐานว่าเดิมเป็นคลองขุดจากแม่น้ำน่านเพื่อชักน้ำเข้าเมือง แต่ภายหลังน้ำเซาะคลองกว้างออกกลายเป็นลำแม่น้ำเป็นเหตุให้แม่น้ำเก่าตื้นเขิน เมืองพิษณุโลกจึงมีสภาพภูมิศาสตร์เป็นเมืองอกแตก[6]: 8 

ประวัติศาสตร์

พบแหล่งโบราณคดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่จังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ภาพสลักบนหินที่ถ้ำกาและผาขีดเขาภูขัด อำเภอนครไทย และภาพสลักหินที่ผากระดานเลข อำเภอชาติตระการ ซึ่งภาพสลักหินเหล่านี้อยู่ในยุคโลหะมีอายุประมาณสี่พันปีก่อน[16]

จดหมายเหตุลาลูแบร์กล่าวถึงพระเจ้าพนมไชยศิริอพยพผู้คนมาตั้งถิ่นฐานที่นครไทย อาจหมายถึงพระเจ้าชัยศิริแห่งอาณาจักรโยนกเชียงแสนซึ่งเผชิญกับการรุกรานของอาณาจักรสุธรรมวดีอพยพลงมาทางใต้[17][18] (ตำนานสิงหนวัติกล่าวว่าอพยพไปกำแพงเพชร[19]) แหล่งโบราณคดีนครไทยเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย[17] ในสมัยขอมโบราณมีชุมชนตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองพิษณุโลกในปัจจุบันบริเวณวัดจุฬามณีคือเมืองสองแควเดิม พระปรางค์วัดจุฬามณีสร้างขึ้นในสมัยขอม[20] ต่อมาพ่อขุนบางกลางหาวแห่งเมืองบางยางร่วมมือกับพ่อขุนผาเมืองแห่งเมืองราดขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกไปจากภูมิภาคนำไปสู่การกำเนิดอาณาจักรสุโขทัย สันนิษฐานว่าเมืองบางยางคือเมืองนครไทย[21]

บันทึกเรื่อง ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (Histoire Naturelle et Politique du Royaume de Siam) ของนิโกลาส์ แชร์แวส ชาวฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2224–29 รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวถึงเมืองพิษณุโลกว่า :-

เมืองอันเป็นอันดับสองของราชอาณาจักร เรียกกันโดยทั่ว ๆ ไปว่า พิษโลก (Porselouc) หรือ พิษณุโลก (Pet-se-lou-louc) ซึ่งมีความหมายในภาษาพื้นเมืองว่าไข่มุก หรือ ฝังเพชร อยู่ทางทิศเหนือของยุธยาประมาณ ๑๐๐ ลี้ ภูมิอากาศอบอุ่นปานกลางและพื้นดินอุดมกว่าอยุธยา สร้างขึ้นโดยเจ้าเมืองหาง (Chaou Meüang Hâng) ซึ่งครองราชสมบัติอยู่ราว ๒๕๐ ปี ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะมาสร้างพระนครหลวงขึ้น...เมืองนี้แต่ก่อนนี้เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานของพระเจ้าแผ่นดิน[22]: 41–42 

บันทึกของปีแยร์ บรีโก มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสในกรุงศรีอยุธยามีกล่าวถึงเมืองพิษณุโลก ต่อมาฟร็องซัว-อ็องรี ตูร์แป็งได้นำมาเผยแพร่ ความว่า[23] :-

เมืองพิษณุโลก (Porcelon) ซึ่งชาวโปรตุเกสเรียกเพี้ยนว่า ปอร์ซาลุก (Porsalouc) นั้น แต่ก่อนขึ้นแก่พวกเจ้าที่เป็นทายาทสืบต่อกันมา และในปัจจุบันเราก็ยังชำระคดีในนามเจ้านายเก่าของเมืองนี้และในวังของเขาอันว่า เมืองนี้ ซึ่งมั่นคงด้วยป้อมสิบสี่ป้อมที่สร้างโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศสนั้นเป็นเมืองที่ร่ำรวยและค้าขาย เป็นต้นว่า งาช้าง นอแรด หนังสัตว์ป่า น้ำตาล ยาสูบ หัวหอม ขี้ผึ้งและน้ำผึ้ง ที่จังหวัดพิษณุโลก มีคนทำไต้ที่ทำด้วยน้ำมันดินกับน้ำมัน และมีคนทำยางแดง (Gomme rouge) ที่ใช้ทำครั่งประทับตรา (cire d' Eapagne) นอกจากนั้นยังมีคนทำไม้สำหรับสร้างบ้านและย้อมสีมาก พื้นดินเมืองพิษณุโลกผลิตดีบุก และอำพันสีเทาด้วย


สมัยสุโขทัย

ภาพเก่าองค์พระปรางค์ประธานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

เมืองพิษณุโลกเดิมมีชื่อต่าง ๆ กัน ปรากฏชื่อเมือง "สองแคว" ในจารึกวัดศรีชุม "พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีเกิดในนครสรลวงสองแคว"[24] ชื่อเมืองสองแควหมายถึงเมืองซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำแควน้อย ในช่วงต้นสมัยสุโขทัยเมืองสองแควอยู่ในการปกครองของพระยาคำแหงพระรามแห่งราชวงศ์ศรีนาวนำถม จนกระทั่งรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเมืองสองแควเข้ามาอยู่ในการปกครองของสุโขทัยราชวงศ์พระร่วงดังที่ระบุไว้ในจารึกพ่อขุนรามคำแหง

ในพงศาวดารเหนือระบุว่า "พระเจ้าศรีธรรมปิฎก"หรือพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) ทรงสร้างเมืองสองแควขึ้นใหม่ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านบริเวณเมืองพิษณุโลกในปัจจุบัน พระมหาธรรมราชาลิไททรงสร้างวัดต่างๆขึ้นเป็นจำนวนมากได้แก่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) วัดเจดีย์ยอดทอง วัดอรัญญิก และบูรณะวัดวัดราชบูรณะ ทรงให้หล่อพระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี และพระศรีศาสดาขึ้นประดิษฐานไว้ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุหรือวัดใหญ่ พระพุทธชินราชซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุใช้เป็นตราประจำจังหวัดพิษณุโลกในปัจจุบัน นอกจากนี้พระมหาธรรมราชาลิไทยังทรงสร้างพระราชวังจันทน์[25] เมืองสองแควพัฒนาขึ้นกลายเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรสุโขทัยทางทิศตะวันออก

นอกจากนี้เมืองสองแควยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "เมืองชัยนาท"[26]หมายถึงเมืองฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่านบริเวณพระราชวังจันทน์ ขุนหลวงพะงั่วยกทัพอยุธยาขึ้นมายึดเมืองชัยนาทได้สำเร็จ[27] จนพระมหาธรรมราชาลิไทจำต้องเจรจากับพระเจ้าอู่ทองสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เพื่อขอเมืองชัยนาทคืน ทำให้พระมหาธรรมราชาลิไทต้องเสด็จย้ายมาประทับที่เมืองสองแควหรือเมืองชัยนาทอยู่เป็นเวลาเจ็ดปี[28] พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไท) ครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองสองแคว[28] ทำให้เมืองสองแควกลายเป็นราชธานีของอาณาจักรสุโขทัย เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไท) สวรรคตในพ.ศ. 1962 เกิดการจลาจลแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระยารามและพระยาบาลเมือง สมเด็จพระนครินทราธิราชแห่งอยุธยาเสด็จขึ้นมาไกล่เกลี่ย ให้พระยารามครองเมืองสุโขทัยในขณะที่พระยาบาลเมืองขึ้นเป็นพระมหาธรรมราชาที่ 4 แห่งสองแคว ทำให้เมืองสองแควแยกตัวจากสุโขทัยและเป็นประเทศราชของอยุธยา เมืองสองแควทวีความสำคัญขึ้นมามากกว่าสุโขทัย

เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 4 สวรรคตในพ.ศ. 1981 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทรงส่งพระโอรสคือพระราเมศวรซึ่งมีพระราชมารดาเป็นพระธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 3 ไปครองเมืองสองแควประทับที่พระราชวังจันทน์ เมื่อพระราเมศวรต่อมาขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมืองสองแควจึงได้รวมกับอาณาจักรอยุธยา[29]

สมัยอยุธยา

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงแต่งตั้งให้พระยายุทธิษเฐียรซึ่งเป็นพระโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 4 เป็น "พระยาสองแคว" เป็นเจ้าเมืองอยู่ภายใต้อำนาจของอยุธยา แต่พระยายุทธิษเฐียรคิดตั้งตนขึ้นเป็นพระมหาธรรมราชาจึงหันไปเข้ากับพระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนา นำไปสู่สงครามระหว่างอยุธยาและล้านนา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถย้ายมาประทับที่เมืองสองแควในพ.ศ. 2006 เมื่อตั้งรับศึกกับล้านนาและทรงผนวชที่วัดจุฬามณีในพ.ศ. 2008 เป็นเวลา 8 เดือน 15 วัน มีข้าราชบริพารตามเสด็จออกบวชถึง 2,348 คน[30] สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงรวมเมืองฝั่งตะวันออกและเมืองชัยนาทฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่านเข้าด้วยกัน[26]แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า เมืองพระพิษณุโลกสองแคว ปรากฏชื่อเมือง "พิษณุโลก" ขึ้นครั้งแรกในลิลิตยวนพ่าย[31]

พระพุทธชินราช ณ พระวิหารวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร

หลังจากรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเมืองพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการปกครองของอยุธยาในหัวเมืองเหนือ โดยมีพระมหาอุปราชซึ่งเป็นพระราชโอรสทรงครองเมืองและประทับอยู่ที่พระราชวังจันทน์ เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคตพระเชษฐาพระโอรสเป็นพระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลก ต่อมาพระเชษฐาได้ราชสมบัติอยุธยาขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงแต่งตั้งให้พระโอรสคือพระไชยราชาให้ครองเมืองพิษณุโลก พระไชยราชายึดอำนาจจากสมเด็จพระรัษฎาธิราชขึ้นเป็นสมเด็จพระไชยราชาธิราช จากนั้นไม่มีการตั้งพระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลก เมื่อขุนพิเรนทรเทพยึดอำนาจจากขุนวรวงศาธิราชในพ.ศ. 2091 และเชิญสมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้นครองราชสมบัติ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงแต่งตั้งให้ขุนพิเรนทรเทพให้เป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชปกครองเมืองพิษณุโลก ทำให้เมืองพิษณุโลกมี "พระมหาธรรมราชา" มาปกครองอีกครั้ง พระวิสุทธิกษัตรีย์ทรงสร้างวัดนางพญา

เมื่อพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองแห่งพม่ายกทัพมาประชิดเมืองพิษณุโลกในพ.ศ. 2106 พระมหาธรรมราชายอมจำนนต่อพระเจ้าบุเรงนองทำให้พิษณุโลกและหัวเมืองเหนือทั้งหมดกลายเป็นประเทศราชของพม่า สมเด็จพระมหินทราธิราชแห่งอยุธยาทรงร่วมมือกับสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้างร่วมกันยกทัพเข้าล้อมเมืองพิษณุโลกในแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่งพระเจ้าบุเรงนองตั้งให้พระมหาธรรมราชาครองอยุธยา

สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชทรงตั้งให้พระโอรสคือสมเด็จพระนเรศวรขึ้นเป็นพระมหาอุปราชไปครองเมืองพิษณุโลกอีกครั้งในพ.ศ. 2114 ประทับที่พระราชวังจันทน์ ตามข้อสันนิษฐานของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล[32] ในปีพ.ศ. 2127 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เมืองพิษณุโลกทำให้ "เกิดเหตุอัศจรรย์แม่น้ำซายหัวเมืองพิษณุโลกนั้น ป่วนขึ้นสูงกว่าพื้นนั้นสามศอก" เมืองพิษณุโลกอาจเสียหายมาก หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครงแล้วจึงมีพระราชโองการให้ "เทครัว" กวาดต้อนผู้คนในหัวเมืองเหนือทั้งหมดรวมถึงพิษณุโลกลงมายังภาคกลางตอนล่างเพื่อเตรียมการรับศึกกับพม่า[33] ทำให้เมืองพิษณุโลกกลายเป็นเมืองร้างอยู่เป็นเวลาแปดปี จนกระทั่งหลังจากเสร็จสิ้นสงครามยุทธหัตถีแล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรงฟื้นฟูเมืองพิษณุโลกในพ.ศ. 2136 โดยการแต่งตั้งให้พระชัยบุรี หรือพระยาชัยบูรณ์ เป็นพระยาสุรสีห์ฯ เจ้าเมืองพิษณุโลก เมืองพิษณุโลกเปลี่ยนฐานะจากเมืองของพระมหาอุปราชมาเป็นเมืองชั้นเอกมีขุนนางเป็นเจ้าเมือง ปรากฏราชทินนามของเจ้าเมืองพิษณุโลกว่า เจ้าพระยาสุรสีห์พิศมาธิราช ชาติพัทยาธิเบศราธิบดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ หรือ "เจ้าพระยาพิษณุโลกเอกอุ" ศักดินา 10,000 ไร่ เมืองพิษณุโลกหัวเมืองชั้นเอกฝ่ายเหนือของอยุธยาคู่กับเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นเมืองเอกฝ่ายใต้

สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จมานมัสการพระพุทธชินราชในพ.ศ. 2146 พร้อมทั้งโปรดฯให้นำทองนพคุณมาปิดทองพระพุทธชินราชและพระพุทธชินสีห์ซึ่งเดิมเป็นพระพุทธรูปสำริด เป็นการปิดทององค์พระพุทธชินราชครั้งแรก ในพ.ศ. 2205 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชหลังจากเสร็จสิ้นศึกเชียงใหม่ทรงนมัสการพระพุทธชินราช และโปรดฯให้สร้างรอยพระพุทธบาทจำลองเมื่อพ.ศ. 2222 ประดิษฐานไว้ ที่วัดจุฬามณี ในรัชสมัยพระเพทราชามีการปฏิรูปการปกครอง หัวเมืองฝ่ายเหนือรวมถึงเมืองพิษณุโลกอยู่ภายใต้การปกครองของสมุหนายก ในพ.ศ. 2309 เนเมียวสีหบดีแม่ทัพพม่ายกทัพเข้ายึดเมืองสุโขทัย เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) นำทัพพิษณุโลกเข้ากอบกู้เมืองสุโขทัย เจ้าฟ้าจีดเสด็จหลบหนีจากกรุงศรีอยุธยามายึดอำนาจที่เมืองพิษณุโลก[34] ทำให้เจ้าพระยาพิษณุโลกต้องเลิกทัพจากสุโขทัยกลับไปยึดอำนาจคืนจากเจ้าฟ้าจีด และทัพพม่าสามารถเดินทางต่อไปยังกรุงศรีอยุธยาได้โดยไม่ยึดเมืองพิษณุโลก

สมัยธนบุรี

หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าชุมนุมพิษณุโลกมีอาณาเขตตั้งแต่เมืองพิชัยลงมาจนถึงเมืองนครสวรรค์และปากน้ำโพ ใน พ.ศ. 2311 เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ราชาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าพิษณุโลกพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาแล้วสถาปนาเมืองพิษณุโลกขึ้นเป็นเมืองหลวง[35] รัฐเอกราชแห่งใหม่ของกรุงศรีอยุธยามีนามว่า กรุงพระพิศณุโลกย์ราชธานีศรีอยุทธยามหานคร[36] เจ้าพระฝางยกทัพมาตีกรุงพิษณุโลกแต่ไม่แพ้ไม่ชนะกัน[37] เมื่อปลายปีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพมาตีชุมนุมพิษณุโลกแต่พ่ายแพ้ต้องยกทัพกลับไปยังกรุงธนบุรี พระเจ้าพิษณุโลกครองกรุงพิษณุโลกได้ 7 วัน[38] หรือ 6 เดือนจึงเสด็จสวรรคต (คาดว่าน่าจะ 6 เดือนมากกว่า[39]) พระอินทร์อากร (จัน) น้องชายของเจ้าพระยาพิษณุโลกขึ้นเป็นผู้นำชุมนุมพิษณุโลกต่อมา แต่ชุมนุมเจ้าพระฝางเข้ายึดชุมนุมพิษณุโลกประหารชีวิตพระอินทร์อากรและกวาดต้อนทรัพย์สินผู้คนไปยังเมืองสวางคบุรี เมืองพิษณุโลกอยู่ภายใต้การปกครองของชุมนุมเจ้าพระฝางจนกระทั่งเมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและเจ้าพระยายมราช (บุญมา) ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทยกทัพขึ้นมายึดเมืองพิษณุโลกได้สำเร็จในพ.ศ. 2313 ทำให้พิษณุโลกเข้ามาอยู่การปกครองของธนบุรีและสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งตั้งให้เจ้าพระยายมราช (บุญมา) เป็น "เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราชฯ" ปกครองเมืองพิษณุโลก

ใน พ.ศ. 2318 ในขณะที่เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ซึ่งต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช (บุญมา) ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กำลังทำศึกที่เมืองเชียงแสนนั้น แม่ทัพพม่าอะแซหวุ่นกี้ยกทัพเข้ามาผ่านด่านแม่ละเมาแขวงเมืองตากเข้ารุกรานเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์เร่งทัพลงมาป้องกันเมืองพิษณุโลก อะแซหวุ่นกี้นำทัพพม่าเข้าล้อมเมืองพิษณุโลกอยู่นานสี่เดือนและตัดเส้นทางเสบียงทำให้เมืองพิษณุโลกขาดแคลนอาหาร อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวพระเจ้าพระยาจักรีที่เนินดินซึ่งเชื่อว่าปัจจุบันอยู่ที่หน้าสำนักงานเทศบาลนครพิษณุโลกเดิมซึ่งประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ[40] เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์พิจารณาว่าศึกครั้งนี้ไม่สามารถต้านได้จึงฝ่าวงล้อมของศัตรูออกไปตั้งมั่นที่เพชรบูรณ์ อะแซหวุ่นกี้นำทัพพม่าเข้าปล้นสะดมเผาทำลายเมืองพิษณุโลก เมืองพิษณุโลกถูกทำลายลงโดยส่วนใหญ่ ทำลายพระราชวังจันทน์ เหลือเพียงพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุซึ่งไม่ถูกทำลาย

สมัยรัตนโกสินทร์

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเมื่อพ.ศ. 2325 จึงมีพระราชโองการแต่งตั้งให้ "หลวงนรา"[41] เป็น "พระยาพิษณุโลก" ในพ.ศ. 2328 สงครามเก้าทัพ แม่ทัพพม่าเนเมียวสีหซุยยกทัพจากลำปางลงมารุกรานหัวเมืองเหนือ หลวงนราพระยาพิษณุโลกเห็นว่าข้าศึกมีกำลังมากฝ่ายหัวเมืองเหนือมีกำลังน้อยจากการสูญเสียกำลังพลไปมากในสงครามอะแซหวุ่นกี้ จึงสละเมืองพิษณุโลกหลบหนีเข้าป่าไม่ได้ต่อสู้ต้านทานการรุกรานของพม่า[41] ทัพพม่าจึงเดินทัพผ่านหัวเมืองเหนือลงไปยังนครสวรรค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงให้รื้อกำแพงเมืองพิษณุโลกลง[42]เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกใช้เป็นที่มั่น เมืองพิษณุโลกซึ่งเผชิญกับศึกสงครามอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาประมาณยี่สิบปีอยู่ในสภาวะทรุดโทรมและขาดการทำนุบำรุง ในพ.ศ. 2372 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงอัญเชิญพระพุทธชินสีห์จากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุไปประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ได้อัญเชิญพระศรีศาสดาไปยังวัดบางอ้อยช้าง[43] (ซึ่งต่อมาพระศรีศาสดาได้ไปประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องพระพุทธชินราชว่า "...จะหาพระพุทธรูปองค์ใดให้งามเสมอพระพุทธชินราชนั้นไม่มีแล้ว" มีพระราชดำริอัญเชิญพระพุทธชินราชลงไปเป็นองค์ประธานของวัดเบญจมบพิตร[44] ปรากฏเรื่องเล่ามุขปาฐะว่าในการอัญเชิญพระพุทธชินราชนั้นเกิดเหตุอัศจรรย์ไม่สามารถนำพระพุทธชินราชลงแพได้ หรือเมื่อเข็นลงแพแล้วแพหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว[44] จึงไม่สามารถอัญเชิญพระพุทธชินราชลงไปยังกรุงเทพได้และประดิษฐานในเมืองพิษณุโลกดังเดิม มีการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลกขึ้นในพ.ศ. 2437 โดยมีเมืองพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการปกครองประกอบด้วยห้าเมืองได้แก่เมืองพิษณุโลก เมืองพิชัย เมืองสุโขทัย เมืองพิจิตร และเมืองสวรรคโลก ต่อมารวมมณฑลเพชรบูรณ์เข้าร่วมด้วย โดยมีเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) เป็นข้าหลวงคนแรก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นสยามมกุฏราชกุมารเสด็จประพาสเมืองพิษณุโลกในพ.ศ. 2450 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อมีการตรา"พระราชบัญญัติการบริหารราชการส่วนภูมิภาค พุทธศักราช 2476" ขึ้น มณฑลเทศาภิบาลสิ้นสุดลงนำไปสู่การจัดตั้งจังหวัดพิษณุโลกในปัจจุบัน

ครั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สะพานข้ามแม่น้ำน่านหน้าวัดใหญ่ก็ถูกทิ้งระเบิด แต่ทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่ถูกเป้าหมาย[ต้องการอ้างอิง] ทั้ง ๆ ที่ในอดีต เป็นสะพานไม้ที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก[ต้องการอ้างอิง]

ภูมิศาสตร์

ที่ตั้งและอาณาเขต

จังหวัดพิษณุโลกมีที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่แตกต่างกันตามการแบ่งแบบต่าง ๆ หากแบ่งเขตตามการพยากรณ์อากาศ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะจัดอยู่ในภาคเหนือตอนล่าง สำหรับเกณฑ์การแบ่งภาคอย่างเป็นทางการของราชบัณฑิตยสภา จะจัดอยู่ในภาคกลาง โดยอยู่ทางตอนบนของภาค ห่างจากกรุงเทพมหานคร 377 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 10,815 ตารางกิโลเมตร หรือ 6,759,909 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงดังนี้

ภูมิประเทศ

ทางตอนเหนือและตอนกลางเป็นเขตเทือกเขาสูงและที่ราบสูง โดยมีเขตภูเขาสูงด้านตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งอยู่ในเขตอำเภอวังทอง อำเภอวัดโบสถ์ อำเภอเนินมะปราง อำเภอนครไทย และอำเภอชาติตระการจุดสูงสุด​คือภู​สอยดาว​2,102 เมตร​ ​เป็นยอดเขาปันเขตแดนไทย-ลาว​ พื้นที่ตอนกลางมาทางใต้เป็นที่ราบ และตอนใต้เป็นที่ราบลุ่ม โดยเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำน่านและแม่น้ำยม ซึ่งเป็นแหล่งการเกษตรที่สำคัญที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก อยู่ในเขตอำเภอบางระกำ อำเภอเมืองพิษณุโลก อำเภอพรหมพิราม อำเภอเนินมะปราง และบางส่วนของอำเภอวังทอง

ภูมิอากาศ

จังหวัดพิษณุโลกมีลมมรสุมพัดผ่านจากทะเลจีนใต้และมหาสมุทรอินเดีย และแบ่งฤดูกาลออกได้เป็น 3 ฤดู

  • ฤดูร้อน ประมาณเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 32 องศาเซลเซียส
  • ฤดูฝน จะเริ่มประมาณเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ปริมาณน้ำฝน เฉลี่ยประมาณปีละ 1,375 มิลลิเมตร
  • ฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-มกราคม อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 19 องศาเซลเซีย
ข้อมูลภูมิอากาศของจังหวัดพิษณุโลก
เดือนม.ค.ก.พ.มี.ค.เม.ย.พ.ค.มิ.ย.ก.ค.ส.ค.ก.ย.ต.ค.พ.ย.ธ.ค.ทั้งปี
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F)36.3
(97.3)
38.0
(100.4)
40.3
(104.5)
41.8
(107.2)
42.0
(107.6)
38.7
(101.7)
38.4
(101.1)
36.7
(98.1)
36.6
(97.9)
35.3
(95.5)
35.7
(96.3)
35.6
(96.1)
42
(107.6)
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F)31.6
(88.9)
33.9
(93)
35.9
(96.6)
37.4
(99.3)
35.6
(96.1)
33.6
(92.5)
32.8
(91)
32.3
(90.1)
32.3
(90.1)
32.3
(90.1)
31.7
(89.1)
30.9
(87.6)
33.36
(92.05)
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F)24.1
(75.4)
26.7
(80.1)
29.0
(84.2)
30.6
(87.1)
29.6
(85.3)
28.5
(83.3)
28.1
(82.6)
27.8
(82)
27.8
(82)
27.6
(81.7)
26.1
(79)
24.0
(75.2)
27.49
(81.49)
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F)18.0
(64.4)
20.8
(69.4)
23.5
(74.3)
25.3
(77.5)
25.2
(77.4)
24.8
(76.6)
24.6
(76.3)
24.5
(76.1)
24.5
(76.1)
24.0
(75.2)
21.6
(70.9)
18.3
(64.9)
22.93
(73.27)
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F)8.9
(48)
13.2
(55.8)
12.7
(54.9)
19.1
(66.4)
20.4
(68.7)
21.8
(71.2)
21.6
(70.9)
22.2
(72)
21.5
(70.7)
17.6
(63.7)
12.1
(53.8)
9.4
(48.9)
8.9
(48)
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว)7
(0.28)
12
(0.47)
29
(1.14)
51
(2.01)
188
(7.4)
183
(7.2)
190
(7.48)
257
(10.12)
241
(9.49)
157
(6.18)
31
(1.22)
6
(0.24)
1,352
(53.23)
วันที่มีหยาดน้ำฟ้าโดยเฉลี่ย (≥ 1.0 mm)1124121314171593192
แหล่งที่มา: NOAA (2504-2533)[45]

สัญลักษณ์ประจำจังหวัด

  • ตราประจำจังหวัด: พระพุทธชินราช
  • ธงประจำจังหวัด: ธงพื้นสีม่วง กลางธงเป็นตราประจำจังหวัดคือรูปพระพุทธชินราชในวงกลม
  • คำขวัญประจำจังหวัด: พระพุทธชินราชงามเลิศ ถิ่นกำเนิดพระนเรศวร สองฝั่งน่านล้วนเรือนแพ หวานฉ่ำแท้กล้วยตาก ถ้ำและน้ำตกหลากตระการตา
  • ต้นไม้ประจำจังหวัด: ปีบ (Millingtonia hortensis)
  • ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกนนทรี (Peltophorum pterocarpum)

การเมืองการปกครอง

หน่วยการปกครอง

การปกครองส่วนภูมิภาค

แผนที่อำเภอในจังหวัดพิษณุโลก

จังหวัดพิษณุโลกแบ่งการปกครองออกเป็น 9 อำเภอ 93 ตำบล 1,032 หมู่บ้าน ซึ่งอำเภอทั้ง 9 อำเภอมีดังนี้

การปกครองส่วนท้องถิ่น

แผนที่เขตเทศบาลในจังหวัดพิษณุโลก
เทศบาลนครพิษณุโลก

จังหวัดพิษณุโลกมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวม 103 แห่ง ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง เทศบาลนคร 1 แห่ง คือ เทศบาลนครพิษณุโลก เทศบาลเมือง 1 แห่ง คือ เทศบาลเมืองอรัญญิก เทศบาลตำบล 24 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 76 แห่ง[46] โดยเทศบาลสามารถจำแนกได้ตามอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดพิษณุโลก ดังนี้

อำเภอเมืองพิษณุโลก

อำเภอนครไทย

  • เทศบาลตำบลนครไทย
  • เทศบาลตำบลบ้านแยง

อำเภอชาติตระการ

  • เทศบาลตำบลป่าแดง

อำเภอบางระกำ

  • เทศบาลตำบลบางระกำ
  • เทศบาลตำบลปลักแรด
  • เทศบาลตำบลพันเสา
  • เทศบาลตำบลบึงระมาณ
  • เทศบาลตำบลบางระกำเมืองใหม่

อำเภอบางกระทุ่ม

  • เทศบาลตำบลเนินกุ่ม
  • เทศบาลตำบลบางกระทุ่ม
  • เทศบาลตำบลห้วยแก้ว
  • เทศบาลตำบลสนามคลี

อำเภอพรหมพิราม

อำเภอวัดโบสถ์

  • เทศบาลตำบลวัดโบสถ์

อำเภอวังทอง

  • เทศบาลตำบลวังทอง

อำเภอเนินมะปราง

  • เทศบาลตำบลเนินมะปราง
  • เทศบาลตำบลไทรย้อย
  • เทศบาลตำบลบ้านมุง

รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด

สมัยสุโขทัย

ทำเนียบเจ้าเมืองพิษณุโลกระหว่างปี พ.ศ. 1781–2006 ขึ้นกับอาณาจักรสุโขทัย มีฐานะเป็นเมืองหลวง

ลำดับพระนาม/ชื่อระยะเวลาดำรงตำแหน่งหมายเหตุ
1สมเด็จพระมหาธรรมราชาไม่ปรากฏ–1946[47][48]
2พระมหาธรรมราชาที่ 3 (พญาไสลือไทย)ไม่ปรากฏ–1962รัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ 2
3พระมหาธรรมราชาที่ 41962–1981รัชกาลเจ้าสามพระยา
4พระยาบรมราชาติโลก (บรมไตรโลก)[49]ไม่ปรากฏ–2002
5พระยายุทธิษเฐียร1981–2012รัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ 4
เมืองพิษณุโลกขึ้นกับอาณาจักรอยุธยา (พ.ศ. 2012)

สมัยกรุงศรีอยุธยา

ทำเนียบเจ้าเมืองพิษณุโลกระหว่างปี พ.ศ. 1894–2310 ขึ้นกับอาณาจักรอยุธยา มีฐานะเป็นเมืองลูกหลวงและเมืองพระยามหานคร (หัวเมืองชั้นเอกอุและหัวเมืองชั้นเอก)

ลำดับพระนาม/ชื่อระยะเวลาดำรงตำแหน่งหมายเหตุ
1สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พระราเมศวร)2012–2032
2พระยาพิษณุโลก (หลวงศรีราชวังเมือง)[50]: 171 2012–ไม่ปรากฏสงครามล้านนา (พ.ศ. 1984–2017)
3พระยายุทธิษเฐียรไม่มีข้อมูลรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (สามิภักดิ์ต่อพระเจ้าติโลกราช)
4พระยาพิษณุโลก2077–2089รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช[51] (พระยาพิษณุโลกหรือ Oyaa Passilico ในบันทึกของปินโต)
5สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า (ขุนพิเรนทรเทพ)2106–2111รัชกาลสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
เสียกรุงครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2112)
6สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า (ขุนพิเรนทรเทพ)2112รัชกาลพระเจ้าบุเรงนอง
7สมเด็จพระนเรศวรมหาราช2112–2127โปรดให้เทครัว เมื่อ พ.ศ. 2127
8เจ้าพระยาสุรสีห์ (พระชัยบุรี)[50]: 204 2136–ไม่ปรากฏ[52]รัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
9ออกญาพิษณุโลก (ออกญาพระคลัง)[50]: 220 2172–2179[50]: 223 รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง[53] (ทรงตั้งพระสหายสนิทที่ร่วมคิดแย่งราชสมบัติเป็นเจ้าเมืองพิษณุโลก)
10ออกญาพิษณุโลก (ออกญาวัง)2179–ไม่ปรากฏ[50]: 223 
11เจ้าพระยาจักรีไม่มีข้อมูลรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง[54] (โอนเมืองพิษณุโลกไปขึ้นกับเจ้าพระยาจักรี)
12ออกญาพิษณุโลกไม่มีข้อมูลรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช[55] (เจ้าเมืองพิษณุโลกถูกประหารจากการยักยอกรายได้ของหลวง)
13สมเด็จพระเพทราชาไม่ปรากฏ–2231[56]รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
14กรมพระราชวังบวร (หลวงสรศักดิ์)2231–2246รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา
15เจ้าพระยาพิษณุโลก (เมฆ)2251–2275[57]รัชกาลสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ
16เจ้าพระยาสุรสีห์ (หลวงจ่าแสนยากร)[58]: 153 2275–2276[59]: 8 รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
17เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง โรจนกุล)2276–2310รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์[60]
เสียกรุงครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2310)

สมัยกรุงธนบุรี

ทำเนียบเจ้าเมืองพิษณุโลกระหว่างปี พ.ศ. 2310–2325 มีฐานะเป็นเมืองอิสระและหัวเมืองชั้นเอกอุ[61][62]: 42 

ลำดับพระนาม/ชื่อระยะเวลาดำรงตำแหน่งหมายเหตุ
1พระเจ้าพิศณุโลก (เรือง โรจนกุล)2311ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง)
2พระยาไชยบูรณ์ (จัน)2311–2312ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง)
3หลวงโกษา (ยัง)2312–2313ชุมนุมเจ้าพระฝาง
4เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา)2313–2324หัวเมืองชั้นเอกอุ
สิ้นสุดอาณาจักรธนบุรี (พ.ศ. 2325)

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

ทำเนียบผู้สำเร็จราชการเมือง สมุหเทศาภิบาล และผู้ว่าราชการจังหวัดระหว่างปี พ.ศ. 2325–ปัจจุบัน

ทำเนียบผู้สำเร็จราชการเมือง

มีฐานะเป็นหัวเมือง ตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ. 2325–2437

ลำดับชื่อระยะเวลาดำรงตำแหน่งหมายเหตุ
1พระยาพิษณุโลก (หลวงนรา)2325–2328สงครามเก้าทัพสมัยรัชกาลที่ 1
2พระยาพิษณุโลก (พุ่ม)ไม่มีข้อมูลสมัยรัชกาลที่ 3[63]
3พระยาพิษณุโลกาธิบดี (บัว)2365–2367
4พระยาพิษณุโลก2380–ไม่ปรากฏ[64]
5พระยาพิษณุโลกาธิบดีไม่มีข้อมูลสมัยรัชกาลที่ 5[65]
6พระยาพิษณุโลกาธิบดี2428–ไม่ปรากฏ[66]
ปฏิรูปเขตการปกครองมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. 2440)
ทำเนียบสมุหเทศาภิบาลมลฑล

มีฐานะเป็นมณฑลพิษณุโลก ตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พ.ศ. 2437–2476[67]

ลำดับชื่อระยะเวลาดำรงตำแหน่งหมายเหตุ
1พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร์ (เชย กัลยาณมิตร)2437–2445
2พระยาภักดีณรงค์2445–2446
3พระศรีสุริยราชวรานุวัตร์ (โพ เนติโพธิ์)2446–2449
4พระยาชลบุรานุรักษ์ (เจริญ จารุจินดา)2449
5พระยาเทพาธิบดี (อิ่ม เทพานนท์)[68]2449
6พระยาอุไทยมนตรี (พร จารุจินดา)2449–2465
7พระยาศรีสุริยราชวรานุวัตร์ (ทองสุก ดิษยบุตร)2465–2468
8พระยาเพชร์ปาณี (ดั่ง รักตประจิต)2468–2471
9พระยานครพระราม (สวัสดิ์ มหากายี)2471–2476
การปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475)
ทำเนียบผู้ว่าราชการจังหวัด

มีฐานะเป็นจังหวัด ตั้งแต่ พ.ศ. 2476–ปัจจุบัน[69][70]

ลำดับชื่อระยะเวลาดำรงตำแหน่ง
1พระบริรักษ์โยธี (ทองอยู่ สุวรรณบาตร์)ไม่ทราบข้อมูล
2พระไชยศิรินทรภักดี (สวัสดิ์ มหากายี)2456–2457
3พระพิษณุโลกบุรี (สวัสดิ์ มหากายี)2457–2458
4พระเกษตรสงคราม (เชียร กัลยานมิตร)2458–2459
5พระสวรรคโลกบุรี2459–2461
6พระยากัลยาวัฒนาวิศิษฐ์ (เชียร กัลยาณมิตร)2461–2470
7พระยาสุนทรพิพิธ (เชย มัฆวิบูลย์)2470–2476
8พระยาศิรีชัยบุรินทร์ (เบี๋ยน หงสะเดช)12 มีนาคม 2456 – 1 กรกฎาคม 2476
9พระสาครบุรานุรักษ์ (เปลื้อง สุวรรณนานนท์)20 มีนาคม 2478 – 18 พฤษภาคม 2481
10พระยาสุราษฎร์ธานีศรีเกษตรนิคม10 มิถุนายน 2481 – 18 มิถุนายน 2482
11หลวงยุทธสารประสิทธิ์ (เมี้ยน โรหิตเสรนี)24 มิถุนายน 2482 – 7กรกฎาคม 2483
12พันเอก พระศรีราชสงคราม (ศรี ศุขะวาที)7 กันยายน 2483 – 7 พฤษภาคม 2484
13พันตรี หลวงยุทธสารประสิทธิ์ (เมี้ยน โรหิตเสรนี)16 มิถุนายน 2484 – 27 กรกฎาคม 2485
14หลวงวิเศษภักดี (ชื่น วิเศษภักดี)28 เมษายน 2485 – 3 มกราคม 2487
15หลวงศรีนราศัย (ผิว จันทิมาคม)11 พฤษภาคม 2487 – 7 กรกฎาคม 2488
16นายพรหม สูตรสุคนธ์7 กรกฎาคม 2488 – 7 ตุลาคม 2489
17ขุนคำนวณวิจิตร (เชย บุนนาค)18 พฤศจิกายน 2489 – 6 ธันวาคม 2490
18ขุนจรรยาวิเศษ (เที่ยง บุณยนิต)6 ธันวาคม 2490 – 31 ธันวาคม 2493
19นายพ่วง สุวรรณรัฐ1 มกราคม 2494 – 10 พฤศจิกายน 2494
20พันตรี ขุนทะยานราญรอน (วัชระ วัชรบูล)12 กุมภาพันธ์ 2494 – 1 พฤศจิกายน
21พระบรรณศาสตร์สาทร1 กุมภาพันธ์ 2497 – 1 สิงหาคม 2497
22นายปรง พระหูชนม์1 สิงหาคม 2497 – 22 กุมภาพันธ์ 2501
23นายพ่วง สุวรรณรัฐ (รักษาการในตำแหน่ง ผ.ว.ก.จว.)14 กุมภาพันธ์ 2501 – 3 มีนาคม 2501
24นายเยียน โพธิสุวรรณ27 มีนาคม 2501 – 3 เมษายน 2507
25นายเจริญ ภมรบุตร9 เมษายน 2507 – 4 กุมภาพันธ์ 2509
26นายนิรุต ไชยกูล11 กุมภาพันธ์ 2509 – 21 ตุลาคม 2510
27นายพล จุฑางกูล21 พฤศจิกายน 2510 – 2 ตุลาคม 2513
28นายพัฒน์ บุณยรัตพันธุ์2 ตุลาคม 2513 – 21 กันยายน 2514
29นายจำรูญ ปิยัมปุตระ1 ตุลาคม 2514 – 1 ตุลาคม 2515
30พลตำรวจตรี สามารถ วายวานนท์1 ตุลาคม 2515 – 30 กันยายน 2517
31นายสิทธิเดช นรัตถรักษา1 ตุลาคม 2517 – 30 กันยายน 2519
32นายชาญ กาญจนาคพันธุ์1 ตุลาคม 2519 – 30 กันยายน 2523
33นายยง ภักดี1 ตุลาคม 2523 – 30 กันยายน 2525
34นายสืบ รอดประเสริฐ1 ตุลาคม 2525 – 31 ตุลาคม 2528
35นายนพรัตน์ เวชชศาสตร์1 พฤศจิกายน 2528 – 30 กันยายน 2532
36นายไพฑูรย์ สุนทรวิภาต1 ตุลาคม 2532 – 30 กันยายน 2534
37นายอภัย จันทนจุลกะ1 ตุลาคม 2534 – 30 กันยายน 2536
38นายสวัสดิ์ ส่งสัมพันธ์1 ตุลาคม 2536 – 30 กันยายน 2539
39นายนิธิศักดิ ราชพิตร1 ตุลาคม 2539 – 30 กันยายน 2542
40นายวิจารณ์ ไชยนันท์1 ตุลาคม 2542 – 30 กันยายน 2545
41นายพิพัฒน์ วงศาโรจน์1 ตุลาคม 2545 – 30 กันยายน 2550
42นายสมบูรณ์ ศรีพัฒนาวัฒน์1 ตุลาคม 2550 – 15 มีนาคม 2552
43นายปรีชา เรืองจันทร์16 มีนาคม 2552 – 27 เมษายน 2555
44นายชัยโรจน์ มีแดง27 เมษายน 2555 – 7 ตุลาคม 2555
43นายปรีชา เรืองจันทร์ (ครั้งที่ 2)8 ตุลาคม 2555 – 30 กันยายน 2556
44นายระพี ผ่องบุพกิจ1 ตุลาคม 2556 – 30 กันยายน 2557
45นายจักริน เปลี่ยนวงษ์1 ตุลาคม 2557 – 30 กันยายน 2558
46นายชูชาติ กีฬาแปง1 ตุลาคม 2558 – 30 กันยายน 2559
47นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ1 ตุลาคม 2559 – 30 กันยายน 2560
48นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์1 ตุลาคม 2560 – 30 กันยายน 2561
49นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์1 ตุลาคม 2561 – 30 กันยายน 2563
50นายรณชัย จิตรวิเศษ1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2565
51นายภูสิต สมจิตต์1 ตุลาคม 2565 – ปัจจุบัน

ประชากรศาสตร์

      หมายถึงจำนวนประชากรได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
      หมายถึงจำนวนประชากรได้ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
อันดับ
(ปีล่าสุด)
อำเภอพ.ศ. 2557[71]พ.ศ. 2556[72]พ.ศ. 2555[73]พ.ศ. 2554[74]พ.ศ. 2553[75]พ.ศ. 2552[76]พ.ศ. 2551[77]
1เมืองพิษณุโลก283,419281,762280,922280,457279,292276,293274,415
2วังทอง120,824120,535120,513119,878119,485119,103119,213
3บางระกำ94,98094,83294,57894,02093,84193,72593,673
4พรหมพิราม87,86487,85387,73987,62987,86987,86887,962
5นครไทย87,04286,68486,16385,53485,21384,91185,202
6เนินมะปราง58,20858,04358,06257,91657,87357,90658,015
7บางกระทุ่ม48,15248,30748,39048,31348,60548,66748,849
8ชาติตระการ40,80140,63340,43240,14440,12139,75939,483
9วัดโบสถ์37,69837,72737,57337,46637,39337,32937,183
รวม858,988856,376854,372851,357849,692845,561843,995|

การศึกษา

จังหวัดพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการศึกษาของภูมิภาคภาคเหนือตอนล่าง มีสถานศึกษามากมายทุกระดับตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัยทั้งรัฐบาล และเอกชนดังนี้

อุดมศึกษา
ป้ายมหาวิทยาลัยนเรศวร
ภายในมหาวิทยาลัยนเรศวร
อาชีวศึกษา
  • วิทยาลัยอาชีวศึกษา จังหวัดพิษณุโลก
  • วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก
  • วิทยาลัยเทคนิคสองแคว
  • วิทยาลัยพณิชยการบึงพระพิษณุโลก
  • วิทยาลัยสารพัดช่างพิษณุโลก
  • วิทยาลัยการอาชีพนครไทย
  • วิทยาลัยบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีพิษณุโลก
  • วิทยาลัยอาชีวศึกษาพณิชยการพิษณุโลก
มัธยมศึกษา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ (เฉพาะในจังหวัดพิษณุโลก)
  • อำเภอนครไทย
    • โรงเรียนนครชุมพิทยา รัชมังคลาภิเษก
    • โรงเรียนนครไทย
    • โรงเรียนนครบางยางพิทยาคม
    • โรงเรียนนาบัววิทยา
    • โรงเรียนบ่อโพธิ์วิทยา
    • โรงเรียนยางโกลนวิทยา
  • อำเภอพรหมพิราม
    • โรงเรียนดงประคำพิทยาคม
    • โรงเรียนพรหมพิรามวิทยา
    • โรงเรียนวังมะด่านพิทยาคม

ประถมศึกษา

สาธารณสุข

โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร

จังหวัดพิษณุโลกมีสถานบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่สถานีอนามัย ศูนย์สุขภาพชุมชน คลินิก โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลทหาร โรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลระดับมหาวิทยาลัย โดยมีโรงพยาบาลศูนย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุขประจำจังหวัดและประจำภูมิภาคภาคเหนือตอนล่างคือ โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก และมีโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิขั้นสูงของภูมิภาคภาคเหนือตอนล่างก็คือ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงกลาโหม คือโรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โรงพยาบาลกองบิน 46 และมีโรงพยาบาลประจำอำเภอดังต่อไปนี้

การขนส่ง

สถานีรถไฟพิษณุโลก

ลักษณะทางภูมิศาสตร์ทำให้จังหวัดพิษณุโลกเป็นจุดศูนย์กลางในด้านคมนาคมของภูมิภาคอินโดจีน โดยเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างภาคกลางกับภาคเหนือ รวมทั้งภาคเหนือกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย จังหวัดพิษณุโลกจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น "เมืองบริการสี่แยกอินโดจีน" โดยสามารถเดินทางได้โดยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (แม่สอด-มุกดาหาร) ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 (อินทร์บุรี-เชียงใหม่) และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 117 (พิษณุโลก-นครสวรรค์) โดยทางหลวงทั้ง 3 สายเชื่อมโยงกันด้วยโครงข่ายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 126 (ถนนวงแหวนรอบเมืองพิษณุโลก)

โดยทั้งนี้จังหวัดพิษณุโลกมีสถานีขนส่งผู้โดยสาร 2 แห่งด้วยกัน

  1. สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 1 ตั้งอยู่ภายในตัวเมือง สำหรับรถโดยสารที่วิ่งบริเวณจังหวัดที่ใกล้เคียง
  2. สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 2 ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกอินโดจีน เป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ก่อสร้างบนเนื้อที่ 10 ไร 12 ตารางวา รองรับรถโดยสารที่มีเส้นทางผ่านจังหวัดพิษณุโลก รวม 20 เส้นทาง มีชานชาลาสำหรับจอดรถโดยสารทั้งหมด 40 ช่อง แบ่งเป็นอาคารสถานีฯหลังใหญ่ จำนวน 20 ช่อง อาคารสถานีฯหลังเล็ก จำนวน 20 ช่อง มีช่องจำหน่ายตั๋ว 27 ช่อง มีสถานที่จอดรถสำหรับประชาชนจำนวน 100 ช่อง มีการจัดสถานที่นั่งรอรถ สำหรับพระภิกษุและประชาชนอย่างเพียงพอ
นอกจากการคมนาคมทางรถยนต์แล้วยังสามารถเดินทางด้วยรถไฟที่สถานีรถไฟพิษณุโลก หรือทางอากาศที่ท่าอากาศยานพิษณุโลก มีเที่ยวบินพาณิชย์ให้บริการจากท่าอากาศยานดอนเมือง ได้แก่ สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยแอร์เอเชียและสายการบินไทยไลออนแอร์ โดยให้บริการทุกวัน

การเดินทางภายในตัวจังหวัด มีรถโดยสารสองแถวสีม่วงและรถโดยสารประจำทางมินิบัสสีม่วงให้บริการหลายสายและยังมีรถแท็กซี่มิตเตอร์ให้บริการอีกด้วย

ระยะทางจากตัวเมืองไปยังอำเภอต่างๆ

สถานที่ท่องเที่ยว

อำเภอเมืองพิษณุโลก
วิหารเก้าห้องประดิษฐานพระอัฏฐารส ในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
สมเด็จนางพญาเรือนแก้ว ในวัดนางพญา
  • วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
  • พระราชวังจันทน์ (ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)
  • มหาวิหารสมเด็จองค์ปฐม (วัดจันทร์ตะวันตก)
  • พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี (จ่าสิบเอกทวี-พิมพ์ บูรณเขตต์)
  • โรงหล่อพระบูรณะไทย
  • สวนนกไทยศึกษา
  • วัดนางพญา
  • สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา บริเวณแยกเรือนแพ (สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ)
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาพิษณุโลก
อำเภอบางระกำ
  • สวนน้ำสแปลชฟันปาร์ค (สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ)
อำเภอวังทอง
น้ำตกแก่งซอง อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
  • สวนสาธารณะบึงราชนก (ส่องนกชมดาว)
  • สวนรุกขชาติสกุโณทยาน (น้ำตกวังนกแอ่น)
  • น้ำตกปอย
  • น้ำตกแก่งซอง
  • น้ำตกแก่งโสภา
  • อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
  • วนอุทยานเขาพนมทอง ตำบลพันชาลี
  • วัดราชคีรีหิรัญยาราม
  • อุทยานแห่งชาติภูแดงร้อน
  • วัดพระพุทธบาทเขาสมอแคลง
  • โรงเจไซทีฮุกตึ้ง
  • พระมหาธาตุเจดีย์ศรีบวรชินรัตน์
  • วัดวังทองวราราม
  • สถูปพระยาสาลีรัฐวิภาค
อำเภอนครไทย
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
อำเภอวัดโบสถ์
อำเภอชาติตระการ
อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว บริเวณลานสนที่ความสูง 1,633 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง (ด้านหลังคือยอดภูสอยดาว ความสูง 2,102 เมตร)
อำเภอเนินมะปราง
อำเภอพรหมพิราม

บุคคลที่มีชื่อเสียง

เกจิคณาจารย์ชื่อดังของจังหวัดพิษณุโลก

•พระพรหมวชิรเจดีย์(บำรุง ฐานุตโร)ปธ.7 อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค5 อดีตเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อำเภอเมืองพิษณุโลก

  • พระวรญาณมุนี (หลวงตาละมัย (แจ่ม สุธัมโม) วัดอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก
  • พระมงคลสุธี (หลวงพ่อแขก) วัดสุนทรประดิษฐ์ อำเภอบางระกำ
  • พระครูศีลสารสัมบัน (สำรวย สมฺปนฺโน) วัดสระแก้วปทุมทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก
  • หลวงพ่อทรัพย์ วัดปลักแรด อำเภอบางระกำ
  • พระครูประพันธ์ศีลคุณ (หลวงพ่อพันธ์) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางสะพานและเจ้าคณะอำเภอวังทองชั้นเอก
  • พระครูสุวรรณธรรมาภรณ์ (หลวงพ่อวาว) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางสะพานและเจ้าคณะตำบลวังทองชั้นเอกกิตติมศักดิ์
  • พระครูศีลสารสัมบัน (หลวงปู่อ่อน พุทธสโก) วัดเนินมะเกลือวนาราม อำเภอวังทอง
  • พระครูไพโรจน์คุณาธาร (หลวงปู่หล้า คุณาธโร) วัดหนองบัว อำเภอวังทอง
  • พระครูขันติธรรมาภินันท์ (หลวงพ่อเชื่อม) วัดหนองทอง อำเภอวังทอง
  • หลวงพ่อยี ปญญภาโร อดีตเจ้าอาวาสวัดอภัยสุพรรณภูมิ (วัดดงตาก้อนทอง) อำเภอบางกระทุ่ม
  • หลวงพ่อแห วัดหนองบัว อ.เมือง

ของดีจังหวัดพิษณุโลก

โรงงานทำพระพุทธรูป ในจังหวัดพิษณุโลก

หมายเหตุ

อ้างอิง

เชิงอรรถ
บรรณานุกรม
  • จิตร ภูมิศักดิ์. ศัพท์สันนิษฐานและอักษรวินิจฉัย (โครงการสรรพนิพนธ์ จิตร ภูมิศักดิ์). กรุงเทพมหานคร: ฟ้าเดียวกัน , 2548.
  • ดร. วินัย ศรีพงศ์เพียร และ ดร. ตรงใจ หุตางกูร (บรรณาธิการ). มรดกความทรงจำแห่งนพบุรีศรีลโวทัยปุระ : ว่าด้วยโคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์ฯ และจารึกโบราณแห่งเมืองละโว้. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), 2558. 330 หน้า. ISBN 978-616-7154-31-2

แหล่งข้อมูลอื่น

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง