คอหอยอักเสบจากเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส

คอหอยอักเสบจากเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส หรือ เจ็บคอสเตร็ปโธรท (อังกฤษ: Strep throat) เป็นการอักเสบที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ (Group A streptococcus) [9] สเตรปโธรทส่งผลกระทบต่อลำคอ ต่อมทอนซิล และอาจส่งผลต่อกล่องเสียง (หลอดเสียง) อาการที่พบบ่อย ได้แก่ มีไข้ เจ็บคอ และต่อมน้ำเหลืองในลำคอบวม สเตรปโธรทเป็นสาเหตุของอาการเจ็บคอคิดเป็นร้อยละ 37 ในกลุ่มผู้ป่วยเด็ก[7]

คอหอยอักเสบจากเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส
ชื่ออื่นStreptococcal pharyngitis, streptococcal tonsillitis, streptococcal sore throat, strep
A set of large tonsils in the back of the throat covered in white exudate
ภาพคอหอยของผู้ป่วยคอหอยอักเสบจากเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัส แสดงให้เห็นหนองที่ซอนทิลที่เป็นลักษณะเฉพาะ
สาขาวิชาInfectious disease
อาการไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต[1]
การตั้งต้น1–3 วัน หลังได้รับเชื้อ[2][3]
ระยะดำเนินโรค7–10 วัน[2][3]
สาเหตุGroup A streptococcus[1]
ปัจจัยเสี่ยงดื่มน้ำหรือกินอาหารร่วมกัน[4]
วิธีวินิจฉัยThroat culture, strep test[1]
โรคอื่นที่คล้ายกันEpiglottitis, infectious mononucleosis, Ludwig's angina, peritonsillar abscess, retropharyngeal abscess, viral pharyngitis[5]
การป้องกันการล้างมือ[1] การปิดปากเวลาไอ[4]
การรักษาพาราเซตามอล, NSAIDs, antibiotics[1][6]
ความชุก5 to 40% of sore throats[7][8]

การเจ็บคอสเตรปโธรท สามารถเกิดการติดต่อได้โดยการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย หากต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ป่วยนั้นๆ ป่วยเป็นเจ็บคอสเตรปโธรท ก็ต้องใช้การทดสอบที่เรียกว่าการเพาะเชื้อ (throat culture ) จากสารคัดหลั่งในลำคอ อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะไม่มีการทดสอบนี้การวินิจฉัยโรคก็อาจทำได้จากพื้นฐานอาการของโรค ในกรณีที่ผู้ป่วยมีแนวโน้มของโรคหรือเป็นโรคอย่างแน่นอน ก็สามารถใช้ยาปฏิชีวนะ (ยาที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย) เพื่อป้องกันไม่ให้โรครุนแรงยิ่งขึ้นและหายจากโรคได้เร็วขึ้น[10]

อาการแสดงและอาการ

อาการโดยทั่วไปของการเจ็บคอสเตรปโธรทคือ เจ็บคอ มีไข้สูงกว่า 38°ซ (100.4°ฟ) มีสารคัดหลั่ง (สีเหลืองหรือสีเขียว) ปกคลุมบนต่อมทอนซิล และต่อมในลำคอบวม[10]

อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้คือ:

  • ปวดศีรษะ[11]
  • การอาเจียนหรือคลื่นเหียน[11]
  • ปวดท้อง[11]
  • ปวดกล้ามเนื้อ[12]
  • ผื่นผิวหนัง (ผื่นโปนแดงขนาดเล็ก) ตามร่างกายหรือในช่องปากหรือลำคอ (เป็นอาการที่พบไม่บ่อยแต่เป็นอาการเฉพาะของโรค)[10]

ผู้ป่วยสเตรปโธรทมักเริ่มแสดงอาการภายในหนึ่งถึงสามวันหลังจากได้รับเชื้อจากผู้ที่ป่วยเป็นโรค[10]

สาเหตุ

การเจ็บคอสเตรปโธรทมีสาเหตุมาจากเชื้อโรค (หรือแบคทีเรีย) ที่ชื่อ เบต้า-ฮีโมไลติก สเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ (Group A beta-hemolytic streptococcus (แกส/GAS))[13] แต่ทั้งนี้เชื้อโรคอื่นๆ ก็อาจเป็นสาเหตุของการเจ็บคอได้ [10][12] สเตรปโธรทติดต่อได้จากการคลุกคลีใกล้ชิดโดยตรงกับผู้ป่วย โดยในกลุ่มคนจำนวนมาก เช่น ในค่ายทหารหรือในโรงเรียน จะมีอัตราการติดเชื้อของโรคนี้สูงยิ่งขึ้น[12][14] เชื้อโรคที่แห้งตัวและปะปนอยู่ในฝุ่นไม่สามารถทำให้คนป่วยเป็นโรคได้ แต่เชื้อโรคที่มีความชื้น เช่น ที่พบบนแปรงสีฟัน สามารถทำให้คนป่วยเป็นเวลาไม่เกิน 15 วันได้[12] ในกรณีที่พบน้อยมาก เชื้อโรคเหล่านี้สามารถอาศัยอยู่ในอาหารและทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารนั้นป่วยเป็นโรคได้[12] เด็กที่มีเชื้อโรคแกสในลำคอของพวกเขาโดยไม่มีอาการของการเจ็บคอสเตรปโธรทซึ่งเป็นผู้ที่เป็นพาหะของโรคมีจำนวนเท่ากับร้อยละสิบสอง[7]

การวินิจฉัย

Modified Centor score
คะแนนความเสี่ยงมาตรการรักษา
1 หรือน้อยกว่า<10%ไม่ใช้แอนติบอดี้หรือการเพาะเชื้อ
211–17%ใช้แอนติบอดี้จากการเพาะเชื้อ หรือ RADT
328–35%
4 หรือ 552%ใช้แอนติบอดี้เชิงประจักษ์

หลักเกณฑ์ที่เรียกว่า Modified Centor score ใช้เพื่อกำหนดวิธีการรักษาผู้ที่เจ็บคอ โดยใช้พื้นฐานของเกณฑ์ทางคลินิกที่สำคัญห้าข้อ ซึ่งคะแนนจาก Centor score จะเป็นตัวกำหนดแนวโน้มของการเป็นการเจ็บคอสเตรปโธรท[10]

จุดที่ระบุไว้สำหรับเกณฑ์สำคัญเหล่านี้คือ:[10]

  • ไม่มีการไอ
  • ต่อมในคอบวมและนิ่ม
  • มีไข้สูงกว่า 38°ซ (100.4°ฟ)
  • มีสารคัดหลั่งหรือการบวมของต่อมในลำคอ (ต่อมทอนซิล)
  • อายุต่ำกว่า 15 ปี (เกณฑ์ข้อนี้จะถูกหักลบด้วยผู้ที่อายุมากกว่า 44 ปี)

การทดสอบทางห้องปฏิบัติการ

การทดสอบที่เป็นวิธีการทดสอบหลักเรียกว่าการเพาะเชื้อจากสารคัดหลั่งในลำคอ[15] สำหรับการระบุว่าบุคคลนั้นเป็นการเจ็บคอสเตรปโธรทหรือไม่ วิธีการทดสอบนี้ให้ความแม่นยำในผลของโรคของผู้ที่ได้รับการทดสอบเท่ากับ 90 ถึง 95 เปอร์เซนต์ [10] อาจมีการใช้การทดสอบที่เรียกว่าการทดสอบสารก่อภูมิต้านทานเชื้อสเตรป (หรือเรียกอย่างหนึ่งว่าการตรวจอาร์เอดีที [Rapid Antigen Detection Testing]) การทดสอบเชื้อสเตรปนี้ให้ผลรวดเร็วกว่าการเพาะเชื้อแต่ความแม่นยำในผลของโรคของผู้ที่ได้รับการทดสอบนั้นคิดเป็นเพียง 70 เปอร์เซ็นต์ โดยทั้งสองการทดสอบนี้มีความเท่าเทียมกันในการระบุว่าบุคคลนั้นไม่มีเชื้อการเจ็บคอสเตรปโธรท (จาก 98 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ได้รับการทดสอบ)[10]

สิ่งที่ใช้ในการพิสูจน์การเป็นโรคคือผลการทดสอบด้วยการเพาะเชื้อที่เป็นบวก (หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า การทดสอบที่ระบุว่าบุคคลนั้นเป็นโรค) หรือการทดสอบสารก่อภูมิต้านทานเชื้อสเตรป ร่วมกับอาการของการเจ็บคอสเตรปโธรท [16] ผู้ที่ไม่มีอาการแสดงไม่ควรได้รับการทดสอบการเพาะเชื้อหรือการทดสอบสารก่อภูมิต้านทานเชื้อสเตรปเป็นประจำ เนื่องจากมีบุคคลเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่มีแบคทีเรียสเตรปโตคอกคัสในลำคอของตนโดยปราศจากผลที่เป็นอันตราย [16]

ความเจ็บป่วยอื่นๆ ที่อาจสร้างความสับสนกับการเจ็บคอสเตรปโธรท

อาการของการเจ็บคอสเตรปโธรทเป็นอาการที่คาบเกี่ยวกับภาวะอื่นๆ ดังนั้นการวินิจฉัยว่าเป็นการเจ็บคอสเตรปโธรทโดยไม่มีการทดสอบด้วยการเพาะเชื้อหรือการทดสอบสารก่อภูมิต้านทานเชื้อสเตรปอาจทำได้ยาก [10] นอกเหนือจากมีไข้และเจ็บคอแล้วนั้น การไอ มีน้ำมูก ท้องเสีย และตาแดงและเคืองก็เป็นแนวโน้มของการเจ็บคอที่เกิดจากเชื้อไวรัสมากกว่าที่จะเป็นการเจ็บคอสเตรปโธรทได้[10]การบวมของต่อม (ต่อมน้ำเหลือง) ในลำคอพร้อมกับเจ็บคอ มีไข้ และต่อม (ต่อมทอนซิล) ในลำคอโตสามารถเกิดขึ้นได้หากผู้ป่วยนั้นเป็นโรคที่เรียกว่าโรคติดเชื้อโมโนนิวคลีโอซิส (infectious mononucleosis)[17]

การป้องกัน

การตัดต่อมทอนซิลอาจเป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการป้องกันการเจ็บคอสเตรปโธรทในผู้ที่มักเจ็บป่วยจากโรคนี้อยู่เสมอ[18][19] นับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา การป่วยด้วยการเจ็บคอสเตรปโธรทตั้งแต่สามครั้งต่อหนึ่งปีขึ้นไปนั้นถือได้ว่าเป็นที่เหตุผลเพียงพอในการตัดต่อมทอนซิลทิ้ง [20] การรอโดยคอยจับตามองก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมเช่นกัน[18]

การรักษา

การเจ็บคอสเตรปโธรทที่ไม่ได้รับการรักษามักหายไปเองภายในเวลาไม่กี่วัน [10] การรักษาด้วยยา (ปฏิชีวนะ) สามารถช่วยลดระยะเวลาการเกิดอาการได้ประมาณ 16 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย [10] เหตุผลหลักในการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะคือเพื่อลดความเสี่ยงของความเจ็บป่วยที่ร้ายแรงมากขึ้น เช่น มีไข้รุนแรง (ที่รู้จักในชื่อว่า ไข้รูมาติก) หรือการสะสมของหนองในลำคอ (ที่เรียกว่า ฝีหลังคอหอย [retropharyngeal abscesses])[10]. ยาเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพดีหากได้รับยาภายใน 9 วันนับจากการเริ่มต้นของอาการเหล่า[13]

ยาแก้ปวด

ยาบรรเทาปวด เช่น ยาลดอาการบวม (ยาต้านการอักเสบหรือ NSAID ที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือยาลดไข้ (พาราเซตามอล หรือ อะเซตามิโนเฟน [acetaminophen])สามารถช่วยลดความเจ็บปวดที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บคอสเตรปโธรทได้[21] ทั้งนี้ยาสเตียรอยด์ต่างๆ นั้นก็มีประโยชน์เช่นกัน[13][22] ซึ่งอยู่ในรูปครีมหรือขี้ผึ้งที่ชื่อลิโดเคน (lidocaine)[23] ในผู้ใหญ่อาจใช้แอสไพรินได้ แต่ไม่แนะนำการใช้ในเด็กเพราะยานี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงของการพัฒนาของโรคที่คุกคามชีวิตที่มีชื่อเรียกว่ากลุ่มอาการราย (Reye's syndrome) [13]

ยาปฏิชีวนะ

ยาปฏิชีวนะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเลือกใช้สำหรับการรักษาการเจ็บคอสเตรปโธรทคือยาเพนนิซิลลิน-วี (penicillin V) ยาปฏิชีวนะตัวนี้เป็นที่นิยมเนื่องจากเหตุผลด้านความปลอดภัย ค่าใช้จ่ายและประสิทธิผลของยาดังกล่าว [10] ส่วนยาที่ประเทศในยุโรปเลือกใช้คือยาอะม็อกซีซิลลิน (amoxicillin) [24] ในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยงในการพัฒนาของไข้รูมาติกสูง ทางเลือกอันดับแรกในการรักษาได้แก่ยาฉีดที่ชื่อว่าเบนซาทีนเพนิซิลลิน-จี (benzathine penicillin G) [13] ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมสามารถลดระยะเวลาเฉลี่ย (ซึ่งเป็นเวลา 3-5 วัน) ของอาการลงได้ประมาณวันหนึ่ง และยาเหล่านี้ยังช่วยลดการแพร่กระจายของโรคได้อีกด้วย [16] ยาที่แพทย์สั่งส่วนใหญ่ใช้เพื่อช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ไม่บ่อย เช่น การมีไข้ที่รุนแรง ผื่นผิวหนังหรือการติดเชื้อต่าง ๆ[25] ผลประโยชน์จากการรักษาการเจ็บคอสเตรปโธรทด้วยยาปฏิชีวนะควรต้องมีความสมดุลกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ [12] ยาปฏิชีวนะนั้นไม่จำเป็นต้องให้แก่ผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีที่มีปฏิกิริยาเชิงลบต่อยา [25] ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งจ่ายสำหรับการเจ็บคอสเตรปโธรทเป็นอัตราที่สูงกว่าอัตราที่มีการคาดหมายสำหรับความรุนแรงและอัตราการแพร่กระจายของโรค[26] ยาอิริโทรมัยซิน (Erythromycin)(และยาอื่นๆ ที่ชื่อว่า แมคโครีด [macrolides]) ได้รับการแนะนำสำหรับผู้ที่แพ้ยาเพนิซิลลินขั้นรุนแรง[10] ขั้นแรก อาจใช้การรักษาด้วยกลุ่มยาที่ชื่อว่าเซฟาโลสปอริน (cephalosporins) ในกลุ่มของผู้มีอาการแพ้ที่รุนแรงน้อยกว่า[10] การติดเชื้อสเตรปโตค็อกคัสยังสามารถนำไปสู่ภาวะไตบวมได้ ทั้งนี้ยาปฏิชีวนะจะไม่ช่วยลดโอกาสของภาวะนี้[13]

แนวโน้มของโรค

อาการของการเจ็บคอสเตรปโธรทมักดีขึ้นภายใน 3-5 วันไม่ว่าจะได้รับการรักษาหรือไม่ก็ตาม[16] การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะนั้นก็เพื่อลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยที่รุนแรงมากขึ้นและการแพร่กระจายของโรค และเมื่อได้รับยาขนานแรกเด็กก็อาจไปโรงเรียนตามปกติได้หลังจาก 24 ชั่วโมง[10]

ปัญหาร้ายแรงเหล่านี้อาจมีสาเหตุมาจากการเจ็บคอสเตรปโธรท:

  • มีไข้รุนแรง เช่น ไข้รูมาติก[11] หรือไข้ดำแดง (scarlet fever)[27]
  • ความเจ็บป่วยที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตที่เรียกว่ากลุ่มอาการช็อกจากพิษ (toxic shock syndrome)[27][28]
  • การบวมของไต[29]
  • ความเจ็บป่วยที่เรียกว่ากลุ่มอาการ PANDAS (PANDAS syndrome)[29] ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาเฉียบพลันต่อภูมิคุ้มกันขั้นร้ายแรง และบางครั้งต่อกลุ่มอาการทางพฤติกรรม

รูปแบบและการแพร่กระจายของโรค

การเจ็บคอสเตรปโธรทเป็นโรคที่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของการเจ็บคอ (หรือคออักเสบ)โดยประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับการวินิจฉัยว่าโรคนี้จำนวน 11 ล้านคนต่อปี[10] กรณีส่วนของการเจ็บคอนั้นเกิดจากเชื้อไวรัส อย่างไรก็ตามแบคทีเรียสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ นั้นเป็นสาเหตุของการเจ็บคอในเด็กคิดเป็นจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์และของการเจ็บคอในผู้ใหญ่ที่คิดเป็นจำนวน 5 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์[10] โรคนี้มักเกิดในช่วงปลายฤดูหนาวและต้นฤดูใบไม้ผลิ[10]

อ้างอิง

🔥 Top keywords: วชิรวิชญ์ ไพศาลกุลวงศ์หน้าหลักองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกชนกันต์ อาพรสุทธินันธ์สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีพิเศษ:ค้นหาดวงใจเทวพรหม (ละครโทรทัศน์)กรงกรรมอสมทลิซ่า (แร็ปเปอร์)จีรนันท์ มะโนแจ่มสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดธี่หยดฟุตซอลชิงแชมป์เอเชีย 2024เฟซบุ๊กสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาประเทศไทยเอเชียนคัพ รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี 2024วิทยุเสียงอเมริกาสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลพระราชวัชรธรรมโสภณ (ศิลา สิริจนฺโท)พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรักวุ่น วัยรุ่นแสบวันไหลนริลญา กุลมงคลเพชรสโมสรฟุตบอลเชลซีสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีหลานม่าสุภาพบุรุษจุฑาเทพ (ละครโทรทัศน์)สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิกกรุงเทพมหานครสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคิม ซู-ฮย็อนภาวะโลกร้อนสาธุ (ละครโทรทัศน์)รายชื่ออักษรย่อของจังหวัดในประเทศไทยสโมสรฟุตบอลปารีแซ็ง-แฌร์แม็ง