สมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ที่ 1 แห่งเบลเยียม

สมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ที่ 1 (8 เมษายน ค.ศ. 1875 - 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1934) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งชาวเบลเยียมตั้งแต่ปีค.ศ. 1909 ถึงค.ศ. 1934 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศเบลเยียมเนื่องจากอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914 - 1918) เมื่อประเทศเบลเยียมเกือบทั้งหมดถูกบุกรุก ยึดครอง และปกครองโดยจักรวรรดิเยอรมัน นอกจากนั้นยังมีอีกเหตุการณ์สำคัญอื่น ๆ คือ การร่วมลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซาย, การปกครองเบลเยียมคองโกเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรเบลเยียม การปฏิรูปประเทศภายหลังสงคราม และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (ค.ศ. 1929 - 1934) สมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ที่ 1 เสด็จสวรรคตเนื่องจากทรงประสบอุบัติเหตุจากการปีนเขาในภาคตะวันออกของเบลเยียมในปีค.ศ. 1934 มีพระชนมพรรษา 58 พรรษา ราชสมบัติจึงตกเป็นของพระโอรสพระองค์ใหญ่ คือ เจ้าชายเลโอโปลด์

สมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ที่ 1
พระมหากษัตริย์แห่งชาวเบลเยียม
ครองราชย์23 ธันวาคม ค.ศ. 1909 – 17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1934
(24 ปี 56 วัน)
รัชกาลก่อนหน้าสมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2
รัชกาลถัดไปสมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 3
ประสูติ8 เมษายน ค.ศ. 1875
กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
สวรรคต17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1934 (58 พรรษา)
มาร์ช-เล-ดาม ประเทศเบลเยียม
พระอัครมเหสีเอลิซาเบธแห่งบาวาเรีย สมเด็จพระราชินีแห่งเบลเยียม
พระราชบุตรสมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียม
เจ้าชายชาลส์ เคานต์แห่งฟลานเดอร์
เจ้าหญิงมารี-โจเซแห่งเบลเยียม
พระปรมาภิไธย
อัลแบร์ เลโอโปลด์ เคลม็อง มารี ไมน์ราด
ราชวงศ์ซัคเซิน-โคบวร์คและโกทา
พระราชบิดาเจ้าชายฟิลิป เคานต์แห่งแฟลนเดอส์
พระราชมารดาเจ้าหญิงมารีแห่งโฮเฮนซอลเลิร์น-ซิกมาริงเงิน
ลายพระอภิไธย

พระราชประวัติ

พระองค์ทรงมีพระนามเมื่อประสูติว่า อัลแบร์ เลโอโปลด์ เคลม็อง มารี ไมน์ราด (Albert Léopold Clément Marie Meinrad, เยอรมัน: Albrecht Leopold Clemens Marie Meinrad ประสูติ ณ กรุงบรัสเซลส์ ทรงเป็นพระโอรสลำดับที่ 2 ของเจ้าชายฟิลิป เคานต์แห่งแฟลนเดอส์ กับเจ้าหญิงมารีแห่งโฮเฮนซอลเลิร์น-ซิกมาริงเงิน ซึ่งพระราชบิดา (เจ้าชายฟิลิป) นั้นทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 3 (พระองค์ที่ 2 ที่ยังทรงพระชนม์) ในพระเจ้าเลออปอลที่ 1 แห่งเบลเยียม กับสมเด็จพระราชินีหลุยส์-มารี พระราชบิดานั้นเป็นพระราชอนุชาของสมเด็จพระเจ้าเลออปอลที่ 2

ฝ่ายพระราชมารดา คือ เจ้าหญิงมารีแห่งโฮเฮนซอลเลิร์น-ซิกมาริงเงินนั้นเป็นพระญาติสนิทของสมเด็จพระจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 แห่งเยอรมนี และยังเป็นสมาชิกของราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์นสายโรมันคาทอลิก (ซึ่งมิได้ปกครองอาณาจักรใด ๆ) เจ้าชายอัลแบร์ ทรงเจริญพระชันษาในพระราชวังแห่งฟลานเดอร์ และทรงเป็นรัชทายาทอันดับที่ 4 แห่งการสืบสันตติวงศ์ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อองค์รัชทายาทซึ่งมีสิทธิในราชบัลลังซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระราชปิตุลา สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และพระเชษฐาของพระองค์ คือ เจ้าชายโบดวงแห่งเบลเยียม ซึ่งได้เตรียมพระองค์ในการสืบราชสมบัติเป็นอย่างดี กลับสิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์เช่นกัน จึงทำให้พระองค์ทรงขยับขึ้นมาอยู่เป็นอันดับที่สองของการสืบราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดาเมื่อมีพระชนมายุเพียง 16 พรรษา

พระองค์ทรงตระเตรียมพระองค์เพื่อรับราชสมบัติเป็นอย่างดี ในสมัยที่ยังทรงพระเยาว์ เจ้าชายอัลแบร์ทรงห่วงใยในความเป็นอยู่ของราษฎรชั้นกรรมาชีพในเบลเยียม และเสด็จประพาสส่วนพระองค์ไปตามเขตอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยมิให้ราษฎรรู้ เพื่อทรงทราบถึงความเป็นอยู่ของราษฎร[1] และภายหลังก่อนที่จะเสวยราชสมบัติในปีค.ศ. 1909 ได้เสด็จประพาสเบลเยียมคองโกอย่างจริงจัง ซึ่งได้รวมดินแดนเข้ากับราชอาณาจักรในปีค.ศ. 1908 (ภายหลังจากการถูกครอบครองในฐานะราชสมบัติส่วนพระองค์โดยสมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2) ทรงพบเห็นว่าสภาพของดินแดนนั้นอยู่ในสภาพย่ำแย่ และเมื่อเสด็จนิวัติแล้ว ทรงให้จัดการปฏิรูปเพื่อปกป้องชาวพื้นเมืองคองโก และเพื่อพัฒนาอาณานิคมแห่งนี้ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นต่อไป[2]

พระองค์ทรงเป็นอัศวินแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์เป็นลำดับที่ 851 ในปีค.ศ. 1914 และอัศวินแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำเป็นลำดับที่ 1,152

อภิเษกสมรส

พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับดัชเชสเอลิซาเบธ กาบรีเอล วาเลรี มารี แห่งบาวาเรีย เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1900 ที่มิวนิก พระคู่หมั้นนั้นคือเจ้าหญิงในราชวงศ์วิตเตลส์บาคที่ทรงพบเป็นครั้งแรกในงานศพของครอบครัว ทรงเป็นพระธิดาของดยุกคาร์ล-ธีโอดอร์แห่งบาวาเรีย กับอินฟานตามาเรีย โจเซฟาแห่งโปรตุเกส พระองค์ประสูติที่ปราสาทโพสเซินโฮเฟิน ในรัฐบาวาเรีย เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1876 และสิ้นพระชนม์เมื่อ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1965

จากพระราชสาสน์ที่ทรงตอบโต้กันในระหว่างช่วงทรงหมั้น (กล่าวถึงในบันทึกของพระราชธิดา คือ เจ้าหญิงมารี-โจเซ ว่าทรงรักใคร่ผูกพันกันมาก[3] และทั้งสองพระองค์ยังทรงสนับสนุนซึ่งกันและกันในบทบาทของทั้งสองพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์และพระราชินี ทั้งสองพระองค์ทรงมีส่วนร่วมในการอุทิศพระวรกายให้แก่ประเทศชาติและประชาชนของพระองค์ ทั้งสองพระองค์ยังมีความสนพระทัยในด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศิลปะ การดนตรี และปรัชญา ทำให้ราชสำนักของพระองค์ที่ลาเคินนั้นเป็นเหมือนดั่งศูนย์วัฒนธรรมอย่างกลาย ๆ[3][4]

พระโอรส-ธิดา

ขึ้นครองราชย์

สมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ที่ 1 และพระราชินี กับพระเจ้าฟูอัดที่ 1 แห่งอียิปต์ (เบื้องขวา)

จากการสวรรคตของพระราชปิตุลา สมเด็จพระเจ้าเลออปอลที่ 2 แห่งเบลเยียม พระองค์จึงเสวยราชสมบัติขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งชาวเบลเยียมในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1909 เนื่องจากพระราชบิดานั้นสิ้นพระชนม์ไปแล้วตั้งแต่ปีค.ศ. 1905 ในอดีตนั้น พระมหากษัตริย์เบลเยียมนั้นจะทรงกล่าวคำปฏิญาณเป็นภาษาฝรั่งเศสเท่านั้น แต่พระองค์ได้ตรัสเป็นภาษาดัตช์ด้วย[1] พระองค์และพระราชินีนั้นเป็นที่รักใคร่ของราษฎรมากอันเนื่องมาจากความเป็นกันเองต่อพสกนิกร และความรักใคร่กลมเกลียวของทั้งสองพระองค์ ซึ่งล้วนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับรัชกาลก่อน ซึ่งเข้มงวดทางพิธีรีตอง เผด็จการ และชีวิตส่วนตัวแบบลับ ๆ ของสมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2

การเปลี่ยนแปลงสำคัญช่วงต้นรัชกาล ได้แก่การริเริ่มการปฏิรูปการปกครองของเบลเยียมคองโก ซึ่งเป็นอาณานิคมเพียงแห่งเดียวของราชอาณาจักรเบลเยียม[5]

สงครามโลกครั้งที่ 1

ช่วงเริ่มต้นของสงคราม พระองค์ได้ทรงปฏิบัติตามคำร้องขอของสหราชอาณาจักร ที่ให้ปฏิเสธคำร้องขอของกองทัพเยอรมันในการเคลื่อนทัพผ่านเบลเยียมเพื่อเข้าโจมตีฝรั่งเศสซึ่งเป็นสัมพันธมิตรของอังกฤษในขณะนั้น ซึ่งฝ่ายเยอรมันได้คาดการณ์ไว้ว่าฝรั่งเศสจะประกาศสงครามกับเยอรมนีเพื่อสนับสนุนรัสเซีย (อังกฤษเป็นหนึ่งในชาติมหาอำนาจยุโรปในสมัยนั้นที่รับรองสถานะของการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดของเบลเยียมภายใต้สนธิสัญญาลอนดอน ค.ศ. 1839) ซึ่งพระองค์ได้ทรงตอบปฏิเสธคำร้องขอของฝ่ายเยอรมัน กองทัพเยอรมันจึงเปิดฉากบุกรุกเบลเยียม ซึ่งพระองค์ ในฐานะพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญของเบลเยียม เป็นจอมทัพของเบลเยียมและทรงกำกับดูแลเพื่อต้านกองกำลังของฝ่ายเยอรมันเป็นเวลานานพอให้กองทัพของอังกฤษและฝรั่งเศสเตรียมการสำหรับการรบในยุทธการแห่งมาร์น (6-9 กันยายน ค.ศ. 1914) พระองค์ทรงนำทัพผ่านการปิดล้อมเมืองแอนต์เวิร์ป และยุทธการแห่งอิแซร์ เมื่อกองทัพเบลเยียมถูกผลักดันให้ล่าถอยไปยังส่วนปลายที่สุดของดินแดน ซึ่งติดกับทะเลเหนือ ซึ่งเป็นสถานที่ที่กองทัพเบลเยียมได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพไตรภาคี และทำสงครามเต็มรูปแบบในดินแดนแถบนี้กินเวลายาวนานถึงสี่ปี ซึ่งสมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ได้ทรงนำทัพและบัญชาการอยู่ที่แนวหน้าเคียงข้างกับกองทัพของพระองค์ ในขณะที่สมเด็จพระราชินีนั้นทรงดูแลงานพยาบาลอยู่ที่แนวหน้า นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีพระบรมราชานุญาตให้พระราชโอรส เจ้าชายเลโอโปลด์ พระชันษาเพียง 14 ปีเข้าเป็นพลทหารร่วมกับกองทัพเบลเยียมในขณะนั้น [2][5]

สงครามครั้งนั้นได้นำพาเบลเยียมเข้าสู่ช่วงยากลำบาก ซึ่งเกิดขึ้นจากการถูกยึดครองโดยกองทัพเยอรมัน พระองค์ด้วยทรงเกรงถึงผลลัพธ์อันร้ายแรงของสงครามต่อเบลเยียมและยุโรป รวมถึงจำนวนผู้สูญเสียอันมากมาย จึงได้ทรงเจรจาทางการทูตกับฝ่ายเยอรมันอย่างลับๆ และตกลงกันในพื้นฐานว่า "ไม่มีผู้ใดชนะ และไม่มีผู้ใดพ่ายแพ้" (no victors, no vanquished) แต่อย่างไรก็ตามทั้งฝ่ายเยอรมัน และฝ่ายไตรภาคีไม่มีผู้ใดเห็นด้วยต่อข้อเสนอของพระองค์ พระองค์จึงไม่สามารถเจรจาสันติภาพต่อไปได้อีก ท่ามกลางสถานการณ์นี้ พระองค์อาจจะพิจารณาถึงการเจรจาสงบศึกกับเยอรมนี หากแลกกับการรับรองอิสรภาพของเบลเยียม และนำพาเบลเยียมออกจากสงครามได้อย่างเด็ดขาด แต่ทัศนคติของฝ่ายเยอรมันในขณะนั้นทำให้ตัวเลือกนี้ดูจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย เนื่องจากกองทัพฝ่ายเยอรมันนั้นกำลังใช้เบลเยียมเป็นแรงกดดันฝ่ายไตรภาคี และดังนั้นจึงไม่มีความต้องการที่จะนำความสงบสุขมาสู่ภูมิภาคนี้ได้ และช่วงปลายของสงคราม ในฐานะของผู้บัญชาการกองกำลังฟลานเดอร์ ซึ่งเป็นกองกำลังผสมระหว่างทหารเบลเยียม อังกฤษ และฝรั่งเศส พระองค์ได้นำทัพอย่างกล้าหาญและพาชัยชนะเข้าปลดปล่อยประเทศเบลเยียมจากการยึดครองของกองทัพเยอรมันได้ พระองค์และพระราชินีเสด็จนิวัติกลับกรุงบรัสเซลส์ด้วยการต้อนรับดั่งวีรบุรุษสงคราม

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

ในฐานะของประมุขแห่งพระราชวงศ์ ทรงเป็นองค์ประธานแห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งเบลเยียม ได้แก่ Order of Leopold, Order of the African Star, Royal Order of the Lion, Order of the Crown และ Order of Leopold II

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ


พงศาวลี

อ้างอิง

บรรณานุกรม

  • Galet, Emile Joseph. Albert King of the Belgians in the Great War (1931), detailed memoir by the military advisor to the King; covers 1912 to the end of October, 1914
  • Woodward, David. "King Albert in World War I" History Today (1975) 25#9 pp 638–43
  • Catherine Barjansky. Portraits with Backgrounds.
  • Mary Elizabeth Thomas, "Anglo-Belgian Military Relations and the Congo Question, 1911-1913," Journal of Modern History, Vol. 25, No. 2 (June 1953), pp. 157–165.

แหล่งข้อมูลอื่น

ก่อนหน้าสมเด็จพระเจ้าอัลแบร์ที่ 1 แห่งเบลเยียมถัดไป
สมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 แห่งเบลเยียม
พระมหากษัตริย์เบลเยียม
(23 ธันวาคม ค.ศ. 190917 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1934)
สมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียม


🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง