การรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ
การรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ[2] (อังกฤษ: United Nations peacekeeping หรือ Peacekeeping by the United Nations) เป็นบทบาทของทบวงปฏิบัติการสันติภาพแห่งสหประชาชาติในฐานะ "เครื่องมือที่องค์การพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นหนทางช่วยเหลือประเทศที่แตกแยกจากความขัดแย้ง เพื่อสร้างเงื่อนไขให้เกิดสันติภาพอย่างยั่งยืน"[3] ซึ่งแตกต่างจากการสร้างสันติภาพ (Peacebuilding)[4] การทำให้เกิดสันติภาพ (Peacemaking)[5] และการบังคับใช้สันติภาพ (Peace enforcement)[5] ที่แม้ว่าองค์การสหประชาชาติจะรับรู้ว่ากิจกรรมทั้งหมดนี้เป็นการ "ส่งเสริมซึ่งกันและกัน" และการทับซ้อนกันของกิจกรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นบ่อยในทางปฏิบัติ[6]
การรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ | |
---|---|
ก่อตั้ง | พ.ศ. 2488 |
เว็บไซต์ | peacekeeping |
ผู้บังคับบัญชา | |
รองเลขาธิการฝ่ายปฏิบัติการสันติภาพ | Jean-Pierre Lacroix |
กำลังพล | |
ยอดประจำการ | 81,820 นาย[1] |
รายจ่าย | |
งบประมาณ | 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ |
บทความที่เกี่ยวข้อง | |
ประวัติ | คณะผู้แทนรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ |
เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ (Peacekeeping) จะคอยติดตามและสังเกตกระบวนการสันติภาพในพื้นที่หลังจากเกิดความขัดแย้ง และช่วยเหลืออดีตผู้ที่เคยเป็นคู่ขัดแย้งกันในการดำเนินการตามข้อตกลงสันติภาพที่พวกเขาอาจจะเป็นผู้ลงนาม ซึ่งความช่วยเหลือดังกล่าวอาจมาในหลายรูปแบบ เช่น การแยกอดีตคู่ขัดแย้ง (กองกำลังหรือนักรบ) ออกจากกัน, มาตรฐานสร้างความเชื่อมั่น ข้อตกลงการแบ่งสรรปันอำนาจหรือใช้อำนาจร่วม ความช่วยเหลือด้านการเลือกตั้ง การเสริมสร้างหลักนิติธรรม และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้น เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (เป็นที่รู้จักกันในชื่อของ หมวกเบเร่ต์สีฟ้า หรือ หมวกสีฟ้า เนื่องจากพวกเขาสวมใส่หมวกสีฟ้าทั้งในรูปแบบของหมวกเบเร่ต์และหมวกเหล็กกันกระสุน)[7] มักจะรวมไปถึงทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่พลเรือน
กฎบัตรสหประชาชาติ หมวดที่ 7 ได้ให้อำนาจและความรับผิดชอบแก่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในการดำเนินการร่วมกันเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ[8] โดยปฏิบัติการส่วนใหญ่ได้รับการจัดตั้งโดยสหประชาชาติเอง โดยมีกองทหารปฏิบัติการตามการควบคุมสั่งการของสหประชาชาติ ซึ่งในกรณีเหล่านี้ เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพที่มาปฏิบัติการจะยังคงเป็นสมาชิกของกองกำลังเดิมในสังกัดของตนอยู่ ไม่ได้มีการประกอบกำลังเป็นเป็น "กองทัพสหประชาชาติ" ที่ตั้งแยกออกมาเป็นอิสระ เนื่องจากสหประชาชาติไม่มีกองกำลังดังกล่าวอยู่ ในกรณีที่การแทรกแซงของสหประชาติไม่ได้รับการพิจารณาว่าเหมาะสมหรือเป็นไปได้ สภาจะอนุญาตให้องค์การระดับภูมิภาค เช่น เนโท[8], ประชาคมเศรษฐกิจแห่งรัฐแอฟริกาตะวันตก หรือประเทศแนวร่วมที่เต็มใจเข้าไปปฏิบัติการรักษาสันติภาพหรือบังคับใช้สันติภาพ
Jean-Pierre Lacroix คือหัวหน้าของฝ่ายปฏิบัติการรักษาสันติภาพในตำแหน่ง รองเลขาธิการฝ่ายปฏิบัติการสันติภาพ โดยรับช่วงต่อจาก Hervé Ladsous เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560 ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา หัวหน้าฝ่ายทั้งหมดเป็นชาวฝรั่งเศส โดยเอกสารหลักระดับสูงสุดของทบวงปฏิบัติการสันติภาพแห่งสหประชาชาติมีชื่อว่า "United Nations Peacekeeping Operations: Principles and Guidelines" (ปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ: หลักการและแนวปฏิบัติ) ซึ่งได้รับการเผยแพร่เมื่อปื พ.ศ. 2551[9]
รูปแบบ
เมื่อเกิดการเจรจาสันติภาพกันแล้ว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอาจจะขอให้องค์การสหประชาชาติส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้ามาควบคุมดูแลองค์ประกอบต่าง ๆ ตามแผนที่ได้ตกลงกันไว้ โดยสิ่งนี้มักจะเกิดขึ้นเนื่องจากกลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงในสหประชาชาติมักจะเลือกไม่สนับสนุนผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อันเนื่องจากกลุ่มผู้มีสิทธิออกเสียงนั้นมาจากหลายกลุ่ม ได้แก่ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่มีสมาชิกอยู่ 15 คน และสำนักเลขาธิการสหประชาชาติที่ออกแบบมาให้มีความหลากหลายโดยเจตนา
หากคณะมนตรีความมั่นคงอนุมัติภารกิจ ทบวงปฏิบัติการสันติภาพแห่งสหประชาชาติจะเริ่มวางแผนสำหรับองค์ประกอบที่จำเป็นต่อคณะผู้แทน โดยเมื่อได้เลือกผู้บังคับบัญชาอาวุโสแล้ว[10] ทบวงจะขอเงินสนับสนุนจากชาติสมาชิก เนื่องจากองค์การสหประชาชาติไม่มีกองกำลังหรือเสบียงของตนเองที่เพียงพอ ทำให้สหประชาชาติต้องจัดกำลังในรูปแบบของกองกำลังเฉพาะกิจทุกครั้งที่จัดตั้งคณะผู้แทน ซึ่งส่งผลให้เกิดความล้มเหลวในการจัดกองกำลังที่เหมาะสมและเกิดความล้าช้าในการจัดซื้อจัดจ้างเมื่อกองกำลังลงไปปฏิบัติการในพื้นที่ความขัดแย้ง
Roméo Dallaire ผู้บัญชาการกองกำลังในรวันดาระหว่างที่เกิดเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นของกองกำลังรักษาสันติภาพเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้กองกำลังทหารแบบปกติคือ:
เขาบอกผมว่าระบบของสหประชาชาติเป็นรูปแบบของการ "ดึง" ไม่ระบบของการ "ผลักดัน" เหมือนกับที่ผมเคยทำกับเนโท เพราะสหประชาชาติไม่มีแหล่งทรัพยากรที่จะนำมาใช้งานอย่างมั่นคงและแน่นอน คุณจะต้องร้องขอทุกสิ่งที่คุณต้องการ จักนั้นคุณต้องรอในขณะที่พวกเขาพิจารณาคำของนั้น... ตัวอย่างเช่น ทหารทุกที่ต้องกินและดื่ม ในระบบแบบผลักดัน อาหารและน้ำดื่มตามจำนวนของทหารจะถูกจัดส่งกำลังบำรุงให้โดยอัตโนมัติ ขณะที่ระบบแบบดึง คุณต้องขอปันส่วนสิ่งเหล่านั้น มันดูขัดกับสามัญสำนึกมากเลย
— (Shake Hands With the Devil, Dallaire, pp. 99–100)
แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดกำลังดำเนินการจัดกำลังด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน[11] ในขณะที่กำลังรวบรวมกองกำลังรักษาสันติภาพ เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติก็ดำเนินกิจกรรมทางการทูตหลาย ๆ อย่างไปพร้อมกัน โดยขนาดและยุทโธปกรณ์ของกองกำลังที่จะจัดลงในคณะผู้แทนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลของประเทศที่มีพรมแดนติดกับพื้นที่ที่มีความขัดแย้งอยู่ ส่วนของกฎการปะทะจะต้องได้รับการมีส่วนร่วมและเห็นชอบโดยทั้งฝ่ายที่เกี่ยวข้องและฝ่ายคณะมนตรีความมั่นคง โดยอาจให้อำนาจเฉพาะตามที่กำหนดและอยู่ในขอบเขตของภารกิจ (เช่น เวลาใดที่เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพจะใช้กำลัง อาจจะหากมีอาวุธ และสถานที่ที่กองกำลังอาจจะเข้าไปได้ในประเทศนั้น ๆ ในภารกิจ) ซึ่งบ่อยครั้งเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพจะได้รับคำสั่งให้มีผู้ดูแลของรัฐบาลเจ้าของพื้นที่ติดตามไปด้วยทุกครั้งที่ต้องออกไปปฏิบัติการนอกฐาน ซึ่งความยุ่งยากนี้ทำให้เกิดปัญหาตามมาในการปฏิบัติการในพื้นที่ เมื่อตกลงข้อกำหนดทั้งหมดจนเสร็จสิ้นแล้ว บุคลากรและเจ้าหน้าที่ที่จำเป็นจะถูกเรียกระดมพล และเมื่อได้รับการอนุมัติขั้นสุดท้ายจากคณะมนตรีความมั่นคงแล้ว เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพก็จะถูกส่งไปประจำการยังภูมิภาคที่เกิดปัญหา
การจัดหาเงินทุน
ทรัพยากรทางการเงินของการปฏิบัติการรักษาสันติภาพขอสหประชาชาติเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของประเทศสมาชิกสหประชาชาติ ซึ่งการตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดตั้ง การบำรุงรักษา หรือการขยายปฏิบัติการรักษาสันติภาพจะต้องดำเนินการโดยคณะมนตรีความมั่นคง ตามกฎบัตรสหประชาชาติ ทุกประเทศสมาชิกมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องร่วมจ่ายเงินในการรักษาสันติภาพ โดยค่าใช้จ่ายในการรักษาสันติภาพจะถูกจัดส่วนแบ่งโดยสมัชชาใหญ่ตามการคำนวณที่กำหนดโดยรัฐสมาชิก โดยคิดตามความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกนั้น ๆ[12]
ในปี พ.ศ. 2560 สหประชาชาติตกลงที่จะลดงบประมาณการรักษาสันติภาพลง 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่สหรัฐเสนอให้ลดงบประมาณลงมากกว่า 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐก่อนหน้านี้[13]
ปี | แหล่งเงินทุนแยกตามประเทศ/แหล่งที่มา | คำอธิบาย | จำนวนเงินทั้งหมด |
---|---|---|---|
2558–2559 | 8.3 พันล้านดอลลาร์[14] | ||
2559–2560 | สหรัฐ 28.57% จีน 10.29% | น้อยกว่า 0.5% ของรายจ่ายทางการทหารทั่วโลก (ประมาณ 1,747 พันล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2556) ทรัพยากรดังกล่าวเป็นเงินทุนสนับสนุนคณะผู้แทนรักษาสันติภาพของสหประชาชาติคิดเป็น 14 จาก 16 คณะผู้แทน โดยอีก 2 คณะผู้แทนที่เหลือได้รับเงินทุนผ่านงบประมาณปกติของสหประชาชาติ นอกจากนี้ หลายประเทศยังสมัครใจที่จะจัดเตรียมทรัพยากรเพิ่มเติมในการสนับสนุนการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ เช่น การขนส่ง เสบียงสิ่งของ บุคลากร และเงินบริจาค ซึ่งอยู่นอกเหนือจากเงินทุนการรักษาสันติภาพที่ได้ประเมินไว้[12] | 7.87 พันล้านดอลลาร์[12] |
2560–2561 | ในขณะที่หลายคนชื่นชมปฏิบัติการสหประชาชาติในโกตดิวัวร์ ปฏิบัติการดังกล่าวก็ส่งผลต่อความมีเสถียรภาพของประเทศ โดยคณะผู้แทนดังกล่าวสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2560[15] | 7.3 พันล้านดอลลาร์[13] |
สมัชชาใหญ่อนุมัติค่าใช้จ่ายด้านทรัพยากรสำหรับการปฏิบัติการรักษาสันติภาพเป็นประจำทุกปี โดยการจัดหาเงินทุนครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 30 มิถุนายนของทุกปี[16]
รัสพจน์ | ปฏิบัติการ | 2560–2561 | 2561–2562 |
---|---|---|---|
UNMISS | คณะผู้แทนในซูดานใต้ | $1,071,000,000 | $1,124,960,400 |
MONUSCO | คณะผู้แทนสร้างเสถียรภาพในคองโก | $1,141,848,100 | $1,114,619,500 |
MINUSMA | คณะผู้แทนบูรณาการหลายมิติในมาลี | $1,048,000,000 | $1,074,718,900 |
MINUSCA | คณะผู้แทนบูรณาการหลายมิติในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง | $882,800,000 | $930,211,900 |
UNSOS | สำนักงานสนับสนุนในโซมาเลีย | $582,000,000 | $558,152,300 |
UNIFIL | กองกำลังเฉพาะกาลประจำเลบานอน | $483,000,000 | $474,406,700 |
UNAMID | ปฏิบัติการผสมในดาร์ฟูร์ | $486,000,000 | $385,678,500 |
UNISFA | กองกำลังชั่วคราวรักษาความมั่นคงในอับยี | $266,700,000 | $263,858,100 |
UNMIL | คณะผู้แทนในไลบีเรีย | $110,000,000 | - |
MINUJUSTH | คณะผู้แทนสนับสนุนความยุติธรรมในเฮติ | $90,000,000 | $121,455,900 |
UNDOF | กองกำลังสังเกตการณ์แยกกำลังทหาร | $57,653,700 | $60,295,100 |
UNFICYP | กองกำลังรักษาสันติภาพในไซปรัส | $54,000,000 | $52,938,900 |
MINURSO | คณะผู้แทนว่าด้วยการออกเสียงประชามติในซาฮาราตะวันตก | $52,000,000 | $52,350,800 |
UNMIK | องค์การบริหารชั่วคราวในคอซอวอ | $37,898,200 | $37,192,700 |
รวมทั้งปี | $6,362,900,000 | $6,250,839,700 |
โครงสร้าง
คณะผู้แทนรักษาสันติภาพของสหประชาชาติมีโครงสร้างการบังคับบัญชาหลัก 3 ตำแหน่ง ตำแหน่งแรกคือ ผู้แทนพิเศษเลขาธิการสหประชาชาติ[19] (Special Representative of the Secretary-General) เป็นผู้นำของคณะผู้แทนอย่างเป็นทางการ[19] มีหน้าที่รับผิดชอบกิจกรรมทางการเมืองและการทูตทั้งหมด ดูแลความสัมพันธ์กับทั้งสองฝ่ายในสนธิสัญญาสันติภาพในการสงศึกและรัฐสมาชิกของสหประชาชาติ โดยทั่วไปจะเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักเลขาธิการ ตำแหน่งที่สองคือผู้บัญชาการกองทัพ[20] (Force Commander) ซึ่งรับผิดชอบกองกำลังทหารประจำการ และเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสของกองทัพระดับชาติ และมักมาจากชาติที่ส่งกำลังทหารเข้าร่วมในโครงการมากที่สุด ตำแหน่งสุดท้าย หัวหน้าฝ่ายบริหาร (Chief Administrative Officer) จะดูแลด้านการจัดหาเสบียงสิ่งของ การส่งกำลังบำรุง และการประสานงานในการจัดหาสิ่งของที่จำเป็น[21]
สถิติ
ในปี พ.ศ. 2550 อาสาสมัครรักษาสันติภาพจะต้องมีอายุมากกว่า 25 ปี โดยไม่ได้จำกัดอายุสูงสุด[23] ซึ่งกองกำลังรักษาสันติภาพจะได้รับการสนับสนุนโดยรัฐสมาชิกตามความสมัครใจ ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562 มีผู้ปฏิบัติงาน 100,411 คนที่ปฏิบัติงานในการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (เป็นทหาร 86,145 นาย พลเรือน 12,932 คน และอาสาสมัคร 1,334 คน)[24]
ประเทศในยุโรปบริจาคเงินให้เท่ากับเกือบ 6,000 คนในยอดทั้งหมดนี้ ในขณะที่ปากีสถาน อินเดีย และบังคลาเทศเป็นหนึ่งในประเทศที่มีส่วนร่วมในผู้ปฏิบัติงานมากที่สุด ประเทศละประมาณ 8,000 คน ส่วนประเทศในแอฟริกามีส่วนร่วมในผู้ปฏิบัติงานเกือบครึ่งหนึ่ง คือ 44,000 คน[25]
ประวัติ
การรักษาสันติภาพในช่วงสงครามเย็น
การรักษาสันติภาพของสหประชาชาติถูกพัฒนาขึ้นในช่วงสงครามเย็นเพื่อเป็นวิธีในการแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างรัฐต่าง ๆ โดยการส่งกำลังทางทหารที่ไม่มีอาวุธหรือติดอาวุธเบาจากชาติต่าง ๆ หลากหลายชาติ ซึ่งได้รับคำสั่งจากสหประชาชาติ ไปยังพื้นที่ที่ฝ่ายที่เข้าร่วมสงครามต้องการฝ่ายที่เป็นกลางในการสังเกตการณ์กระบวนการสันติภาพ เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพสามารถปฏิบัติการได้เมื่อชาติมหาอำนาจหลักระหว่างประเทศ (สมาชิกถาวรทั้งห้าของคณะมนตรีความมั่นคง) ได้มอบหมายให้สหประชาติเข้าไปช่วยยุติความขัดแย้งที่คุกคามเสถียรภาพ สันติภาพในภูมิภาคและความมั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านีถูกเรียกว่า "สงครามตัวแทน" ที่จำนวนหนึ่งเกิดขึ้นโดยรัฐบริวารของชาติมหาอำนาจ โดยเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 มีปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติจำนวน 72 ครั้ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 ซึ่งยังมีปฏิบัติการที่ยังดำเนินการอยู่อีก 17 ปฏิบัติการ และมีการยื่นข้อเสนอสำหรับปฏิบัตการของคณะผู้แทนฯ เข้ามาใหม่ในทุก ๆ ปี
ปฏิบัติการของคณะผู้แทนรักษาสันติภาพเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2491 โดยคณะผู้แทนนั้นคือ องค์การดูแลการสงบศึกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Truce Supervision Organization: UNTSO) ถูกส่งไปยังรัฐอิสราเอลที่พึ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งพึ่งประกาศหยุดยิงหลังจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและชาติอาหรับเกี่ยวกับการก่อตั้งรัฐอิสราเอล UNTSO ยังคงปฏิบัติงานมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์จะไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนคลายลงก็ตาม หนึ่งปีต่อมา คณะผู้แทนสังเกตการณ์ทางทหารของสหประชาชาติในอินเดียและปากีสถาน (United Nations Military Observer Group in India and Pakistan: UNMOGIP) ได้รับอนุญาตให้คอยติดตามความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งถูกแยกออกมาหลังจากการปลดปล่อยอาณานิคมของสหราชอาณาจักรในอนุทวีปอินเดีย
ในขณะที่สงครามเกาหลียุติลงตามความตกลงการสงบศึกเกาหลีในปี พ.ศ. 2496[26] กองกำลังของสหประชาชาติยังคงอยู่ตามแนวทางใต้ของเขตปลอดทหารจนถึงปี พ.ศ. 2510 ประเทศส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมได้ถอนกำลังออกมาคงเหลือแค่กำลังของกองทัพสหรัฐ กองทัพเกาหลีใต้ และกองทัพไทย[27]
สหประชาชาติตอบสนองต่อวิกฤตการณ์คลองสุเอซในปี พ.ศ. 2499 ซึ่งเป็นสงครามระหว่างพันธมิตรของสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และอิสราเอล กับประเทศอียิปต์ที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติอาหรับอื่น ๆ โดยมีคู่ขัดแย้งหลักคืออิสราเอลและประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นชาติอาหรับ หลังจากการประกาศหยุดยิงในปี พ.ศ. 2500 เลสเตอร์ โบว์ลส์ เพียร์สัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศแคนาดา[28] (ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา) เสนอให้สหประชาชาติก่อตั้งกองกำลังรักษาสันติภาพในซุเอซเพื่อให้แน่ใจว่าการหยุดยิงจะได้รับการเคารพจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งครั้งแรกเพียร์สันเสนอว่ากองกำลังดังกล่าวให้ประกอบไปด้วยกองกำลังของแคนาดาเป็นส่วนใหญ่ แต่เกิดคำถามจากชาวอียิปต์ว่าจะให้ประเทศจากเครือจักรภพมาปกป้องพวกเขาจากสหราชอาณาจักรและชาติพันธมิตรหรืออย่างไร ในท้ายที่สุด กองกำลังระดับชาติจากหลากหลายประเทศก็ถูกดึงมาประจำการเพื่อรับประกันความหลากหลายของชาติที่มาปฏิบัติหน้าที่
ในปี พ.ศ. 2531 กองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติได้รับมองรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยตามข่าวแจกระบุเอาไว้ว่า กองกำลัง "เป็นตัวแทนของเจตจำนงอันชัดเจนของประชาคมประเทศต่าง ๆ" และได้ "มีส่วนสนับสนุนที่เด็ดขาด" ในการแก้ไปข้อขัดแย้งทั่วโลก
ในปี 1988 กองกำลังรักษาสันติภาพแห่งสหประชาชาติมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ข่าวประชาสัมพันธ์ระบุว่ากองกำลัง "เป็นตัวแทนของเจตจำนงอันชัดแจ้งของประชาคมของประเทศต่างๆ" และได้ "มีส่วนสนับสนุนอย่างเด็ดขาด" ในการแก้ไขข้อขัดแย้งทั่วโลก
ตั้งแต่ พ.ศ. 2534
การสิ้นสุดของสงครามเย็นก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสหประชาชาติและการรักษาสันติภาพในรูปแบบพหุภาคี ด้วยเจตนารมณ์ใหม่ในความร่วมมือ คณะมนตรีความมั่นคงได้จัดตั้งคณะผู้แทนรักษาสันติภาพของสหประชาชาติที่มีขนาดใหญ่และมีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งมักจะมีส่วนร่วมในการดำเนินข้อตกลงสันติภาพที่ให้ความครอบคลุมระหว่างคู่สงครามในความขัดแย้งภายในรัฐและสถานการณ์สงครามกลางเมือง นอกจากนี้ การรักษาสันติภาพยังมีความเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบที่ไม่ใช่ทางทหารมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะช่วยรับประกันกลไกการทำงานของหน้าที่พลเมือง เช่น การเลือกตั้ง ทำให้มีการก่อตั้งทบวงการรักษาสันติภาพขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2535 เพื่อรองรับขนาดของภารกิจที่เพิ่มมากขึ้น
ในภาพรวมแล้ว การปฏิบัติการที่ได้รับการปฏิรูปใหม่ประสบความสำเร็จ เช่น ในเอลซัลวาดอร์และโมซัมบิก ซึ่งการรักษาสันติภาพนำไปสู่การบรรลุสันติภาพด้วยตัวเองได้ของทั้งสองฝ่าย ในขณะที่บางความพยายามในการปฏิบัติการก็ประสบความล้มเหลว อาจเกิดมาจากการประเมินศักยภาพของตัวเองสูงเกินไปไปว่าการปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติจะสามารถทำได้ โดยในขณะที่การปฏิบัติการของคณะผู้แทนในกัมพูชาและโมซัมบิกยังปฏิบัติการอยู่ซึ่งทั้งคู่มีความซับซ้อนสูง คณะมนตรีความมั่นคงก็ยังคงส่งเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพไปยังพื้นที่ขัดแย้งอื่นอีก เช่น โซมาเลีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่มีการหยุดยิงหรือได้รับการยินยอมจากทุกฝ่ายในความขัดแย้ง รวมถึงปฏิบัตการโดยขาดกำลังคนที่เพียงพอและไม่ได้รับการสนับสนุนในทางการเมืองที่จำเป็นมากเพียงพอในการปฏิบัติการตามอาณัติ
ความล้มเหลวครั้งใหญ่ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดาในปี พ.ศ. 2537 และการสังหารหมู่สเรเบรนีตซาและในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาในปี พ.ศ. 2538 ส่งผลให้ต้องมีการลดจำนวนการปฏิบัติการรักษาสันติภาพและพิจารณาตัวเองในบทบาทนี้ของสหประชาชาติ ทำให้องค์การบริหารช่วงเปลี่ยนผ่านในสโลเวเนียตะวันออก บารันยา และซิริเมียมตะวันตก (UNTAES) ซึ่งมีขนาดองค์กรค่อนข้างไม่ใหญ่มากในสโลวาเนียตะวันออก ที่เป็นการปฏิบัติการที่ได้รับการทุ่มเทเป็นพิเศษ และกลายเป็น "พื้นที่พิสูจน์แนวคิด วิธีการ และขั้นตอนปฏิบัติ" ซึ่งภารกิจดังกล่าวได้รับการพิจารณาว่าเป็นคณะผู้แทนสหประชาชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด และตามมาด้วยคณะบริหารในช่วงเปลี่ยนผ่านอื่น ๆ ที่มีความยากมากยิ่งขึ้นในคอซอวอ (องค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติในคอซอวอ: UNMIK) และในติมอร์ตะวันออก (องค์การบริหารช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก: UNTAET)
ส่วนหนึ่งส่งผลให้คณะกรรมาธิการเสริมสร้างสันติภาพแห่งสหประชาชาติ ซึ่งดำเนินการเพื่อสร้างสันติภาพที่มั่นคงผ่านกลไกตามหน้าที่พลเมืองแบบเดียวกับที่เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพทำอยู่ เช่น การเลือกตั้ง ปัจจุบันคณะกรรมาธิการทำงานร่วมมือกับหกชาติซึ่งทั้งหมดอยู่ในแอฟริกา[29]
การมีส่วนร่วม
กฎบัตรสหประชาชาติกำหนดว่า เพื่อช่วยในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงทั่วโลก รัฐสมาชิกของสหประชาชาติทั้งหมดควรจัดให้มีกองกำลังและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นที่พร้อมต่อการร้องขอของคณะมนตรีความมั่นคง โดยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 เป็นต้นมา เกือบ 130 ประเทศได้ส่งกำลังทหารและตำรวจพลเรือนเข้าร่วมในปฏิบัติการรักษาสันติภาพ แม้ว่าจะไม่มีบันทึกโดยละเอียดของบุคลากรทุกคนที่เข้ารวมในคณะผู้แทนรักษาสันติภาพตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 แต่คาดว่ามีทหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และพลเรือนมากถึงหนึ่งล้านนายในการทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของสหประชาชาติในตลอดช่วงที่ผ่านมา
ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 มีจำนวน 114 ประเทศที่ส่งผู้สังเกตการณ์ทางทหาร ตำรวจ และกองกำลังเข้ารร่วมกับปฏิบัติการรักษาสันติภาพ
ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 มีประเทศส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมทั้งหมด 74,892 คนในปฏิบัติการรักษาสันติภาพ โดยบังกลาเทศมีจำนวนมากที่สุด (6,700 คน) อินเดีย (5,832 คน) เนปาล (5,794 คน) รวันดา (5,283 คน) และปากีสถาน (4,399 คน)[30] นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจที่เข้าร่วมแล้ว ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 ยังมีเจ้าหน้าที่พลเรือนจากชาติต่าง ๆ กว่า 5,187 คน อาสาสมัครสหประชาชาติ 2,031 คน และเจ้าหน้าที่พลเรือนในพื้นที่ 12,036 คนทำงานในคณะผู้แทนรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ[31]
ข้อมูลจนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2561 มีผู้เสียชีวิต 3,767 รายจากกว่า 100 ประเทศขณะปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพ[32] จำนวนมากที่สุดมาจากอินเดีย (163 คน) ไนจีเรีย (153 คน) ปากีสถาน (150 คน) บังคลาเทศ (146 คน) และกานา (138 คน)[33] โดยสามสิบเปอร์เซ็นของการเสียชีวิตเกิดขึ้นในช่วง 55 ปีแรกของการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2536–2538 ซึ่งประมาณ 4.5% ของทหารและตำรวจพลเรือนที่ประจำการในคณะผู้แทนรักษาสันติภาพของสหประชาชาติมาจากสหภาพยุโรป และน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นมาจากสหรัฐ[34]
อัตราการจ่ายเงินชดเชยโดยสหประชาชาติ สำหรับประเทศที่ส่งทหารเข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพต่อเดือน ได้แก่: 1,028 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับค่าจ้างและเบี้ยเลี้ยง; ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 303 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับผู้เชี่ยวชาญ; 68 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับเสื้อผ้า อุปกรณ์ทางทหาร และอุปกรณ์อื่น ๆ และ 5 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับอาวุธประจำกาย[35]
สหรัฐ
ในสหรัฐ รัฐบาลของของบิล คลินตัน และจอร์จ ดับเบิลยู บุช เริ่มต้นด้วยปรัชญาที่แตกต่างกัน แต่ได้ปฏิบัตินโยบายที่มีความคล้ายคลึงกันในการปรับใช้ในการปฏฺบัติการสันติภาพในการช่วยเหลือนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐ ความกังวลด้านอุดมการในช่วงแรกถูกแทนที่ด้วยการตัดสินใจปฏิบัติการช่วยเหลือปฏิบัติการสันติภาพของสหประชาชาติ โดยรัฐบาลของทั้งสองรัฐบาลไม่เต็มใจที่จะสนับสนุนกองทหารภาคพื้นดินจำนวนมากในการปฏิบัติการภายใต้คำสั่งของสหประชาชาติ แม้ว่ารัฐบาลทั้งสองรัฐบาลจะสนับสนุนการเพิ่มจำนวนและขนาดของคณะผู้แทนสหประชาชาติก็ตาม[36]
รัฐบาลของคลินตันมีอีกความท้าทายในการปฏิบัติการที่สำคัญ แทนที่จะเป็นความรับผิดชอบ แต่กลับเป็นราคาทางยุทธวิธีที่มาจากความสำเร็จเชิงกลยุทธ์ ปฏิบัติการสันติภาพของอเมริกาช่วยเปลี่ยนแปลงพันธมิตรของเนโท ในขณะที่รัฐบาลของ จอร์จ ดับเบิลยู บุช เริ่มต้นจากทัศนคติเชิงอุดมการในเชิงลบต่อปฏิบัติการสันติภาพ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลในยุโรปและละตินอเมริกาเน้นย้ำว่าการปฏิบัติการสันติภาพส่งผลบวกในเชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการใช้กำลังของยุโรปในอัพกานิสถานและเลบานอน[37]
ผลลัพธ์
จากการศึกษาของเพจ ฟอร์ทนา นักวิชาการ มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าการมีเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพช่วยลดความเสี่ยงของการก่อสงครามครั้งใหม่ได้อย่างมาก จำนวนกองกำลังรักษาสันติภาพที่มีจำนวนมากขึ้นส่งผลให้มีการเสียชีวิตในการปะทะของทหารและผลเรือนลดลง[38] นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าการตอบรับที่จะส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปในพื้นที่ความขัดแย้งจะช่วยให้ดึงคู่ขัดแย้งเข้ามาสู่เวทีเจรจาโดยองค์การระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะประกาศตกลงหยุดยิง[39]
อย่างไรก็ตาม มีรายงานหลายฉบับในระหว่างภารกิจของคณะผู้แทนรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยทหารของสหประชาชาติ โดยเฉพาะในสาธารณรัฐอัฟริกากลางในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งค่าใช้จ่ายของภารกิจนี้ก็สูงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน โดยคณะผู้แทนสหประชาชาติในซูดานใต้ (UNMISS) มีค่าใช้จ่าย 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีสำหรับทหารของสหประชาชาติจำนวน 12,500 นายที่ไม่สามารถป้องกันสงครามกลางเมืองของประเทศนี้ได้ ซึ่งบ่อยครั้งที่ภารกิจต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลท้องถิ่นก่อนที่จะส่งกำลังทหารเข้าไป ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการทำงานของคณะผู้แทนสหประชาชาติได้เช่นกัน[40]
นิโคลัส ซัมบานิส ยืนยันว่าการมีอยู่ของคณะผู้แทนรักษาสันติภาพของสหประชาชาติมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อการบรรลุสันติภาพโดยเฉพาะในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม เขาตั้งข้อสังเกตว่าผลกระทบนี้จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้น ยิ่งเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพอยู่ในประเทศนั้นนาาเท่าไหร่ โอกาสที่จะสร้างสันติภาพก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น โดยความสำเร็จที่เป็นที่รับรู้ในการปฏิบัติการของคณะผู้แทนรักษาสันติภาพของสหประชาชาติจำเป็นจะต้องมีส่วนร่วมในทางการเมืองมากขึ้นด้วย ซึ่งซัมบานิสอ้างว่าการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้นก็มีส่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาสันติภาพต่อไปด้วยเช่นกัน[41]
การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งชี้ให้เห็นว่า การเพิ่มงบประมาณในการปฏิบัติการรักษาสันติภาพเป็นสองเท่า อาณัติการปฏิบัติการที่เข้มงวดมากขึ้น และการเพิ่มงบประมาณการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเป็นสองเท่าจะช่วยลดความขัดแย้งทางอาวุธได้มากขึ้นถึงสองในสามเมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ไม่มีการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ[42] จากการวิเคราะห์การปฏิบัติการรักษาสันติภาพ 47 ครั้ง โดย เวอร์จิเนีย เพจ ฟอร์ทนา แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย พบว่าการมีส่วนร่วมของบุคลากรของสหประชาชาติโดยทั่วไปจะส่งผลให้เกิดสันติภาพอย่างยั่งยืน[43] ในขณะที่ฮานเนอ ฟเจลเด, ลิซา ฮัลท์แมน และเดซิรี นิลส์สัน นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอุปซอลา ศึกษาข้อมูลยิ่สิบปีย้อนหลังเกี่ยวกับคณะผู้แทนรักษาสันติภาพ ซึ่งรวมถึงในเลบานอน สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และสาธารณรัฐอัฟริกากลาง และได้ข้อสรุปว่าการปฏิบัติการเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการลดการสูญเสียและบาดเจ็บของพลเรือนมากกว่าการปฏิบัติการต่อต้านการก่อกการร้ายที่ปฏิบัติการโดยรัฐชาติ[44]
จากการศึกษาในปี พ.ศ. 2564 ใน American Political Science Review พบว่าการมีอยู่ของคณะผู้แทนรักษาสันติภาพของสหประชาชาติมีความสัมพันธ์ที่อ่อนแอในหลักนิติธรรมในขณะที่ความขัดแย้งยังคงดำเนินการอยู่ แต่เกิดความสัมพันธ์ที่แข็งแรงในช่วงระยะเวลาสันติภาพ การศึกษายังพบว่า "ความสัมพันธ์นี้แข็งแรงมากขึ้นกับบุคลากรพลเรือนมากกว่าบุคลากรในเครื่องแบบ และจะแข็งแรงที่สุดเมื่อคณะผู้แทนของสหประชาชาติได้มีส่วนร่วมกับรัฐเจ้าภาพในกระบวนการปฏิรูป"[45] ในทำนองเดียวกัน ลิซ ฮาวเวอร์ด ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ได้โต้แย้งว่าการปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติมีประสิทธิผลมากกว่าด้วยวิธีการที่ไม่ใช้การบังคับ แต่ใช้วิธีที่หลีกเลี่ยงความรุนแรง เช่น "การโน้มน้าวด้วยคำพูด การจูงใจทางการเงิน และการบีบบังคับไม่ให้ใช้กำลังทหารที่รุนแรง รวมไปถึงการสอดส่องสอดแนมและการจับกุม" ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้สงครามสงบลงได้[46]
และจากอีกการศึกษาปีเดียวกันใน American Journal of Political Science พบว่าการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในซูดานใต้ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจในท้องถิ่น[47]
จากการศึกษาในปี พ.ศ. 2554 ภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จมากที่สุด หากได้รับความช่วยเหลือและยินยอมจากผู้มีบทบาทภายในประเทศในรัฐเจ้าบ้าน[48]
การรักษาสันติภาพและมรดกทางวัฒนธรรม
ความมุ่งมั่งของสหประชาชาติในการปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดการกวาดล้างครั้งใหญ่ในประเทศมาลี ซึ่งในกรณีนี้ การคุ้มครองทางมรดกและวัฒนธรรมของประเทศจะถูกรวมอยู่ในอาณัติของคณะผู้แทนสหประชาชาติ (มติที่ 2100) ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นอกเหนือจากความก้าวหน้ามากมายที่สำเร็จก่อนหน้านี้ โดยอิตาลีได้ลงนามในข้อตกลงร่วมกับยูเนสโกในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เพื่อสร้างกองกำลังเฉพาะกิจฉุกเฉินด้านวัฒนธรรมแห่งแรกของโลก ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญภาคพลเรือนและกองกำลังตำรวจคาราบิเนียร์ของอิตาลี ซึ่งในอีกด้านหนึ่ง หน่วยงานรักษาสันติภาพของสหประชาชาติก็ได้ดำเนินการฝึกอบรมบุคลากรของตนให้มีความรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรม และในทางกลับกัน ก็ได้มีการติดต่ออย่างเหนียวแน่นสำหรับเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่ง "ฟอรัมหมวกสีฟ้า ในปี พ.ศ. 2562" (Blue Helmet Forum 2019) เป็นหนึ่งในหลายกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้แลกเปลี่ยนกันและกระชับความร่วมมือกัน ซึ่งภารกิจที่โดนเด่นคือการนำไปปรับใช้ในภารกิจของกองกำลังเฉพาะกาลของสหประชาชาติประจำเลบานอน (UNIFIL) ร่วมกันกับบลูชิลด์อินเตอร์เนชั่นแนล (Blue Shield International) เมื่อปี พ.ศ. 2562 เพื่อปกป้องแหล่งมรดกโลกในเลบานอน ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงการคุ้มครองปกป้องทรัพย์สินทางวัฒนธรรม (ซึ่งดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญพลเรือนและทหาร) เป็นพื้นฐานในการพัฒนาอย่างสันติและส่งผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจในอนาคตของเมือง ภูมิภาค หรือประเทศในพื้นที่ขัดแย้ง ซึ่งความจำเป็นในการฝึกและการประสานงานทางการทหารและพลเรือนในด้านนี้ รวมถึงการเปิดให้ประชากรในท้องถิ่นมีส่วนร่วมก็เด่นชัดขึ้นมา หลักจากเหตุระเบิดในเบรุตเมื่อปี พ.ศ. 2563 กองกำลังรักษาสันติภาพสามารถเข้าปฏิบัติการบรรเทาทุกข์ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง ร่วมกันกับบลูชิลด์อินเตอร์เนชั่นแนล และกองทัพเลบานอน[55]
อาชญากรรมโดยเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ
การรักษาสันติภาพ การค้ามนุษย์ และการบังคับค้าประเวณี
ผู้สื่อข่าวพบเห็นอัตราการค้าประเวณีเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในกัมพูชาและโมซัมบิกหลังจากกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติเคลื่อนกำลังเข้ามา ในปี พ.ศ. 2539 สหประชาชาติได้ศึกษา "ผลกระทบของความขัดแย้งทางอาวุธต่อเด็ก" (The Impact of Armed Conflict on Children) ซึ่งอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของโมซัมบิก Graça Machel ได้บันทึกเอาไว้ว่า: "ใน 6 จาก 12 ประเทศที่มีการศึกษาประเด็นการหาผลประโยชน์ทางเพศจากเด็กในสถานการณ์ความขัดแย้งด้วยอาวุธที่ศึกษาเพื่อประกอบในรายงานเล่มนี้ระบุว่า การมาถึงของกองกำลังรักษาสันติภาพมีส่วนเชื่อมโยงกับอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของการค้าประเวณีในเด็ก"[56]
Gita Sahgal ได้กล่าวในปี พ.ศ. 2547 เกี่ยวกับความจริงที่ว่าการค้าประเวณีและการล่วงละเมิดทางเพศนั้น เกิดขึ้นในทุกพื้นที่ที่มีการแทรกแซงด้านมนุษยธรรม โดยเธอตั้งข้อสังเกตว่า: "ปัญหาของสหประชาชาติคือ น่าเสียดายที่ปฏิบัติการักษาสันติภาพที่เกิดขึ้นไม่ได้มีความแตกต่างจากสิ่งที่กองทัพอื่น ๆ ได้ทำ ซึ่งการเป็นผู้พิทักษ์เสียเองนั้นยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้นไปอีก"[57]
การละเมิดสิทธิมนุษยชนในคณะผู้แทนของสหประชาชาติ
ตารางต่อไปนี้แสดงรายการที่ได้รับการยืนยันเกี่ยวกับอาชญากรรมและการล่วงละเมิดทางเพศที่กระทำโดยทหาร เจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ และพนักงานของสหประชาชาติ[68]
ความขัดแย้ง | คณะผู้แทนสหประชาชาติ | การล่วงละเมิดทางเพศ | ฆาตกรรม | การขู่กรรโชก/โจรกรรม |
---|---|---|---|---|
สงครามคองโกครั้งที่สอง | คณะผู้แทนสหประชาชาติในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (MONUSCO) | 150 | 3 | 44 |
สงครามกลางเมืองโซมาเลีย | ปฏิบัติการสหประชาชาติในโซมาเลียชุดที่ 2 (UNOSOM II) | 5 | 24 | 5 |
สงครามกลางเมืองเซียร์ราลีโอน | คณะผู้แทนสหประชาชาติในเซียร์ราลีโอน (UNAMSIL) | 50 | 7 | 15 |
สงครามเอริเทรีย-เอธิโอเปีย | คณะผู้แทนสหประชาชาติในเอธิโอเปียและเอริเทรีย (UNMEE) | 70 | 15 | 0 |
สงครามกลางเมืองบุรุนดี | ปฏิบัติการสหประชาชาติในบุรุนดี (ONUB) | 80 | 5 | 0 |
สงครามกลางเมืองรวันดา | คณะผู้แทนสังเกตการณ์ของสหประชาชาติประจำชายแดนยูกันดา–รวันดา (UNOMUR) | 65 | 15 | 0 |
สงครามกลางเมืองไลบีเรียครั้งที่สอง | คณะผู้แทนสหประชาชาติในไลบีเรีย (UNMIL) | 30 | 4 | 1 |
สงครามกลางเมืองซูดานครั้งที่สอง | คณะผู้แทนสหประชาชาติในซูดาน (UNMIS) | 400 | 5 | 0 |
สงครามกลางเมืองไอวอรีครั้งแรก | ปฏิบัติการสหประชาชาติในโกตดิวัวร์ (UNOCI) | 500 | 2 | 0 |
รัฐประหารในเฮติ พ.ศ. 2547 | คณะผู้แทนสร้างเสถียรภาพของสหประชาชาติในเฮติ (MINUSTAH) | 110 | 57 | 0 |
สงครามคอซอวอ | องค์การบริหารชั่วคราวในคอซอวอของสหประชาชาติ (UNMIK) | 800 | 70 | 100 |
ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล–เลบานอน | กองกำลังเฉพาะกาลแห่งสหประชาชาติประจำเลบานอน (UNIFIL) | 0 | 6 | 0 |
ข้อเสนอในการปฏิรูป
รายงานบราฮิมี
เพื่อตอบสนองต่อการวิพากษ์วิจารณ์ โดยเฉพาะกรณีการล่วงละเมิดทางเพศโดยเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพ สหประชาชาติได้ดำเนินการตามขั้นตอนการปฏิรูปการปฏิบัติงานของตน รายงานบราฮิมี (Brahimi Report) เป็นขั้นตอนแรกจากหลายขั้นตอนในการสรุปภารกิจคณะผู้แทนรักษาสันติภาพในอดีต มีการถอดบทเรียนความผิดพลาดออกมา และดำเนินการแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพในการปฏิบัติการภารกิจรักษาสันติภาพในอนาคต กระบวนการปฏิรูปในมุมของเทคโนโลยีได้รับการดำเนินการต่อ และได้รับการรับช่วงต่อโดยทบวงปฏิบัติการสันติภาพแห่งสหประชาชาติในวาระของการปฏิรูปที่ชื่อว่า "ปฏิบัติการสันติภาพ 2010" (Peace Operations 2010) ซึ่งรวมไปถึงการเพิ่มบุคลากร การประสานงานระหว่างการทำงานของเจ้าหน้าที่ในภาคสนามและสำนักงานใหญ่ การพัฒนาแนวปฏิบัติและขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐาน การปรับปรุงการบริหารจัดการระหว่างทบวงปฏิบัติการสันติภาพแห่งสหประชาชาติ (DPKO) และโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) สหภาพแอฟริกา และสหภาพยุโรป ซึ่งหลักนิยมในระดับบนสุด (Capstone Doctrine) ในปี พ.ศ. 2551 มีชื่อว่า "ปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ: หลักการและแนวปฏิบัติ"[9] ซึ่งได้รวบรวมและสร้างขึ้นจากการวิเคราะห์รายงานบราฮิมี
หน่วยปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว
ข้อเสนอแนะหนึ่งที่เกิดมาจากความล่าช้าของกองกำลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรวันดา คือการมีหน่วยปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว (rapid reaction force) ที่เป็นกองกำลังรักษาสันติภาพที่มีลักษณะคล้ายกับกองทัพประจำการที่สามารถจัดกำลังได้อย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์ต่าง ๆ เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยหน่วยจะถูกบริหารจัดการโดยสหประชาชาติและถูกส่งกำลังไปในพื้นที่โดยคณะมนตรีความมั่นคง หน่วยปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วแห่งสหประชาชาติจะประกอบไปด้วยบุคลากรทางทหารจากสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงหรือรัฐสมาชิกของสหประชาชาติที่ประจำการอยู่ในประเทศของตน แต่จะได้รับการฝึกอบรม ได้รับอุปกรณ์ และรูปแบบการปฏิบัติการแบบเดียวกัน และมีการฝึกซ้อมร่วมกันกับกองกำลังอื่น ๆ[69][70]
การปรับโครงสร้างสำนักเลขาธิการสหประชาชาติ
ความสามารถในการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพในปี พ.ศ. 2550 ด้วยการเพิ่มทบวงการสนับสนุนภาคสนาม (Department of Field Support: DFS) เพื่อเข้ามาสนับสนุนทบวงปฏิบัติการสันติภาพแห่งสหประชาชาติ ในขณะที่หน่วยงานใหม่ที่เพิ่มเข้ามามีหน้าที่ในการขับเคลื่อนด้านการประสานงาน การบริหารจัดการ และการส่งกำลังบำรุงในการปฏิบัติการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ โดยที่ทบวงปฏิบัติการสันติภาพแห่งสหประชาชาติมุ่งเน้นไปที่การวางแผนในระดับนโยบายและการจัดทำทิศทางของกลยุทธ์[71]
ความร่วมมือด้านเทคโนโลยีในการรักษาสันติภาพ
โครงการความร่วมมือด้านเทคโนโลยีในการรักษาสันติภาพ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2557 โดยกองเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communications Technology Division) ของอดีตทบวงการสนับสนุนภาคสนาม (DFS) โดยมีวัตถุประสงค์ในการมีส่วนร่วมมากขึ้นในการรักษาสันติภาพผ่านแนวทางในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการปฏิบัติการของสหประชาชาติทั่วโลก[72]
มีการจัดการประชุมสัมมนาความร่วมมือด้านเทคโนโลยีในการรักษาสันติภาพประจำปี โดยการประชุมนานาชาติว่าด้วยความร่วมมือด้านเทคโนโลยีในการรักษาสันติภาพ ครั้งที่ 5 จัดขึ้นที่เมืองอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน ระหว่างวันที่ 28 ถึง 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ประเทศในเอเชียกลางจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการรักษาสันติภาพ ซึ่งมี Jean-Pierre Lacroix รองเลขาธิการสหประชาชาติฝ่ายปฏิบัติการสันติภาพ และ Atul Khare องเลขาธิการสหประชาชาติฝ่ายสนับสนุนภาคสนาม เข้าร่วมการประชุมสัมมนาในครั้งนี้[73]
ดูเพิ่ม
- แผนกกิจการการเมืองและการสร้างสันติภาพแห่งสหประชาชาติ (DPPA)
- วันสากลแห่งเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพของสหประชาชาติ
- รายชื่อคณะผู้แทนรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ
- รายชื่อประเทศเรียงตามจำนวนกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ
- กองกำลังและผู้สังเกตการณ์พหุชาติเพื่อรักษาสันติภาพ (MFO)
- เส้นเวลาของภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ
- รายชื่อคณะผู้แทนรักษาสันติภาพที่ไม่ใช่ของสหประชาชาติ
- การรักษาสันติภาพของเนโท
- คณะกรรมการไวท์เฮลเมท
- ความมั่นคงระหว่างประเทศ
- หลักความรับผิดชอบในการปกป้อง
- กฎหมายสันติภาพและความมั่นคงญี่ปุ่น
อ้างอิง
ดูเพิ่ม
- Blocq, Daniel. 2009. "Western Soldiers and the Protection of Local Civilians in UN Peacekeeping Operations: Is a Nationalist Orientation in the Armed Forces Hindering Our Preparedness to Fight?" Armed Forces & Society,abstract เก็บถาวร 2009-04-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Bridges, Donna and Debbie Horsfall. 2009. "Increasing Operational Effectiveness in UN Peacekeeping: Toward a Gender-Balanced Force." Armed Forces & Society, May 2009. abstract
- Bureš, Ronkęš (June 2006). "Regional Peacekeeping Operations: Complementing or Undermining the United Nations Security Council?". Global Change, Peace & Security (ภาษาเนปาล). 66 (2): 83–99. doi:10.1080/14781150600687775. S2CID 154982851.
- Dandeker, Christopher; Gow, James (1997). "The Future of Peace Support Operations: Strategic Peacekeeping and Success". Armed Forces & Society. 23 (3): 327–347. doi:10.1177/0095327X9702300302. S2CID 145191919.
- Fortna, Virginia Page; Lise Morjé, Howard (2008). "Pitfalls and Prospects in the Peacekeeping Future". Annual Review of Political Science. 11: 283–301. doi:10.1146/annurev.polisci.9.041205.103022.
- Fortna, Virginia Page (2004). "Does Peacekeeping Keep Peace? International Intervention and the Duration of Peace After Civil War". International Studies Quarterly. 48 (2): 269–292. CiteSeerX 10.1.1.489.1831. doi:10.1111/j.0020-8833.2004.00301.x.
- Goulding, Marrack (July 1993). "The Evolution of United Nations Peacekeeping". International Affairs. 69 (3): 451–64. doi:10.2307/2622309. JSTOR 2622309.
- Holt, Victoria K., and Michael G. Mackinnon. (2008) "The origins and evolution of US policy towards peace operations." International peacekeeping 15.1 (2008) : 18–34; regarding the Bill Clinton and George W. Bush administrations. online เก็บถาวร 21 สิงหาคม 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Howard, Lise Morjé. 2008. UN Peacekeeping in Civil Wars. (Cambridge University Press 2008) abstract
- Jenne, Nicole (2022). "Who leads peace operations? A new dataset on leadership positions in UN peace operations, 1948–2019". Journal of Peace Research:
- Powles, Anna, Negar Partow, Nelson (eds). (2015) United Nations Peacekeeping Challenge: The Importance of the Integrated Approach (Routledge, 2015)
- Pushkina, Darya (June 2006). "A Recipe for Success? Ingredients of a Successful Peacekeeping Mission". International Peacekeeping. 13 (2): 133–149. doi:10.1080/13533310500436508. S2CID 144299591.
- Reed, Brian; Segal, David (2000). "The Impact of Multiple Deployments on Soldiers' Peacekeeping Attitudes, Morale and Retention". Armed Forces & Society. 27: 57–78. doi:10.1177/0095327X0002700105. S2CID 143556366.
- Sion, Liora (2006). "'Too Sweet and Innocent for War'?: Dutch Peacekeepers and the Use of Violence". Armed Forces & Society. 32 (3): 454–474. doi:10.1177/0095327X05281453. S2CID 145272144.
- Worboys, Katherine (2007). "The Traumatic Journey from Dictatorship to Democracy: Peacekeeping Operations and Civil-Military Relations in Argentina, 1989-1999". Armed Forces & Society. 33 (2): 149–168. doi:10.1177/0095327X05283843. S2CID 144147291.
แหล่งข้อมูลอื่น
- United Nations Peacekeeping Forces ที่ Nobelprize.org