น้ำมันปลา
น้ำมันปลา หรือ น้ำมันตับปลา เป็นไขมันที่ได้จากส่วนต่าง ๆ ของปลาที่มีไขมันสูงน้ำมันปลามีกรดไขมันโอเมกา-3, eicosapentaenoic acid (EPA) และ docosahexaenoic acid (DHA) ซึ่งล้วนเป็นสารตั้งต้นของ eicosanoid ที่พบว่า ลดการอักเสบในร่างกาย[1][2]และมีผลดีต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น เพื่อรักษาภาวะเลือดมีไตรกลีเซอไรด์สูง (hypertriglyceridemia) แม้คำโฆษณาว่าช่วยป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดสมองจะไม่มีหลักฐาน[3][4][5][6]มีการศึกษาน้ำมันปลาและกรดไขมันโอเมกา-3 เกี่ยวกับภาวะโรคอื่น ๆ มากมาย เช่น โรคซึมเศร้า[7][8]โรควิตกกังวล[9][10][11]มะเร็ง และโรคจุดภาพชัดของจอตาเสื่อม แต่ประโยชน์ที่ได้ก็ยังไม่สามารถยืนยัน[12]ปลาที่เป็นแหล่งน้ำมันจริง ๆ ไม่ได้ผลิตกรดไขมันโอเมกา-3 เอง แต่สะสมไขมันเมื่อกินสาหร่ายเซลล์เดียว (microalgae/microphyte) หรือปลาที่เป็นเหยื่อซึ่งได้สะสมกรดไขมันเอง
ปลาล่าเหยื่อที่มีไขมันสูง เช่น ฉลาม กระโทงดาบ ปลาทูน่าครีบยาว อาจมีกรดไขมันโอเมกา-3 สูง แต่เพราะเป็นสัตว์ล่าเหยื่อที่ยอดของโซ่อาหาร จึงอาจสะสมสารพิษต่าง ๆ จากสัตว์ที่กินต่อ ๆ กันเป็นลูกโซ่ผ่านกระบวนการ biomagnificationเพราะเหตุนี้ สำนักงานป้องกันสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (USEPA) จึงแนะนำให้จำกัดทานปลาล่าเหยื่อบางอย่าง รวมทั้งปลาทูน่าครีบยาว, ฉลาม, ปลาอินทรีสกุล Scomberomorus cavalla (king mackerel), ปลาในวงศ์ Malacanthidae (tilefish) และปลากระโทงดาบ โดยเฉพาะสำหรับหญิงวัยที่มีบุตรได้ เพราะปลามีสารปนเปื้อนเป็นพิษคือปรอทในระดับสูงนอกจากนี้ ก็ยังมีสาร dioxin, PCB และ chlordane อีกด้วย[13]
น้ำมันปลายังใช้เพื่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอีกด้วยเช่น ในบรรดาน้ำมันปลาที่ใช้เป็นอาหารสัตว์น้ำ 50% ใช้เลี้ยงปลาแซลมอน[14]
น้ำมันปลาน้ำจืดน้ำเค็มจะมี arachidonic acid, EPA และ DHA ในระดับต่าง ๆ กัน[15]สปีชีส์ต่าง ๆ จัดว่ามีมันน้อยจนถึงมีมันมาก และไขมันที่พบในเนื้ออาจอยู่ในพิสัย 0.7-15.5%[16]และยังมีผลต่อลิพิดในอวัยวะของร่างกายต่าง ๆ กันด้วย[15]งานศึกษาได้แสดงว่า การทานปลารวม ๆ หรือการได้กรดไขมันโอเมกา-3 (โดยประมาณ) จากปลาทั้งหมด ไม่สัมพันธ์กับความเข้มข้นของกรดไขมันโอเมกา-3 ในเลือด[17]แต่การทานปลามีไขมันสูงโดยเฉพาะวงศ์ปลาแซลมอน และการได้ EPA + DHA จากปลามีไขมันสูง จึงจะสัมพันธ์กับการเพิ่ม EPA + DHA ในเลือดอย่างสำคัญ[17]
การใช้
แม้บ่อยครั้งจะวางตลาดขายเพื่อบริโภคเป็นส่วนของอาหารหรือเป็นอาหารเสริมในสังคมปัจจุบัน แต่น้ำมันปลาก็สามารถใช้ในกิจภายนอกอื่นได้ เช่น เป็นสารทำให้นุ่มและชุ่มชื้น[18],เป็นขี้ผึ้ง/ครีม/น้ำมันทาภายนอกทั่วไป[19],ใช้ในงานศิลป์ประดับร่างกาย[20]หรือใช้ทากันหนาวดังอ้าง[21]
โภชนาการ
อาหารที่มี EPA และ DHA มากที่สุดก็คือปลาไขมันสูงในน้ำเย็น เช่น ปลาแซลมอน เฮร์ริง แมกเคอเรล กะตัก และซาร์ดีนน้ำมันจากปลาเหล่านี้มีไขมันโอเมกา-3 ราว ๆ 7 เท่าของไขมันโอเมกา-6ปลาไขมันสูงอื่น ๆ เช่น ทูน่า ก็มีกรดโอเมกา-3 ด้วยแต่น้อยกว่าแม้จะเป็นแหล่งไขมันโอเมกา-3 แต่ปลาก็ไม่ได้สังเคราะห์ไขมันเองเพราะได้มาจากสาหร่าย (โดยเฉพาะสาหร่ายเซลล์เดียว) หรือแพลงก์ตอนในอาหาร[22]
ชื่อ | ชื่อสามัญอังกฤษ | กรัม |
---|---|---|
ปลาเฮร์ริง ซาร์ดีน | 1.3-2 | |
ปลาแมกเคอเรลสเปน แมกเคอเรลแอตแลนติก แมกเคอเรลแปซิฟิก | 1.1-1.7 | |
ปลาแซลมอน | 1.1-1.9 | |
ปลาแฮลิบัต | 0.60-1.12 | |
ปลาทูน่า | 0.21-1.1 | |
ปลากระโทงดาบ | Swordfish | 0.97 |
หอย Perna canaliculus | Greenshell/lipped mussels | 0.95[25] |
ปลาวงศ์ Malacanthidae | Tilefish | 0.9 |
ปลาทูน่ากระป๋องในน้ำ | 0.17-0.24 | |
ปลาสกุล Pollachius | Pollock | 0.45 |
ปลาคอด | 0.15-0.24 | |
ปลาหนัง | Catfish | 0.22-0.3 |
ปลาฟราวน์เดอร์ | 0.48 | |
ปลากะรัง | Grouper | 0.23 |
ปลาอีโต้มอญ | Mahi mahi | 0.13 |
ปลา Hoplostethus atlanticus | Orange roughy | 0.028 |
ปลากลุ่มปลากะพงแดง | Red snapper | 0.29 |
ปลาฉลาม | 0.83 | |
ปลาอินทรีสกุล Scomberomorus cavalla | King mackerel | 0.36 |
ปลา Macruronus novaezelandiae | Hoki, blue grenadier | 0.41 |
ปลา Rexea solandri | Silver gemfish | 0.40 |
ปลาคอดตาน้ำเงิน | Blue eye cod | 0.31 |
หอย Saccostrea glomerata | Sydney rock oyster | 0.30 |
ปลาทูน่ากระป๋อง | 0.23 | |
ปลากะพงแดง | Snapper | 0.22 |
ปลากะพงขาวในน้ำเกลือ | Barramundi | 0.100 |
กุ้งกุลาดำ | Giant tiger prawn | 0.100 |
เพื่อเปรียบเทียบ ให้ดูระดับกรดโอเมกา-3 ในอาหารสามัญที่ไม่ใช่ปลา
ชื่อ | ชื่อสามัญอังกฤษ | กรัม |
---|---|---|
เมล็ดแฟลกซ์ | Flaxseeds | 19.55 |
เมล็ดชีอา | Chia seeds | 14.8 |
เมล็ดกัญชง | Hemp seeds | 7.4 |
วอลนัต | 1.7 | |
ถั่วเหลือง | 1.1 | |
เนย | 0.27 | |
ไข่ใบใหญ่ | 0.109[25] | |
เนื้อแดงไขมันน้อย | Lean red meat | 0.031 |
ไก่งวง | Turkey | 0.030 |
ธัญพืช | Cereals, rice, pasta เป็นต้น | 0.00 |
ผลไม้ | 0.00 | |
นมไม่พร่องไขมัน | regular milk | 0.00 |
ขนมปังธรรมดา | regular bread | 0.00 |
ผัก | 0.00 |
ผลต่อสุขภาพ
คำแนะนำต่าง ๆ
สมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) เขียนจดหมายปี 2009 แนะนำในเรื่องการแก้แนวทางอาหารของคนอเมริกันให้ทาน EPA และ DHA 250-500 มก./วัน[26]ซึ่งก็แก้อีกระหว่างปี 2015-2020ซึ่งแนะนำให้ทานปลาหลายชนิดอย่างน้อย 227 กรัมต่ออาทิตย์ โดยให้มี EPA + DHA อย่างน้อย 250 มก./วัน[ต้องการอ้างอิง]ส่วนองค์กรอาหารและยา (FDA) แนะนำไม่ให้ทาน EPA + DHA เกิน 3 กรัมต่อวันจากแหล่งทั้งหมด โดยไม่เกิน 2 กรัมต่อวันจากอาหารเสริม[27]
มะเร็งต่อมลูกหมาก
ผลของการทานน้ำมันปลาต่อมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นเรื่องยังไม่ยุติ[28][29]คืองานหนึ่งพบความเสี่ยงที่ลดลงเมื่อมีระดับ DPA (Docosapentaenoic acid) ในเลือดสูงเทียบกับอีกงานหนึ่งที่พบความเสี่ยงเพิ่มสำหรับคนไข้มะเร็งต่อมลูกหมากที่โตเร็วกว่าปกติเมื่อมีระดับ EPA+DHA ในเลือดสูง[30]หลักฐานบางส่วนชี้ว่า ระดับกรดไขมันโอเมกา-3 สูงในเลือดสัมพันธ์กับความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากที่สูงขึ้น[31]
โรคหัวใจร่วมหลอดเลือด
หลักฐานไม่สนับสนุนข้ออ้างว่า อาหารเสริมคือน้ำมันปลาช่วยป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดสมอง[3][4][5][6]ในปี 2007 สมาคมหัวใจอเมริกัน (AHA) แนะนำให้ทานน้ำมันปลา 1 กรัมต่อวัน โดยทานปลาเองจะดีกว่า สำหรับคนไข้โรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ แต่เตือนหญิงมีครรภ์หรือเลี้ยงบุตรด้วยนมให้เลี่ยงทานปลาหลายอย่างรวมทั้งปลาแมกเคอเรล ฉลาม และกระโทงดาบ เพราะอาจมีสารปนเปื้อนคือปรอท[32]
สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (สหรัฐอเมริกา) บ่งเหตุ 3 อย่างแรกสุดที่แนะนำให้ทานน้ำมันปลาและกรดไขมันโอเมกา-3 จากแหล่งอื่น ๆ เหตุรวมทั้งมีไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง (hypertriglyceridemia), เพื่อป้องกันโรคหัวใจร่วมหลอดเลือด และมีความดันโลหิตสูงแล้วบ่งเหตุอีก 27 อย่างที่มีหลักฐานสนับสนุนน้อยกว่าแล้วยังระบุความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย คือ การทานกรดไขมันโอเมกา-3 สามกรัมต่อวันหรือมากกว่านั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก แม้จะมีหลักฐานน้อยมากในเรื่องนี้ถ้าใช้ในขนาดน้อยการทานน้ำมันปลา/กรดไขมันโอเมกา-3 มาก ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองโดยตกเลือด (hemorrhagic stroke)[12]
มีหลักฐานบ้างว่า น้ำมันปลาอาจมีผลดีต่อหัวใจเต้นผิดจังหวะบางอย่าง[33][34]แต่งานวิเคราะห์อภิมานปี 2012 ก็ไม่พบผลที่มีนัยสำคัญ[35]
งานวิเคราะห์อภิมานปี 2008 ไม่พบว่า อาหารเสริมคือน้ำมันปลามีผลป้องกันต่อคนไข้โรคหัวใจแบบหัวใจห้องล่างเสียจังหวะ (ventricular arrhythmia)[36]งานวิเคราะห์อภิมานปี 2012 ที่พิมพ์ในวารสารแพทย์ JAMA และตรวจดูงานศึกษา 20 งานรวมคนไข้ 68,680 คน พบว่า อาหารเสริมคือกรดไขมันโอเมกา-3 ไม่ลดความเสี่ยงตายทั่วไป ความเสี่ยงตายเพราะหัวใจ หรือความเสี่ยงกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดสมอง[37]
ความดันโลหิตสูง
มีงานทดลองในมนุษย์บ้างที่ได้สรุปว่า การทานกรดไขมันโอเมกา-3 ลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย โดย DHA อาจมีประสิทธิภาพดีกว่า EPAแต่เพราะกรดไขมันโอเมกา-3 อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะทานอาหารเสริม[38]
สุขภาพจิต
งานปริทัศน์เป็นระบบแบบคอเคลนปี 2008 พบว่าข้อมูลยังมีจำกัดงานศึกษาหนึ่งที่เข้าเกณฑ์การปริทัศน์แสดงว่า กรดไขมันโอเมกา-3 มีประสิทธิผลเป็นการรักษาเสริม (adjunctive therapy) สำหรับคราวซึมเศร้า แต่ไม่มีผลต่อคราวคลั่ง/สุข (manic symptom) ในโรคอารมณ์สองขั้วผู้ทำงานปริทัศน์เห็นว่า การเพิ่มงานทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (RCT) จำเป็นอย่างยิ่ง[39]
งานวิเคราะห์อภิมานปี 2009 พบว่า คนไข้ที่ทานอาหารเสริมคือกรดไขมันโอเมกา-3 ที่มีอัตราส่วน EPA:DHA สูงกว่ามีอาการซึมเศร้าน้อยกว่างานศึกษาได้ให้หลักฐานว่า EPA อาจมีประสิทธิผลดีกว่า DHA เพื่อรักษาโรคซึมเศร้าแต่งานวิเคราะห์ก็ได้สรุปว่า เพราะข้อจำกัดที่ได้ระบุเกี่ยวกับงานที่ตรวจ จึงต้องมีการทดลองแบบสุ่มขนาดใหญ่กว่าเพื่อยืนยันสิ่งที่พบเหล่านี้[40]
งานวิเคราะห์อภิมานปี 2011 ที่ตรวจบทความของ PubMed เรื่องน้ำมันปลากับโรคซึมเศร้าระหว่างปี 1965-2010 พบว่า "ประสิทธิผลการรักษาที่พบเกือบทั้งหมดในงานวรรณกรรมที่ตีพิมพ์อาจมาจากความเอนเอียงในการตีพิมพ์"[41]
งานวิเคราะห์อภิมานปี 2014 ที่ตรวจการทดลอง 11 งาน ซึ่งศึกษาคนไข้โรคซึมเศร้า (MDD) ตามเกณฑ์วินิจฉัยของคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต (DSM) และการทดลอง 8 งานที่มีอาการซึมเศร้าแต่ไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็น MDD พบประโยชน์ของกรดไขมันโอเมกา-3 เพื่อรักษาอย่างมีนัยสำคัญทางคลินิกเทียบกับยาหลอกจึงสรุปว่า การใช้กรดไขมันโอเมกา-3 มีประสิทธิผลสำหรับคนไข้ที่ได้วินิจฉัยว่าเป็น MDD และคนไข้ที่มีอาการซึมเศร้าแม้ไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็น MDD[42]
โรคอัลไซเมอร์
งานวิเคราะห์อภิมานแบบคอเคลนปี 2012 ไม่พบผลป้องกันที่มีนัยสำคัญต่อการเสื่อมสมรรถภาพทางความคิดอ่าน/ทางประชาน (cognitive decline) สำหรับผู้มีอายุ 60 ปีหรือมากกว่าที่เริ่มทานกรดไขมันหลังถึงอายุนักวิจัยของงานให้สัมภาษณ์กับนิตยสารไทม์ว่า "ผลวิเคราะห์ของเราแสดงว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานว่า อาหารเสริมคือกรดไขมันโอเมกา-3 มีประโยชน์ต่อความจำหรือสมาธิในเบื้องปลายแห่งชีวิต"[43]
โรคสะเก็ดเงิน
อาหารที่เสริมด้วยน้ำมันตับปลาคอด (cod liver oil) มีประโยชน์ต่อโรคสะเก็ดเงิน[44]งานศึกษาที่ไม่มีกลุ่มควบคุมแสดงนัยว่า คนไข้โรคสะเก็ดเงินหรือคนไข้ข้ออักเสบที่เกิดกับสะเก็ดเงินอาจได้ประโยชน์จากน้ำมันปลาที่มี eicosapentaenoic acid (EPA) และ docosahexaenoic acid (DHA) มาก[45]
การตั้งครรภ์
งานศึกษาบางงานรายงานว่ามีพัฒนาการทางประชานและการเคลื่อนไหว (psychomotor) ที่ดีกว่าของทารกอายุ 30 เดือนที่มารดาทานอาหารเสริมเป็นน้ำมันปลาในช่วง 4 เดือนแรกของการผลิตนม[46]อนึ่ง เด็ก 5 ขวบที่มารดาทานอาหารเสริมเป็น DHA ที่ได้จากสาหร่ายในช่วง 4 เดือนแรกที่ให้นมสอบได้คะแนนดีกว่าในเรื่องการใส่ใจอย่างต่อเนื่องซึ่งแสดงว่า การได้ DHA ในวัยทารกต้น ๆ มีประโยชน์ระยะยาวต่อพัฒนาการทางประสาทบางอย่าง[46]
นอกจากนั้น การทานน้ำมันปลาช่วงตั้งครรภ์อาจลดความไวแพ้อาหารที่สามัญในทารก และลดความชุกบวกความรุนแรงของโรคผิวหนังบางอย่างในช่วงปีแรกของชีวิตผลอาจยืนไปถึงช่วงวัยรุ่นคือลดความชุกและความรุนแรงของภาวะต่าง ๆ รวมทั้งผิวหนังอักเสบ (eczema) เยื่อจมูกอักเสบเหตุภูมิแพ้ และโรคหืด[47]
Crohn's disease
งานทบทวนวรรณกรรมแบบคอเคลนปี 2014 พบอาศัยงานศึกษาขนาดใหญ่สองงานว่า อาหารเสริมคือน้ำมันปลาไม่ปรากฏกว่ามีประสิทธิผลธำรงระยะโรคสงบ (remission) ของ Crohn's disease[48]
คุณภาพและปัญหาของอาหารเสริม
น้ำมันปลาเป็นอาหารเสริมที่สามัญ โดยมียอดขายถึง 976 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2009 (ประมาณ 33,500 ล้านบาท) ในสหรัฐประเทศเดียว[49]นักวิจัยอิสระได้พบปัญหาคุณภาพของอาหารเสริมที่มีน้ำมันปลาและน้ำมันสัตว์ทะเลอื่น ๆรวมทั้งสิ่งปนเปื้อน, การระบุค่า EPA และ DHA ที่ไม่ถูกต้อง, น้ำมันเสีย และปัญหาสูตรยา[50]
สิ่งปนเปื้อน
ปลาอาจสะสมสารพิษต่าง ๆ รวมทั้งปรอท, dioxin และ PCB โดยน้ำมันปลาที่เสียก็อาจสร้างเปอร์ออกไซด์ (peroxide) เอง[51]แม้สิ่งปนเปื้อนจากจุลชีพ, โปรตีน, lysophospholipid, คอเลสเตอรอล และไขมันทรานส์ดูจะเสี่ยงน้อย[52]
dioxin และ PCB
dioxin และ PCB อาจก่อมะเร็งแม้ได้รับเพียงแค่น้อย ๆ ในระยะยาวสารเหล่านี้ปกติจะแยกวัดเป็นสองกลุ่ม คือ PCB ที่คล้าย dioxin และ PCB ทั้งหมดแม้องค์กรอาหารและยาสหรัฐ (FDA) จะไม่ได้จำกัด PCB ในอาหารเสริม แต่องค์กร EPA และ DHA โลก (GOED) ก็ได้ตั้งแนวทางไม่ให้มี PCB คล้าย dioxin เกิน 3 พิโกกรัมต่อน้ำมันปลาแต่ละกรัมในปี 2012 มีการวัดค่า PCB จากตัวอย่างอาหารเสริมเป็นน้ำมันปลา 35 ตัวอย่างซึ่งพบ PCB ปริมาณน้อย (trace) ในตัวอย่างทั้งหมด โดยตัวอย่าง 2 ตัวอย่างมีระดับเกินกำหนดของ GOED[53]แม้การได้รับ PCB ปริมาณน้อยจะเพิ่มปริมาณการได้รับสารทั้งหมด แต่บริษัท Consumerlab.com (ซึ่งตรวจสอบผลิตภัณฑ์อาหารและสุขภาพ และได้รายได้จากค่าสมาชิก โปรแกรมการรับรอง การอนุญาตให้ใช้ลิขสิทธิ์ การอนุญาตให้พิมพ์ใหม่ และการโฆษณา) ก็อ้างว่า ปริมาณที่พบในผลิตภัณฑ์ซึ่งตรวจสอบก็ยังน้อยกว่าที่พบในการทานปลาธรรมดาเพียงที่เดียวโดยน้อยกว่ามาก[53]
การเสีย
น้ำมันปลาที่เสียอาจสร้างเปอร์ออกไซด์งานศึกษาหนึ่งที่รัฐบาลนอร์เวย์จ้างทำสรุปว่า มีเรื่องน่าเป็นห่วงทางสุขภาพบางอย่างถ้าทานน้ำมันปลา/สัตว์ทะเลที่เหม็นหืนแล้ว (คือเกิดออกซิไดซ์แล้ว) โดยเฉพาะที่ทางเดินอาหาร แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลพอเพื่อกำหนดความเสี่ยงโดยเฉพาะ ๆ ปริมาณที่เสียและการปนเปื้อนในอาหารเสริมจะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ กระบวนการสกัด กลั่น เพิ่มความเข้มข้น ใส่แคปซูล เก็บ และขนส่ง[52]ConsumerLab.com รายงานว่า พบผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาที่เสียเป็นบางส่วน[53]
ปริมาณ EPA และ DHA
ตามการทดสอบของ ConsumerLab ความเข้มข้นของ EPA และ DHA ในอาหารเสริมอาจอยู่ในระหว่าง 8-80% ของน้ำมันปลาโดยขึ้นอยู่กับแหล่งกรดไขมันโอเมกา-3 กับการแปรรูป และส่วนผสมอื่น ๆ ในอาหารเสริม[53]รายงานปี 2012 อ้างว่า อาหารเสริม 4 ชนิดจาก 35 ชนิดที่ทดสอบมีEPA หรือ DHA น้อยกว่าที่ติดป้าย และอาหารเสริม 3 ชนิดจาก 35 ชนิดมีมากกว่า[53]ส่วนรายงานปี 2010 อ้างว่า อาหารเสริมเป็นน้ำมันปลา 3 ชนิดจาก 24 ชนิดที่ทดสอบมี EPA และ/หรือ DHA น้อยกว่าที่ติดป้าย[49]แต่ความพร้อมใช้ทางชีวภาพ (bioavailability) ของ EPA และ DHA พบว่าสูงทั้งในแบบบรรจุเป็นแคปซูลหรือขายเป็นน้ำมัน[54]
สูตร
น้ำมันปลาเป็นอาหารเสริมมีขายทั้งแบบแคปซูลและแบบน้ำแคปซูลบางอย่างเคลือบพิเศษ (enteric-coated) เพื่อให้ผ่านกระเพาะอาหารไปแล้วละลายในลำไส้เล็ก ซึ่งช่วยไม่ให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อยหรือเรอเป็นกลิ่นปลาแต่ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตไม่ดีก็ยังมีโอกาสปล่อยส่วนผสมก่อนควรConsumerLab รายงานว่า อาหารเสริมแคปซูลซึ่งเคลือบพิเศษที่บริษัทได้ทดสอบ 1 ใน 24 อย่างปล่อยส่วนผสมก่อนควร[49]
อันตราย
งานปริทัศน์เป็นระบบปี 2013 สรุปว่า โอกาสเกิดปัญหาในผู้สูงอายุที่ทานน้ำมันปลา อย่างแย่ที่สุดก็เพียงน้อยจนถึงปานกลาง และไม่น่าจะมีนัยสำคัญทางคลินิก[55]
การทานมากสุด
องค์กรอาหารและยาสหรัฐแนะนำไม่ให้ผู้บริโภคทาน EPA และ DHA รวมกันเกิน 3 กรัมต่อวัน โดยไม่ควรได้เกิน 2 กรัมจากอาหารเสริม[56]แต่นี่ก็ไม่ได้เท่ากับน้ำมันปลา 3,000 มก.ยาขนาด 1,000 mg ปกติจะมีกรดไขมันโอเมกา-3 แค่ 300 มก.ยา 10 เม็ดจึงจะมีกรดไขมันโอเมกา-3 ถึง 3,000 มก.แต่ตามองค์การความปลอดภัยอาหารยุโรป (EFSA) อาหารเสริมที่มี EPA และ DHA รวมกัน 5 กรัมไม่สร้างปัญหาความปลอดภัยแก่ผู้ใหญ่[57]
งานศึกษาปี 1987 พบว่า ชาวอินูอิต (Inuits) ในกรีนแลนด์ที่มีสุขภาพดีได้ EPA โดยเฉลี่ย 5.7 กรัมต่อวัน ซึ่งมีผลหลายอย่างรวมทั้งเลือดออกนาน คือเลือดจับเป็นลิ่มช้า[58]
วิตามิน
ตับและผลิตภัณฑ์ตับ (เช่น น้ำมันปลาคอด) ของปลาและสัตว์หลายอย่างอื่น ๆ (เช่น แมวน้ำและวาฬ) มีกรดไขมันโอเมกา-3 แต่ก็มีวิตามินเอในรูปแบบที่มีฤทธิ์ด้วยและในระดับสูง วิตามินในรูปแบบนี้อาจมีอันตราย (เป็นภาวะวิตามินเอเกิน [Hypervitaminosis A])[59]
สารพิษปนเปื้อน
ผู้บริโภคปลาไขมันสูงควรรู้ถึงโอกาสการมีโลหะหนักและมลพิษที่ละลายในไขมันได้ เช่น PCB และ dioxin ซึ่งจะสะสมแบบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามขึ้นโซ่อาหาร (เป็นกระบวนการ biomagnification)หลังจากทบทวนเป็นการใหญ่ นักวิจัยจากคณะสาธารณสุขของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้รายงานในวารสารแพทย์ JAMA ว่า ประโยชน์ที่ได้จากปลามีน้ำหนักยิ่งกว่าโอกาสเสี่ยงมาก
อาหารเสริมคือน้ำมันปลาตกเป็นปัญหาในปี 2006 เมื่อสำนักงานมาตรฐานอาหาร (Food Standards Agency) แห่งสหราชอาณาจักร และองค์การความปลอดภัยอาหารแห่งไอร์แลนด์ (Food Safety Authority of Ireland) ได้รายงานระดับ PCB ในน้ำมันปลาหลายยี่ห้อที่เกินจุดจำกัดสูงสุดของยุโรป[60][61]ซึ่งทำให้บริษัทต้องเรียกคืนสินค้าเพื่อแก้ปัญหาความปนเปื้อนน้ำมันปลาที่เป็นอาหารเสริม บริษัท Nutrasource Diagnostics จึงได้เริ่มโปรแกรมมาตรฐานน้ำมันปลานานาชาติ (IFOS) ซึ่งเป็นโปรแกรมทดสอบและรับรองผลิตภัณฑ์น้ำมันปลาโดยบุคคลภายนอกภายในรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา[62]
ในปี 2010 กลุ่มสิ่งแวดล้อมแคลิฟอร์เนียได้ฟ้องศาลว่า อาหารเสริมเป็นน้ำมันปลา 8 ยี่ห้อมีระดับ PCB เกิน (รวมยี่ห้อ CVS/pharmacy, Nature Made, Rite Aid, GNC, Solgar, Twinlab, Now Health, Omega Protein และ Pharmavite)โดยส่วนมากเป็นน้ำมันตับปลาคอดหรือปลาฉลามโจทก์ร่วมฟ้องได้อ้างว่า เพราะตับเป็นอวัยวะขับกรองและล้างพิษหลัก ปริมาณ PCB ในน้ำมันตับจึงสูงกว่าในน้ำมันที่แปรรูปมาจากปลาทั้งตัว[63][64]
งานวิเคราะห์ที่ได้ข้อมูลจากงานศึกษา Norwegian Women and Cancer Study (NOWAC) เกี่ยวกับอันตรายของการได้สารมลพิษอินทรีย์ที่คงยืน (persistent organic pollutant, POP) ในตับปลาคอดได้สรุปว่า ในหญิงชาวนอร์เวย์ การบริโภคตับปลาไม่สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ตรงกันข้ามกลับพบว่า ความเสี่ยงมะเร็งทั้งหมดลดลง[65]
คณะแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ศึกษาน้ำมันปลาที่นิยม 5 ยี่ห้อรวมทั้ง Nordic Ultimate, Kirkland และ CVS แล้วรายงานในปี 2003 ว่า ยี่ห้อทั้งหมดมี "ปริมาณปรอทที่น้อยมาก ซึ่งแสดงว่าได้กำจัดปรอทเมื่อผลิตน้ำมันปลาบริสุทธิ์ หรือปลาซึ่งเป็นแหล่งที่ใช้ในการแปรรูปทางพาณิชย์เหล่านี้ค่อนข้างปลอดปรอท"[66]
น้ำมันสาหร่ายเซลล์เดียว (Microalgae/Microphyte) อาจใช้แทนน้ำมันปลาสำหรับผู้ทานอาหารปลอดเนื้อสัตว์อาหารเสริมที่ได้มาจากสาหร่ายเซลล์เดียวมีอัตราส่วนกรดไขมันโอเมกา-3 เช่นเดียวกับน้ำมันปลาแต่ก็เสี่ยงมีมลพิษน้อยลง[67]
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถและอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
- FAO (1986) The production of fish meal and oil FAO Fishery Technical Paper 142.
- International Fish Oil Standards เก็บถาวร 2019-03-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน — An organization concerned with the quality of omega-3 products as it relates to the international standards established by the World Health Organization and the Council For Responsible Nutrition for purity and concentration.
- Joyce A. Nettleton, ed. "PUFA Newsletter". สืบค้นเมื่อ 2006-02-20.
{{cite web}}
:|author=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) Two newsletters, both quarterly, reviewing recent publications in essential fatty acids. One is written for researchers, the second is for consumers. Industry sponsored, academic contributors. - Omega-3 Fatty Acids เก็บถาวร 2015-04-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน American Cancer Society. Updated 11 January 2008.