แอนดี มาร์รี
เซอร์ แอนดรูว์ บาร์รอน มาร์รี[a] OBE (อังกฤษ: Andrew Barron Murray;[5] เกิด: 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1987) เป็นนักเทนนิสอาชีพชายชาวสกอตแลนด์ มือวางอันดับ 51 ของโลกคนปัจจุบัน[6] และเป็นอดีตมือวางอันดับ 1 ของโลกจำนวน 41 สัปดาห์ เขาชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมในประเภทชายเดี่ยว 3 รายการ (วิมเบิลดัน 2 สมัย ใน ค.ศ. 2013 และ 2016) และ ยูเอสโอเพน 1 สมัย (ค.ศ. 2012) และชนะเลิศการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวรวม 46 รายการ รวมถึงแชมป์เอทีพี มาสเตอร์ 14 สมัย และเอทีพี ไฟนอล 1 สมัย มาร์รีได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักกีฬาจากสหราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล[7][8][9]
มาร์รีในปี 2016 | |||||||||||||||||
ชื่อเต็ม | แอนดรูว์ บาร์รอน มาร์รี | ||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ประเทศ (กีฬา) | บริเตนใหญ่ | ||||||||||||||||
ถิ่นพำนัก | อ็อกซ์ชอตต์, เซอร์รีย์, อังกฤษ | ||||||||||||||||
วันเกิด | [1] กลาสโกว์, สกอตแลนด์ | 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1987||||||||||||||||
ส่วนสูง | 1.91 m (6 ft 3 in) | ||||||||||||||||
เทิร์นโปร | 2005[2] | ||||||||||||||||
การเล่น | มือขวา (แบ็กแฮนด์สองมือ) | ||||||||||||||||
ผู้ฝึกสอน | เจมี เดลกาโด (2016–2021),อิวาน เลนเดิล (2022–ปัจจุบัน) | ||||||||||||||||
เงินรางวัล | 63,195,934 ดอลลาร์สหรัฐ | ||||||||||||||||
เว็บไซต์ทางการ | andymurray.com | ||||||||||||||||
เดี่ยว | |||||||||||||||||
สถิติอาชีพ | 717–232 (75.6%) | ||||||||||||||||
รายการอาชีพที่ชนะ | 46 (อันดับที่ 14 ในยุคโอเพน) | ||||||||||||||||
อันดับสูงสุด | 1 (7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016) | ||||||||||||||||
อันดับปัจจุบัน | 50 (14 พฤศจิกายน 2565)[3] | ||||||||||||||||
ผลแกรนด์สแลมเดี่ยว | |||||||||||||||||
ออสเตรเลียนโอเพน | รองชนะเลิศ (2010, 2011, 2013, 2015, 2016) | ||||||||||||||||
เฟรนช์โอเพน | รองชนะเลิศ (2016) | ||||||||||||||||
วิมเบิลดัน | ชนะเลิศ (2013, 2016) | ||||||||||||||||
ยูเอสโอเพน | ชนะเลิศ (2012) | ||||||||||||||||
การแข่งขันอื่น ๆ | |||||||||||||||||
Tour Finals | ชนะเลิศ (2016) | ||||||||||||||||
Olympic Games | เหรียญทอง (2012, 2016) | ||||||||||||||||
คู่ | |||||||||||||||||
สถิติอาชีพ | 79–78 (50.3%) | ||||||||||||||||
รายการอาชีพที่ชนะ | 3 | ||||||||||||||||
อันดับสูงสุด | อันดับ. 51 (17 ตุลาคม 2011) | ||||||||||||||||
อันดับปัจจุบัน | 139 (12 กรกฎาคม 2564)[4] | ||||||||||||||||
ผลแกรนด์สแลมคู่ | |||||||||||||||||
ออสเตรเลียนโอเพน | 1R (2006) | ||||||||||||||||
เฟรนช์โอเพน | 2R (2006) | ||||||||||||||||
วิมเบิลดัน | 2R (2019) | ||||||||||||||||
ยูเอสโอเพน | 2R (2008) | ||||||||||||||||
การแข่งขันคู่อื่น ๆ | |||||||||||||||||
Olympic Games | 2R (2008) | ||||||||||||||||
รายการเหรียญรางวัล
|
มาร์รี และ นอวาก จอกอวิช ต่างก็โด่งดังขึ้นมาในยุคที่ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และ ราฟาเอล นาดัล เป็นสองผู้เล่นที่ขับเคี่ยวกันเพื่อแย่งการเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมาร์รีขึ้นสู่ 10 อันดับแรกของโลกได้ในปี 2007 ก่อนที่ทั้งมาร์รีและจอกอวิชจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในยอดผู้เล่นของวงการ และได้รับการยกย่องร่วมกับเฟเดอเรอร์และนาดัลให้อยู่ในกลุ่ม Big 4[10] หรือ 4 นักเทนนิสชายที่เก่งที่สุดในช่วงทศวรรษ 2010[b] โดยหากนับตั้งแต่ปี 2008–2017 มาร์รีสามารถรักษาอันดับติด 1 ใน 4 อันดับแรกของโลกได้ถึง 8 จาก 9 ปี มาร์รีเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ 11 รายการ โดยแพ้เฟเดอเรอร์และจอกอวิชในการชิงชนะเลิศ 4 ครั้งแรก ก่อนจะคว้าแชมป์ครั้งแรกในยูเอสโอเพนปี 2012 โดยเอาชนะจอกอวิช ส่งผลให้เขาเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 35 ปีที่ได้แชมป์แกรนด์สแลม และในปีนั้นเขายังคว้าเหรียญทองประเภทชายเดี่ยวในโอลิมปิกฤดูร้อนได้ โดยชนะเฟเดอเรอร์ในรอบชิงชนะเลิศ[11]
มาร์รีคว้าแชมป์แกรนด์สแลมเพิ่มได้สองรายการในวิมเบิลดันปี 2013 และ 2016 โดยถือเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 77 ปีที่ได้แชมป์รายการนี้[12] และในปี 2016 ถือเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของมาร์รี[13] โดยเขาเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ 3 รายการ และยังคว้าเหรียญทองในโอลิมปิกฤดูร้อนได้อีกครั้ง ส่งผลให้เขาเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกในประเภทชายเดี่ยว 2 สมัย[14] ก่อนจะปิดท้ายฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์เอทีพี ไฟนอล และขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลก[15] ถือเป็นผู้เล่นจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่ครองตำแหน่งอันดับ 1 ได้ในยุคโอเพน[16][c] เขายังเป็นผู้เล่นคนเดียวที่เอาชนะจอกอวิชในรอบชิงชนะเลิศวิมเบิลดันได้
เขาได้รับเกียรติให้มีรูปอยู่ในแสตมป์ของรัฐบาลอังกฤษสองครั้ง ครั้งแรกในปี 2012 หลังจากคว้าเหรียญทองโอลิมปิค ณ กรุงลอนดอน และครั้งที่สองในปี 2013 หลังจากได้แชมป์วิมเบิลดันสมัยแรก[17] ซึ่งราชวงศ์อังกฤษยังได้มอบเครื่องอิสริยาภรณ์ของจักรวรรดิบริติชรวมทั้งพระราชทานยศอัศวินให้แก่เขาในปี 2017[18][19] โดยเขาถือเป็นนักเทนนิสคนที่สองที่ได้รับเกียรตินี้ต่อจาก เซอร์ นอร์แมน บรูค (ค.ศ. 1939)[20]
มาร์รีเป็นผู้เล่นที่เล่นได้ดีในทุกพื้นสนาม มีจุดเด่นในด้านการเล่นเกมป้องกันที่เหนียวแน่นและการรีเทิร์นลูกเสิร์ฟ และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ตีลูกแบคแฮนด์สองมือได้ดีที่สุด[21] ปัจจุบันมาร์รีประสบปัญหาในการเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาเนื่องจากปัญหาสภาพร่างกาย เขาบาดเจ็บสะโพกในปี 2017 และเข้ารับการผ่าตัดสองครั้งในปี 2018–2019[22] และยังไม่สามารถกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกเลย เขาเคยประกาศเลิกเล่นในปี 2019 ก่อนจะตัดสินใจกลับมาแข่งขันต่อ ในการแข่งขันนานาชาติ มาร์รีและพี่ชายของเขาพาทีมสหราชอาณาจักร[d] คว้าแชมป์เดวิส คัพ[e] ได้ในปี 2015[23] มาร์รีมีอุดมการณ์ด้านคตินิยมสิทธิสตรี โดยเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่ออกมาเรียกร้องด้านสิทธิสตรี[24][25]
ชีวิตส่วนตัว
มาร์รีเกิดที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เขาเริ่มเล่นเทนนิสเมื่ออายุได้สามปี โดยอยู่ในการดูแลของจูดี้ ผู้เป็นมารดา[26] ในวัยเด็กเขาได้รับการฝึกฝนการเล่นฟุตบอลที่โรงเรียนและเคยได้รับการเชิญชวนให้ไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสร กลาสโกว์ เรนเจอร์ แต่เขาเลือกที่จะเป็นนักเทนนิสอาชีพแทน เขาเป็นแฟนฟุตบอลของสโมสรอาร์เซนอล[27] และฮิเบอร์เนียน เขามีพี่ชายหนึ่งคนคือ เจมี มาร์รี ซึ่งเป็นนักเทนนิสอาชีพเช่นเดียวกัน ไอดอลของเขาในกีฬาเทนนิสได้แก่ อานเดร แอกัสซี
มาร์รีเข้าเรียนที่โรงเรียนประถมดับเบลนและอยู่ในเหตุการณ์สังหารหมู่ "Dunblane Massacre" ในปี 1996 ซึ่งฆาตกรคือ โธมัส ฮามิลตัน ที่ฆ่าตัวตายหลังจากสังหารเหยื่อไป 17 ราย โดยวันนั้นมาร์รีซ่อนตัวอยู่ในห้องเรียนและเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและกลายเป็นประเด็นที่เขาถูกถามบ่อยครั้งในการให้สัมภาษณ์ของเขาจนถึงปัจจุบัน
มาร์รีเข้าพิธีสมรสกับ คิม เซียร์ ภรรยาของเขาในปี 2015 โดยปัจจุบันทั้งคู่มีบุตร-ธิดารวม 4 คน เขาถือเป็นหนึ่งในนักกีฬาระดับโลกที่ออกมาเคลื่อนไหวและเรียกร้องสิทธิมนุษยชนและสนับสนุนด้านสิทธิสตรีทั่วโลก มาร์รีชื่นชอบการรับประทานซูชิหรือข้าวปั้นญี่ปุ่นมากเนื่องจากรสชาติถูกปากและยังเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง โดยทีมงานของเขาจะต้องตระเวนหาซูชิในปริมาณมาก ๆ ให้เขาได้ทานก่อนการแข่งขันทุกครั้ง[28]
การเล่นอาชีพ
ช่วงเริ่มต้น
มาร์รีเริ่มเล่นเทนนิสเมื่ออายุ 5 ปี ก่อนเริ่มเล่นอาชีพอย่างเป็นทางการในปี 2005 ในระดับชาเลนเจอร์ และคว้าแชมป์เอทีพีทัวร์ รายการแรกได้สำเร็จ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2006 ที่ซาน โฮเซ่ ประเทศสหรัฐฯ จากนั้น เขาผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมเป็นครั้งแรกในศึกยูเอสโอเพน ปี 2008 แต่พ่ายให้กับ โรเจอร์ เฟเดเรอร์ ยอดผู้เล่นสวิตเซอร์แลนด์
อย่างไรก็ตามเขาสามารถสร้างชื่อเสียงด้วยการคว้าแชมป์ระดับมาสเตอร์ได้อย่างต่อเนื่อง ก่อนจะเข้าชิงแกรนด์สแลมได้เป็นรายการที่สองในออสเตรเลียนโอเพนปี 2010 แต่แพ้เฟเดอเรอร์ไปอีกครั้ง ตามด้วยการแพ้ นอวาก จอกอวิช ในออสเตรเลียนโอเพน 2011 ซึ่งเป็นการเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมรายการที่ 3 ตามด้วยการเข้าชิงแกรนด์สแลมครั้งที่ 4 ในวิมเบิลดันปี 2012 และแพ้เฟเดอเรอร์ไปอีกครั้ง
แชมป์แกรนด์สแลม, เหรียญทองโอลิมปิก และแชมป์เดวิส คัพ (2012–15)
ในช่วงเวลาต่อมาเส้นทางอาชีพของเขาก็ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด เมื่อเขาคว้าเหรียญทองโอลิมปิกให้แก่ทีมสหราชอาณาจักรได้ในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012[29] ก่อนจะคว้าแชมป์แกรนด์สแลมสมัยแรก โดยชนะจอกอวิชในยูเอสโอเพน 2012 โดยมาร์รีเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบกว่า 76 ปี ที่คว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้[30]
ในปี 2013 มาร์รียังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมเป็นครั้งที่ 6 ก่อนจะแพ้จอกอวิชในออสเตรเลียนโอเพนไปอีกครั้ง[31] เขาถือเป็นผู้เล่นคนที่สองในยุคโอเพนต่อจาก สเตฟาน เอ็ดเบิร์ก ที่ได้รองแชมป์ออสเตรเลียนโอเพนในประเภทชายเดี่ยว 3 สมัย เขาคว้าแชมป์รายการมาสเตอร์ 1000 ที่ไมแอมีได้เป็นสมัยที่สองหลังจากเอาชนะ ดาวิต เฟร์เรร์ และขึ้นสู่มือวางอันดับสองของโลก[32] เขาต้องถอนตัวจากการแข่งขันเฟรนช์โอเพนเนื่องจากบาดเจ็บ[33] ก่อนจะสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าแชมป์วิมเบิลดันโดยเอาชนะจอกอวิชสามเซตรวด[34] ถือเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 77 ปีที่ชนะเลิศวิมเบิลดันนับตั้งแต่ เฟร็ด เพอร์รี่ ในปี 1936 แต่มาร์รีตกรอบ 8 คนสุดท้ายในยูเอสโอเพนโดยแพ้สตาน วาวรีงกา[35] ก่อนจะลงแข่งขัน เดวิส คัพ ให้กับสหราชอาณาจักร แต่หลังจากนั้นเขาได้ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดบริเวณหลัง[36]
มาร์รีเริ่มต้นฤดูกาล 2014 ในรายการที่โดฮา ประเทศกาตาร์ แต่ตกรอบที่สองโดยแพ้ ฟลอเรียน ไมเออร์ 1–2 เซต[37] เขาผ่านเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพนก่อนจะแพ้เฟเดอเรอร์ 1–2 เซต[38] และเขาได้หลุดจาก 5 อันดับแรกของโลกเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2008 ต่อมา เขาช่วยทีม เดวิส คัพ ของสหราชอาณาจักรผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศได้ หลังจากลงแข่งขันในประเภทชายเดี่ยวและเอาชนะได้ทั้งสองนัด[39] แต่เขาตกรอบในรายการที่รอตเทอร์ดาม และเม็กซิกันโอเพน และในเดือนมีนาคม มาร์รีได้แยกทางกับ อิวาน เลนเดิล ผู้ฝึกสอนซึ่งได้รับการยกย่องว่ามีส่วนสำคัญในการพัฒนาฟอร์มการเล่นของเขาจนสามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้[40] ตามด้วยการตกรอบก่อนรองชนะเลิศมาสเตอร์ 1000 ที่ไมแอมีโดยแพ้จอกอวิช[41] และสหราชอาณาจักรตกรอบ เดวิส คัพ โดยแพ้อิตาลี[42] และเขาไม่ประสบความสำเร็จในรายการมาสเตอร์ 1000 คอร์ตดินที่มาดริดและกรุงโรม[43]
เข้าสู่แกรนด์สแลมเฟรนช์โอเพน มาร์รีผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ แต่แพ้ ราฟาเอล นาดัล แชมป์ในการแข่งขันครั้งนั้นอย่างขาดลอย 0–3 เซต[44] ภายหลังจบการแข่งขัน มาร์รีได้ว่าจ้างให้ เอมิลี โมเรสโม อดีตนักเทนนิสหญิงชื่อดังชาวฝรั่งเศสเข้ามาเป็นผู้ฝึกสอนคนใหม่ โดยโมเรสโมถือเป็นผู้ฝึกสอนหญิงคนแรกที่ได้เป็นผู้ฝึกสอนให้แก่นักเทนนิสชายมือวาง 10 อันดับแรกของโลก[45] เขาเริ่มต้นการป้องกันแชมป์วิมเบิลดันในฐานะมือวางอันดับสามของรายการ[46] เอาชนะ ดาวิด กอฟแฟง[47], บลาช โรลา[48], โรแบร์โต เบาติสตา อากุต และ เควิน แอนเดอร์สัน ก่อนจะตกรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยแพ้ กริกอร์ ดีมีตรอฟ[49] ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2008 ที่เขาไม่สามารถผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ และอันดับโลกของเขาตกไปอยู่อันดับ 10 ซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 6 ปี[50] ตามด้วยการตกรอบมาสเตอร์ 1000 แคนาดาและซินซินแนติ[51] และแพ้จอกอวิชในรอบก่อนรองชนะเลิศยูเอสโอเพน ถือเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2009 ที่มาร์รีไม่สามารถเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้เลยจากการลงเล่นทั้ง 4 รายการในหนึ่งฤดูกาล และอันดับโลกของเขาหลุดจาก 10 อันดับแรก[52] แต่เขาคว้าแชมป์รายการเอทีพี 250 ที่เชินเจิ้นได้ ก่อนจะแพ้จอกอวิชในการแข่งขันที่ปักกิ่ง[53] และตกรอบที่สามรายการมาสเตอร์ 1000 ที่เซี่ยงไฮ้ แพ้ ดาวิต เฟร์เรร์[54] เขาคว้าแชมป์ที่สองของปี 2014 และแชมป์รายการที่ 30 ในอาชีพได้จากการเอาชนะเฟร์เรร์ที่กรุงเวียนนา[55] ต่อมา เขาคว้าแชมป์ที่บาเลนเซีย โดยเอาชนะ ทอมมี โรเบรโด[56] ตามด้วยการตกรอบก่อนรองชนะเลิศมาสเตอร์ 1000 ที่ปารีส โดยแพ้จอกอวิช[57] เขาปิดท้ายฤดูกาลด้วยการตกรอบแบ่งกลุ่ม เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล[58]
ในฤดูกาล 2015 มาร์รีเริ่มต้นด้วยการคว้าแชมป์รายการพิเศษที่อาบูดาบี[59] และพาทีมสหราชอาณาจักรลงแข่งขัน ฮอพแมน คัพ แต่ตกรอบแบ่งกลุ่ม[60] เขาเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมออสเตรเลียนโอเพนเป็นครั้งที่ 4 และแพ้จอกอวิชไปอีกครั้ง 1–3 เซต[61] แต่เขากลับขึ้นสู่มือวาง 4 อันดับแรกของโลกเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปี[62] ต่อมาเขาตกรอบในการแข่งขันที่ รอตเทอร์ดาม[63] และตกรอบที่ดูไบ โดยแพ้ดาวรุ่งอย่าง บอร์นา โชริช ทำให้เขาตกลงไปอยู่อันดับ 5 ของโลก[64] ตามด้วยการพาทีมสหราชอาณาจักรผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ (8 ทีมสุดท้าย) สองสมัยติดต่อกัน หลังจากเอาชนะสหรัฐ 3–2 นัด[65]
มาร์รีผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศมาสเตอร์ 1000 ที่อินเดียนเวลส์ สหรัฐ และเป็นการคว้าชัยชนะนัดที่ 496 ในประเภทชายเดี่ยว ทำสถิติเป็นผู้เล่นจากสหราชอาณาจักรที่ชนะในการแข่งขันประเภทเดี่ยวมากที่สุดในยุคโอเพน แซงหน้าสถิติเดิมของ ทิม เฮนแมน[66] แต่เขาแพ้จอกอวิชไปอีกครั้งสองเซตรวด[67] ต่อมา เขาเข้าชิงมาสเตอร์ที่ไมแอมี ซึ่งถือเป็นการชนะนัดที่ 500 ในอาชีพ ทำสถิติเป็นผู้เล่นสหราชอาณาจักรคนแรกในประวัติศาสตร์ยุคโอเพนที่ชนะครบ 500 นัด[68] แต่ก็แพ้จอกอวิช 1–2 เซต[69] เขาคว้าแชมป์ในรายการคอร์ตดินที่มิวนิค (บีเอ็มดับเบิลยู โอเพน) ซึ่งเป็นครั้งแรกในอาชีพที่คว้าแชมป์การแข่งขันคอร์ตดิน[70] และคว้าแชมป์มาสเตอร์ 1000 คอร์ตดินที่มาดริดได้โดยเอาชนะผู้เล่นราชาคอร์ตดินอย่างนาดัล ถือเป็นแชมป์รายการมาสเตอร์ 1000 จากคอร์ตดินรายการแรกของเขา และเป็นการชนะนาดัลบนคอร์ตดินเป็นครั้งแรก[71] เขาชนะบนคอร์ตดินติดต่อกัน 15 นัดในทุกรายการ ก่อนที่สถิติจะหยุดลงเมื่อเขาแพ้จอกอวิชในรอบรองชนะเลิศเฟรนช์โอเพนในการแข่งขัน 5 เซต[72]
มาร์รีคว้าแชมป์การแข่งขันรายการ ควีนส์ ที่กรุงลอนดอนเป็นสมัยที่ 4 เอาชนะ เควิน แอนเดอร์สัน[73] และเข้ารอบรองชนะเลิศก่อนจะแพ้เฟเดอเรอร์สามเซตรวด[74] แต่เขาพาทีมสหราชอาณาจักรเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ เดวิส คัพ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1981 หลังจากเอาชนะฝรั่งเศส 3–1[75] แต่เขาตกรอบแรกที่วอชิงตัน ดี.ซี. อย่างเหนือความคาดหมาย[76] แต่แก้ตัวได้ด้วยการคว้าแชมป์มาสเตอร์ 1000 ที่แคนาดา เอาชนะจอกอวิช 2–1 เซต หยุดสถิติเลวร้ายในการแพ้จอกอวิช 8 นัดติดต่อกันทุกรายการ และเขาแซงเฟเดอเรอร์ขึ้นสู่มือวางอันดับสองของโลก แต่เขาก็แพ้เฟเดอเรอร์ในรอบรองชนะเลิศมาสเตอร์ที่ซินซินแนติ และทำได้เพียงเข้ารอบที่ 4 ในยูเอสโอเพน แพ้เควิน แอนเดอร์สัน 1–3 เซต[77] หยุดสถิติเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ (8 คนสุดท้าย) ในการแข่งขันแกรนด์สแลมจำนวน 18 รายการติดต่อกัน แต่สหราชอาณาจักรผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ เดวิส คัพ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1978 หลังจากเอาชนะออสเตรเลีย 3–2 นัด[78]
มาร์รีตกรอบรองชนะเลิศมาสเตอร์ 1000 ที่เซี่ยงไฮ้โดยแพ้จอกอวิช และได้รองแชมป์มาสเตอร์ที่ปารีส โดยแพ้จอกอวิชในรอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง เขาตกรอบแบ่งกลุ่มเอทีพี ไฟนอล ที่ลอนดอนอีกครั้ง แต่จากการที่เฟเดอเรอร์ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้ ส่งผลให้มาร์รีจบฤดูกาลด้วยการเป็นมือวางอันดับสองเป็นครั้งแรก และยังพาทีมสหราชอาณาจักรคว้าแชมป์ เดวิส คัพ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1936 และเป็นแชมป์สมัยที่ 10 หลังจากเอาชนะเบลเยียม 3–1 นัด[79]
สร้างประวัติศาสตร์ในโอลิมปิก และฤดูกาลที่ดีที่สุดในอาชีพ (2016)
ในปี 2016 ถือเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของมาร์รี เขาเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ถึง 3 รายการ โดยแม้จะแพ้จอกอวิชในรอบชิงชนะเลิศออสเตรเลียนโอเพนและเฟรนช์โอเพน[80] แต่มาร์รีชนะเลิศวิมเบิลดันได้เป็นสมัยที่ 2 และเป็นการชนะเลิศแกรนด์สแลมสมัยที่ 3 ในอาชีพ และในการแข่งขันโอลิมปิก 2016 ณ กรุงรีโอเดจาเนโร มาร์รีได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการคว้าเหรียญทองในประเภทชายเดี่ยวได้เป็นสมัยที่ 2 ซึ่งเขาถือเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ทำสถิตินี้ได้ มาร์รียังได้รับเกียรติให้เป็นผู้ถือธงชาติสหราชอาณาจักรในพิธีเปิดการแข่งขันอีกด้วย[81][82] นอกจากนี้เขายังคว้าแชมป์รายการมาสเตอร์ 1000 ได้ถึงสามรายการ (กรุงโรม, เซี่ยงไฮ้ และปารีส)
เขาปิดท้ายฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ เอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล โดยเอาชนะจอกอวิช ก่อนจะขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลกเป็นครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน และด้วยวัย 29 ปี ส่งผลให้เขาเป็นผู้เล่นที่ขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับ 1 ครั้งแรกที่มีอายุมากที่สุดเป็นอันดับสองต่อจาก จอห์น นิวคอมบ์ ชาวออสเตรเลีย (30 ปี, ค.ศ. 1974) และยังสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นผู้เล่นคนเดียวที่ชนะเลิศรายการแกรนด์สแลม, รายการมาสเตอร์ 1000, คว้าเหรียญทองโอลิมปิก และจบฤดูกาลด้วยการเป็นมือวางอันดับ 1 ได้ภายในปีเดียวกัน
บาดเจ็บ และช่วงขาลงในอาชีพ (2017–ปัจจุบัน)
นับตั้งแต่ฤดูกาล 2017 มาร์รีคว้าแชมป์แกรนด์สแลมเพิ่มไม่ได้เลย และเสียตำแหน่งอันดับ 1 ให้แก่นาดัลในช่วงกลางปี 2017 โดยเขาเริ่มมีอาการบาดเจ็บสะโพกซึ่งเรื้อรังมานาน และอาการกำเริบขึ้นจนส่งผลต่อการเล่นในวิมเบิลดัน โดยมาร์รีแพ้ให้กับ แซม แควร์รี่ย์ ในรอบ 8 คนสุดท้ายในการแข่งขัน 5 เซต โดยเขามีอาการบาดเจ็บตั้งแต่เซตที่ 3 เขาพลาดลงแข่งขันในรายการที่เหลือ ได้แก่ มาสเตอร์ 1000 สามรายการที่มอนทรีออล, ซินซินแนติ และปารีส รวมทั้งยูเอสโอเพน และเอทีพี เวิลด์ ทัวร์ ไฟนอล
มาร์รีเข้ารับการผ่าตัดสะโพกสองครั้งในปี 2018[83] และ 2019[84] และยังไม่สามารถเรียกฟอร์มการเล่นที่ดีกลับมาได้อีกเลย[85] เขาเคยประกาศเลิกเล่นหลังจบรายการออสเตรเลียนโอเพนใน 2019 แต่ได้ตัดสินใจลงทำการแข่งขันต่อจนถึงปัจจุบัน แต่ก็ยังกลับมาคว้าแชมป์รายการใดเพิ่มไม่ได้
ในเดือนมกราคมปี 2021 เขาถูกตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา ทำให้พลาดลงแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนและได้พักไปอีกหลายเดือนก่อนจะกลับมาอีกครั้งในรายการคอรต์หญ้า "ควีนส์" (Queen’s Club Championships) ณ กรุงลอนดอน[86] แต่ตกรอบที่ 2 โดยแพ้ มัตเตโอ แบร์เรตตีนี เขากลับมาลงแข่งขันแกรนด์สแลมในรอบหนึ่งปีที่วิมเบิลดันในฐานะผู้เล่นที่ได้รับสิทธิ Wild Card (ผู้เล่นที่ไม่ได้รับการจัดอันดับแต่ได้สิทธิลงแข่งขันเป็นกรณีพิเศษ) โดยผ่านเข้าถึงรอบที่สามและแพ้ เดนิส เชโปวาลอฟ[87]
มาร์รีลงแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 ทั้งในประเภทชายเดี่ยวและชายคู่ ก่อนจะถอนตัวในประเภทชายเดี่ยวเนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ยังคงเล่นในประเภทคู่โดยจับคู่กับ โจ ซาลิสบิวรี เข้าถึงรอบ 8 คู่สุดท้าย และแพ้ คู่มาริน ซิลิช และ อีวาน ดอดิก จากโครเอเชีย[88] ต่อมา มาร์รีลงแข่งขันยูเอสโอเพนแต่ตกรอบแรกโดยแพ้ สเตฟานอส ซิตซิปาส ในการแข่งขัน 5 เซต[89] ตามด้วยการตกรอบที่สามใน โอเพน เดอ แรนส์ ที่ฝรั่งเศส แพ้ โรมัน ซาฟิลิน[90] และเขายังคงลงแข่งที่ฝรั่งเศส รายการต่อมาคือ โมเซลล์ โอเพน แต่ก็แพ้ ฮูแบร์ต ฮูร์กัตช์[91] ต่อมา เขาลงแข่งขันที่แซนดีเอโกโอเพนที่สหรัฐ แต่ก็แพ้ คาสเปอร์ รุด ตามด้วยรายการมาสเตอร์ที่อินเดียนเวลส์ สหรัฐกลางเดือนตุลาคม แต่ไปแพ้ อเล็คซันเดอร์ ซเฟเร็ฟ ในรอบที่ 3 ก่อนจะตกรอบในอีกสี่รายการถัดมาในยูโรเปียนโอเพนที่เบลเยียม, เวียนนาโอเพนที่ออสเตรีย[92], รายการมาสเตอร์ที่ปารีส และสต็อกโฮล์มโอเพนที่สวีเดน[93] เขาปิดท้ายฤดูกาล 2021 ด้วยการคว้ารองแชมป์ที่อาบูดาบี แม้จะเอาชนะ ราฟาเอล นาดัล ได้ในรอบรองชนะเลิศ[94] ทว่าเขาแพ้ อันเดรย์ รูเบลฟ ในรอบชิงชนะเลิศ 2 เซตรวด[95]
เข้าสู่ฤดูกาล 2022 มาร์รีเริ่มต้นด้วยการลงแข่งขันระดับ เอทีพี 250 ที่เมลเบิร์น แต่ตกรอบแรกโดยแพ้ ฟาคันโด บักนิส[96] ตามด้วยการคว้ารองแชมป์รายการ เอทีพี 250 ที่ซิดนีย์ แพ้ อัสลัน คารัตเซฟ ในรอบชิงชนะเลิศ[97] ต่อมา เขาลงแข่งขันออสเตรเลียนโอเพนโดยได้สิทธิ์ Wild Card โดยผ่านเข้ารอบที่สองและแพ้ ทาโร แดเนียล สามเซตรวด[98] ต่อมา เขาตกรอบที่สองในรายการที่ รอตเทอร์ดาม โดยแพ้ เฟลิกซ์ โอเฌร์ อาลียาซีม[99] เขาตกรอบที่สองในการแข่งขันที่โดฮา โดยแพ้ โรแบร์โต เบาติสตา อากุต ขาดลอย 0–6, 1–6 โดยถือเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีที่เขาแพ้คู่แข่งด้วยคะแนนเกม 0 ในเซต นับตั้งแต่แพ้จอกอวิชในรอบชิงชนะเลิศรายการมาสเตอร์ 1000 ที่ไมแอมีในปี 2015[100] ตามด้วยการตกรอบอีกสองรายการในการแข่งขัน เอทีพี 500 ที่ดูไบ และรายการมาสเตอร์ 1000 ที่อินเดียนเวลส์[101][102]
มาร์รีลงแข่งขันคอร์ตดินในรายการมาสเตอร์ที่มาดริด โดยผ่านเข้าถึงรอบที่สามซึ่งเขามีกำหนดพบกับจอกอวิช แต่เขาถอนตัวเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บ[103] และเขาถอนตัวจากมาสเตอร์ที่กรุงโรม และแกรนด์สแลมแฟรนช์โอเพน และกลับมาลงแข่งขันในฤดูกาลคอร์ตหญ้าที่ชตุทการ์ท โดยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนจะแพ้ มัตเตโอ แบร์เรตตีนี 1–2 เซต แต่เขาได้่ขึ้นสู่อันดับ 47 ของโลกในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 2022 ซึ่งเป็นการกลับสู่ 50 อันดับแรกของโลกเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2018 แต่อาการบาดเจ็บทำให้เขาต้องถอนตัวจากการแข่งขันที่ควีนส์ ณ กรุงลอนดอน ก่อนจะกลับมาลงแข่งวิมเบิลดันและแพ้มือวางอันดับ 20 อย่างจอห์น อิสเนอร์ ในรอบสอง ตามด้วยการตกรอบที่นิวพอร์ต (รัฐโรดไอแลนด์)[104] เขาลงแข่งขันช่วงสุดท้ายของฤดูกาลที่สหรัฐและแคนาดา เริ่มต้นจากการตกรอบแรก ซิตี โอเพน กรุงวอชิงตัน และแพ้เทย์เลอร์ ฟลิตซ์ในรอบแรกรายการมาสเตอร์ที่แคนาดา[105] และตกรอบที่สองในมาสเตอร์ที่ซินซินแนติ โดยแพ้ คาเมอรอน นอร์รี[106] ปิดท้ายฤดูกาลด้วยการเข้าถึงรอบสามในแกรนด์สแลมยูเอสโอเพนโดยแพ้แบร์เรตตีนี
รูปแบบการเล่น
มาร์รีเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีรูปแบบการเล่นที่เน้นตั้งรับได้ดีที่สุดคนหนึ่ง เขามักจะไม่ผลีผลามบุกแต่จะตั้งรับและเน้นการตีโต้อย่างอดทนบริเวณหลังเส้นเบสไลน์เพื่อกดดันให้คู่ต่อสู้ตีพลาดเอง ในขณะเดียวกันก็มักจะฉวยโอกาสขึ้นบุกทำคะแนน เขาเน้นการตีด้วยความแน่นอนและไม่ชอบเล่นลูกที่เสี่ยงต่อการเสียแต้ม[107] มาร์รีเป็นผู้เล่นที่เล่นได้ดีบนทุกพื้นคอร์ต เขามีลูกกราวน์สโตรกที่หนักหน่วงและแม่นยำ[108] มีจุดเด่นคือแบ็กแฮนด์วินเนอร์ที่เฉียบคม และมักจะใช้ลูกแบ็กแฮนด์สไลด์ตีลูกให้เรียบต่ำลึกถึงเส้นเบสไลน์ซึ่งบีบให้คู่แข่งจำเป็นต้องตีงัดกลับขึ้นมาและมักจะไม่พ้นเน็ท ซึ่งจากการที่เขามีสไตล์การเล่นที่เน้นรับและใช้พละกำลังมากจนเกินไปนี้เอง ทำให้ร่างกายช่วงล่างของเขาได้รับผลกระทบ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาบาดเจ็บและเข้ารับการผ่าตัดสะโพกสองครั้ง ลูกเสิร์ฟของเขาถือเป็นจุดอ่อนมาหลายปี โดยเฉพาะเมื่อเขาเสริ์ฟแรกไม่ได้แต้ม และจำเป็นต้องเสริ์ฟลูกที่สอง[109] โดยเปอร์เซนต์การได้แต้มจากเสริ์ฟสองค่อนข้างต่ำหากเทียบกับผู้เล่นระดับโลกคนอื่น ๆ[110]
สถิติโลก
"เซอร์ แอนดี มาร์รี" ครองสถิติโลกในวงการเทนนิส 10 รายการได้แก่:[111]
- เป็นหนึ่งในสองผู้เล่นชายที่ชนะเลิศรายการแกรนด์สแลม, รายการมาสเตอร์, คว้าเหรียญทองโอลิมปิก และจบฤดูกาลด้วยการเป็นมือวางอันดับ 1 ของโลกได้ภายในปีเดียวกัน (2016) ร่วมกับ ราฟาเอล นาดัล (2008)
- เป็นผู้เล่นชายคนเดียวที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกในการแข่งขันชายเดี่ยว 2 สมัย (2012 และ 2016)
- เป็นผู้เล่นคนเดียวที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกในการแข่งขันชายเดี่ยว 2 สมัยติดต่อกัน (2012 และ 2016)
- เป็นผู้เล่นชายคนเดียวที่ชนะเลิศแกรนด์สแลมยูเอสโอเพน และคว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้ในปีเดียวกัน (2012)
- เป็นผู้เล่นชายคนเดียวที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้ 2 สมัย และชนะเลิศแกรนด์สแลมวิมเบิลดัน
- เป็นผู้เล่นคนที่ 3 ต่อจาก อานเดร แอกัสซี และ ราฟาเอล นาดัล ที่สามารถคว้าเหรียญทองโอลิมปิกและชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ในรายการพื้นคอร์ตสองประเภท (คอร์ตหญ้าในวิมเบิลดัน และฮาร์ดคอร์ตหรือพื้นคอนกรีตในยูเอสโอเพน)
- เป็นผู้เล่นจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบกว่า 77 ปีที่ชนะเลิศแกรนด์สแลมวิมเบิลดัน (2013)
- เป็นผู้เล่นที่คว้าตำแหน่งรองชนะเลิศแกรนด์ออสเตรเลียนโอเพนมากที่สุดในยุคโอเพน (5 สมัย)
- เป็นผู้เล่นจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่ครองตำแหน่งอันดับ 1 ของโลกในยุคโอเพน
- เป็นผู้เล่นที่ขึ้นสู่ตำแหน่งอันดับ 1 ของโลกครั้งแรกที่มีอายุมากที่สุดอันดับสอง ในประวัติศาสตร์ต่อจาก จอห์น นิวคอมบ์ ชาวออสเตรเลียในปี 1974
อุปกรณ์แข่งขัน
ในปี 2009 มาร์รีได้เซ็นสัญญาร่วมกับอาดิดาสแบรนด์กีฬาระดับโลกเป็นระยะเวลา 5 ปี ด้วยสัญญามูลค่า 30 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงชุดแข่งขันและรองเท้าเทนนิส ต่อมาเขาได้เซ็นสัญญากับ อันเดอร์อาร์เมอร์[112] แบรนด์สัญชาติอเมริกันในเดือนธันวาคมปี 2014 ด้วยสัญญามูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเซ็นสัญากับ Castore แบรนด์ดังจากสหราชอาณาจักรจนกระทั่งถึงช่วงที่เขาประกาศเลิกเล่น (ณ ขณะนั้น) ในรายการออสเตรเลียนโอเพนปี 2019[113] มาร์รีใช้ไม้เทนนิสของ "Head" แบรนด์ของประเทศออสเตรเลีย และมักปรากฏภาพเขาในโฆษณาของแบรนด์
ทรัพย์สิน
มาร์รีทำเงินรางวัลรวมจากการแข่งขันไปทั้งสิ้น 62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากที่สุดเป็นอันดับที่ 4 ในประเภทชายเดี่ยว โดยเป็นรองเพียงผู้เล่นในกลุ่ม Big 4 ด้วยกันเท่านั้น (นอวาก จอกอวิช, โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และ ราฟาเอล นาดัล เป็นสามผู้เล่นที่ทำเงินรางวัลรวมสูงที่สุด) โดยหากนับรวมกับค่าตอบแทนจากสปอนเซอร์และการโฆษณาสินค้าต่างๆแล้ว มาร์รีมีทรัพย์สินรวม 100 ล้านดอลลาร์[114]
การกุศล
ในการแข่งขันแกรนด์สแลมวิมเบิลดันปี 2016 มาร์รีนำชุดแข่งที่สวมใส่ในการแข่งขันเซ็นชื่อออกประมูลหารายได้ช่วยองค์กรการกุศล แชริตีสตาร์ส (CharityStars) โดยหน่วยงานดังกล่าวซึ่งมาร์รีสนับสนุนมาตั้งแต่ปี 2009 มุ่งเน้นขจัดและรักษาโรคร้ายซึ่งคร่าชีวิตผู้คน 43,800 รายต่อปี โดยผู้เคราะห์ร้ายมักเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ และสตรีมีครรภ์ในทวีปแอฟริกา[115]
ต่อมาในปี 2020 มาร์รีได้ลงแข่งขันเทนนิสรายการ Schroders Battle of the Brits ที่จัดโดยเจมี่ มาร์รี พี่ชายของเขา เพื่อระดมทุนไปมอบให้กับหน่วยงานสาธารณสุขแห่งชาติของอังกฤษ (NHS) โดยการแข่งขันรายการนี้จัดขึ้นที่ศูนย์กีฬาเทนนิสแห่งชาติ ที่กรุงลอนดอน ระหว่างวันที่ 23–28 มิถุนายนและยังมีนักเทนนิสชาวอังกฤษอย่าง ไคล์ เอ็ดมุนด์ และแดน อีแวนส์ เข้าร่วมการแข่งขันและมีการตั้งเป้าว่าจะรวบรวมเงินบริจาคให้ได้ราว 100,000 ปอนด์ (ประมาณ 4 ล้านบาท) เพื่อสมทบทุนให้กับเอ็นเอชเอส
เกียรติประวัติ
- รางวัลบีบีซี สปอร์ตส์ เพอร์ซันนอลลิตี้ ออฟ เดอะ เยียร์ สาขานักกีฬาดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี (BBC Young Sports Personality of the Year) ปี 2004
- รางวัล BBC Sports Team of the Year Award ปี 2012 และ 2015
- รางวัลผู้เล่นที่ชนะเลิศการแข่งขันของเอทีพี ทัวร์ มากที่สุดต่อหนึ่งฤดูกาลในปี 2009 (6 รายการ) และ 2016 (9 รายการ)
- รางวัล Best ATP World Tour Match of the Year ปี 2010, 2011 และ 2012
- รางวัล BBC Sports Personality of the Year ปี 2013, 2015 และ 2016
- รางวัลบุคคลที่มีชื่อเสียง และมีผลงานอันโดดเด่นอย่างเป็นที่ประจักษ์ของประเทศสกอตแลนด์ (The Glenfiddich Spirit of Scotland Awards) ปี 2013
- เครื่องราชอิสริยาภรณ์ของจักรวรรดิบริติชชั้นพลเรือนรวมทั้งได้รับพระราชทานยศ "Sir" หรือยศอัศวินในปี 2017
สถิติอาชีพ
แกรนด์สแลม
เข้าชิงชนะเลิศ 11 รายการ (ชนะเลิศ 3, รองชนะเลิศ 8)
ผลลัพธ์ | ปี | รายการ | พื้นสนาม | คู่แข่ง | ผลการแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|
รองชนะเลิศ | 2008 | ยูเอสโอเพน | คอนกรีต | โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ | 2–6, 5–7, 2–6 |
รองชนะเลิศ | 2010 | ออสเตรเลียนโอเพน | คอนกรีต | โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ | 3–6, 4–6, 6–7(11–13) |
รองชนะเลิศ | 2011 | ออสเตรเลียนโอเพน | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 4–6, 2–6, 3–6 |
รองชนะเลิศ | 2012 | วิมเบิลดัน | หญ้า | โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ | 6–4, 5–7, 3–6, 4–6 |
ชนะเลิศ | 2012 | ยูเอสโอเพน(1) | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 7–6(12–10), 7–5, 2–6, 3–6, 6–2 |
รองชนะเลิศ | 2013 | ออสเตรเลียนโอเพน | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 7–6(7–2), 6–7(3–7), 3–6, 2–6 |
ชนะเลิศ | 2013 | วิมเบิลดัน(1) | หญ้า | นอวาก จอกอวิช | 6–4, 7–5, 6–4 |
รองชนะเลิศ | 2015 | ออสเตรเลียนโอเพน | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 6–7(5–7), 7–6(7–4), 3–6, 0–6 |
รองชนะเลิศ | 2016 | ออสเตรเลียนโอเพน | คอนกรีต | นอวาก จอกอวิช | 1–6, 5–7, 6–7(3–7) |
รองชนะเลิศ | 2016 | เฟรนช์โอเพน | ดิน | นอวาก จอกอวิช | 6–3, 1–6, 2–6, 4–6 |
ชนะเลิศ | 2016 | วิมเบิลดัน (2) | หญ้า | มิรอส ราวนิค | 6–4, 7–6(7–3), 7–6(7–2) |
เอทีพี มาสเตอร์ 1000
รอบชิงชนะเลิศ 21 รายการ (ชนะเลิศ 14 , รองชนะเลิศ 7)
เอทีพี ไฟนอล
ประเภทชายเดี่ยว: ชิงชนะเลิศ 1 ครั้ง (แชมป์ 1 สมัย)
ผลลัพธ์ | ปี | รายการ | พื้นสนาม | คู่แข่ง | ผลการแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|
ชนะเลิศ | 2016 | เอทีพี ไฟนอล, ลอนดอน | คอนกรีต (ในร่ม) | นอวาก จอกอวิช | 6–3, 6–4 |
กีฬาโอลิมปิก
ประเภทชายเดี่ยว: ชิงชนะเลิศ 2 ครั้ง (คว้าเหรียญทอง 2 สมัย)
ผลลัพธ์ | ปี | รายการ | พื้นสนาม | คู่แข่ง | ผลการแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|
เหรียญทอง | 2012 | โอลิมปิกฤดูร้อน 2012 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร | หญ้า | โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ | ชนะ 6–2, 6–1, 6–4 |
เหรียญทอง | 2016 | โอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ณ กรุงรีโอเดจาเนโร บราซิล | คอนกรีต | ฆวน มาร์ติน เดล ปอร์โต | ชนะ 7–5, 4–6, 6–2, 7–5 |
ประเภทคู่ผสม: ชิงชนะเลิศ 1 ครั้ง (คว้าเหรียญเงิน 1 สมัย)
ผลลัพธ์ | ปี | รายการ | พื้นสนาม | ผู้เล่นที่จับคู่ด้วย | คู่แข่งรอบชิงเหรียญ | ผลการแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|---|
เหรียญเงิน | 2012 | โอลิมปิกฤดูร้อน ปี 2012 ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร | หญ้า | ลอร่า ร็อบสัน | วิคตอเรีย อซาเรนกา แม็กซ์ เมิร์นยี่ | 6–2, 3–6, [8–10] |
การแข่งขันประเภททีม (ทีมสหราชอาณาจักร)
เดวิส คัพ: เข้าชิงชนะเลิศ 1 สมัย (แชมป์ 1 สมัย)
ฮอพแมน คัพ: เข้าชิงชนะเลิศ 1 สมัย (รองชนะเลิศ 1 สมัย)
ผลลัพธ์ | ปี | รายการ | พื้นสนาม | สมาชิกทีม | คู่แข่งในรอบชิงชนะเลิศ | ผลการแข่งขัน | |
---|---|---|---|---|---|---|---|
รองชนะเลิศ | 2010 | ฮอพแมน คัพ, ออสเตรเลีย | คอนกรีต (ในร่ม) | ลอร่า ร็อบสัน | มาเรีย โฮเซ่ มาร์ติเนซ ซานเชซ ทอมมี โรเบรโด | 1–2 | [116] |
เงินรางวัล
ปี | รายการ แกรนด์สแลม | รายการ ATP | รวม | เงินรางวัล ($) | อันดับของ เงินรางวัล |
---|---|---|---|---|---|
2003 | 0 | 0 | 0 | $5,314 | 599 |
2004 | 0 | 0 | 0 | $10,275 | 731 |
2005 | 0 | 0 | 0 | $219,490 | 105 |
2006 | 0 | 1 | 1 | $677,802 | 26 |
2007 | 0 | 2 | 2 | $880,905 | 21 |
2008 | 0 | 5 | 5 | $3,705,650 | 4 |
2009 | 0 | 6 | 6 | $4,421,058 | 5 |
2010 | 0 | 2 | 2 | $4,046,805 | 4 |
2011 | 0 | 5 | 5 | $5,180,092 | 4 |
2012 | 1 | 2 | 3 | $5,708,232 | 3 |
2013 | 1 | 3 | 4 | $5,416,221 | 3 |
2014 | 0 | 3 | 3 | $3,918,244 | 8 |
2015 | 0 | 4 | 4 | $8,175,231 | 2 |
2016 | 1 | 8 | 9 | $16,349,701 | 1 |
2017 | 0 | 1 | 1 | $2,092,625 | 15 |
2018 | 0 | 0 | 0 | $212,866 | 166 |
2019 | 0 | 1 | 1 | $497,751 | 118 |
2020 | 0 | 0 | 0 | $249,361 | 139 |
2021* | 0 | 0 | 0 | $520,937 | 97 |
2022 | 0 | 0 | 0 | $5,200 | n/a |
Career* | 3 | 43 | 46 | $62,319,506 | 4 |
- * ข้อมูลเมื่อ 17 มกราคม ค.ศ. 2022[update].