หลักสูตร

หลักสูตร (อังกฤษ: curriculum (เอกพจน์) หรือ curricula (พหูพจน์)) เป็นคำที่เกิดขึ้นมาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และเริ่มใช้คำนี้อย่างแพร่หลายในช่วง คริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยในตำราเรียนเล่มแรกที่เขียนอธิบายเกี่ยวกับหลักสูตรของจอห์น แฟรงคลิน บอบบิทในปี ค.ศ. 1918 ได้อธิบายแนวความคิดของหลักสูตรไว้ว่าเป็นการกระทำและประสบการณ์ของผู้ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ควรที่จะมีเพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จของสังคมในอนาคต[1] นอกจากนี้หลักสูตรยังครอบคลุมถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งภายในโรงเรียนและภายนอกโรงเรียน รวมไปถึงประสบการณ์ที่ได้รับโดยบังเอิญ ประสบการณ์ที่ไม่ได้ชี้นำและประสบการณ์ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างผู้ใหญ่ให้กับสังคมในอนาคต[1] (ดูได้ในภาพทางขวามือ)

หลักสูตรที่มีการพัฒนาในปัจจุบันได้รับอิทธิพลอย่างหลากหลายจากพื้นฐานทางด้านต่างๆ ทั้งปรัชญาการศึกษา จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการเรียนรู้ สภาพสังคม เทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์[2] ซึ่งพื้นฐานต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้การพัฒนาหลักสูตรดำเนินไปด้วยแนวทางที่ชัดเจน จนกระทั่งสามารถนำหลักสูตรไปใช้ได้ อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาก่อนการใช้ ระหว่างใช้และหลังการใช้หลักสูตรจะมีการดำเนินการประเมินผลหลักสูตรอยู่เสมอ[3]

Curricula vector

ความหมายของหลักสูตร

หลังจากเกิดตำราเรียนเล่มแรกของหลักสูตรแล้ว ในระยะเวลาต่อมานักการศึกษาคนอื่น ๆ ได้ให้ความหมายของหลักสูตรที่แตกต่างไปดังนี้

  1. ในพจนานุกรมการศึกษาของคาร์เตอร์ วี. กู๊ดได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ว่า กลุ่มรายวิชาที่จัดไว้อย่างมีระบบหรือลำดับวิชาที่บังคับสำหรับจบการศึกษาหรือเพื่อรับประกาศนียบัตรในสาขาวิชาต่าง ๆ [4]
  2. หลักสูตรตามความเห็นของลาวาเทลลี หมายถึง ชุดของการเรียนและประสบการณ์สำหรับเด็กซึ่งโรงเรียนวางแผนไว้ให้เด็กบรรลุถึงจุดหมายของการศึกษา [5]
  3. หลักสูตรตามความเห็นของจอห์น จี. เซย์เลอร์และวิลเลียม เอ็ม. อเล็กซานเดอร์ หมายถึง แผนสำหรับจัดโอกาสการเรียนรู้ให้แก่บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อบรรลุเป้าหมายหรือจุดหมายที่วางไว้โดยมีโรงเรียนเป็นผู้รับผิดชอบ[6]
  4. สำหรับหลักสูตรตามความเห็นของแคสเวลและแคมป์เบล หมายถึง หลักสูตรประกอบด้วยประสบการณ์ทุกอย่างที่จัดให้แก่เด็กโดยอยู่ในความดูแลและการสอนของครู[7]
  5. สำหรับอีกความหมายหนึ่งที่สำคัญของหลักสูตร คือ กิจกรรมที่ครูจัดให้นักเรียนได้เล่นเพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้[8]

ดังนั้นจากการให้ความหมายทั้งหมดของนักการศึกษาในอดีต นักการศึกษาในปัจจุบันได้ดึงจุดเด่นของความหมายของคำว่าหลักสูตรนำมาผสมผสานกัน จึงสรุปความหมายของคำว่าหลักสูตรได้ว่า หลักสูตร หมายถึง ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่จัดโดยสถานศึกษา ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองจนสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ได้[9]

นิรุกติศาสตร์

สำหรับคำว่า curriculum ในภาษาอังกฤษนั้น เป็นคำที่มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า "currere" ซึ่งหมายถึงเส้นทางที่ใช้วิ่งแข่ง[10] โดยคำ คำนี้นำมาใช้เป็นครั้งแรกในทศวรรษที่ 1630 โดยมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ต่อมาได้นำศัพท์คำนี้มาใช้ในทางการศึกษาว่า "running sequence of course or learning experiences" โดยเปรียบถึงการจะจบหลักสูตรใด ๆ จำเป็นต้องฝ่าฟันความยากของวิชาหรือประสบการณ์การเรียนรู้ต่าง ๆ เปรียบเหมือนนักวิ่งที่ต้องวิ่งฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อให้ได้รับชัยชนะ[11]

ในสมัยก่อนประเทศไทยใช้คำว่าหลักสูตรในภาษาอังกฤษว่า syllabus ซึ่งปรากฏในหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้นและปลาย พุทธศักราช 2503 โดยใช้ฉบับภาษาอังกฤษว่า "Syllabus for Lower Secondary Education B.E. 2503"[11] อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้ได้นำคำว่า syllabus (ประมวลรายวิชา) มาไว้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรและได้ให้ความหมายของคำคำนี้ว่า ภาพรวมของหัวข้อหรือเรื่องที่ต้องศึกษาในการศึกษาหรือการฝึกงาน[12] ซึ่งความแตกต่างระหว่างคำว่าหลักสูตรและประมวลการสอนนั้นคือประมวลการสอนจะให้รายละเอียดของเนื้อหาวิชาที่เรียนทั้งจุดมุ่งหมาย เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผล ในขณะที่หลักสูตรจะให้รายละเอียดภาพรวมทั้งหมด ซึ่งเกี่ยวข้องกับรายวิชาที่ต้องศึกษาและเงื่อนไขการจบการศึกษาในระดับชั้นต่าง ๆ[13]

ความสำคัญของหลักสูตร

หลักสูตรเปรียบเสมือนแนวทางในการจัดการเรียนการสอนและเป็นแนวทางสำคัญในการบรรลุวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของประเทศ[14] นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญของมาตรฐานการศึกษาในแต่ละประเทศ ทั้งนี้เพราะการศึกษาของแต่ละประเทศจะดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับหลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้เป็นสำคัญ[15] หลักสูตรยังมีความสำคัญอีกประการหนึ่งต่อการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน กล่าวคือผู้สอนจะใช้หลักสูตรเป็นเสมือนแม่แบบในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนต่างๆ เพื่อให้การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไม่หลงทางและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้อย่างครบถ้วน[11] สำหรับความสำคัญของหลักสูตรกับผู้เรียน หากหลักสูตรนั้นเป็นหลักสูตรที่ดีจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต รวมถึงสร้างทักษะอื่นๆทั้งการเคารพสิทธิมนุษยชนและสามารถยอมรับในความหลากหลายของผู้คนได้[16]

พัฒนาการของหลักสูตร

พัฒนาการของหลักสูตรในโลกตะวันตก

หลักสูตรเริ่มมีพัฒนาการเป็นครั้งแรกตั้งแต่สมัยโบราณ โดยมีหลักฐานปรากฏเกี่ยวกับการจัดทำหลักสูตรมากว่า 2,500 ปีมาแล้ว อย่างไรก็ตามเป็นที่เข้าใจว่าคงมีการจัดทำหลักสูตรมาก่อนหน้านั้น แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน[17] โดยหลักสูตรจะเน้นการดำรงชีวิตในสังคม รวมถึงการท่องจำบทบัญญัติหรือคัมภีร์ต่าง ๆ ผู้ที่จบหลักสูตรเหล่านี้จะได้รับการยอมรับจากสังคม นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรที่เน้นยุทธวิธีและพลศึกษาอีกด้วยในสมัยกรีกโบราณ ได้มีการจัดหลักสูตรเกี่ยวกับศิลปะและศีลธรรมเพิ่มเติมเข้ามา ทั้งนี้เนื่องมาจากอิทธิพลของนักปราชญ์อย่างโสเครตีสและเพลโต ส่งผลให้หลักสูตรที่เน้นเกี่ยวกับทางด้านการทหารนั้นถูกลดบทบาทลงไป และส่งผลให้จุดมุ่งหมายของหลักสูตรจากแต่เดิมเน้นการดำรงชีวิตและการทหาร ในหลักสูตรกรีกโบราณได้เปลี่ยนจุดมุ่งหมายเป็นการสร้างวินัยทางศีลธรรม จิตใจอันบริสุทธิ์ ความคิดและการ กระทำที่ถูกต้องและเป็นจริง[18] อย่างไรก็ตามหลักสูตรในรูปแบบนี้ใช้จัดการเรียนการสอนในหมู่ชนชั้นสูงเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามในช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสต์ศักราชได้เกิดกลุ่มโซฟิสต์ขึ้น โดยกลุ่มโซฟิสต์จะเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ และสอนโดยเก็บค่าเล่าเรียน การสอนของกลุ่มโซฟิสต์นี้จะไม่เน้นทางด้านปรัชญา ศิลปะหรือการดนตรีมากนัก ส่งผลให้การจัดหลักสูตรของกลุ่มโซฟิสต์จะเน้นหนักในการแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงทางด้านภาษา ตรรกวิทยาและวรรณคดี[18] สำหรับหลักสูตรในโรมันจะเน้นหนักไปทางการท่องบทกวีของโฮเมอร์ กฎไวยากรณ์และหลักเกณฑ์การใช้ถ้อยคำโวหารหรือศิลปะการพูด[18] โดยจัดการศึกษาโดยใช้ภาษาทั้งสิ้น 2 ภาษาในการเรียนการสอน คือภาษากรีกและภาษาละติน นอกจากนี้แล้วยังนำเรื่องของการเล่นต่าง ๆ เข้ามาสอดแทรกในกระบวนการสอนอีกด้วย

การเรียนการสอนในยุคกลาง

หลักสูตรแบบกรีกและโรมันใช้เรื่อยมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งถึงในสมัยยุคกลางที่หลักสูตรเริ่มมีเนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างออกไปจากเดิม โดยในสมัยนี้หลักสูตรแบบโรมันและกรีกค่อย ๆ เสื่อมลง และหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นโดยศาสนาจักรเริ่มมีบทบาทมากยิ่งขึ้น โดยในหลักสูตรมักประกอบไปด้วยวิชาภาษาละติน ไวยากรณ์และศาสนวิทยา จนกระทั่งเกิดการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ หลักสูตรแบบกรีกจึงกลับมาอีกครั้งและเกิดการจัดการศึกษาที่หลากหลายรูปแบบ[18] ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกี่ยวข้องกับหลักสูตร กล่าวคือเฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ชาวอังกฤษได้โจมตีการศึกษาแบบดั้งเดิมที่เน้นด้านภาษาและวรรณกรรมแบบคลาสสิกนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร และได้เสนอว่าในการจัดทำหลักสูตรนั้นควรพิจารณาว่าสิ่งใดมีคุณค่าต่อชีวิตและควรกำหนดระดับความสำคัญลดหลั่นกันลงไป ซึ่งข้อเสนอของสเปนเซอร์นี้เองกลายเป็นแนวความคิดที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาหลักสูตรในปัจจุบัน[18]

สำหรับพัฒนาการของหลักสูตรที่สำคัญนอกจากในทวีปยุโรปคือในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าในช่วงแรกจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของทวีปยุโรป แต่ในระยะเวลาต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 19ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยได้เพิ่มรายวิชาใหม่ ๆ เข้าไปในหลักสูตรเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งพีชคณิต ดาราศาสตร์และเคมี เป็นต้น ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20ได้เกิดการปฏิรูปหลักสูตรครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา โดยเกิดจากอิทธิพลของจอห์น ดิวอี้ ทำให้หลักสูตรเน้นการศึกษาในด้านการพัฒนาสังคม การเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง รวมไปถึงการหาประสบการณ์ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน[18][19] อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1957 สหภาพโซเวียตสามารถปล่อยดาวเทียมสปุตนิกขึ้นไปในอวกาศได้ ส่งผลให้เกิดการปฏิรูปหลักสูตรให้มุ่งเน้นความเป็นเลิศทางวิชาการในเฉพาะสาขาวิชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างไรก็ตามหลักสูตรรูปแบบนี้เปลี่ยนแปลงในอีก 10 ปีต่อมาโดยเป็นหลักสูตรแบบผสมที่เน้นทั้งรายวิชาพื้นฐาน รายวิชาสามัญและรายวิชาอาชีพ[18] อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเปลี่ยนรูปแบบการจัดหลักสูตรแบบใดก็ตาม แนวคิดเรื่องการเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางก็ยังคงเป็นจุดเน้นที่สำคัญของหลักสูตรสหรัฐอเมริกา

พัฒนาการหลักสูตรในลาตินอเมริกา

พัฒนาการหลักสูตรในลาตินอเมริกานั้นสามารถย้อนไปได้ถึงในสมัยที่จักรวรรดิแอซเท็คและจักรวรรดิอินคามีอำนาจในช่วงเวลาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 14 - 16 เนื่องจากปรากฏระบบการจัดการเรียนการสอนในขณะนั้น[20][21] โดยหลักสูตรของแอซเทคนั้นสามารถแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบหลักดังนี้ รูปแบบหลักสูตรแรกคือหลักสูตรสำหรับเด็กชายชนชั้นสูงซึ่งหลักสูตรจะเน้นการเรียนการสอนเพื่อการเป็นนักบวชในอนาคต โดยหลักสูตรนี้จะเน้นการศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ โหราศาสตร์ การเขียนและกฎหมายเป็นหลัก[22] หลักสูตรรูปแบบที่สองคือหลักสูตรสำหรับเด็กชายสามัญชน ซึ่งจะเน้นการเรียนรู้ทางด้านการรบและพลศึกเป็นหลัก[22] และหลักสูตรรูปแบบสุดท้ายของแอซเท็คคือหลักสูตรสำหรับผู้หญิงซึ่งจะจัดการศึกษาโดยครอบครัวเป็นหลัก[22] ส่วนหลักสูตรของอินคานั้น ชนชั้นสูงจะอยู่ภายใต้การดูแลของนักปราชญ์ราชบัณฑิต ในขณะที่หลักสูตรของคนสามัญมีลักษณะไม่เป็นทางการ เพราะจัดการเรียนการสอนโดยสถาบันครอบครัว[21]

เมื่อกลุ่มกองกิสตาดอร์จากสเปนเข้ามาพิชิตจักรวรรดิต่างๆของชนพื้นเมืองได้แล้ว เจ้าอาณานิคมได้ปฏิวัติระบบการเรียนการสอนและระบบหลักสูตรของดินแดนนี้ใหม่ทั้งหมด โดยการนำหลักการทางศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกเป็นหลักสูตรหลักเพื่อเปลี่ยนแปลงชนพื้นเมืองและทำให้ชนพื้นเมืองจงรักภักดี[23] ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของการพัฒนาหลักสูตรในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาในปัจจุบัน[24]

พัฒนาการหลักสูตรในแอฟริกาใต้สะฮารา

ภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮารา (Sub-Saharan Africa) ไม่ได้มีการจัดการศึกษาอย่างเป็นระบบมากนักก่อนการเข้ามาของชาวตะวันตก เนื่องจากไม่ปรากฏระบบโรงเรียนในภูมิภาคนี้[25] อย่างไรก็ตามในช่วงก่อนการเข้ามาของชาวตะวันตกนั้นชาวพื้นเมืองในส่วนของแอฟริกาใต้สะฮารานั้นได้จัดทำหลักสูตรที่เน้นการเรียนการสอนทางด้านตำนานท้องถิ่นและพิธีกรรม ซึ่งจะมีการสอดแทรกทางด้านคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมผ่านเรื่องราวเหล่านั้น[25] โดยมีผู้อาวุโสของชนเผ่าเป็นผู้จัดการเรียนการสอน[25] ในบางท้องที่ปรากฏการจัดทำหลักสูตรที่สอนเกี่ยวกับการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตโดยสังคม ซึ่งใช้วิธีการการขัดเกลาทางสังคมเป็นวิธีหลักในการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้[25]

การจัดทำหลักสูตรในภูมิภาคนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากการเข้ามาของชาวยุโรป โดยชาวยุโรปที่เข้ามาในระยะแรกส่วนใหญ่มักเป็นนักสำรวจและมิชชันนารีซึ่งนำการศึกษาแบบตะวันตกมาเผยแพร่ให้กับชาวพื้นเมือง[26] โดยชาวยุโรปเหล่านี้เริ่มเข้ามาจัดการศึกษาในหลักสูตรแบบตะวันตกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยชาวโปรตุเกสแต่มีการดำเนินการจริงจังในคริสต์ศตวรรษที่ 18[27] ส่งผลให้หลักสูตรของภูมิภาคนี้ในระยะนี้มีลักษณะตามแบบชาติตะวันตกที่เป็นเจ้าอาณานิคม โดยหลักสูตรจะเน้นการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ชาวพื้นเมืองมีความรู้พื้นฐานพอที่จะทำงานในระบบราชการได้[26] หลักสูตรแบบตะวันตกนี้เองได้เป็นรากฐานในการพัฒนาหลักสูตรของภูมิภาคนี้ในปัจจุบัน

พัฒนาการหลักสูตรในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ

หลักสูตรในภูมิภาคนี้พบการพัฒนาในระยะเบื้องต้นใน อียิปต์โบราณ และเมโสโปเตเมีย ในเมโสโปเตเมียนั้นผู้ชายเท่านั้นที่ได้รับการศึกษา[28] โดยหลักสูตรการเรียนการสอนของเมโสโปเตเมียนั้นจะดำเนินการจัดการเรียนการสอนโดยผู้อาวุโส[29] ซึ่งจะจัดการเรียนการสอนในรายวิชาเหล่านี้คือ อักษรคูนิฟอร์ม คณิตศาสตร์ กฎหมาย ชีววิทยา ดาราศาสตร์ ตำนานเทพเจ้า บทกวี เศรษฐศาสตร์ เกษตรกรรมและภาษา[30] สำหรับผู้หญิงนั้นจะเน้นสอนกันเองภายในครอบครัว โดยเน้นเรื่องงานบ้านเป็นหลัก[31] ในอียิปต์โบราณนั้น ผู้ชายชนชั้นสูงสามารถเข้าถึงการศึกษาได้มากกว่าผู้ชายชนชั้นล่างและผู้หญิง[32] โดยเน้นการจัดการเรียนการสอนให้กับ 2 กลุ่มหลักคือนักบวชและอาลักษณ์[33] โดยหลักสูตรของทั้ง 2 กลุ่มจะเน้นการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการจดจำสิ่งต่างๆ[34] และใช้การลงโทษเป็นการเสริมแรงให้เกิดการเรียนรู้[35]

เมื่อศาสนาอิสลามเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้ ส่งผลให้การพัฒนาหลักสูตรได้รับอิทธิพลโดยตรงจากศาสนา โดยมีการก่อตั้งมาดราซาห์เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการเรียนการสอน[36] โดยหลักแล้วหลักสูตรของอิสลามจะเน้นการเรียนการสอนทางด้านศาสนาเป็นหลัก กล่าวคือมีการบรรจุรายวิชาภาษาอาหรับ ตัฟซีร กฎหมายชะรีอะฮ์ หะดีษ ตรรกศาสตร์และประวัติศาสตร์อิสลาม[37] นอกจากนี้แล้วในหลักสูตรยังบรรจุรายวิชาอื่นๆอีกด้วยขึ้นอยู่กับแต่ละมาดราซาห์ โดยบางสถาบันอาจเพิ่มเติมรายวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่นๆเข้าไปผสมผสานอีกด้วย[38] สำหรับหลักสูตรรูปแบบนี้เป็นรากฐานในการพัฒนาหลักสูตรของกลุ่มประเทศที่นับถิอศาสนาอิสลามในปัจจุบัน โดยผสมผสานกับหลักสูตรแบบสมัยใหม่[39]

พัฒนาการหลักสูตรในเอเชีย

หลักสูตรในทวีปเอเชียนั้น แม้จะไม่มีการใช้คำว่าหลักสูตรอย่างเป็นทางการ แต่ก็ปรากฏลักษณะของหลักสูตรตั้งแต่สมัยโบราณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกและอนุทวีปอินเดีย สำหรับพัฒนาการหลักสูตรในอนุทวีปอินเดียนั้นสามารถย้อนไปได้ถึงสมัยพระเวท โดยหลักสูตรในสมัยนี้นั้นจะเน้นการจัดการเรียนการสอนในด้านการสวดพระเวท ไวยากรณ์ ธรรมชาติ การให้เหตุผล บทกวี วิทยาศาสตร์ รวมไปถึงทักษะทางอาชีพต่างๆสำหรับการประกอบอาชีพในอนาคต[40] โดยการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรจะใช้ภาษาสันสกฤตเป็นหลัก[41] ในช่วงเวลาประมาณ คริสต์ศตวรรษที่ 5เริ่มมีการจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยมีหลักสูตรในการสอนศาสตร์ต่างๆ เช่น การแพทย์ ศิลปะ วรรณกรรม ศาสนา เป็นต้น[42] เมื่ออิทธิพลของศาสนาอิสลามเข้ามาในภูมิภาครูปแบบหลักสูตรจึงอิงตามรูปแบบหลักสูตรของอิสลามโดยควบคู่กับหลักสูตรแบบฮินดูดั้งเดิม[43] อย่างไรก็ตามหลักสูตรของภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลงอีกครั้งเมื่ออังกฤษเข้ามาปกครองอนุทวีป โดยอังกฤษนำหลักสูตรแบบตะวันตกเข้ามาใช้และกลายเป็นรากฐานของการพัฒนาหลักสูตรในระยะเวลาต่อมา[44]

สำหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันออกนั้น ปรากฏหลักฐานของการศึกษาย้อนไปได้ถึงในสมัยราชวงศ์เซี่ย[45] อย่างไรก็ตามหลักสูตรในภูมิภาคนี้เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วงประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล โดยหลักสูตรและการจัดการศึกษาในช่วงนี้จะได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื๊ออย่างชัดเจน[45] ซึ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนในทักษะพื้นฐานเพื่อนำไปใช้ในการสอบบรรจุเป็นข้าราชการ[45] โดยอิทธิพลของลัทธิขงจื๊อนั้นแทรกซึมอยู่ในหลักสูตรของกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกอื่นๆทั้งในญี่ปุ่นและเกาหลี[46][47] อย่างไรก็ตามเกิดการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรอีกครั้งในภูมิภาคนี้ โดยญี่ปุ่นเริ่มรับอิทธิพลหลักสูตรและการศึกษาแบบตะวันตกเข้ามาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19[48] ส่วนในประเทศจีนรับอิทธิพลทางการศึกษาและหลักสูตรแบบตะวันตกในคริสต์ศตวรรษที่ 20[45]

พัฒนาการของหลักสูตรในไทย

สำหรับประเทศไทย แม้ว่าจะไม่มีการคิดค้นหรือบัญญัติคำว่าหลักสูตรไว้ใช้ในสมัยก่อน แต่พบลักษณะของหลักสูตรและการพัฒนาหลักสูตร โดยพัฒนาการของหลักสูตรไทยสามารถย้อนไปได้ถึงสมัยอาณาจักรสุโขทัย โดยในสมัยสุโขทัยนั้นจะมีศูนย์กลางการเรียนรู้อยู่ทั้งสิ้น 2 แห่ง แห่งแรกคือวัด ซึ่งให้การศึกษาแก่ลูกหลานขุนนางและสามัญชนผ่านการบวชเรียน และสำนักราชบัณฑิตซึ่งทำหน้าที่ในการสอนพระบรมวงศานุวงศ์ โดยวิชาที่จัดการเรียนการสอนในสมัยนั้นคือภาษาบาลีและภาษาไทย[49] ทั้งนี้เพื่อต่อยอดในการศึกษาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาในอนาคต ดังนั้นหลักสูตรในสมัยนี้จะเน้นเนื้อหาสาระของพระธรรมวินัย รวมไปถึงการปฏิบัติตนตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาอีกด้วย สำหรับหลักสูตรของผู้หญิงจะปรากฏในรูปแบบของการศึกษานอกระบบเน้นการบ้านการเรือนเป็นหลัก[18] เมื่อถึงสมัยอยุธยา การจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรลักษณะนี้ปรากฏเรื่อยมาจนกระทั่งถึงรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยในสมัยนี้มีสำนักราชบัณฑิตเกิดขึ้นอย่างมากมาย รวมไปถึงมีการแต่งแบบเรียนที่สำคัญมากแบบเรียนหนึ่งคือ "จินดามณี" นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศหลายภาษา เช่น ภาษาสันสกฤต ภาษาลาว ภาษาฝรั่งเศส และภาษาจีน เป็นต้น[49] ดังนั้นหลักสูตรตั้งแต่สมัยนั้นจึงมีลักษณะการเน้นท่องจำจากแบบเรียนเป็นหลัก ซึ่งการศึกษาในรูปแบบนี้มีอิทธิพลต่อเนื่องมาในสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น[50] นอกจากการศึกษาในรูปแบบไทยจารีตแล้วยังพบการศึกษาตามหลักสูตรตะวันตกอีกด้วย ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ส่งมหาดเล็กของพระองค์เข้าศึกษาตามหลักสูตรของฝรั่งเศสอีกด้วย[51]

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

การศึกษาได้ดำเนินรูปแบบเดิมมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทุ่งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา พระองค์ทรงเริ่มปฏิรูปการศึกษาแต่เดิม โดยมีการจัดจ้างสตรีชาวต่างชาติเข้ามาสอนพระราชโอรสและพระราชธิดาภายในพระบรมมหาราชวังที่สำคัญคือแอนนา เลียวโนเวนส์[50] นอกจากนี้ในสมัยนี้มีการจัดทำหลักสูตรเน้นวิชารวม 3 วิชาคือภาษาไทย ภาษาบาลีและคณิตศาสตร์[18] จนกระทั่งถึงในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เริ่มมีการปฏิรูปการศึกษาอย่างตะวันตกแบบจริงจัง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร โดยหลักสูตรแนวตะวันตกได้มีอิทธิพลอย่างชัดเจนต่อการพัฒนาหลักสูตรในไทย[18] โดยหลังจากรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา โดยหลักสูตรเริ่มแรกในปี พ.ศ. 2432 ได้มีการแบ่งหลักสูตรออกเป็น 3 ประโยค แต่ละประโยคจะมีทั้งสิ้น 3 ชั้น (ยกเว้นประโยค 3 มี 4 ชั้น) โดยจะเน้นวิชาภาษาไทยและคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐาน หลักสูตรในยุคนี้จึงเป็นหลักสูตรที่เน้นในด้านเนื้อหาวิชาเป็นหลัก[18] อย่างไรก็ตามได้มีการปรับโครงสร้างหลักสูตรในเวลาต่อมา แต่ยังคงเป็นหลักสูตรที่เน้นเนื้อหาวิชาเป็นหลัก ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการเพิ่มหลักสูตรสำหรับการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา[52] รวมไปถึงเพิ่มวิชาลูกเสือ - เนตรนารีเข้าไว้ในหลักสูตรอีกด้วย[53] อย่างไรก็ตามหลักสูตรที่เน้นในด้านเนื้อหาวิชาเป็นหลักได้นำมาใช้จนสิ้นสุดในปี พ.ศ. 2521 หลังจากการปฏิรูปหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ โดยหลักสูตรหลัง พ.ศ. 2521 เป็นต้นมา จะนำหลักสูตรในหลายๆรูปแบบเข้ามาผสมผสานกัน โดยหลักสูตรแรกที่เกิดจากการนำหลักสูตรหลายรูปแบบมาผสมผสานกันคือ หลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521[18]

พื้นฐานของหลักสูตร

อิทธิพลของแนวความคิดต่าง ๆ ล้วนมีอิทธิพลต่อการพัฒนาหลักสูตรทั้งสิ้น โดยแนวความคิดใดได้รับความนิยมเชื่อถือเป็นอย่างมากในขณะนั้นก็จะมีอิทธิพลสูงมากต่อหลักสูตรในยุคสมัยนั้น โดยพื้นฐานสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาหลักสูตรนั้นประกอบไปด้วย ปรัชญาการศึกษา จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการเรียนรู้ สภาพสังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยีและประวัติศาสตร์

พื้นฐานปรัชญาการศึกษา

ปรัชญาการศึกษาเป็นแหล่งรวบรวมอุดมคติ อุดมการณ์อันสูงสุดซึ่งยึดเป็นหลักการในการจัดการศึกษา เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาตลอดจนกระบวนการในการเรียนการสอน ปรัชญาการศึกษาจึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจในการพัฒนาหลักสูตร รวมถึงเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อการสอนทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต[54] ดังนั้นแต่ละประเทศหรือสถานศึกษาจำเป็นต้องหยิบยกหลักปรัชญาการศึกษาที่สำคัญสอดแทรกไว้ในหลักสูตรเสมออาจเป็นการนำปรัชญาเพียงปรัชญาเดียวมาประยุกต์ใช้หรือนำหลาย ๆ ปรัชญาเข้ามาผสมผสานในหลักสูตรก็ได้ สำหรับหลักปรัชญาการศึกษาที่มีผลต่อการพัฒนาหลักสูตร ประกอบไปด้วย สารัตถนิยม นิรันตรนิยม พิพัฒนาการนิยม ปฏิรูปนิยม และอัตถิภาวนิยม[2]

สำหรับหลักสูตรใดที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม ปรัชญาสารัตถนิยมเชื่อว่าจะต้องเน้นการถ่ายทอดความรู้พื้นฐานสู่นักเรียนอย่างเป็นระบบ ดังนั้นหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดนี้จะเน้นความเข้มข้นทางวิชาการเป็นอย่างมาก[55] หลักสูตรประเภทนี้จึงเน้นหนักทางด้านเนื้อหาวิชาที่เห็นว่ามีความจำเป็น เช่น วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เป็นต้น รวมไปถึงเน้นลักษณะการศึกษาเชิงปริมาณและการเรียนรู้ข้อเท็จจริง[56]

สำหรับหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม ปรัชญานิรันตรนิยมเป็นปรัชญาที่เชื่อในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ว่าทุกคนมีศักยภาพธรรมชาติในตัว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม แก่นแท้ของมนุษย์ก็มิได้เปลี่ยนไป ดังนั้นภารกิจหลักของการศึกษาจึงอยู่ที่จะต้องปรุงแต่งคนให้เป็นคนโดยสมบูรณ์ และทำให้ผู้เรียนตระหนักถึงธรรมชาติที่แท้จริงอันแฝงอยู่ภายในตน[57] หลักสูตรแบบนิรันตรนิยมจึงเน้นการศึกษาที่มุ่งคนให้คน และเน้นการศึกษาศิลปะและวรรณคดีต่าง ๆ ตามรูปแบบของกรีก[54]

จอห์น ดิวอี้ นักปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม

สำหรับหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม หลักปรัชญาพิพัฒนาการนิยมจะเชื่อว่าความรู้เป็นเครื่องมือในการหาประสบการณ์และการจัดการศึกษาต้องเน้นถึงความถนัดและความสนใจของผู้เรียน[2] นอกจากนี้หลักปรัชญานี้ยังเน้นให้เกิดวิธีการเรียนแบบแก้ปัญหาหรือเรียนด้วยการปฏิบัติและมีความเชื่อว่าการศึกษาคือชีวิต[56] ดังนั้นหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญานี้จะพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงพื้นฐานความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก นอกจากนี้ยังนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสอดแทรกในการเรียนรู้และหลักสูตรจะเปิดโอกาสให้ลงมือทำได้จริง[55]

สำหรับหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม ปรัชญาปฏิรูปนิยมจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับหลักปรัชญาพิพัฒนาการนิยมเป็นอย่างมาก แต่จะมีความแตกต่างที่เป้าหมายของสังคม โดยปรัชญาแบบปฏิรูปนิยมจะเน้นให้เกิดความตระหนักในสังคม มีความรู้ความสามารถในการออกไปปฏิรูปสังคมได้[56] ดังนั้นหลักสูตรนี้จึงมีลักษณะพิเศษที่จะเน้นการศึกษาทางด้านสังคมศาสตร์และระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์ การศึกษาสภาวะทางเศรษฐกิจและปัญหาทางการเมือง รวมไปถึงจะเน้นประเด็นและแนวโน้มที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต[54]

สำหรับปรัชญาที่สำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรอีกปรัชญาหนึ่งคือปรัชญาอัตถิภาวนิยม ปรัชญาอัตถิภาวนิยมเป็นปรัชญาการศึกษาที่เกิดขึ้นหลังจากปรัชญาการศึกษาทั้งสี่ที่ได้กล่าวถึงข้างต้น โดยปรัชญานี้เชื่อว่าในโลกมีสิ่งที่ให้ศึกษาอย่างมากมายเกินกว่าที่มนุษย์จะเรียนรู้ได้ ดังนั้นมนุษย์ควรขวนขวายหาความรู้ด้วยตนเอง ไม่ควรรอให้ใครเป็นผู่ถ่ายทอดให้ โดยมุ่งหวังให้คนมีความรับผิดชอบและมีอิสรภาพในการเลือกสิ่งที่เรียนด้วยตนเอง ส่งผลให้หลักสูตรที่เกิดจากปรัชญาอัตถิภาวนิยมจะมีโครงสร้างหลักสูตรที่มีให้วิชาเลือกเสรีให้เลือกอย่างหลากหลายตามความถนัดและความสนใจของผู้เรียน[56]

พื้นฐานด้านจิตวิทยาพัฒนาการ

จิตวิทยาพัฒนาการเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ในช่วงวัยต่างๆ[58] โดยเป็นสิ่งช่วยระบุได้ว่ามนุษย์ในแต่ละวัยมีศักยภาพใดบ้างที่สามารถทำได้และมีศักยภาพใดที่ต้องส่งเสริม ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรในแต่ละครั้งจึงจำเป็นต้องคำนึงพื้นฐานทางจิตวิทยาพัฒนาการของผู้เรียน โดยในแต่ละวัยจะมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน เช่น ในวัยปฐมวัยจะเรียนรู้ความรู้จากการเล่นและการสัมผัส ดังนั้นหลักสูตรจะต้องกำหนดให้สัมพันธ์กับหลักการจิตวิทยาพัฒนาการ การวางหลักสูตรจำเป็นต้องวางเนื้อหาจากง่ายไปยาก[56] นอกจากนี้แล้วการจัดทำหลักสูตรจำเป็นต้องคำนึงถึงความแตกต่างทางเพศ ความแตกต่างเฉพาะบุคคล รวมไปถึงอัตราความเร็วของความเจริญเติบโต ซึ่งจำเป็นต้องจัดให้ผู้เรียนแต่ละคนอย่างเหมาะสมและเน้นการพัฒนาทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญาไปพร้อมๆกัน[56]

พื้นฐานด้านจิตวิทยาการเรียนรู้

จิตวิทยาการเรียนรู้ หมายถึง จิตวิทยาที่ใช้ในการถ่ายทอดความรู้[59] ดังนั้นจิตวิทยาการเรียนรู้สามารถช่วยให้การจัดทำหลักสูตรเป็นไปได้โดยง่ายมากขึ้น ทั้งนี้เพราะจิตวิทยาการเรียนรู้จะอธิบายถึงวิธีการเรียนรู้ของมนุษย์ ธรรมชาติของกระบวนการเรียนรู้ รวมไปถึงอุปสรรคในการเรียนรู้ของมนุษย์[56] โดยการเรียนรู้ของมนุษย์นั้นสามารถแบ่งแยกออกได้เป็น 3 กลุ่มทฤษฎี ซึ่งแต่ละทฤษฎีล้วนมีอิทธิพลต่อการจัดทำหลักสูตร โดยแต่ละทฤษฎีคือจิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม จิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม และจิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มแรงจูงใจ[56] อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้หลักสูตรไม่ได้มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีกลุ่มใดหลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการนำข้อดีทฤษฎีของแต่ละกลุ่มเข้ามาผสมผสานกัน

สำหรับจิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยมนั้น มีความเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากพฤติกรรมตอบสนองต่อสิ่งเร้า และสามารถสังเกตการเรียนรู้ของมนุษย์ได้จากพฤติกรรมภายนอก[60] หลักสูตรตามแนวทฤษฎีนี้จึงมีลักษณะการแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนๆให้เหมาะสมเมื่อผู้เรียนเรียนเนื้อหาหลายส่วนแล้วจะเกิดการเรียนรู้ในสิ่งที่ยากขึ้นมาเอง นอกจากนี้หลักสูตรควรจะให้เรียนรู้เป็นบุคคล เมื่อเรียนรู้สำเร็จในแต่ละขั้นจะได้รับการเสริมแรงทันที[56] นอกจากนี้ครูต้องสามารถตั้งจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมได้ เพื่อให้การเรียนการสอนตามหลักสูตรเป็นไปได้ด้วยดี[56]

สำหรับจิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยมหรือปัญญานิยม มีความเชื่อในเรื่องการใช้เหตุผล โดยการเรียนรู้จะเกิดจากการรับรู้ การทำความเข้าใจ การแก้ปัญหา ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกี่ยวเนื่องกับทางด้านความคิดและสติปัญญา[56] ดังนั้นหลักสูตรที่ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยมนั้นจะมีลักษณะเน้นพัฒนาการทางด้านสติปัญญา เน้นให้ครูเป็นผู้อำนวยการการเรียนรู้และจัดเตรียมเนื้อหา รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสค้นพบข้อความรู้ด้วยตนเอง[56]

สำหรับจิตวิทยาการเรียนรู้กลุ่มแรงจูงใจ มีความเห็นว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้อย่างดีนั้น ต้องมีแรงจูงใจเป็นหลักและบรรยากาศการเรียนรู้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ไม่ควรบังคับให้ผู้เรียนเรียนรู้ในสิ่งที่ตนไม่อยากเรียน[56] ดังนั้นหลักสูตรที่เกิดจากแนวจิตวิทยานี้จะมีลักษณะยืดหยุ่น ให้ผู้เรียนเลือกเรียนได้ตามความถนัดและความสนใจ มีการจัดวิชาเลือกเสรีเป็นจำนวนมากเพียงพอต่อความต้องการของผู้เรียน ซึ่งหลักการนี้จะคล้ายคลึงกับหลักปรัชญาอัตถิภาวนิยม[56]

พื้นฐานด้านสภาพสังคม

สภาพสังคมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และในแต่ละสังคมต่างมีค่านิยม แนวคิด ความเชื่อ ศาสนาและการปกครองที่แตกต่างกัน[2] ดังนั้นหลักสูตรจะต้องสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอยู่เสมอ รวมไปถึงเหมาะสมกับสภาพสังคมนั้นๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถออกไปเป็นพลเมืองที่มีประสิทธิภาพได้[61] ยกตัวอย่างเช่นในประเทศไทยมีรูปแบบการปกครองระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในหลักสูตรจะมีการกำหนดเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในที่นี้กำหนดไว้ในคุณลักษณะอันพึงประสงค์และเนื้อหาสาระของวิชาต่างๆ เพื่อให้เป็นผู้เรียนพลเมืองตามที่สังคมต้องการได้[62]

พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี

ในระยะหลังมาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความเจริญขึ้นเป็นอย่างมาก ส่งผลให้หลักสูตรและการศึกษามีความจำเป็นที่จะต้องปรับตัว[2] หลักสูตรในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารนั้นจะต้องเป็นหลักสูตรที่ช่วยให้ผู้เรียนมีศักยภาพทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ[61] รวมถึงจะต้องนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการจัดกระบวนการเรียนการสอนด้วย[61]

รูปแบบของหลักสูตร

หลักสูตรแต่ละหลักสูตรจะได้รับอิทธิพลจากพื้นฐานในด้านต่างๆที่แตกต่างกันออกไปทั้งในด้านปรัชญาการศึกษา จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการเรียนรู้ สภาพสังคมและการเมือง วัฒนธรรม เทคโนโลยีและประวัติศาสตร์ จึงส่งผลให้หลักสูตรในแต่ละรูปแบบมีความแตกต่างกันออกไป สำหรับรูปแบบของหลักสูตรสามารถแบ่งออกได้ทั้งสิ้น 6 รูปแบบ คือ หลักสูตรเน้นสาขาวิชา หลักสูตรประสบการณ์ หลักสูตรแกน หลักสูตรประสบการณ์ หลักสูตรกระบวนการ หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถและหลักสูตรบูรณาการ โดยลักษณะของแต่ละหลักสูตรมีดังนี้หลักสูตรเน้นสาขาวิชา

  1. หลักสูตรเน้นสาขาวิชา หลักสูตรรูปแบบนี้จะเน้นเนื้อหารายวิชาในการเรียนเป็นหลัก[63] โดยหลักสูตรรูปแบบนี้ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาสารัตถนิยมและปรัชญานิรันตรนิยม[56] โดยหลักสูตรจะจัดให้มีการเรียนการสอนแยกออกเป็นรายวิชาต่างๆ โดยเนื้อหารายวิชาจะมีการจัดเรียงลำดับตามระเบียบแบบแผน โดยเน้นการถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียนเป็นหลัก รวมไปถึงเป็นหลักสูตรที่ไม่ได้คำนึงถึงความต้องการของผู้เรียนอีกด้วย[56] หลักสูตรในรูปแบบนี้สามารถแบ่งแยกย่อยได้อีก 3 ประเภท คือ
    1. หลักสูตรสหสัมพันธ์ คือ หลักสูตรที่นำรายวิชาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน นำมาจัดสอนเป็นวิชาเดียวกันหรือส่งเสริมการเรียนการสอนของแต่ละวิชาซึ่งกันและกัน ซึ่งทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนครั้งเดียวแต่ได้รับความรู้ของทั้ง 2 วิชา[64]
    2. หลักสูตรแบบผสมผสาน เป็นหลักสูตรที่นำรายวิชาต่างๆที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือใกล้เคียงกัน นำมาจัดรวมกันเข้าเป็นหมวดหมู่ เพื่อให้สะดวกต่อการเรียนการสอนและการประเมินผล เช่น การแบ่งออกเป็นหมวดภาษาไทย หมวดคณิตศาสตร์ เป็นต้น[56]
    3. หลักสูตรแบบกว้าง เป็นหลักสูตรที่พยายามลดเอกลักษณ์ของแต่ละรายวิชาลงไป โดยนำเนื้อหาวิชาที่มีลักษณะใกล้เคียงกันจัดออกเป็นหมวดหมู่อย่างกว้างๆ เพื่อให้เกิดการประสานสัมพันธ์ของเนื้อหาวิชามากขึ้น ซึ่งหลักสูตรในรูปแบบนี้จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในรายวิชาต่างๆอย่างหลากหลาย และสามารถนำไปต่อยอดใช้ในชีวิตประจำวันได้[56]
  2. หลักสูตรประสบการณ์ หลักสูตรประสบการณ์เป็นหลักสูตรที่ปรับปรุงข้อบกพร่องที่เกิดจากหลักสูตรเน้นสาขาวิชาที่ไม่คำนึงถึงความต้องการของผู้เรียน[65] โดยหลักสูตรนี้จะยึกหลักปรัชญาพิพัฒนาการนิยมมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนน[66] หลักสูตรประสบการณ์จึงเป็นหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง โดยมีผู้สอนเป็นผู้จัดเตรียมประสบการณ์[65] และผู้เรียนสามารถนำประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนการสอนไปใช้ในชีวิตประจำวันได้[66]
  3. หลักสูตรแกน หลักสูตรแกนเป็นหลักสูตรที่พัฒนาตามหลักปรัชญาปฏิรูปนิยม[67] เป็นหลักสูตรที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1900 เพื่อให้หลุดพ้นจากข้อจำกัดของหลักสูตรแบบแยกรายวิชา[68] โดยเน้นเนื้อหาทางด้านสังคมและพลเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาของสังคม[69]
  4. หลักสูตรกระบวนการ หลักสูตรกระบวนการที่เน้นทักษะกระบวนการ มากกว่าเนื้อหาวิชา หลักสูตรนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหาต่างๆ[68] ซึ่งเอื้อต่อหลักการการเรียนรู้ตลอดชีวิต[68] เนื้อหาสาระในหลักสูตรจึงเป็นสิ่งที่เอื้อให้ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้[68]
  5. หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถ หลักสูตรเกณฑ์ความสามารถเป็นหลักสูตรที่จัดขึ้นเพื่อดูว่าผู้เรียนสามารถผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่ตั้งไว้ได้หรือไม่[70] โดยการจัดหลักสูตรจะมีความต่อเนื่องเป็นระบบในระดับยากง่ายและความกว้างขวางของประสบการณ์[68]
  6. หลักสูตรบูรณาการ หลักสูตรบูรณาการเป็นหลักสูตรที่นำเนื้อหาวิชา 2 วิชาขึ้นไปที่มีความสัมพันธ์กันมาเชื่อมโยงกันจนเกิดหลักสูตรใหม่[71] โดยอาจเป็นการบูรณาการในสาขาวิชาเดียวกัน การบูรณาการระหว่างต่างสาขาวิชาหรือการบูรณาการภายในตัวผู้เรียนและการประสานกันระหว่างผู้เรียนก็ได้[72]

การพัฒนาหลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้

การพัฒนาหลักสูตร มีความหมายอยู่ 2 นัยยะ คือ นัยยะแรกจะหมายถึงการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ ในขณะที่อีกนัยยะหนึ่งจะหมายถึงการพัฒนาหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น[73] โดยการพัฒนาหลักสูตรนั้นมีอยู่หลายระดับทั้งในระดับชาติซึ่งองค์กรระดับชาติจะเป็นผู้พิจารณาพัฒนาหลักสูตร หรือหลักสูตรท้องถิ่นที่มีท้องถิ่น สำนักงานการศึกษาท้องที่เป็นผู้พัฒนา รวมไปถึงหลักสูตรในห้องเรียนที่มีครูผู้สอนเป็นผู้พัฒนา[73] โดยรูปแบบหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดคือรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์[74] โดยรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของราล์ฟ ไทเลอร์ที่เสนอในปี ค.ศ. 1949 นั้นจะคำนึงถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษา ประสบการณ์ทางการศึกษาที่จะจัดให้ การจัดประสบการณ์ รวมไปถึงการประเมินผลการจัดประสบการณ์[75]

เมื่อมีการพัฒนาหลักสูตรแล้ว จะต้องนำหลักสูตรที่ได้รับการพัฒนาแล้วลงมาใช้จริง เพื่อให้หลักสูตรนั้นบรรลุประสงค์ที่ตั้งไว้[73] โดยการที่จะนำหลักสูตรไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องพัฒนาเอกสารประกอบหลักสูตร สร้างความเข้าใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงสร้างสื่อประเภทต่างๆ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้การนำหลักสูตรไปใช้ในการเรียนการสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ[76] หลังจากนั้นประชาสัมพันธ์หลักสูตรให้ทั่วถึงกันแล้วนำหลักสูตรไปใช้จริง[76] โดยในช่วงก่อน ระหว่างและหลังการใช้หลักสูตรนั้นจะมีการประเมินผลหลักสูตรอย่างสม่ำเสมอ[3]

การประเมินผลหลักสูตร

การประเมินผลหลักสูตรเป็นการวัดผลของหลักสูตรว่าการนำหลักสูตรไปใช้มีความเหมาะสมหรือไม่ หรือมีอุปสรรคใดๆระหว่างการนำหลักสูตรไปใช้ นอกจากนี้ยังเป็นการประเมินว่าส่วนไหนของหลักสูตรควรยกเลิกหรือควรแก้ไขปรับปรุงประการใด[3] โดยการประเมินหลักสูตรจะต้องประเมินทั้งตัวหลักสูตร การนำหลักสูตรไปใช้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนและระบบหลักสูตร[3] โดยมีนักการศึกษาและนักพัฒนาหลักสูตรหลายรายได้นำเสนอรูปแบบการประเมินผลหลักสูตร รูปแบบการประเมินผลหลักสูตรที่สำคัญและได้รับการยอมรับกว้างขวางมีดังนี้คือการใช้เทคนิกวิเคราะห์แบบปุยแซงค์ รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ รูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเวน รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส และรูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม[73][77]

การใช้เทคนิกวิเคราะห์แบบปุยแซงค์

การใช้เทคนิกวิเคราะห์แบบปุยแซงค์ (อังกฤษ: Puissance Analysis Technique) เป็นการประเมินหลักสูตรที่ใช้สำหรับหลักสูตรที่มีการจัดทำขึ้นใหม่[78] โดยเน้นวิเคราะห์องค์ประกอบหลักสูตร 3 ประการคือ จุดมุ่งหมาย กระบวนการเรียนรู้และการประเมินผลการเรียนรู้[78] การวิเคราะห์คุณภาพของหลักสูตรตามเทคนิกการวิเคราะห์ของปุยแซงค์นั้นจะนำองค์ประกอบย่อยในส่วนต่างๆมาคำนวณในตารางวิเคราะห์ปุยแซงค์ แล้วคำนวณค่า Puissance Measurement (P.M.) ขึ้นมา[3] ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่าค่า P.M. มีค่าเท่ากับ 10 ขึ้นไป หลักสูตรนั้นจะถือได้ว่าเป็นหลักสูตรที่มีคุณภาพ[3]

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ หรือ รูปแบบวัตถุประสงค์เป็นศูนย์กลาง (อังกฤษ: Tyler’s Objectives-Centered Model) คิดขึ้นขึ้นโดยราล์ฟ ไทเลอร์[79] โดยเป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่พิจารณาเป้าหมายเป็นหลัก[78] สำหรับการประเมินหลักสูตรตามจะพิจารณาจากความสัมพันธ์ของจุดมุ่งหมาย ประสบการณ์เรียนรู้และผลสัมฤทธิ์[3] นอกจากนี้ยังเน้นประเมินถึงศักยภาพและจุดเด่นจุดด้อยของตัวหลักสูตรเป็นหลักมากกว่าที่จะเน้นผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน เพื่อดูว่าหลักสูตรนั้นสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่ตั้งไว้ได้หรือไม่[79]

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ (อังกฤษ: Hammond’s Model) ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยโรเบิร์ด แอล. แฮมมอนด์[80] โดยรูปแบบการประเมินหลักสูตรนี้เป็นรูปแบบที่เน้นพิจารณาเป้าหมายเป็นหลัก[78] การประเมินในรูปแบบนี้จะใช้สิ่งที่เรียกว่าลูกบาศก์ 3 มิติในการประเมิน ซึ่งประกอบไปด้วยมิติด้านการเรียนการสอน มิติด้านสถาบันและมิติด้านพฤติกรรม[80] โดยนิยมใช้รูปแบบนี้ประเมินในช่วงที่กำลังใช้หลักสูตรอยู่ เพื่อหาทิศทางการพัฒนาและกำหนดทิศทางในอนาคต[77]

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค (อังกฤษ: Stake’s Responsive Model) ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยโรเบิร์ต สเตค[81] เป็นรูปแบบการประเมินหลักสูตรที่เน้นเกณฑ์เป็นหลัก[78] โดยในการประเมินหลักสูตรตามรูปแบบนี้จะเน้นการใช้ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก[79] ซึ่งจะเน้นการประเมินใน 3 องค์ประกอบหลักซึ่งมีความสัมพันธ์กันคือการประเมินสิ่งที่มีอยู่ก่อน การประเมินการดำเนินการและการประเมินผลผลิต โดยใช้ทักษะการประเมินเชิงคุณภาพในการประเมิน[81]

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส (อังกฤษ: Provus’s Discrepancy Evaluation Model) ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยมัลคอม โพรวัส ในปี ค.ศ. 1969[82] โดยเป็นรูปแบบการประเมินที่เน้นการรวบรวมข้อมูล[78] ซึ่งมีขั้นตอนในการประเมินหลักๆอยู่ 5 ขั้นตอนคือการตั้งเกณฑ์มาตรฐาน รวบรวมผลการปฏิบัติ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ จำแนกความแตกต่าง และตัดสินใจ[77] ส่งผลให้ช่วยในการตัดสินใจได้ว่าหลักสูตรที่ใช้แล้วนั้นควรปรับปรุงใหม่หรือยกเลิกหลักสูตรนั้น[82]

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเวน

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริฟเวน (อังกฤษ: Scriven’s Goal-Free Model) ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยไมเคิล สคริฟเวน[83] โดยเป็นรูปแบบการประเมินผลหลักสูตรที่ไม่ยึดเป้าหมายเป็นสำคัญ[77] โดยผู้ประเมินจะต้องไม่เป็นผู้ที่มีสองสองมาตรฐาน[79] โดยการประเมินนั้นจะประเมินผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งที่คาดหวังและไม่คาดหวัง[77] อย่างไรก็ตามสคริฟเวนได้เสนอว่าการประเมินในรูปแบบนี้ควรใช้เป็นการประเมินเสริมไม่ใช้การประเมินหลัก[79]

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม

รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีมหรือซีไอพีพีโมเดล (อังกฤษ: Stufflebeam’s Context, Input, Process, Product Model) ได้รับการคิดค้นขึ้นโดยดานิเอล สตัฟเฟิลบีม[79] เป็นรูปแบบการประเมินที่เน้นการรวบรวมข้อมูล[78] สำหรับรูปแบบการประเมินรูปแบบนี้เป็นการประเมินหลักสูตรแบบครบวงจรและครบทุกด้าน[73] เพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรในครั้งต่อไป[82] โดยการประเมินตามแนวของสตัฟเฟิลบีมนั้นจะประเมินสภาวะแวดล้อม ปัจจัยนำเข้า กระบวนการและผลผลิต[84]

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง