สงครามสามสิบปี

สงครามสามสิบปี (อังกฤษ: Thirty Years' War) (ค.ศ. 1618 - ค.ศ. 1648) เป็นการสู้รบโดยส่วนใหญ่ในเยอรมนีและยุโรปกลางยุคปัจจุบัน ถือว่าเป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่มีการทำลายล้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป มีการคิดประมาณโดยรวมของการเสียชีวิตของทหารและพลเรือน จำนวนระหว่าง 4.5 ถึง 8 ล้านคน ในขณะที่ได้มีการเสนอว่า มีจำนวนประชากรที่เสียชีวิตลงถึง 60% ในบางพื้นที่ของเยอรมนี ความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องประกอบไปด้วยสงครามแปดสิบปี สงครามการสืบราชบังลังก์แมนเทียน (War of the Mantuan Succession) สงครามฝรั่งเศส-สเปน และสงครามฟื้นฟูโปรตุเกส

สงครามสามสิบปี

แผนที่ยุโรปในปี ค.ศ. 1648 หลังจากสัญญาสงบศึกเวสต์เฟเลีย แสดงรัฐเยอรมันเล็ก ๆ ภายในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสีเทา
วันที่ค.ศ. 1618 –1648
สถานที่
ทวีปยุโรป (ส่วนใหญ่ในประเทศเยอรมนีปัจจุบัน)
ผล

สัญญาสันติภาพเวสต์ฟาเลีย

  • เจ้าโปรเตสแตนท์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินวัตรทางศาสนาต่อ
  • ภาวะครอบงำของราชวงศ์ฮับส์บูร์กเสื่อมลง
  • ฝรั่งเศสและราชวงศ์บูร์บงเรืองอำนาจ
  • จักรวรรดิสวีเดนเรืองอำนาจ
  • ระบบเจ้าขุนมูลนายเสื่อม
  • จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกระจายอำนาจปกครอง
  • สงครามฝรั่งเศส-สเปนจนปี 1659
  • อำนาจและอิทธิพลของศาสนจักรคาทอลิกเสื่อมลงอย่างสำคัญ
คู่สงคราม

รัฐโปรเตสแตนท์และพันธมิตรสวีเดน สวีเดน (ตั้งแต่ 1630)
ราชอาณาจักรฝรั่งเศส (ตั้งแต่ 1635)
เดนมาร์ก เดนมาร์ก-นอร์เวย์ (1625–1629)
โบฮีเมีย โบฮีเมีย (1618–1620)
 สาธารณรัฐดัตช์
รัฐผู้คัดเลือกซัคเซิน
รัฐผู้คัดเลือกพาลาทิเนต (จน 1623)
บรันเดินบวร์ค-ปรัสเซีย
บรุนสวิก-ลือเนบูร์ก
อังกฤษ ราชอาณาจักรอังกฤษ (1625–30)[1]
ทรานซิลเวเนีย
กบฏต่อต้านราชวงศ์ฮับส์บูร์กชาวฮังการี[2]

สนับสนุนโดย
จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิออตโตมัน

อาณาจักรซาร์รัสเซีย[3]

รัฐโรมันคาทอลิกและพันธมิตร จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

สเปน จักรวรรดิสเปน
ฮังการี[4]
ราชอาณาจักรโครเอเชีย [5]
เดนมาร์ก เดนมาร์ก-นอร์เวย์ (1643–1645)[6]

สนับสนุนโดย

โปแลนด์-ลิทัวเนีย
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ

สวีเดน เอิร์ลแห่งเลเวน
สวีเดน กุสตาฟที่ 2 อดอล์ฟ 
สวีเดน โยฮัน บาเนอร์
โบฮีเมีย เฟรเดอริคที่ 5
เดนมาร์ก คริสเตียนที่ 4
เนเธอร์แลนด์ มอริสแห่งนาซอ
เนเธอร์แลนด์ Piet Pieterszoon Hein
พระคาร์ดินัลรีเชอลีเยอ
หลุยส์ที่ 2 แห่งบูร์บอง
วิคองเตเดอตูรีน
เบิร์นฮาร์ดแห่งแซ็กซ-ไวมาร์
จอห์น จอร์จที่ 1

กาเบรียล เบ็ธเลน

จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ Johann Tserclaes, Count of Tilly 
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ อัลเบร็คท์ ฟอน วอลเล็นชไตน์
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แฟร์ดีนันด์ที่ 2
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แฟร์ดีนันด์ที่ 3
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ฟรันซ์ ฟอน เมอร์ซีย์ 
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โยฮันน์ ฟอน เวิร์ต
แม็กซิมิเลียนที่ 1
สเปน Count-Duke Olivares
สเปน อัมโบรจิโอ สปิโนลา

สเปน คาร์ดินัล-อิฟันเตเฟอร์ดินานด์
กำลัง
~495,000,
ทหาร 150,000 สวีเดน,
20,000 เดนมาร์ก,
75,000 ดัตช์,
~100,000 เยอรมัน,
150,000 ฝรั่งเศส,
6,000 ทรานซิลเวเนียและ 20-30,000 ฮังการี[7]
~450,000,
300,000 สเปน,
~100-200,000 เยอรมัน,
ราว 20,000 ฮังการีและทหารม้าโครเอเชีย[8]

จนถึงศตวรรษที่ 20 สงครามได้ถูกมองว่าเป็นความต่อเนื่องของความขัดแย้งทางศาสนาของเยอรมันที่ถูกจุดฉนวนโดยการปฏิรูปทางศาสนา ในปี ค.ศ. 1938 นักประวัติศาสตร์ที่ชื่อ C. V. Wedgwood ได้โต้แย้งว่า ตัวขับเคลื่อนหลักคือการแข่งขันที่มีมายาวนานจากการครอบงำยุโรป ระหว่างราชวงศ์ฮาพส์บวร์คในออสเตรียและสเปน และราชวงศ์บูร์บงแห่งฝรั่งเศส มุมมองของเธอได้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปในปัจจุบัน ด้วยข้อจำกัดบางอย่าง[9]

การสู้รบสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก ช่วงแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1618 ถึง ค.ศ. 1635 ส่วนใหญ่เป็นการสู้รบระหว่างจักรพรรดิแฟร์ดีนันท์ที่ 2 และเยอรมันที่เป็นศัตรูของพระองค์ โดยมีอำนาจจากภายนอกที่มีบทบาทในการสนับสนุน ช่วงหลังปี ค.ศ. 1635 การสู้รบในเยอรมนีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสู้รบในยุโรปที่กว้างขว้างออกไป โดยมีสวีเดนและฝรั่งเศสอยู่ฝ่ายหนึ่ง ส่วนจักรพรรดิและพันธมิตรของพระองค์ก็อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง ความขัดแย้งได้สิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพเว็สท์ฟาเลิน ปี ค.ศ. 1648[10]

เมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งได้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1555 สนธิสัญญาสันติภาพเอาคส์บวร์คได้แบ่งแยกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ออกมาเป็นรัฐที่นับถือนิกายลูเทอแรนและรัฐที่นับถือนิกายคาทอลิก การย้ายถิ่นฐานครั้งนี้ได้ค่อย ๆ ถูกทำลายโดยการขยายตัวของพวกนับถือนิกายโปรเตสแตนต์ที่เกินขอบเขตตามที่ตกลงกันไว้ และการเติบโตของลัทธิคาลวิน คำสอนนิกายโปรเตสแตนต์ที่ไม่เป็นที่ยอมรับโดยเอาคส์บวร์ค ผลลัพธ์ที่ตามมาคือข้อพิพาทต่าง ๆ สำหรับการควบคุมทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1618 เมื่อขุนนางโบฮีเมียที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์เป็นส่วนใหญ่ได้ทำการปลดแฟร์ดีนันท์ที่ 2 ที่นับถือนิกายคาทอลิก ในฐานะกษัตริย์แห่งโบฮีเมีย พวกเขาได้เสนอมอบมงกุฎให้กับฟรีดริชที่ 5 ผู้คัดเลือกแห่งพาลาทิเนตที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ และการยอมรับของพระองค์ได้นำไปสู่การลุกฮือในโบฮีเมีย ปี ค.ศ. 1618

ในปี ค.ศ. 1620 แฟร์ดีนันท์ได้เข้ายึดครองโบฮีเมียกลับคืนมา แต่เมื่อฟรีดริชได้ปฏิเสธที่จะสละมงกุฎ การสู้รบก็ได้ขยายไปสู่ดินแดนบรรพบุรุษของพระองค์ที่พาลาทิเนต ซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อสงครามแปดสิบปีในสาธารณรัฐดัตช์และสเปน ในปี ค.ศ. 1623 กองทัพจักรวรรดิสเปนได้เอาชนะต่อฟรีดริช ซึ่งทรัพย์สินของพระองค์ถูกปล้นและถูกขับไล่เนรเทศ การปลดเจ้าชายที่มีสายเลือดบรรพบุรุษของแฟร์ดีนันท์และความมุ่งมั่นที่จะอ้างสิทธ์อำนาจของจักรวรรดิขึ้นมาอีกครั้ง ที่จะคุกคามต่อการปกครองตนเองของรัฐอื่น ๆ และผู้ปกครองภายในจักรวรรดิ พวกเขารวมถึงคริสเตียนที่ 4 แห่งเดนมาร์ก ซึ่งเป็นดยุกแห่งโฮลสไตน์ และในปี ค.ศ. 1625 พระองค์ได้เข้าแทรกแซงในเยอรมนีตอนเหนือจนถูกบังคับให้ถอนตัวในปี ค.ศ. 1629

ในตอนนี้ แฟร์ดีนันท์ได้ออกคำสั่งของการชดใช้(Edict of Restitution) ซึ่งได้กำหนดให้ส่งคืนทรัพย์สินทั้งหมดที่นำออกมาจากศาสนจักรคาทอลิก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1555 การนำไปปฏิบัติจะเป็นการบ่อนทำลายต่อผู้ปกครองที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ทั่วเยอรมนีทางตอนเหนือและตอนกลาง รวมถึงกุสตาวัส อโดฟัส แห่งสวีเดน ที่คอยรุกรานจักรวรรดิในปี ค.ศ. 1630 โดยได้รับการหนุนหลังจากฝรั่งเศส ในช่วงสี่ปีต่อมา สวีเดนและเยอรมันที่เป็นพันธมิตรของพวกเขาได้มีชัยชนะเหนือกองทัพจักรวรรดิหลายครั้ง แม้ว่ากุสตาวัสจะเสียชีวิตลงที่ Lützen ในปี ค.ศ.1632 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับที่เนิร์ดลิงเงินในปี ค.ศ. 1634 เยอรมัน พันธมิตรของสวีเดนได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพปราก ปี ค.ศ. 1635 กับแฟร์ดีนันท์ พระองค์ได้ถอดถอนคำสั่งและให้การรับรองว่าผู้ปกครองเยอรมันจะมีอำนาจปกครองตนเองทางการเมืองและศาสนา ในทางกลับกัน พวกเขาจะต้องละทิ้งการเป็นพันธมิตรกับมหาอำนาจภายนอก เช่น สวีเดน และตกลงที่จะรวบรวมกองกำลังของพวกเขาให้เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพจักรวรรดิ

สวีเดนได้เริ่มทำการเจรจาสันติภาพกับจักรพรรดิ จนกระทั่งความเกรงกลัวว่าอำนาจของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ฝรั่งเศสเข้าแทรกแซงโดยตรงในความขัดแย้ง ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1635 พวกเขาได้ตกลงเป็นพันธมิตรเชิงป้องกันกับสวีเดนในการต่อต้านแฟร์ดีนันท์ จากนั้นจึงประกาศสงครามกับสเปนในเดือนพฤษภาคม แม้ว่าสงครามฝรั่งเศส-สเปนจะยังดำเนินต่อไปจนถึงปี ค.ศ. 1659 การสู้รบในเยอรมนีสิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญาสันติภาพ ปี ค.ศ. 1648 ซึ่งบทบัญญัติหลัก ได้แก่ การให้สัตยาบันของเงื่อนไขปรากโดยแฟร์ดีนันท์และให้การยอมรับความเป็นเอกราชของดัตช์โดยสเปน ด้วยการทำให้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คอ่อนแอลง เมื่อเทียบกับฝรั่งเศสและพันธมิตร ความขัดแย้งได้เปลี่ยนดุลอำนาจของยุโรปและเป็นเวทีสำหรับสงครามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14

สาเหตุ

สนธิสัญญาออกสเบิร์ก (ค.ศ. 1555) ซึ่งถูกลงพระนามโดยจักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ยืนยันในผลของสภาไดเอตแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในปี ค.ศ. 1526 ที่ยุติสงครามของชาวคริสต์เยอรมันระหว่างนิกายลูเทอรันและนิกายคาทอลิก ก่อให้เกิดผลดังนี้[11]

  • ผู้ปกครองแห่งรัฐเยอรมันทั้ง 224 รัฐ สามารถเลือกศาสนาประจำรัฐนิกายใดก็ได้ (ระหว่างลูเทอรันกับคาทอลิก) ตามแต่มโนธรรมของตน และบังคับใช้กับบุคคลใต้ปกครองให้ปฏิบัติตามความเชื่อนั้น ตามหลักการที่เรียกว่า คูยูสเรจิโอ เอยูสเรลิจิโอ (CUIUS REGIO, EIUS RELIGIO; ประชาชนจากรัฐใด นับถือศาสนาประจำรัฐนั้น)
  • ชาวลูเทอรันผู้อาศัยอยู่ในรัฐเจ้าชายมุขนายก (รัฐที่ปกครองโดยนักบวชคาทอลิก) ยังคงสามารถนับถือนิกายลูเทอรันได้ต่อไป
  • ชาวลูเทอรันสามารถครอบครองดินแดนที่ยึดมาได้จากฝ่ายคาทอลิกตั้งแต่การทำสนธิสัญญาพาสเซาในปี ค.ศ. 1552
  • บรรดาเจ้าชายมุขนายกผู้ที่เปลี่ยนไปนับถือนิกายลูเทอรัน จำเป็นจะต้องสละแดนดินในปกครองของตน ตามหลักการที่เรียกว่า เรเซร์วาตุม เอกเลซีอัสติกุม (RESERVATUM ECCLESIASTICUM)

แม้ว่าสนธิสัญญาออกสเบิร์กจะยุติความบาดหมางได้ชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวแก้ไขรากเหง้าความขัดแย้งทางศาสนาครั้งนี้ มิหนำซ้ำยังกลับทำให้ปัญหามีความซับซ้อนขึ้นจากการแพร่ขยายของลัทธิคาลวินไปทั่วเยอรมนีในปีถัดมา ซึ่งเป็นการเพิ่มนิกายหลักที่สามในคริสต์ศาสนาเข้าไปอีก อย่างไรก็ตามนิกายที่สามนี้กลับไม่ได้ถูกรับรองจากสนธิสัญญาออกสเบิร์กแต่ประการใด มีเพียงนิกายคาทอลิกและนิกายลูเทอรันเท่านั้นที่ได้รับการรับรองให้เป็นสองนิกายหลัก[12][13]

นอกจากนี้ผู้ปกครองรัฐใกล้เคียงกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ยังมีส่วนร่วมในการปะทุขึ้นของสงครามสามสิบปีดังนี้

  • สเปนสนใจในการยึดครองบรรดารัฐเยอรมันเพราะสเปนปกครองดินแดนเนเธอร์แลนด์ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และบรรดารัฐเยอรมัน ในการที่จะติดต่อกับดินแดนใต้อาณัติ สเปนต้องใช้เส้นทางบนบกที่เรียกว่า "ถนนสเปน" ซึ่งตัดผ่านบรรดารัฐอิตาลีและบรรดารัฐเยอรมันในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ การลุกฮือของชาวดัตช์ต่อต้านการปกครองของสเปนในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1560 นำไปสู่สงครามอิสรภาพของดัตช์ซึ่งมีการพักรบช่วงสั้น ๆ ในปี ค.ศ. 1609
  • ฝรั่งเศสเกือบตกเป็นรัฐที่ถูกรายล้อมไปด้วยอำนาจของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (เนื่องจากพรมแดนส่วนมากติดกับสเปนและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปกครองโดยฮับส์บูร์ก) และฝรั่งเศสพยายามที่จะแสดงอำนาจของตนกับรัฐเยอรมันที่อ่อนแอกว่าบางรัฐ ราชวงศ์ฝรั่งเศสผู้เป็นคาทอลิกมีความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลทางศาสนาจากฮับส์บูร์กผู้เป็นคาทอลิกเช่นเดียวกันกับตน จึงเป็นสาเหตุที่นำพาฝรั่งเศสเข้าสู่สงครามในฝ่ายโปรเตสแตนต์แทนฝ่ายคาทอลิก
  • สวีเดนและเดนมาร์กมีความสนใจในการเข้ายึดครองรัฐเยอรมันทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นด้านที่ติดกับทะเลบอลติก

ตามความเป็นจริงแล้ว อาจกล่าวได้ว่าจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงกลุ่มของประเทศที่มีอิสรภาพของตนค่อนข้างมากซึ่งรวมตัวกันอยู่อย่างกระจัดกระจาย จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นตำแหน่งแต่เพียงในนามไม่มีอำนาจที่แท้จริง เว้นแต่จักรพรรดิที่มาจากราชวงศ์ฮับส์บูร์กที่ปกครองดินแดนส่วนมากของจักรวรรดิ (อาร์ชดัชชีออสเตรียและราชอาณาจักรโบฮีเมีย) เช่นเดียวกับที่ปกครองราชอาณาจักรฮังการี ทำให้ราชวงศ์ฮับส์บูร์กหลายเป็นมหาอำนาจหลักของยุโรป มีประชาชนใต้ปกครองมากกว่าแปดล้านคน นอกจากนี้ราชวงศ์ฮับส์บูร์กยังปกครองราชอาณาจักรสเปน ซึ่งรวมเอาเนเธอร์แลนด์, อิตาลีตอนใต้, หมู่เกาะฟิลิปปินส์ และดินแดนส่วนมากของทวีปอเมริกาไว้ด้วย จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ยังมีอิทธิพลระดับภูมิภาคในรัฐต่าง ๆ เช่น ดัชชีบาวาเรีย, รัฐผู้คัดเลือกแซกโซนี, รัฐมาร์เกรฟบรันเดินบวร์ค, รัฐผู้คัดเลือกพาลาทิเนต, รัฐแลนด์เกรเวียตแห่งเฮสส์, รัฐผู้คัดเลือกเทรียร์ และเสรีนครของจักรพรรดิแห่งนูเรมเบิร์ก (มีประชากรอยู่อาศัยรวมกันราวห้าแสนถึงหนึ่งล้านคน) และยังปกครองรัฐอิสระขนาดเล็กเช่น ดัชชี, เสรีนคร, แอบบีย์, ราชรัฐมุขนายก และอนุมณฑลของขุนนาง (บางครั้งอำนาจของขุนนางแบบนี้ก็มีเพียงอำนาจปกครองหมู่บ้านเพียงหนึ่งแห่ง) อีกนับไม่ถ้วนทั่วจักรวรรดิ ซึ่งเขตปกครองขนาดเล็กรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีอำนาจมากพอที่จะมีบทบาททางการเมืองของจักรวรรดิ ผิดกับออสเตรียและบาวาเรียซึ่งมีบทบาทสำคัญ ด้านการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างรัฐต่าง ๆ ผ่านทางเครือญาติก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา และบ่อยครั้งที่มีการแบ่งมรดกของขุนนางให้แก่โอรสหลากหลายพระองค์ไปตามรัฐต่าง ๆ

ความตึงเครียดทางศาสนายังคงมีอยู่มากในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 16 ผลผูกพันจากสนธิสัญญาออกสเบิร์กเริ่มใช้ไม่ได้ผล เมื่อเจ้าชายมุขนายกที่เปลี่ยนไปเข้ารีตลูเทอรันบางองค์ปฏิเสธที่จะสละมุขมณฑลของตนตามที่ระบุไว้ในสนธิสัญญา ในขณะเดียวกันกับที่เชื้อพระวงศ์ฮับส์บูร์กบางพระองค์และผู้ปกครองชาวคาทอลิกอื่น ๆ ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และสเปน ทรงพยายามที่จะฟื้นฟูอำนาจของโบสถ์คาทอลิกในภูมิภาค ซึ่งเป็นที่เด่นชัดในสงครามโคโลญ (ค.ศ. 1583 – 1588) ที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ้าชายมุขนายกแห่งโคโลญนามว่า เกบฮาร์ด ตรุชเซสส์ ฟอน วาล์ดบูร์ก (Gebhard Truchsess von Waldburg) ทรงเปลี่ยนไปเข้ารีตลัทธิคาลวิน ซึ่งการที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในคณะผู้คัดเลือกแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยนั้น อาจทำให้นิกายโปรเตสแตนต์มีอิทธิพลมากขึ้นต่อการเลือกจักรพรรดิแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่แต่เดิมผู้คัดเลือกจะทรงเป็นคาทอลิกทั้งหมด

ในสงครามโคโลญ กองทหารของสเปนขับไล่เจ้าชายมุขนายกออกจากตำแหน่งและแทนที่ด้วยเอิร์นส์แห่งบาวาเรีย (Ernst of Bavaria) ซึ่งเป็นโรมันคาทอลิก จากความสำเร็จนี้ทำให้ฝ่ายคาทอลิกมีเสถียรภาพมากขึ้นและหลักการ คูยูสเรจิโอ, เอยูสเรลิจิโอ ก็ถูกบังคับใช้ให้เข้มงวดขึ้นในบาวาเรีย, เวือร์ซบูร์ก และรัฐอื่น ๆ จึงเป็นการบีบบังคับให้ชาวลูเทอรันเลือกระหว่างเปลี่ยนนิกายหรือถูกเนรเทศ ชาวลูเทอรันยังเผชิญกับการละทิ้งนิกายโดยเจ้าผู้ปกครองของพวกตน เช่นใน พาลาทิเนต (ค.ศ. 1560), นัสเซา (ค.ศ. 1578), เฮสส์-คาสเซิล (ค.ศ. 1603) และบรันเดินบวร์ค (ค.ศ. 1613) ที่หันไปนับถือลัทธิคาลวินแทน ด้วยเหตุนี้ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ดินแดนลุ่มแม่น้ำไรน์และดินแดนตอนล่างของแม่น้ำดานูบจึงตกเป็นของฝ่ายคาทอลิก ขณะที่ดินแดนทางตอนเหนือตกเป็นของฝ่ายลูเทอรัน และในบางพื้นที่เช่น เยอรมนีตอนกลาง-ตะวันตก, สวิตเซอร์แลนด์ และเนเธอร์แลนด์ เป็นของฝ่ายคาลวิน อย่างไรก็ตามยังคงมีชนกลุ่มน้อยของแต่ละนิกายอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายทั่วทุกดินแดน ในบางนครรัฐก็มีจำนวนผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิก, ลูเทอรัน และคาลวิน ในจำนวนที่เกือบจะเท่ากันพอดี

จักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ที่ 1 แห่งจักวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระมหากษัตริย์แห่งโบฮีเมีย ทรงเร่งเร้าให้สังคายนาแห่งเทรนต์รับรองพิธีศีลมหาสนิทแห่งทั้งสองสำหรับชาวคาทอลิกเยอรมันและชาวคาทอลิกโบฮีเมีย

พระจักรพรรดิทรงตกตะลึงพระทัยต่อการกระทำของพระญาติชาวสเปน เนื่องจากพระองค์ทรงดำเนินพระราโชบายตามแบบของพระจักรพรรดิฮับส์บูร์กพระองค์ก่อนหน้าอย่าง จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 (รวมถึงจักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ที่ 1, จักรพรรดิมักซีมีเลียนที่ 2, จักรพรรดิรูดอล์ฟที่ 2 และจักรพรรดิมัททีอัส) ที่อำนวยให้เจ้าชายมุขนายกทุกองค์สามารถเลือกใช้นโยบายทางศาสนาของตนได้อย่างอิสระ ซึ่งพระจักรพรรดิทุกพระองค์ที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ล้วนทรงพยายามหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามศาสนาถายในจักรวรรดิ ด้วยการอนุญาตให้นิกายในคริสต์ศาสนาทุกนิกายสามารถเผยแพร่หลักธรรมของตนได้โดยปราศจากการบังคับขู่เข็ญ ซึ่งพระราโชบายนี้สร้างความโกรธเคืองแก่ผู้ที่ต้องการเห็นความเป็นหนึ่งเดียวทางศาสนาในจักรวรรดิ[14] ในขณะเดียวกันกับที่สวีเดนและเดนมาร์กซึ่งต่างก็เป็นอาณาจักรนิกายลูเทอรันด้วยกันทั้งคู่ พยายามช่วยเหลือฝ่ายโปรแตสแตนต์ภายในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และต้องการที่จะมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในจักรวรรดิเพิ่มมากขึ้น

จักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระมหากษัตริย์แห่งโบฮีเมีย

ความตึงเครียดทางศาสนาบานปลายไปเป็นความรุนแรงในเสรีนครแห่งโดเนาเวิร์ท (Donauwörth) ในเยอรมนี ค.ศ. 1606 เมื่อชาวลูเทอรันซึ่งเป็นชนกลุ่มมากในนครสกัดกั้นขบวนแห่มาร์กุสประจำปีของชาวคาทอลิกจากเมืองแถบสวาเบีย จุกชนวนให้เกิดการจลาจลขึ้น การแทรกแซงจากต่างชาติจึงเกิดขึ้นเมื่อดยุกแม็กซิมิเลียนแห่งบาวาเรียเข้าระงับเหตุเพื่อช่วยเหลือชาวคาทอลิก ซึ่งภายหลังความรุนแรงสิ้นสุดลง ชาวคริสต์นิกายคาลวินในเยอรมนี (ซึ่งยังคงเป็นชนกลุ่มน้อย) รู้สึกถูกคุกคามมากที่สุด จึงได้ทำการรวมกลุ่มและก่อตั้งสันนิบาตแห่งสหภาพศาสนา (League of Evangelical Union; สหภาพโปรเตสแตนต์) ในปี ค.ศ. 1608 ภายใต้การนำของเฟรเดอริกที่ 4 เจ้านครรัฐผู้คัดเลือกแห่งพาลาทิเนต (ค.ศ. 1583 – 1610), (ผู้ซึ่งมีพระโอรสนามว่า ฟรีดริชที่ 5 เสกสมรสกับเอลิซาเบธ สจวต พระราชธิดาในพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ)[15] การก่อตั้งสันนิบาตของชาวโปรเตสแตนต์นี้กระตุ้นให้ชาวคาทอลิกรวมตัวกันและก่อตั้งสหภาพคาทอลิกในปี ค.ศ. 1609 ภายใต้การนำของดยุกแม็กซิมิเลียน

ความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นอีกในปี ค.ศ. 1609 ด้วยสงครามสืบราชสมบัติยือลิช (War of the Jülich succession) ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อดยุกจอห์น วิลเลียมแห่งยือลิช-เคลเวอส์-แบร์ก ผู้ปกครองแห่งสหดัชชียือลิช-เคลเวอ-แบร์กที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างมาก สิ้นพระชนม์โดยไม่มีทายาท[16] มีการอ้างสิทธิ์เหนือราชบัลลังก์ยือลิชสองฝ่าย ฝ่ายแรกจากดัชเชสอันนาแห่งปรัสเซีย พระธิดาในพระเชษฐภคินีองค์โตของดยุกจอห์น วิลเลียมนามว่า มารี อเลโอนอร์แห่งเคลเวอส์ อันนาเสกสมรสกับจอห์น ซีกิสมุนด์ เจ้านครรัฐผู้คัดเลือกแห่งบรันเดินบวร์ค ฝ่ายที่สองจากโวล์ฟกัง วิลเลียม เคาท์พาลาไทน์แห่งนอยบวร์ก พระโอรสในพระเชษฐภคินีองค์ที่สองของดยุกจอห์น วิลเลียมนามว่า อันนาแห่งเคลเวอส์ ดัชเชสอันนาแห่งปรัสเซียทรงอ้างราชสิทธิ์เหนือยือลิช-เคลเวอส์-แบร์กในฐานะสายสืบสิทธิ์ตามอาวุโส ในขณะที่เคาท์โวล์ฟกัง วิลเลียมทรงอ้างราชสิทธิ์ในฐานะสายสืบสิทธิ์ตามบุรุษนิยม ซึ่งทั้งสองพระองค์ต่างก็เป็นโปรเตสแตนต์ด้วยกันทั้งคู่ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงสงครามที่จะเกิดขึ้นระหว่างผู้อ้างสิทธิ์ทั้งสอง กองกำลังของจักรพรรดิรูดอล์ฟที่ 2 จึงเข้ายึดยือลิช-เคลเวอส์-แบร์กจนกว่าความขัดแย้งจะยุติโดยการตัดสินจากคณะเอาลิค (Aulic Council) อย่างไรก็ตาม เจ้าชายมุขนายกโปรเตสแตนต์หลายองค์กลัวว่าพระจักรพรรดิผู้เป็นคาทอลิกจะทรงยึดครองยือลิช-เคลเวอส์-แบร์กไว้กับพระองค์เอง ซึ่งจะทำให้สหดัชชียือลิช-เคลเวอส์-แบร์กตกเป็นของฝ่ายคาทอลิก[16] คณะผู้แทนจากพระเจ้าอองรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศสและจากสาธารณรัฐดัตช์รวมกลุ่มกันเพื่อเข้ารุกรานยือลิช-เคลเวอส์-แบร์ก แต่แผนการนี้ก็เป็นอันต้องล้มเลิกเมื่อเกิดการลอบปลงพระชนม์พระเจ้าอองรีที่ 4 ขึ้น ต่อมาเคาท์โวล์ฟกัง วิลเลียมพยายามช่วงชิงความได้เปรียบจากความขัดแย้ง จึงได้ทำการเปลี่ยนไปเข้ารีตคาทอลิก ขณะที่จอห์น ซีกิสมุนด์เองก็ทรงเปลี่ยนไปเข้ารีตคาลวิน (แม้ดัชเชสอันนาแห่งปรัสเซียจะยังทรงเป็นลูเทอรันอยู่ก็ตาม)[16] ความขัดแย้งดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1614 ด้วยสนธิสัญญาซันเตินซึ่งมีใจความให้แยกสหดัชชีออกเป็นส่วน ๆ คือ ดัชชียือลิชและรัฐแบร์ก ตกเป็นของเคาท์โวล์ฟกัง วิลเลียม ส่วนดัชชีเคลเวอ, เคาน์ตีมาร์ค และเคาน์ตีราเวินสแบร์ก ตกเป็นของจอห์น ซีกิสมุนด์[16]

ความวิโรธของสเปนในมาสทริชท์ ค.ศ. 1579

การลุกฮือของชาวดัตช์ต่อสเปนเป็นหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่นำไปสู่สงครามสามสิบปี เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าการพักรบสิบสองปีระหว่างกบฏชาวดัตช์กับสเปนผู้ปกครองสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1621 และทั่วทั้งยุโรปในเวลานั้นต่างก็ตระหนักดีว่าสเปนกำลังพยายามพิชิตสาธารณรัฐดัตช์กลับมาเป็นของตนให้ได้ กองกำลังของสเปนในการพิชิตดินแดนคืนในครั้งนั้นอยู่ภายใต้การนำของ อัมโบรโญ สปีโนลา มาร์กีสที่ 1 แห่งบัลบาเซส ซึ่งเป็นชาวเจนัว มาร์กีสแห่งบัลบาเซสมีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยอำนวยความสะดวกการเดินทัพไปยังสาธารณรัฐดัตช์ผ่านรัฐพันธมิตรต่าง ๆ มีเพียงรัฐผู้คัดเลือกพาลาทิเนตเท่านั้นที่ขัดขวางการเดินทัพของสเปนผ่านดินแดนของตน [17] (เส้นทางที่สปีโนลาโปรดปราน ถนนสเปน มีเส้นทางดังนี้: ผ่านสาธารณรัฐเจนัวและดัชชีมิลานไปยังหุบเขาวาลเทลลินา จากนั้นเดินอ้อมสวิตเซอร์แลนด์ผู้เป็นศัตรูผ่านทางชายฝั่งด้านเหนือของทะเลสาบคอนสแตนซ์ เดินผ่านเข้าไปยังแคว้นอาลซัสและมุขมณฑลแห่งสตราส์บูร์ก ผ่านไปยังรัฐผู้คัดเลือกพาลาทิเนต ก่อนที่ท้ายสุดจะผ่านอัครมุขมณฑลแห่งเทรียร์, ดัชชียือลิช และรัฐแบร์กจนถึงสาธารณัฐดัตช์ในที่สุด[17] และเนื่องจากรัฐพาลาทิเนตตั้งอยู่บนสมรภูมิที่มีความสำคัญทางการเมืองยุโรปอย่างมาก พระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์โปรเตสแตนต์ จึงมีพระราชประสงค์ให้มีการเสกสมรสระหว่างพระราชธิดา เอลิซาเบธ สจวต กับ ฟรีดริชที่ 5 ผู้คัดเลือกแห่งพาลาทิเนต ในปี ค.ศ. 1612 ทั้งที่มีขนบธรรมเนียมอังกฤษที่ว่าพระราชธิดาในพระมหากษัตริย์จะต้องเสกสมรสกับเชื้อพระวงศ์ที่เป็นกษัตริย์จากราชวงศ์อื่นเท่านั้น

เมื่อย่างเข้าสู่ปี ค.ศ. 1617 เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าจักรพรรดิมัททีอัสแห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์จะเสด็จสวรรคตโดยปราศจากรัชทายาท ราชบัลลังก์จึงตกไปเป็นของพระญาติบุรุษที่สืบสายพระโลหิตใกล้พระองค์มากที่สุดก็คือ อาร์ชดยุกแฟร์ดีนันด์ที่ 2 แห่งออสเตรีย, มกุฎราชกุมารแห่งโบฮีเมีย และด้วยสนธิสัญญาลับโอญาเต พระเจ้าเฟลีเปที่ 3 แห่งสเปนจึงทรงเห็นชอบกับการสืบราชบัลลังก์ในครั้งนี้

จักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ที่ 2 ทรงได้รับการศึกษาจากคณะแห่งพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นคาทอลิกผู้เรียกร้องความเป็นหนึ่งเดียวทางศาสนาในจักรวรรดิ ทำให้พระองค์ไม่เป็นที่นิยมของชาวโปรเตสแตนต์ในโบฮีเมีย เหตุการณ์เริ่มบานปลายเมื่อขุนนางชาวโบฮีเมียปฏิเสธความชอบธรรมของจักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ ซึ่งครั้งหนึ่งคณะขุนนางกลุ่มนี้เคยเลือกพระองค์ขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารในปี ค.ศ. 1617 การกระทำนี้เป็นกระตุ้นให้เกิดสงครามสามสิบปีอย่างมาก และตามมาด้วยเหตุการณ์ที่ผู้แทนพระองค์ของจักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ถูกจับโยนออกมาจากนอกหน้าต่างซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ บัญชรฆาตแห่งปราก (Defenestration of Prague) อันเป็นการจุดชนวนให้เกิดการลุกฮือในโบฮีเมีย ซึ่งมีพันธมิตรมากมายที่เป็นชาวต่างชาติผู้มีอำนาจ จักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ทรงเสียพระทัยจากการจงใจหมิ่นพระเกียรติในครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตามพระราโชบายขันติธรรมในจักรวรรดิของพระองค์จะยิ่งส่งผลให้ทรงอยู่ในพระราชสถานะที่อ่อนแอ ไม่กี่ปีถัดมาเหตุการณ์ดูราวกับว่าราชวงศ์ฮับส์บูร์กจะอยู่ในสถานะอันเลวร้ายที่ไม่อาจกู้คืนกลับมาได้ ขณะที่ฝ่ายโปรเตสแตนต์ดูราวกับว่ากำลังจะประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ภายในระยะเวลาอันสั้น

สงครามสามารถแบ่งออกเป็นสี่ช่วงสำคัญ ได้แก่ การลุกฮือในโบฮีเมีย การแทรกแซงจากเดนมาร์ก การแทรกแซงจากสวีเดน และการแทรกแซงจากฝรั่งเศส

การลุกฮือในโบฮีเมีย

ค.ศ. 1618–1621

ภาพไม้แกะสลักร่วมสมัยของเหตุการณ์บัญชรฆาตแห่งปรากครั้งที่สอง (ค.ศ. 1618) อันเป็นจุดเริ่มต้นของการลุกฮือในโบฮีเมียและฉากแรกของสงครามสามสิบปี

จากการที่ทรงไร้ราชโอรสหรือราชธิดาของพระองค์เอง จักรพรรดิมัททีอัสทรงพยายามทำให้การสืบทอดราชสมบัติเป็นไปอย่างสงบและเรียบร้อย ด้วยการให้รัชทายาทแห่งราชวงศ์ (Dynastic heir) คือ แฟร์ดีนันด์แห่งสติเรีย ผู้ศรัทธาในนิกายคาทอลิกอย่างแรงกล้า (ต่อมาเสวยราชย์เป็นจักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ที่ 2) ทรงได้รับเลือกให้ขึ้นครองราชบัลลังก์แห่งสองอาณาจักรที่แยกออกจากกันระหว่างโบฮีเมียและฮังการี[18] ผู้นำนิกายโปรเตสแตนต์ในโบฮีเมียบางส่วนจึงเกรงกลัวว่าตนจะสูญเสียสิทธิ์ทางศาสนาซึ่งได้รับพระราชทานจากจักรพรรดิรูดอล์ฟที่ 2 ในสาส์นแห่งเดชานุภาพ ค.ศ. 1609 (Letter of Majesty) โดยกลุ่มผู้นำเหล่านั้นโปรดปรานเชื้อพระวงศ์โปรเตสแตนต์อย่าง ฟรีดริชที่ 5 แห่งพาลาทิเนต (รัชทายาทในฟรีดริชที่ 4 ผู้ก่อตั้งสหภาพโปรเตสแตนต์) มากกว่า[19] อย่างไรก็ตาม โปรเตสแตนต์คนอื่น ๆ ยังคงสนุนสนุนการสืบทอดราชสมบัติโดยฝ่ายคาทอลิกนี้ต่อไป[20] และในปี ค.ศ. 1617 แฟร์ดีนันด์ทรงได้รับเลือกจากสภาฐานันดรแห่งโบฮีเมียให้ดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมารอย่างประจวบเหมาะพอดี ที่ซึ่งเมื่อจักรพรรดิมัททีอัสเสด็จสวรรคต จะทรงขึ้นดำรงพระอิสริยยศเป็นพระมหากษัตริย์แห่งโบฮีเมียโดยทันที


รัฐที่เกี่ยวข้อง

ต่อต้านพระจักรพรรดิโดยตรง
ต่อต้านพระจักรพรรดิในทางลับ
สนับสนุนพระจักรพรรดิโดยตรง
สนับสนุนพระจักรพรรดิในทางลับ

อ้างอิง


🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง